==== ก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่อยากจะเป็นสามี และ เป็นพ่อให้ได้ดีกว่าที่เคยเป็นเมื่อวาน ====
Group Blog
 
All Blogs
 
เรียนภาษาอังกฤษแบบควายๆ (When a buffalo has to learn English)

ออกตัว(และออกพุง)ก่อนเลยนะครับว่าผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนภาษาอังกฤษ(ใกล้เคียงที่สุดก็แค่สมัยใส่ขาสั้นจีบเด็กศิลป์ภาษาแล้วไม่ติด แฮ่ๆ *) หรือประสบความสำเร็จด้านการเรียนการใช้ภาษาอังกฤษหนักหนาตราช้าง(พูดเป็นแค่ด่าฝรั่งได้ 10 นาทีไม่ซ้ำประโยค อิอิ) ผมเป็นแค่เด็กไทยบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านภาษาแต่ต้องกระเสือกกระสนเรียนภาษาอังกฤษมาตามวิถีกระทรวงธรรมการแห่งสารขัณฑ์ประเทศ ซึ่งมาทราบทีหลังว่า ตัวเองมีสมองด้านซ้าย(ตรรกะ คณิตศาสตร์ วิยาศาสตร์)เจริญเติบโตมากกว่าสมองด้านขวา(ศิลป์ ภาษา ดนตรี สุนทรียศาสตร์ ปรัชญา ฯลฯ)ที่คาดว่าคงฟ่อไปตั้งแต่อยู่ในถุงน้ำคร่ำ จึงได้หายสงสัยในภายหลังว่า "ทำไมตูถึงโง่ภาษาอังกฤษนักว่ะ"

คือแบบว่าจะโทษ จะโบ้ย ไปที่พ่อที่แม่ที่พันธุกรรมน่ะ อิอิ

แต่ก็กระสือกระสนดิ้นรนมาจนได้อย่างทุกวันนี้ จึงอยากจะเอามาแบ่งปันกัน ทำนองว่า ไม่มีพรสวรรค์ก็ช่าง(แม้มมัน) ตูมีความถึก(โว้ย) ... อันเป็นที่มาของหัวข้อเรื่อง เรียนภาษาอังกฤษแบบควายๆ (When a buffalo has to learn English) ตามๆกันนะซิครับ จะได้รู้ว่าผมนี่มันถึกควายทุยแค่ไหน

คงไม่ต้องแจงสี่เบี้ยเขี่ยสี่หอย**กันว่าภษาอังกฤษนั้นสำคัญกับการเรียนต่อ การสมัครเข้าทำงาน และ ความเจริญก้าวหน้าในวงการฯของเราอย่างไรนะครับ รู้ๆกันอยู่เต็มอก สมัยก่อน ผมยังจำได้ว่าภาษาอังกฤษอยู่ในช่อง "ความสามารถพิเศษ" ของใบสมัครงาน เหมือนๆกับการใช้คอมพิวเตอร์ แต่สมัยนี้ ภาษาอังกฤษกลายเป็นคุณสมบัติขั้นต่ำของวิศวกรและช่างเทคนิคไปแล้ว (เหมือนๆกับการใช้คอมพิวเตอร์ เช่นกันอีก)

มาเริม เอ๊ย มาเริ่มกันตรงไหนดีล่ะครับ เริ่มกันที่ห้องสอบซ่อมวิชาภาษาอังกฤษของผมสมัยม.ต้นม.ปลายดีไหมครับ

ห้องสอบซ่อมวิชาภาษาอังกฤษได้รับเกียรติอย่างสูงจากผม(อิอิ)และอย่างสม่ำเสมอครับ ครูภาษาอังกฤษสงสัยจนเลิกสงสัยครับว่าทำไมเด็กที่สอบได้สี่เกือบทุกวิชาต้องสอบซ่อมวิชาภาษาอังกฤษแทบทุกครั้ง (ครั้งไหนมันผ่านได้ ครูท่านที่สอนดีใจแทบร้องไห้ ... ฮ่า) เรื่องมันมาเป็นเรื่องอีตอนสอบเอ็นสะท้านนี่แหละครับ เข้าคณะไหนๆมันก็ต้องสอบวิชานี้ ผมตอนนั้นนะกลุ้มมาก ไม่รู้จะทำยังไง บอกตรงๆ ก็แค่เด็กม.6ที่มืดไปร้อยแปดด้าน(มืดแปดด้านมันน้อยไป)

วันหนึ่งผมมารู้แจ้งอีตอนที่หำเอ๊ยฮัมเพลงการ์ตูนญี่ปุ่นหน้ากากเสือ(ใครเกิดรุ่นเดียวกันคงจำนาโอโต๊ะได้ ท่าเดินล้วงกระเป๋าหมวกเอียงๆ ในเงามืดมุมตึก เท่ห์สุดๆ ... เอ้า นอกเรื่อง) คือมาคิดได้ว่า ทำไมตูจำเนื้อเพลงได้หมดเลยว่ะ ทั้งที่ไม่รู้ความหมายอะไรในภาษาญี่ปุ่นสักตัวเดียว แสดงว่าสมองตูก็ไม่ได้ทื่อนี่หว่า มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ตูจำได้ ... คิด คิด คิด คิด แล้ว ก็คิด ... จึงมาถึงบางอ้อครับ .... มันคือ "จำนวนการทำซ้ำ" กับ "เวลาที่เราให้กับมัน"

วันรุ่งขึ้น ผมไปยืมหนังสือเพื่อนที่มันเรียนกวดวิชา(ไม่มีปัญญาไปเรียนครับ ฐานนะยากจน) เอาหมวดศัพท์ที่ต้องใช้ในการสอบเอ็นฯมาดูว่ามีกี่คำ ยืมมาหลายๆสำนัก สรุปรวมๆว่าต้องรู้ประมาณ 500 - 600 คำ (ไม่รวมคำพื้นๆ อย่าง I You We they dog cat ฯลฯ) ผมเลยคิดแบบนี้ครับ ถ้าเลือกมา 1200 คำเด็ดๆเก็งเม่นๆ ตูท่องวันล่ะ 10 คำ ไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ แค่ 4 เดือน ก็ได้ 1200 คำ ให้ตูลืมซะครึ่งนึง อย่างขี้ๆสมองหมาปัญญาควายด้านภาษาอย่าตูเนี้ย 600 คำ ไม่น่าพลาด

วันนั้นเลยครับ A journey of ten thousand miles begins with one step ผมลอกสิบคำใส่กระดาษใบเล็กๆ ใส่กระเป๋าเสื้อไว้ ท่องทุกวัน วันล่ะสิบคำ ไม่มากกว่านั้นไม่น้อยกว่านั้น โหนรถเมล์ นั่งส้วม ว่างเมื่อไรหยิบมาท่อง

4 เดือนผ่านไป ได้ผลครับ ก็เหมือนเพลงหน้ากากเสือนั่นแหละครับ ผมก็สอบเอ็นฯผ่านมาได้ด้วยดี ได้คณะฯที่ต้องการอันดับหนึ่ง กำจัดจุดอ่อนไปได้อีกวาระหนึ่ง ... (เป็นไงครับ ควายถึกๆดีๆนี่เองครับ)

ยังไม่หมดครับ เข้ามาเรียนได้ปีหนึ่ง ไอ้หย่า ... text book วิศวกรรมศาสตร์ แม้มภาษาอังกฤษหมดทุกเล่ม แม่เจ้าประคุณรุนช่อง เด็กบ้านนอกปลักควายอย่างผมก็ช๊อคซีนีม่าเท่านั้นแหละครับ .... "ไม่เป็นไรๆ" ปลอบใจตัวเองครับ ตูมีอาวุธลับ ทวพ. ครับ ไทยวัฒนาพานิช ไงครับ รุ่นผมจะรู้จักดี สำนักพิมพ์ดิกชั่นนารี่ที่มีชื่อเสียง กลับไปคุ้ยดิกฯสมัยสอบเอ็นมาเป็นเพื่อนคู่ใจ มี 2 ทางตอนนั้น ไม่อ่าน text ก็ไม่มีอะไรอ่าน สอบตก ได้ตั๋วรีไทร์กลับบ้าน แน่ๆ (สมัยนั้นยังไม่มีหนังสือวิศวกรรมแปลกันเกลื่อนอย่างสมัยนี้ครับ) ... โอเคๆ อ่านก็อ่าน เปิดดิกฯแทบทุกคำเลยครับ แต่แฮ่ๆ หมูกว่าที่คิด เปิดดิกฯไปได้ 2-3 บท อ้าว มันก็ใช้คำซ้ำๆกัน อุอุ หมูกว่าเอ็นสะท้านเยอะ ... ไอ้นกรอดไปคราวนึง ...

หลงระเริงในรั้วสถาบันอุดมศึกษามาได้จนจะสี่ปี นึกได้ว่า อ้าว ... ตูจะจบแล้วนี่หว่า จะหางาน ทำงานอะไรหรือเรียนต่อดีฟ่ะ ... อุ้ย มันมีสอบอะไรด้วยเนี่ย เอลๆเฟลๆ อ้อ ไอ้ โทเฟล (TOEFL) แม้มเอ๊ย จะตามจองล้างจองพลาญตูไปถึงไหนไอ้ภาษาอังกฤษเนี่ย ลองไปสอบดูซิว่าจะได้สักเท่าไร ตอนนั้นเพิ่งผ่านปีสี่เทอมหนึ่งมาหมาดๆ แหม เราก็อ่าน text book มาตั้งสามปีกว่า มันไม่น่ายาก ... ไอ้นกก็เรียบร้อยโรงเรียน TOEFL ไปตามระเบียบ ได้มา 350 ทำเจี้ยวอะไรไม่ได้เลย ยูห้องแถวๆยังใช้ 450-500 ยูรัฐใช้ 550-600 ยู เอกชนใช้ 650-700 ถ้ายู TOP TEN ใช้ 750+ ... อุอุ 350 ที่ไอ้นกได้นี่คงได้แค่ u-tube (สมัยนั้นยังไม่มีเน็ตเล้ย อิอิ)

ไม่เป็นไร ปลอบใจตัวเองไว้ก่อน อย่างน้อยเราก็ได้ทำ Benchmarking (ฮ่าๆ) คือได้วัดระดับไว้ก่อนไง ว่าถ้าไม่ฝึกเลยได้เท่าไร แล้วใส่เต็มตีนสุดๆจะได้เท่าไร ... คราวนี้มาวิเคราะห์ตัวเองว่าเราไปได้ 350 อีตรงไหน อะไรเป็นจุดอ่อน ก็เอาข้อสอบมาทำดูใหม่ แยกเป็นส่วนๆ พบว่า อ้าว ส่วนคำศัพท์ ตูยังมีผลบุญเท่าสมัยเอ็นสะท้าน ส่วนการอ่านจับใจความ ตูก็อ่าน text มา 3 ปีกว่า ก็รอดได้หมูๆ ไวยากรณ์ก็ได้บุญเก่าสมัยเอ็น ยังค้างกระบาลอยู่บ้าง แอลกอฮอล์ในสมอง 3 ปีกว่าๆไม่เอาไปล่อซะก่อน (แฮ่ๆ อะนะ น.ศ.วิศวกรรมกร กับแอลกอฮอลมันเป็นคู่กรรมกัน อุอุ) ... เลยมาพบว่า ตูมาเอวังที่ส่วนการฟัง (listening) ทำไงฟ่ะ รอบตัวตูก็ไม่มีฝรั่งอั้งม่อสักตัวให้ได้ฝึก ไปจ้างฝรั่งมาก็ไม่มีตังค์ ไปฝึกจีบแหม่ม ก็นะ ท้องนาแถวสถาบันก็ไกล๊ไกลถนนข้าวสารและวัดพระแก้ว แหล่งท่องเที่ยวแถวบ้านก็ไม่มี

ก็เลยมาลงตัวที่ mp3 กับ ipod เอ๊ย สมัยนั้น พี่ตีฟ จ๊อบ ยังไม่ได้แจ้งเกิดเลย มาลงตัวกลับซาวอะเบ้าท์ (โก๋กี๋รุ่นผมคงจำกันได้ เท่ห์ซะ) เจียดตังค่าข้าวไปซื้อมาเครื่องนึง ไม่เน้นคุณภาพเสียง เอาแค่ฟังได้ ไปซื้อเทป TOEFL มา 3 ม้วน ครอบหัวฟังมันไปทั้งเทอม(สมัยนั้นไม่มีหูฟังแบบยัดในรูหู) รู้มั่งไม่รู้มั่ง ช่างมัน เอาคุ้นสำเนียงไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นสนาม (ฮา) ... ซึ่งก็ได้ผลครับ

เรื่องการฟังซ้ำๆเนี่ย ผมก็มีอีกตัวอย่างจริงเลย คือสมัยประถม คุณพ่อผมโดนย้ายเข้ากรุ เอ๊ย ได้มาประจำอยู่ที่กทม.ระยะหนึ่ง แกไปซื้อชุดเรียนภาษาอังกฤษมาชุดใหญ่เลย เปิดเทปสอนภาษาอังกฤษ จะมีคำอ่าน และ แปล เป็นชุดๆ แกเปิดทุกวัน ใครในบ้านจะฟังไม่ฟังแกก็เปิดฟังของแก พวกเราเด็กๆก็รำคาญแต่ก็ไม่รู้จะทำไง ไม่ฟังมันก็ได้ยิน เชื่อไหมครับ พวกเราได้อนิสงฆ์จากตรงนั้นมากมาย คุ้นทั้งสำเนียง คุ้นทั้งคำแปล (ขนาดนั้นมาจนม.ต้นม.ปลาย ผมยังสอบซ่อมเลย ดูนะว่าผมมันห่วยและขาดพรสวรรค์ขนาดไหน) แอบมาทราบจากแม่ทีหลังว่า คุณพ่อมีปมเรื่องภาษาอังกฤษ แกจบม.8บ้านนอก สอบเข้าเป็นตำรวจไม่ได้ เพราะตกวิชาภาษาอังกฤษ เลยต้องไปเรียน มธ.ที่สมัยนั้นเป็นตลาดวิชาคล้ายๆรามฯตอนนี้ แล้วช่วงนั้นมีฝรั่งต่างประเทศมาดูงานมาเยี่ยมที่แผนกของแก พอแกพูดไม่ได้เลยน้อยใจ มามุเรียนเอาตอนแก่ แกใช้เวลา 4-5 ปี เรียนจากเทป แกพูดได้ปร๋อเลยนะ 4-5 ปีก่อนที่แกจะเสีย แกยังไปซื้อจีนกลางมาเรียนอีกชุด จนพูดได้ ทำให้พวกเราลูกๆเห็นเป็นตัวอย่างจริงๆว่า ในแง่ภาษาฯแล้วพรสวรรค์ไม่สู้มานะคนจริงๆ เพราะอายุแกก็มากแล้วตอนหัดพูดจีนกลาง แถมกินเหล้ามาทั้งชีวิต (เซลสมองคงไปแล้ว) แต่อาศัยบ่อยๆซ้ำๆทุกวันๆ

กลับมาที่ TOEFL ก็เอาซาวอะเบ้าท์ครอบหัวเป็นไอ้บ้าอยู่อย่างนั้นเทอมนึง ใกล้ๆปลายปีสี่ ก็ไปสอบใหม่ ได้มา 535 คะแนน ไม่ดีมากมายอะไรสำหรับใคร แต่สำหรับควายทางภาษาอย่างไอ้นก ดีใจโคตรๆเลยครับ 535/350 ดีขึ้น 50+% คุ้มค่าเทป 3 ม้วน อิอิ

เป็นไงครับ ไม่มีเคล็ดลับอะไร ใครอ่านมาจะหาเคล็ดลับ เคล็กวิชาไหมฟ้า เก้าอิม หรือ เดชคัมภีร์เทวดา (ใครจำได้บ้าง อิอิ) คงจะผิดหวัง ... ควายถึกๆล้วนๆ ครับ ไม่มีเคล็ดลับครับ .... บอกแล้วไงครับ มากับผมก็ต้องเรียนแบบควายๆ

ยังครับ เวรกรรมของผมกับคู่กัดยังไม่จบ ...

ปลายปีสี่ กำลังจะจบ อีก 2 เดือน ไอ้นกจะสอบวิทยานิพนธ์ มีบ.service company ในวงการฯ (ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าบ.อะไร อิอิ) ที่มีสโลแกนตอนนำเสนอบ.ที่ห้องประชุมใหญ่คณะฯว่า "everytime, everywhere, no choice" ก็มารับสมัครและสอบสัมภาษณ์ ไอ้นกก็สมัครไปตามกระบวนการ (ดูสโลแกนแล้ว ใช่ตูเลย ให้ตายซิ)

ผลก็คือได้ครับ แต่ภายใต้เงื่อนไขข้อหนึ่ง recruiter ให้ comment ผ่านมาทางคณะว่า ดีหมด ยกเว้นสื่อสารไม่ได้ จำได้ไหมครับว่า ผมได้ศัพท์ vocab มาเยอะตอนเอ็นฯ ได้ reading การอ่านมาตอนเรียนวิศวกรรมจำต้องอ่าน text book มาได้การฟัง listening ตอนมุสอบ TOEFL แต่จนแล้วจนรอดไอ้บ้านนอกอย่างผมมันก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (ดูมัน ได้มาแต่ล่ะทักษะ ศัพท์ อ่าน ฟัง วิธีควายๆทั้งนั้น) เงื่อนไขข้อที่ว่าคือ เขาจะส่งผมไปเมืองเล็กๆอยู่ใต้เมลเบิร์น ออสเตรเลีย 2 เดือน ให้อยู่กับ family ที่เขาจ้าง ทุกอย่างฟรีหมด door to door ว่างั้นเหอะ มีเงินติดกระเป๋าให้เล็กน้อยด้วย กลับมา จะต้องมาคุยกับ Recuriter คนนี้ ถ้ารู้เรื่อง ผ่าน ไปต่อ ถ้าไม่รู้เรื่อง เมื่อยมือเหมือนเดิม ตกรอบ กลับบ้าน (เหมือนเกมส์โชว์ไหมครับ)

มันมาอีกแล้วครับ ควายๆ ไอ้นกก็ก้มหน้าก้มตารับคำท้าและเงื่อนไข จะทำไงดีฟ่ะ ... แล้วเสียงพี่แอ๊ดคาราบาวก็แว่วมาให้คำตอบในเพลงพระเจ้าตากฯ ... ใช่ครับ ทุบหม้อข้าวตีเมือง ... ผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ไปก็ฟรี อยู่ก็ฟรี มีเงินติดกระเป๋ากลับอีกจิ๊บๆ(ไม่มาก) ทุบหม้อข้าว คือ ไม่เอาอะไรที่เป็นภาษาไทยไปเลย หนังสือ สมุด เทป เพลง ตกลงกับเพื่อนร่วมโครงการที่ไปด้วย(แต่ไปแยกครอบครัวอยู่)ว่าจะไม่พูดไทยเด็ดขาด อดข้าวตายก็ยอม (จริงๆต้องอดขนมปังตาย ฮ่า)

วิธีเรียนพูดผมก็ควายๆเหมือนเดิม พูดแม้มมันทั้งวัน เจอใครที่ไหนก็พูดๆๆๆๆๆๆ สัปดาห์แรกทีไปถึงซื้อวิทยุทรานซิสเตอร์ท้องถิ่นจากตลาดมือสอง(Flea market) เปิดมันทั้งวันทั้งคืน นอนหลับก็เปิดนะ กะให้มันซึมเข้าจิตใต้สำนัก (ดู เอากะมัน ถึกๆควายๆ) ได้ผลครับ อาทิตย์สุดท้ายฝันเป็นภาษาอังกฤษเลยครับ (ในฝัน ตัวเองพูดภาษาอังกฤษ)

(มีรายละเอียดตอนผมไปอยู่ที่ออสเตรเลียในบล๊อกนี้ครับ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=nong-fern-daddy&month=16-04-2011&group=7&gblog=67)

2 เดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก TG ก็พาไอ้นกและเดอะแกงค์มาลงสุวรรณภูมิ เอ๊ย ดอนเมือง รุ่งขึ้นตรงไปสาขาของบ.นั้นที่เซ็นทรัลลาดพร้าว(ตอนนั้นมันอยู่ที่นั่น) นัดเจอกับ recuriter คนเดิม คุยกันไม่ถึง 10 นาที ก็ให้ผ่าน

จากนั้นมา ไอ้นกก็ go inter ขายแรงงานและหยาดเหงื่อไปทั่วโลก พร้อมๆกับครูพักลักจำเรื่องภาษาไปเรื่อยๆ หน้าแตก ปล่อยไก่ไอ้โต้งไทยไปจนหมดเล้าก็หลายหนหลายประเทศ แต่ก็ถึกๆควายๆหน้าด้านเข้าไว้ แอบจำสำนวน ประโยคดีๆเด็ดๆจากเจ้าของภาษา ว่าเขาพูดอย่างไร ไม่สนไวยากรณ์เท่าไร เพราะที่ฝรั่งเจ้าของภาษาใช้มันก็ไม่ถูกไวยากรณ์นักหรอก แต่มันฟังแล้วลื่นหู ฟังแล้วรู้เรื่อง ก็ก๊อปเอามาทั้งดุ้นมาใช้ดื้อๆ

เป็นไงครับ เรียนภาษาอังกฤษแบบควายๆของผม ผมเชื่อว่าด้วยวิทยาการด้านการศึกษาสมัยนี้ มีทางลัดและวิธีที่ดีกว่าถึกๆควายๆอย่างผมมาก แต่ข้อจำกัดของผม ด้านทุนทรัพย์(จน) นามสกุล(ที่ไม่ดัง) สังคมแวดล้อม(บ้านน๊อกบ้านนอก) ไกลข่าวสารและข้อมูล ผมไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่าการเอาแรงควายที่ต้องอึดและอดทนเข้าสู้เข้าแลก

น้องๆเพื่อนๆที่ด้อยโอกาส ขาดทุนทรัพย์ แล้วอยากเรียนภาษาอังกฤษ ผมเชื่อว่าด้วยสมัยนี้ที่มีอินเตอร์เน็ทราคาไม่แพง สื่อ และ วัตถุดิบมากมาย หยิบยืมกันหรือขอกันได้ ไม่ยาก หลายอย่างฟรี หรือว่าบางทีที่พวกเราขาดไปคือ "ความตั้งใจ และ อดทน"

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆครับ

ด้วยรักและมั่นใจในความอึดของพวกเราทุกคนที่นี่

พี่นก

===========================
* แต่ตอนทำงานแล้วจีบเด็กอักษรฯติดมาเป็นแม่น้องเฟิร์นและน้องภัทรอยู่จนทุกวันนี้ (ฮ่วย)
** สำนวนผมเอง ไม่ต้องเปิดพจนานุกรมที่ไหนให้เมื่อยนิ้ว

ปล. ลูกเฟิร์นของผมเป็นเด็กพิเศษ เป็นโรคสมาธิสั้น ชื่อโรคก็บอกอยู่แล้วว่าสมาธิสั้น แถมไอคิดแค่ 79 (คนปกติ 80+) แต่ผมก็ให้เขาท่องศัพท์ทุกวันมาต้องแต่ป.3 งูๆปลาๆ ท่องไปวันล่ะ 5 คำ ท่องไป 5 คำ ลืมซะ 3 คำ เหลือ 2 คำ เดือนนึง คร่าวๆ ก็ 20 วัน (ส. อา. และ วันหยุดต่างๆ อู้ ไม่ท่อง เหลือท่องเดือนล่ะ 15 วัน) ตอนนี้อยู่ ม1 ท่องมา 4 ปี ก็ 4 ปี x 12 เดือน x 15 วัน x วันล่ะ 2 คำ = 1440 คำ ให้เขาลืมอีกครึ่ง ก็ได้ 1440/2 = 720 คำ ... ถ้าเด็กสมาธิสั้นทำได้ ทำไมพวกเราที่จบ ปวส. จบ ป.ตรี จะทำไม่ได้ คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกคุณทำกันได้ไหม แต่คำถามน่าจะอยู่ที่ว่า คุณจะเริ่มทำเมื่อไรต่างหาก จำไว้นะครับ A journey of ten thousand miles begins with one step - ทางพันไมล์เริ่มได้ก็ที่ก้าวแรกนี่แหละ


Create Date : 10 มกราคม 2556
Last Update : 10 มกราคม 2556 16:12:11 น. 14 comments
Counter : 5648 Pageviews.

 
อ่านแล้วผมว่าเป็นประโยชน์มากๆครับ ภาษาอังกฤษนี่ผมว่าเป็นตัวถ่วงความเจริญของหลายๆคน ตอนสัมภาษณ์บริษัทในวงการนี้ยังไงก็ต้องมีภาษาอังกฤษ สุดท้ายเนื้อหาอื่นไม่ต้องได้เตรียมกัน เพราะว่ามัวแต่เครียดกับภาษา อันนี้ประสบการณ์ตรงครับ

มีหลายๆอย่างที่ผมเคยทำคล้ายๆพี่นก เช่น ฟังภาษาอังกฤษตลอดเวลาที่ทำได้ เปิดฟังผ่านๆ ตอนนอนก็เปิดทิ้งไว้ ผมไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันพัฒนาภาษาของเราได้อย่างไร แต่ตอนผมไปเรียน AUA ครั้งแรก ผมรู้สึกว่า ผมฟังฝรั่งเข้าใจ เหมือนชินสำเนียง

แต่ที่ทำให้ได้ภาษาจริงๆเลยผมว่าตอนที่ได้พูด ฟัง สื่อสารกับอาจารย์ต่างชาติที่ AUA เพราะมันช่วยให้เรามั่นใจด้วย ว่า เรานี่ก็คุยกับฝรั่งมังค่ารู้เรื่องนะ ใจมันได้ มันก็กล้าสื่อสาร

ความตั้งใจและอดทนนี่ หัวใจของความสำเร็จเลยครับ
^_^



โดย: จันทรา IP: 61.91.6.4 วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:11:09:57 น.  

 
จำได้ว่า...สมัยก่อน ๆ ไปทำงานที่ห้างนารายณ์ภัณฑ์ สมัยนั้นตั้งอยู่ตรงข้ามเซ็นทรัลเวิล แม่บุญเดินไปเรียนภาษาอังกฤษที่ เอ ยู เอ ทุกวันก่อนไปทำงาน เรียนแล้วได้พูดกับชาวต่างชาติเลย ผลเลยเป็นที่น่าพอใจ แถมลูกค้าหลากหลายชาติ สำเนียงแตกต่าง แต่ด้วยความเคยชินเพราะเจอทุกวัน เลยดำน้ำไปได้ แล้วก็โดดไปทำงานโรงแรม คราวนี้ยิ่งใช้บ่อย เพราะต้องตอบเมล์แขก อ่าน Bangkok Post หน้าท่องเที่ยวทุกวัน ฝึกเอง อย่างที่น้องพูด อาศัยการทำบ่อย ๆ แล้วมันพัฒนาตัวเองไปได้

ตอนนี้มาอยู่เบลเยียม...ชิปเป๋ง ต้องเรียนภาษาฝรั่งเศส เพราะเป็นภาษาท้องถิ่น..มาเริ่มเรียนใหม่ แต่..ความขยันลดลง มันเลยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ปีนี้จึงตั้งใจไว้แม่นมั่นว่า...จะอ่าน จะทบทวนให้มากขึ้น เรื่อง พูด ฟัง ไม่ีปัญหา เพราะดูสารคดีทุกวัน พูดกับสามีทุกวัน แต่ศัพท์ยังไม่พัฒนามากนัก คงต้องท่องวันละ ๑๐ คำบ้างแล้ว

อ่านแล้วมีกำลังใจ อยากทำให้ดีขึ้น ขอบคุณนะคะที่แบ่งปันประสบการณ์


โดย: Maeboon วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:14:05:52 น.  

 
จันทรา แม่บุญ - ขอบคุณที่แวะมาแบ่งปันประสบการณ์นะครับ


โดย: พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร (Nong Fern Daddy ) วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:16:33:02 น.  

 
สุดยอดเหมือนเคยครับ


ชอบจังความถึก

ขอบคุณครับพี่นก


โดย: Tripledouble IP: 61.8.225.205 วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:19:46:52 น.  

 
อ่านแล้วสนุกม๊ากกกกกกกกกกกก
ตอนแรกนึกว่าพี่ตัวเองแอบมาเขียนบล็อกเสียอีก ทำไมประสบการณ์เหมือนกันขนาดนี้ 5555555

คนไทยน่ะเคร่งเรื่องแกรมม่าไปค่ะ เจอคนพอพูดได้แต่ผิดแกรมม่าก็โดนเหน็บเป็นเห็บมันตลอด เลยไม่กล้าพูดกันไปซะงั้น

รู้ศัพท์ให้พอตัวและพูดไปเหอะให้ตัวเราเข้าใจ ฝรั่งจะพยายามเข้าใจไปเอง มีคนหนึ่งเคยบอกไว้แบบนี้ค่ะ คิคิคิ


โดย: Quaver วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:19:56:06 น.  

 
มีแรงฮึดขึ้นมาอีกแล้ว...ขอบคุณค่ะพี่นก^^


โดย: patty IP: 61.90.17.232 วันที่: 10 มกราคม 2556 เวลา:20:48:38 น.  

 
patty - ฮึดแล้วลุกขึ้นมาทำนะ ไม่ใช่ฮึดแล้วลงไปนอนต่อ อิอิ


โดย: พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร (Nong Fern Daddy ) วันที่: 11 มกราคม 2556 เวลา:8:24:58 น.  

 
ชอบบล๊อกพี่มากคะ อ่านแล้วรู้สึกมีแรงฮึด อิอิ
ขอรบกวนถามพี่เกี่ยวกับตำแหน่ง rig clerk หน่อยนะคะ คือสนใจอ่ะคะ อยากทำงานoffshore ....หนูจบสาธารณสุขศาสตร์ มหิดล สาขาสาธารณสุขศาตร์นะคะ ตอนนี้ทำงานด้านสาธารณสุขในศูนย์บริการสาธารณสุข หนูเคยสอบโทอิกได้คะแนนห้าร้อยกว่าๆเกือบหกร้อยคะ พอจะสามารถทำงานตำแหน่งนี้ได้ไหมคะ งานพวกclerk adminในริก จำเป็นต้องมีวุฒิเฉพาะด้านนี้เท่านั้นหรือเปล่าคะ คือเคยเหนบสงบริษัทประกาศรับสมัครแต่ไม่เหนระบุวุฒิการศึกษา เน้นแค่คะแนนโทอิก อีกอย่างคือลักษณะงานที่ต้องทำมันยากมากมั้ย ต้องทำอะไรบ้างอ่ะคะ ขอบคุณคะ


โดย: เด็กสาสุข IP: 27.55.13.158 วันที่: 12 มกราคม 2556 เวลา:1:14:48 น.  

 
เด็กสาสุข - จบสาสุขนะ อย่าไปเป็น clerk เลยครับ มาสายความปลอดภัย อาชีวะอนามัย ดีกว่าครับ ที่เราเรียกรวมๆว่า SHE safety health environment เป็น field safety ดีกว่า งานไม่ยากหรอก โทอิค 600 ต่ำไป ขอ 700 ได้ป่ะ อิอิ หรือเป็น safety officer อยู่ฝั่งก็ได้ครับ แล้วค่อยๆขยับถ้ามีโอกาส ไปทะเลเลยอาจจะยาก อาจจะต้องค่อยๆไปจากฝั่งน่ะครับ

สมัครไปที่บ.แท่น บ.น้ำมัน หรือ บ.นายหน้านะ รายชื่อบ.อยู่ในบล๊อกห้องสมุดแล้วครับ


โดย: Nong fern daddy (Nong Fern Daddy ) วันที่: 12 มกราคม 2556 เวลา:8:29:57 น.  

 
คือ ไม่ได้จบด้านอาชีวอนามัย หนูสาธารณุขทั่วไปอะคะ ถ้าจะไปสายsafety ต้องเรียนด้านอาชีวอนามัยมานะคะ


โดย: เด็กสาสุข IP: 27.55.15.97 วันที่: 12 มกราคม 2556 เวลา:9:23:36 น.  

 
แล้วอีกอย่างคือมีเพื่อนเคยบอกว่า(จริงหรือเปล่าไม่รู้ อิอิ)clerkในrig จะทำงานเกี่ยวกับช่วยงานsafetyที่อยุ่ในริกและงานก็ไม่ยากและให้เงินเดือนสูง ถ้าไปอัพโทอิกเพิ่มอีกหน่อยก็ทำได้แน่นอน ในระหว่างทำงานก็ตั้งใจจะเรียนอาชีวอานมัยของมสท.ไปด้วย แล้วค่อยเปลี่ยนไปในสายงานอย่างที่พี่บอก อย่างน้อยก็มีประสบการณ์offshoreไปพลางๆก่อนอะคะ


โดย: เด็กสาสุข IP: 27.55.15.97 วันที่: 12 มกราคม 2556 เวลา:9:42:31 น.  

 
เด็กสาสุข - โอเคใช่ตามที่เพื่อนบอกแหละ ก็ไปช่วย safety อีกทีหนึ่ง และเห็นด้วยกับแผนมสธ. มีเป้า มีทาง ที่เหลือก็ลูกตื้อลูกฮึดอย่างเดียวเลย ลุยโลดหนู


โดย: Nong fern daddy (Nong Fern Daddy ) วันที่: 12 มกราคม 2556 เวลา:10:42:40 น.  

 
ขอบคุณคะ ^^


โดย: เด็กสาสุข IP: 27.55.15.97 วันที่: 12 มกราคม 2556 เวลา:11:46:45 น.  

 
ได้กำลังใจดีดีอีกแล้ว......ขอบคุณมากคับอานก


โดย: ATC HY IP: 223.205.57.214 วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:18:07:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Nong Fern Daddy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 782 คน [?]




... Blog นี้ ...
แด่ ... แม่น้องเฟิร์นและน้องภัทร
เธอ..ผู้เปลี่ยนห้องที่มืดมิดให้สว่างไสวได้ด้วยรอยยิ้ม
เธอ..ผู้อยู่เบื้องหลังความเข้มแข็งและความสำเร็จทั้งมวล
... และ ...
เธอ ... ผู้เป็น "บ้าน" เพียงแห่งเดียวของผม

---------------------------------------------

หรือเพียง "ฝัน" ที่หาญท้าชะตาฟ้า ?

หรือจะเพียง "ศรัทธา" (ที่)ไร้ความหมาย ?

แม้จะเป็นแค่เพียง "ฝัน" จนวันตาย

แต่ผู้ชายคนนี้จะอยู่ข้างเธอ ... ตลอดไป ...

แด่ ... ลูกที่กล้าฝันของพ่อ

Friends' blogs
[Add Nong Fern Daddy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.