บทที่ 8 มารพยักฆ์ขาวเบียคโกะ
บทที่ 8

มารพยัคฆ์ขาวเบียคโกะ

“ข้าไม่คิดว่าการนำทหารที่เพิ่งกลับมาจากสนามรบออกเดินทางไปกับนักนาฏกรรมอีกครั้งเป็นเรื่องที่ถูกต้องนัก”
กันโซกล่าวเสียงเรียบในขณะที่สายตาฉายแววตำหนิจ้องไปยังโอริเอะซึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า นายกองหนุ่มกับค้อมกายให้กับเขาพร้อมกับอธิบาย
“ทหารที่ข้านำไปด้วยล้วนแล้วแต่ยังกระฉับกระเฉงแข็งแรง อีกทั้งพวกเขายังเคยเดินทางร่วมกับบ้านฟูจิวาระมาแล้วครั้งหนึ่ง”
“นั่นมันก่อนที่จะเกิดสงคราม” ขุนพลแห่งโคะโตโระพูดพลางหรี่ตาลง “หนำซ้ำเจ้าก็เห็นแล้วว่าการศึกในครั้งนี้พวกเราสามารถกำจัดปีศาจร้ายไปได้เป็นจำนวนมาก ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะหลงเหลือรอดไปสร้างภัยให้กับผู้ใดได้อีก”
“แต่....”โอริเอะเงยหน้าและทำท่าจะเอ่ยคำค้านแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาดุจากกันโซ
“ข้าขอสั่งห้ามมิให้เจ้าหรือทหารคนใดเดินทางไปกับขบวนของบ้านฟูจิวาระ ส่งพวกเขาแค่พ้นเขตเมืองและรีบกลับมาคุ้มครองปราสาทแห่งนี้ทันที”
ดวงตาของขุนพลแห่งยาสึฮิระจ้องหน้านายกองหนุ่มเขม็ง มันเต็มไปด้วยความเย็นเยียบจนเขารู้สึกไหวเยือกไปทั้งร่าง โอริเอะขบกรามแน่นขณะพยายามระงับอาการสั่นสะท้านที่บังเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ขอรับ”
เขาค้อมตัวลงและเอ่ยรับคำบัญชาของกันโซด้วยความอึดอัดใจ ขุนพลแห่งโคะโตโระส่งเสียงคำรามในลำคอก่อนจะหมุนกายเดินจากไปอย่างไม่สนใจ โอริเอะยืนนิ่งเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินออกมาและมุ่งหน้าตรงไปหาขบวนของบ้านฟูจิวาระที่รออยู่ ฮารุคาเสะซึ่งกำลังยืนอยู่กับคนของตนหันหน้ามามองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นนายกองหนุ่มเดินมาหาตนเพียงลำพัง
“ต้องขออภัยที่ทำให้พวกท่านต้องเสียเวลารอนาน” โอริเอะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ฮารุคาเสะก้มศีรษะให้กับเขา
“ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้านัก ฝ่ายข้าต่างหากที่ต้องกล่าวคำขออภัย เพราะทั้งที่ท่านเพิ่งเหน็ดเหนื่อยมาจากสงครามแต่กลับต้องมาวุ่นวายไปกับพวกเรา”
“มันเป็นความรับผิดชอบของข้าต่างหาก” นายกองหนุ่มกล่าวและยืนนิ่ง ฮารุคาเสะมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจของเขา
“ดูเหมือนท่านมีอะไรในใจ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก “คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”
“ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” โอริเอะตอบพลางถอนใจ “ต้องขออภัยที่ข้าไม่สามารถเดินทางไปส่งพวกท่านให้ถึงบ้านได้”
“เส้นทางจากปราสาทไปจนถึงบ้านฟูจิวาระมิได้ลำบากหรือห่างไกลจนเกินไปนัก พวกข้าไปกันเองได้” ฮารุคาเสะกล่าวพร้อมกับยิ้ม “โปรดอย่ากังวล”
“แต่ข้ารู้สึกเหมือนคนไร้ความรับผิดชอบ” นายกองหนุ่มพูดด้วยสีหน้าแสดงความไม่สบายใจ “ยามต้องการเรียกใช้ก็ให้คนเดินทางออกไปรับ แต่เมื่อหมดประโยชน์แล้วกลับรีบเร่งขับไล่”
“มันเป็นคำสั่งที่ท่านจำต้องปฏิบัติตามต่างหาก” ฮารุคาเสะกล่าวพลางเลื่อนสายตามองไปยังจวนที่พักของกันโซ ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายประหลาดออกมาวูบหนึ่งและจางหายไป เขาเลื่อนสายตากลับลงมายังโอริเอะอีกครั้ง “ที่สำคัญหน้าที่ของนักรบคือการปกป้องผู้เป็นนาย ท่านคอยคุ้มครองท่านยาสึฮิระอยู่ที่นี่จะดีกว่า”
“แต่....” โอริเอะชะงักคำของตนและถอนใจออกมา “ขอบคุณที่เข้าใจ ข้าจะไปส่งท่านจนถึงนอกเขตเมือง” เขากล่าวพลางหันไปร้องสั่งให้ทหารที่ยืนรออยู่เปิดประตู จากนั้นจึงเดินนำขบวนของบ้านฟูจิวาระออกไปโดยไม่กล่าวอะไร กระทั่งทั้งหมดเดินทางไปจนพ้นเขตเมือง นายกองหนุ่มจึงหันไปมองฮารุคาเสะพร้อมกับก้มศีรษะให้กับเขาอีกครั้ง
“ข้าส่งท่านได้เท่านี้ ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย”
“ขอบคุณท่านมาก” ชายหนุ่มก้มศีรษะตอบและมองโอริเอะด้วยสายตาครุ่นคิดจนอีกฝ่ายรู้สึกแปลกใจ
“มีอะไรหรือ”
“ตอนที่อยู่ในปราสาท ข้าถูกปีศาจบุกเข้าไปทำร้าย” ฮารุคาเสะตัดสินใจพูดออกมาและรีบกล่าวต่อเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของอีกฝ่าย “แน่นอนว่ามันไม่สามารถทำอะไรข้าได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล”
“หมายความว่าอย่างไร”
“หมายความว่าเวลานี้ปราสาทของท่านยาสึฮิระไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจัง โอริเอะเบิกตากว้างด้วยความตระหนก
“อะไรกัน” เขาร้องอุทานออกมา “มันไม่น่าจะเป็นไปได้”
“แต่มันก็เป็นไปแล้ว” ฮารุคาเสะพูดเสียงเรียบ “ข้ารู้สึกถึงพลังที่รุนแรงในคืนวันแรกที่เข้าไปในปราสาท มันเป็นพลังปีศาจอันร้ายกาจอย่างชนิดที่ข้าเองก็ไม่เคยพบมาก่อน”
“แล้วข้าควรทำเช่นไร” โอริเอะกล่าวด้วยความกังวลมากกว่าหวาดกลัว “ข้าเป็นทหารคงไม่มีพลังอำนาจที่จะไปรับมือกับพวกมัน”
“ท่านเคยทำมาแล้วมิใช่หรือ” ฮารุคาเสะพูดพร้อมกับยิ้ม “ในตอนทำศึกกับอุเอโนะ”
“ท่านทราบ” นายกองหนุ่มกล่าวด้วยความแปลกใจ อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะพูด
“ขอให้มีเพียงหัวใจที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญและซื่อสัตย์ พลังของปีศาจก็ไม่อาจแทรกเข้าไปทำร้ายท่านได้” ฮารุคาเสะนิ่งไปเล็กน้อยและกล่าวต่อ “ปกป้องท่านยาสึฮิระและคุ้มครองท่านหญิงมิสึกิแทนข้าด้วย”
“ขอให้ท่านวางใจ” โอริเอะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นคง “ข้าจะปกป้องทั้งสองด้วยชีวิต”
“ขอบคุณ” ฮารุคาเสะกล่าว “ขอให้ท่านโชคดี”
ชายหนุ่มก้าวออกไปจากที่นั่นทันทีที่พูดจบ โอริเอะยืนมองจนขบวนของบ้านฟุจิวาระเคลื่อนห่างออกไปจนลับสายตาจึงหันหน้ากลับไปทางปราสาทยาสึฮิระอีกครั้ง เขาขบกรามตนเองแน่น
“ข้าจะไม่ยอมให้อสูรหรือปีศาจตนใดทำร้ายท่านยาสึฮิระและท่านหญิงมิสึกิได้อย่างเด็ดขาด แม้จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม”
นายกองหนุ่มคำรามก่อนจะเดินทางกลับคืนสู่ปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง
โคะโตโระอย่างรวดเร็ว

*/*/*/*/*/*

ฮารุคาเสะเดินนำคนของเขาไปอย่างเงียบเชียบ แม้จะไม่เอ่ยปากเจรจาต่อกันแต่ทุกคนก็รู้แก่ใจดีว่านายของตนมีความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ช่วงจังหวะก้าวเดินของชายหนุ่มที่เริ่มเร็วขึ้นทำให้พวกเขารู้ตัวว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปรกติไป เหล่านักดนตรีชายต่างหันไปสบตากันขณะพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หัวใจของทุกคนต่างมุ่งหวังที่จะให้กลับถึงบ้านฟูจิวาระก่อนค่ำ สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาสร้างความหนาวเหน็บจนหลายคนต้องกระชับเสื้อให้แนบกับตัว เหล่าหญิงรับใช้พากันเดินเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันในขณะที่ฝ่ายชายเริ่มขยับตีวงล้อมพวกนางเอาไว้ สายตามองต้นไม้ที่กำลังโยกเอนไปมาตามกระแสลมด้วยความหวาดกลัว
“แค่สายลมแรกของฤดูหนาวเท่านั้น อย่าได้ตระหนกกันไปนัก”
ฮารุคาเสะเอ่ยขึ้นราวกับอ่านความหวาดกลัวจากคนของเขาได้ ดวงตาคมมองต้นไม้ที่อยู่เรียงรายรอบตัว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่าบัดนี้ต้นไม้เหล่านั้นแทบจะเหลือแต่กิ่งก้าน เขาตวัดมองใบแห้งที่ร่วงหล่นเกลื่อนรอบลำต้นก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเสียงกระซิบแผ่วดังแว่วออกมา
“เสียงอะไรกัน” คนรับใช้ผู้หนึ่งเอ่ยถาม เพื่อนที่เดินมาด้วยกันหันไปมองหน้าพร้อมกับเตือน
“จะเสียงอะไรก็ช่าง อย่าได้เอ่ยถึงมัน”
“แต่ข้ากลัวว่ามันจะเป็นเสียงของพวกปีศาจ” ชายคนเดิมแย้ง นักดนตรีที่เดินอยู่ทางด้านหน้าหันมามองเขาทันที
“คุณชายสั่งไว้แล้วมิใช่หรือว่าห้ามพวกเจ้าส่งเสียง” ดวงตาจ้องคนรับใช้นิ่งก่อนจะเบือนกลับไปข้างหน้าและมองฮารุคาเสะที่ดูเหมือนกำลังชะลอฝีเท้าลง
“มีอะไร” เสียงคนเล่นบิวะที่มาด้วยกันกระซิบถามด้วยความสงสัย นักดนตรีคนแรกสั่นหน้า
“ข้าเองก็ไม่รู้” เขามองนายของตนที่หยุดยืนนิ่ง “แต่คงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน”
“มีอะไรหรือขอรับคุณชาย” คนรับใช้ผู้หนึ่งเดินเข้าไปถามขณะสอดสายตามองไปรอบตัว แต่ยังไม่ทันที่นายของตนจะทันได้เอ่ยสิ่งใด เขาก็ส่งเสียงร้องอุทานออกมา
“มีคนนอนอยู่ตรงนั้น!”
เท้าก้าวเข้าไปหาร่างที่นอนฟุบอยู่กลางทางเดินตรงหน้าทันทีท่ามกลางความสงสัยของผู้ที่เดินตามมาด้านหลัง
“เป็นผู้หญิงเสียด้วย” ชายรับใช้ผู้นั้นตะโกนบอกพลางย่อตัวนั่งลงข้างผู้ที่กำลังนอนสิ้นสติอยู่ เขายื่นมือไปแตะไหล่ของนางอย่างระวัง
“ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บแต่ยังมีลมหายใจ” เขาหันหน้ากลับมาทางฮารุคาเสะ “ทำยังไงดีขอรับ”
“ออกมาให้ห่างจากนาง” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ “เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเข้มขึ้นขณะที่ดวงตาจ้องร่างที่นอนอยู่เขม็ง คนรับใช้มองเขาด้วยความสงสัย
“ทำไม”
“ทำตามที่ข้าบอก เร็ว!” เสียงตอบห้วนสั้นขณะที่ตั้งท่าระวัง เขาคำรามลั่นเมื่อเห็นเงาอะไรบางอย่างยืดยาวออกมาจากร่างของหญิงสาวนางนั้นและตวัดรัดคอคนรับใช้ผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
“ฟุคิบิ!”
ฮารุคาเสะร้องเรียกชื่อคนรับใช้ด้วยน้ำเสียงตระหนกและขบกรามแน่นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น มือข้างหนึ่งยื่นไปคว้าลำคอของฟุคิบิ เขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“จิตสัมผัสเป็นเลิศ” น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทรงพลังดังขึ้นร่างของสตรีนางนั้นขยับลุกยืนอย่างเชื่องช้า ดวงหน้างามหันมาจ้องชายหนุ่มพร้อมกับยิ้ม “เสียแต่เชื่องช้าไปสักนิด”
กรงเล็บจิกลึกลงไปในลำคอของคนรับใช้ผู้เคราะห์ร้าย เขาอ้าปากกว้างหมายจะกรีดร้องแต่กลับทำได้แค่เพียงแค่ส่งเสียงอึกอักออกมา น้ำตาของฟุคิบิไหลพรากขณะจ้องฮารุคาเสะ
“ช่วย.....”
“ใครจะกล้าเข้ามาช่วยเจ้า” นางปีศาจกล่าวพร้อมกับแสยะยิ้ม “ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าพวกนั้นกลัวข้าจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
กระแสลมอันรุนแรงพัดวูบผ่านร่างของทั้งสอง นางมารร้ายหันไปมองฮารุคาเสะทันที ดวงตาสีอำพันหรี่ลงด้วยความรู้สึกแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง ปีศาจสาวแสยะยิ้มอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนมีฝีมือ แต่เท่าที่ดูไม่น่าจะเป็นความจริง”
“เจ้ายังไม่เห็นมากกว่า” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ นางมารร้ายหัวเราะในลำคอ
“ถ้าอย่างนั้นก็จงรีบแสดงมันออกมา ถ้ายังอยากเห็นหัวของเจ้านี่ติดอยู่กับตัว” กล่าวพลางขยับมือหมายจะฉีกลำคอของฟุคิบิให้ขาดกระจุย นางปีศาจนิ่งหน้าเมื่อเห็นโลหิตสีแดงเข้มไหลออกมาเป็นทาง นางมองลำคอของเหยื่อด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“อะไรกัน ข้ายังไม่ได้....”
น้ำเสียงขาดหายไปเมื่อโลหิตพุ่งทะลักออกมาจากข้อมือของตน นางมารร้ายเบิกตากว้างด้วยความตระหนกขณะคลายกรงเล็บของตนออกและร้องอุทานเมื่อพบว่ามือข้างนั้นขาดออกจากร่าง มันร่วงตกลงไปบนพื้นและสั่นกระตุกสองสามครั้ง นางปีศาจคำรามลั่นด้วยความโกรธ
“เจ้า!บังอาจตัดมือของข้า” ดวงตาจ้องหน้าฮารุคาเสะเขม็ง ชายหนุ่มมิได้กล่าวคำใดโต้ตอบแต่กลับขยับแขนของตน พัดที่ซ่อนไว้ในเสื้อก็เลื่อนลงมาอยู่ในมือทั้งสองข้าง นางมารร้ายมองกิริยาของเขาและถามเสียงห้วน
“คิดจะทำอะไร”
“ตัดเจ้าให้เป็นชิ้น”
น้ำเสียงเย็นจนน่าขนลุก สายลมอันรุนแรงพัดหมุนวนรอบตัวของฮารุคาเสะทันทีที่เขาคลี่พัด ใบไม้แห้งที่ตกทับถมอยู่บนพื้นถูกเป่าให้ฟุ้งกระจายขึ้นมาและพุ่งเข้าไปหานางปีศาจร้ายอย่างรวดเร็ว ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกใจ เส้นสายสีดำที่รัดคอฟุคิบิคลายออก มือข้างที่เหลือถูกยกขึ้นเหนือศีรษะดุจพยายามปกป้องใบหน้าของตน
“มานี่เร็ว!”
ฮารุคาเสะตะโกนบอกคนรับใช้ของตน ฟุคิบิรีบวิ่งกลับไปหาพวกของเขาทันที ชายหนุ่มชำเลืองมองจนแน่ใจว่าทุกคนปลอดภัยจึงตวัดกลับไปยังนางมารร้ายอีกครั้งและจ้องใบโมมิจิที่กำลังหมุนวนรอบร่างของนางอย่างรวดเร็ว เขาขบกรามของตนและกล่าวออกมา
“ไปยืนรวมกันที่เกวียนและห้ามขยับอย่างเด็ดขาด”
“ทำไม” ฟุคิบิถามด้วยความสงสัย “ท่านกำจัดเจ้าปีศาจร้ายไปแล้วมิใช่หรือ”
“หยุดพูดและไปยืนรวมกัน” น้ำเสียงสั่งห้วนกว่าทุกครั้ง ดวงตาของฮารุคาเสะจ้องกลุ่มใบไม้ตรงหน้าเขม็งและหรี่ลงเมื่อเห็นมันแตกกระจายออกไป เขามองร่างอันงดงามของนางปีศาจที่กำลังยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าพร้อมกับขยับมือ
“เป็นแค่มนุษย์ชั้นต่ำแต่บังอาจทำให้เสื้อผ้าของข้าต้องสกปรก”
เสียงหวานละมุนระคนต่ำทุ้มจนน่าสะพรึง นางมองชายหนุ่มด้วยสายตาน่ากลัวก่อนจะเลื่อนลงไปมองมือข้างที่ถูกตัดขาดบนพื้น มันถูกเส้นสายของอะไรบางอย่างที่ปกคลุมไปด้วยขนสีขาวสลับลายดำม้วนพันเอาไว้และยกขึ้นส่งไปยังมือข้างที่เหลือ นางมารร้ายจุมพิตมันอย่างแผ่วเบาก่อนจะเลื่อนไปยังปลายแขนข้างที่ขาดด้วนและกดมือข้างนั้นลงไป บาดแผลเริ่มสมานเข้าหากันและเชื่อมมือข้างนั้นอย่างรวดเร็ว นางปีศาจขยับแขนไปมาพร้อมกับยิ้ม
“ดีจริงที่ไม่มีริ้วร้อย” ดวงตาวาวตวัดกลับไปมองฮารุคาเสะอีกครั้ง เขาขยับตัวอย่างระวังเมื่อเห็นประกายมุ่งร้ายเต้นระริกอยู่ภายใน นางมารร้ายเอียงหน้าพร้อมกับกล่าว
“ข้าจะไปหาล่ะนะ”
ร่างในชุดขนสัตว์สีขาวหายวับไปในทันที ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างด้วยความตระหนกและกวาดมองไปรอบตัว หัวใจของเขากระตุกวาบเมื่อได้ยินเสียงหวานกระซิบข้างใบหู
“มองอะไร”
เส้นสายที่มีขนฟูนุ่มลากผ่านลำคอของเขา ฮารุคาเสะคว้ามันเอาไว้และกระชากมันออกอย่างแรง นางปีศาจส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน
“นั่นเป็นหางของข้า ช่วยเบามือด้วย”
หางเรียวยาวฟูนุ่มอีกเส้นตวัดพันรอบลำตัวของชายหนุ่มและเริ่มรัดแน่นจนเขาอึดอัด
ฮารุคาเสะหมุนพัดในมือหมายจะตัดมันออกแต่ต้องชะงักเมื่อแขนข้างนั้นถูกหางอีกเส้นพันเอาไว้ เขามองหางทั้งสามด้วยความรู้สึกแปลกใจก่อนจะอุทานเมื่อข้อเท้าทั้งสองข้างถูกหางแบบเดียวกันเลื่อนมารัดเอาไว้และกระชากจนเขาล้มลง
“คุณชาย” คนรับใช้ของเขาต่างร้องเรียกด้วยความเป็นห่วงและทำท่าจะเข้ามาช่วยแต่ต้องหยุดเมื่อชายหนุ่มตะโกนห้าม
“อย่าเข้ามา” เขาขบกรามแน่นขณะพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ นางมารร้ายเดินไปยืนค้ำร่างของฮารุคาเสะและเหยียดยิ้ม
“หมดปัญญาเสียแล้วหรือ” นางเอ่ยเยาะและใช้หางยกร่างของชายหนุ่มขึ้น ขึงเขาเอาไว้ให้ลอยอยู่กลางอากาศพลางส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงดิ้นรนไปมา
“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่” ฮารุคาเสะร้องถามด้วยความโกรธ นางปีศาจยกมือขึ้นป้องปากแล้วยิ้ม
“เป็นถึงคุณชายของบ้านฟูจิวาระแต่วาจาไม่สุภาพเลยสักนิด” นางเลื่อนกรงเล็บไล้ไปบนแผ่นอกของชายหนุ่ม “ข้าชื่อเบียคโกะ”
“เบียคโกะ” ฮารุคาเสะทวนและนิ่วหน้า “หรือเจ้าคือเทพพยัคฆ์ขาวของแผ่นดินใหญ่”
“ถูกต้อง”
“เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสี่ของเทพผู้รักษาทิศ ทำไมถึงได้...”
“เป็นเทพมันน่าเบื่อ” เบียคโกะกล่าว “สู้เป็นปีศาจแบบนี้ไม่ได้” นางยื่นหน้าเข้าไปหาชายหนุ่ม
“อยากจะทำอะไรก็ทำ” กรงเล็บตวัดผ่านแผ่นอกของฮารุคาเสะ ฉีกเสื้อของเขาจนขาดเป็นริ้ว นางยกมือขึ้นแลบลิ้นเลียเลือดที่ติดปลายเล็บของตน “กระหายเลือดก็ได้เสพ”
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง” ชายหนุ่มพูดเสียงห้วน “เป็นเทพให้ผู้คนเซ่นไหว้ไม่ชอบกลับลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับพวกมาร”
“สามหาว!” กรงเล็บตวัดผ่านใบหน้าของฮารุคาเสะสร้างบาดแผลสี่รอยขึ้น เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาทันที เบียคโกะยื่นหน้าเข้าไปหาเขาพร้อมกับแลบลิ้นเลียรอยแผลนั้นและกล่าว
“พวกมันต่างหากที่ต้องทำตามคำของข้า” ดวงตาหรี่ลงขณะที่จ้องหน้าชายหนุ่ม “อีกไม่นานแผ่นดินทั้งหมดนี้ก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกปีศาจ โดยมีข้าเบียคโกะยืนอยู่เหนือผู้ใด”
“ข้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่” ฮารุคาเสะตวาดเสียงดัง เทพเสือขาวหัวเราะ
“เจ้าจะทำอะไรได้” ดวงตามองเขาอย่างดูแคลน “ในเมื่อเวลานี้ยังไม่มีปัญญาดิ้นให้หลุดจากหางของข้า”
“แน่ใจหรือ” น้ำเสียงเรียบอย่างน่ากลัว เบียคโกะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นและเงียบลงอย่างฉับบพลัน ดวงตาสีอำพันมองฮารุคาเสะอย่างตื่นตกใจ
“เจ้า” นางอุทานเสียงดังเมื่อเห็นหางทั้งห้าถูกตัดจนขาด ปล่อยร่างของชายหนุ่มให้หล่นลงมายืนอยู่บนพื้น เบียคโกะกระอักโลหิตออกมาจากปากขณะเลื่อนมือไปดึงพัดที่ปักอยู่กลางอกของตน “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ครั้งแรกที่ถูกหางของเจ้ามัดข้อมือ” ฮารุคาเสะตอบพลางยื่นมือออกไปรับพัดอีกอันที่หมุนร่อนกลับมาหา เขายกมันขึ้นชี้ไปยังเบียคโกะ นางเหยียดยิ้ม
“สมกับคำร่ำลือ” เทพเสือขาวกล่าวและขยับถอยไปด้านหลัง “ข้าประมาทเกินไป”
“ถึงเป็นสตรี ข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้า” กระแสลมหมุนวนรอบร่างของเขา มันเพิ่มความรุนแรงจนถึงขนาดฉีกทึ้งรากของต้นไม้ให้ขาดออกจากดิน “ยิ่งเมื่อเป็นเทพด้วยแล้วยิ่งอภัยให้ไม่ได้”
“คิดว่าแค่นี้ก็ชนะข้าได้แล้วหรือ” เบียคโกะกล่าวเสียงเย็น ฮารุคาเสะมองนางด้วยสายตาดุดัน
“พัดที่ปักบนร่างเจ้าคือคำตอบ” เขาสะบัดมือของตน ใบไม้จำนวนมากพุ่งเข้าไปหา
เบียคโกะอย่างรวดเร็ว นางยกมือขึ้นปัดใบไม้ทั้งกลุ่มนั้นออกไปก่อนจะหงายกรงเล็บขึ้นและเหวี่ยงพลังของตนตอบโต้ ชายหนุ่มโบกพัดของตนเรียกกระแสลมกระแทกมันจนแตกกระจาย
“พลังที่แท้จริงของเจ้าไม่ได้อยู่ที่พัดทั้งคู่นั่น” เทพเสือขาวกล่าวพลางชี้นิ้วไปยังหางที่ขาดตกบนพื้น มันเลื่อนลอยกลับไปประสานกับร่างของนางและกระดิกไปมา ฮารุคาเสะมองด้วยสายตาตระหนกเมื่อพบว่าเบียคโกะนั้นมีถึงเก้าหาง
“ตกใจอะไร” นางเสือร้ายเอ่ยถามและกล่าวต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายได้แต่ยืนขบกราม “ได้ยินว่าตระกูลของเจ้าเคยรับใช้เทพวายุ คงเข้าใจความหมายหางทั้งเก้าของข้าดี”
“เทพมาร” ชายหนุ่มคำรามลอดไรฟันออกมา “เจ้าคือหายนะของแผ่นดิน”
“ดีใจจริงที่รู้” เบียคโกะป้องปากหัวเราะ “ได้เจอเจ้าข้ารู้สึกสนุกมาก จะตอบแทนด้วยการละชีวิตให้”
“แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น” ฮารุคาเสะยกพัดของตนขึ้น เทพเสือขาวมองเขาอย่างรำคาญ
“วันนี้ข้าเบื่อที่จะเล่นแล้ว” นางขยับขาเพียงเล็กน้อย ร่างงามหายวับและไปปรากฏขึ้นข้างกายของชายหนุ่ม เบียคโกะวางมือลงบนรอยขาดของเสื้อ ฝังกรงเล็บของนางลงไปบนอกของเขาและกล่าวเสียงละมุน
“ข้าจะจารึกรอยเล็บไว้บนร่างของเจ้า” นางกดน้ำหนักมือลงไปและลากปลายเล็กกรีดเนื้อของชายหนุ่มจนเป็นรอยยาว ยังไม่ทันที่ฮารุคาเสะจะได้ทำอะไร ร่างของเบียคโกะก็พลันหายไปอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงหัวเราะที่ดังก้องกังวานไปทั่วป่า
“ทุกคราวที่สัมผัสรอยแผลบนอก หัวใจของเจ้าก็จะรำลึกถึงข้า ฟูจิวาระ ฮารุคาเสะ”
ชายหนุ่มร้องลั่นด้วยความโกรธขณะยกมือขึ้นกุมแผ่นอกของตน ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้เขาต้องนิ่วหน้าและขบกรามแน่น แต่นั่นยังไม่เท่ากับความแค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจ ฮารุคาเสะคำรามออกมา
“ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางแผนการของเจ้า เบียคโกะ!”

*/*/*/*/*











Create Date : 26 มิถุนายน 2552
Last Update : 26 มิถุนายน 2552 17:37:52 น.
Counter : 383 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี