บทที่ 11 ดวงดาวบนแดนมนุษย์
บทที่ 11

ดวงดาวบนแดนมนุษย์

เงาสีขาวไหววูบผ่านหน้าของชายหนุ่ม เขารีบหมุนตัวมองตามและนิ่วหน้าเมื่อไม่พบร่างของนางมารร้าย ฮารุคาเสะกวาดตามองไปรอบตัวด้วยท่าทางที่เตรียมพร้อม เสียงหัวเราะที่ดังสะท้อนไปทั่วป่าทำให้ชายหนุ่มกำมือแน่นและร้องตะโกน
“เจ้าอยู่ที่ไหนเบียคโกะ”
“ข้าเป็นถึงเทพรักษาทิศ เรียกให้มันสุภาพกว่านี้หน่อยจะได้ไหม” เสียงกล่าวตอบพร้อมกับร่างปราดเปรียวที่ม้วนตัวมายืนตรงหน้า ฮารุคาเสะถอยหลังออกไปพร้อมกับยกมือขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง
“ทำเป็นปากเก่งที่แท้ก็กลัวเหมือนกัน”
“ข้าไม่ได้กลัว” ชายหนุ่มพูดเสียงห้วน “แต่ไม่แน่ใจในความร้ายกาจของเจ้าต่างหาก”
“ไม่แน่ใจหรือไม่กล้าสู้” นางยิ้ม “พ่อหนุ่มนักรำพัด”
สายลมพัดกรรโชกมาจากทางด้านหลังของฮารุคาเสะพัดพาเอาใบไม้จำนวนหนึ่งปลิวตามมาด้วย มันหมุนรอบตัวของเบียคโกะเฉือนชายผ้าของนางออกจนขาดเป็นริ้ว มารเสือขาวพลิกตัวกระโดดถอยออกห่างพร้อมกับโบกมือ ละอองน้ำตกที่ฟุ้งกระจายโดยรอบรวมตัวกันและพุ่งเข้าปะทะกับใบไม้กระแทกมันตกร่วงลงไปบนพื้น นางปรบมือและหัวเราะออกมา
“มีฝีมือ” เบียคโกะกล่าวพร้อมกับกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนกิ่งไม้ “แต่ข้าก็ยังแปลกใจ” ดวงตาสีอำพันจ้องฮารุคาเสะเขม็ง นางมารร้ายทำหน้าครุ่นคิดขณะที่หางทั้งเก้าแกว่งไกวไปมา
“ทั้งที่พัดคู่นั่นไม่ใช่พลังที่แท้จริงของเจ้า แต่ทำไมการโจมตีเมื่อครู่จึงดูอ่อนกำลังนัก” นางหรี่ตาลง “ความจริงแล้วเจ้าได้รับพลังมาจากไหนกันแน่”
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องรู้” ฮารุคาเสะตอบเสียงห้วน เส้นผมยาวสยายเริ่มขยับเคลื่อนไหวเบียคโกะมองอย่างแปลกใจและยิ้มออกมาในที่สุด
“ผู้ใช้ลม” นางกระโดดลงมายืนบนพื้นและเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม “ข้าชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่าเจ้าใช้มันได้ดีแค่ไหน”
“ก็ลองดู” ชายหนุ่มพูดเสียงห้วน เบียคโกะมองใบไม้ที่กำลังลอยสูงขึ้นไปในอากาศและหมุนวนอย่างรุนแรง นางมารขาวเผยอยิ้ม
“สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ” นางยกมือขึ้นและกางกรงเล็บออก“สมกับนามฮารุคาเสะ”
เบียคโกะยืนนิ่งและรอจนกระทั่งลมที่มีใบไม้หมุนเข้าไปหา เพียงสะบัดมือแค่หนึ่งครั้งลมหมุนนั้นก็แตกสลาย ใบไม้ที่อยู่ภายในกระจายไปคนละทิศละทาง ฮารุคาเสะยืนตะลึงนิ่งด้วยความตกใจขณะที่มารเสือขาวตวัดหางของนางมัดแขนทั้งสองข้างของเขาและลากไปกระแทกกับต้นไม้และมัดตรึงเอาไว้อย่างนั้น ชายหนุ่มร้องเสียงดังด้วยความโกรธและจ้องร่างระหงที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ เบียคโกะเอียงหน้ามองเขาพร้อมกับยิ้ม
“ยังอ่อนหัดนัก” นางกรีดปลายเล็บลากไปบนใบในหน้าของเขา “หากมาเทียบกับข้าซึ่งเป็นเทพแห่งวายุ แม้แต่เก็มบุยังต้องยอมสยบให้”
“แต่ข้าไม่ใช่เก็มบุ” ฮารุคาเสะโต้เสียงกร้าว “และจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจเป็นอันขาด”
“อย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้” นางเสือขาวแสยะยิ้ม “นั่งดูข้าทำลายโลกนี้ให้สนุกจะดีกว่า”
“ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าทำแบบนั้นแน่”
“งั้นรึ” วงหางรัดแน่นขึ้นจนชายหนุ่มนิ่วหน้า “แค่ดิ้นให้หลุดจากหางยังไม่มีปัญญาแล้วยังมีหน้ามาคุยว่าจะหยุดข้าได้”
เบียคโกะยื่นหน้าเข้าไปใกล้และกระซิบ
“ข้าไม่ใช่ปีศาจที่เจ้าเคยเจอมา อย่าลืมข้อนี้ไปเสียสิ”
ฮารุคาเสะขบกรามแน่นและจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตาดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ มารเสือขาวถอยออกมาเล็กน้อย
“ข้าชอบที่ถูกเจ้ามองด้วยสายตาแบบนี้ มันทำให้รู้สึกดีกว่าดวงตาขลาดกลัวของเจ้าพวกชั้นต่ำเหล่านั้นอีก”
“เจ้าจะชอบมากขึ้นถ้าถูกข้าฉีกออกเป็นชิ้น” ชายหนุ่มโต้เสียงกร้าว เบียคโกะหัวเราะร่า
“อยากถูกเจ้าทำแบบนั้นใจแทบขาด” นางหรี่ตาลงพลางใช้กรงเล็บกรีดไปบนร่างของเขาและยิ้มเมื่อเห็นเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา
“คิดว่าพวกนาฎกรรมจะมีรูปร่างบอบบาง” น้ำหนักมือถูกกดลงไปดวงตาสีอำพันเหลือบมองใบหน้าของฮารุคาเสะ มันทอความพึงพอใจออกมาเมื่อเห็นว่าเขาพยายามกัดฟันเพื่อสะกดกลั้นความเจ็บปวด “แกร่งเกินกว่าที่คาดไว้”
“อย่าคิดว่ามนุษย์จะด้อยไปทุกคน” ชายหนุ่มพูดเสียงลอดไรฟันออกมา “ข้าไม่มีวันยอมแพ้เจ้า”
“น่าดีใจ” เบียคโกะพูดพร้อมกับคลายหางของตนและกระโดดถอยห่างจากเขา “มีคู่ต่อสู้แบบเจ้าทำให้ข้ารู้สึกสนุกมากขึ้น”
“เช่นเดียวกันกับข้าที่อยากกำจัดเจ้า” ฮารุคาเสะขยับแขนของเขาแต่ต้องชะงักและนิ่วหน้าเมื่อเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่ถูกนางมารร้ายกรีดไว้เมื่อครู่ เบียคโกะหัวเราะเสียงดัง
“แผลจากเล็บของข้าอาจจะเล็กแต่ลึกพอดู เจ้าควรห้ามเลือดก่อนที่มันจะไหลจนหมดตัว” ดวงตาหรี่ลง “ข้ายังอยากสนุกกับเจ้าต่อดังนั้นอย่างเพิ่งใจร้อนรีบหาเรื่องตาย”
“แผลแค่นี้” ชายหนุ่มคำรามพร้อมกับยกมือขึ้นกดแผ่นอกของตนเอาไว้ เลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดทำให้ฮารุคาเสะรู้ตัวว่าไม่ควรขยับมากไปกว่านั้น เขาเงยหน้าจ้องมารเสือขาวนิ่ง
“ข้ามีเรื่องอยากจะถาม” ชายหนุ่มพูดเสียงกร้าว “เกิดอะไรขึ้นกับกันโซ”
“กันโซ” เบียคโกะทวนคำขณะกระโดดขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้และกระดิกหางไปมา “ขุนพลแห่งโคะโตโระคนนั้นนั่นเอง เขาก็แค่อยากมีคู่เลยขอให้ข้าช่วย”
“หมายความว่าอะไร”
“เจ้าโง่หรือแกล้งไม่รู้กันแน่” มารเสือขาวมองฮารุคาเสะด้วยสายตาวาว “ในจวนของ
ยาสึฮิระมีสตรีนางไหนที่มีค่าคู่ควรกับยอดขุนพลอย่างเขา”
“มิสึกิ” ชายหนุ่มพึมพำ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง “เจ้าจะทำอะไรนาง”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น เบียคโกะลุกยืนและมองเขาด้วยสายตาพึงใจ นางยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ทำไมไม่ตามไปดูเอง”
เสียงผืนผ้าสะบัดขึ้นหนึ่งครั้งพร้อมกับร่างระหงที่หายวับไปกับตา ฮารุคาเสะมองยอดไม้ที่กำลังไหวโอนเอนและร้องตะโกนเสียงดัง
“เจ้าจะทำอะไรกับมิสึกิ” เขากำมือแน่น
“เบียคโกะ!”
ชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วเพื่อค้นหานางเสือขาวแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา ฮารุคาสะรีบหมุนตัวเดินตรงไปยังกองเสื้อผ้าของตนและก้มลงเพื่อจะหยิบขึ้นมาสวมใส่ เสียงกิ่งไม้หักดังออกมาจากป่าทำให้เขาชะงักและตั้งท่าเตรียมพร้อม เงาสีดำไหววูบออกมาจากพุ่มไม้และพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว เขายกมือขึ้นคว้ามันเอาไว้ได้ในทันทีคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความประหลาดใจในขณะที่ร่างสีดำที่อยู่ในมือของเขาเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงร้อง
“เหมียว”
“นี่มันอะไรกัน” ฮารุคาเสะมองลูกแมวสีดำสนิทที่กำลังดิ้นไปมาอยู่ในมือ เสียงฝีเท้าย่ำบนใบไม้ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างปราดเปรียวของเด็กสาวคนหนึ่งกระโดดออกมาจากป่า นางมองแมวน้อยที่ถูกหิ้วคอเอาไว้
“ทามะ”
“โฮชิโนะ” ฮารุคาเสะเรียกชื่อของเด็กสาวด้วยความตกใจและรีบเลื่อนสายตากวาดมองไปโดยรอบอีกครั้งจนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีปีศาจตนใดอยู่ในบริเวณนั้นเขาจึงหันกลับไปมองนางอีกครั้ง “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
“วันนี้พ่อของข้านำชุดที่ท่านลุงโทอิจิโรสั่งตัดเอาไว้มาให้” โฮชิโนะตอบพลางเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม “ข้าเลยขอตามมาด้วย”
“แล้วเจ้าเข้ามาในป่านี่ทำไม รู้หรือไม่ว่ามันอันตรายมาก”
“ทีเจ้ายังมาเที่ยวที่น้ำตกนี่คนเดียวแล้วทำไมข้าถึงจะมาบ้างไม่ได้” โฮชิโนะเถียงขณะที่ปล่อยให้ทามะวิ่งวนรอบตัว เด็กสาวมองเสื้อผ้าที่กองเอาไว้บนพื้นแล้วนิ่วหน้า นางหันไปมอง
ฮารุคาเสะอีกครั้งพร้อมกับร้องลั่น
“แล้วทำไมเจ้าถึงมายืนแก้ผ้าอยู่แบบนี้” เด็กสาวก้มลงหยิบเสื้อและทำท่าจะโยนใส่เขาแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเลือดที่เลอะเต็มอก “เจ้าบาดเจ็บหรือฮารุจัง”
“แค่โดนหินบาดตอนขึ้นมาจากน้ำเท่านั้น” เขายื่นมือออกไปดึงเสื้อมาจากมือของเด็กสาวและจัดการสวมอย่างรวดเร็ว “และเลิกเรียกข้าแบบนั้นสักทีจะได้ไหม”
“ข้าก็เรียกของข้าแบบนี้มาตั้งนานไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” โฮชิโนะพูดพลางกระโดดข้ามก้อนหินไปมาด้วยความสนุก ฮารุคาเสะมองเด็กสาวนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถอนใจและหมุนตัวเดินออกไปจากที่นั่นโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ โฮชิโนะเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามเขาไปในทันที
“จะกลับแล้วหรือ”
“ใช่”
“แต่ข้ายังไม่ได้เล่นน้ำเลย” เด็กสาวดึงแขนเสื้อของเขา “อยู่ต่ออีกนิดนะ”
“ไม่”
“ฮารุจัง” เสียงออดอ้อนขณะที่โฮชิโนะกระตุกชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายแรงขึ้น ฮารุคาเสะหยุดเดินและหันหน้ากลับไปมองนาง
“เจ้ารู้ไหมว่าน้ำตกนี้มีชื่อว่าอะไร”
“คิโยเมรุ” เด็กสาวตอบ ชายหนุ่มนิ่วหน้า
“แล้วรู้หรือไม่ว่ามันมีความหมายว่าอะไร”
“ก็.......แค่ชื่อน้ำตก มันสำคัญด้วยหรือ” โฮชิโนะมองหน้าเขา ดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กสาวทำให้ฮารุคาเสะส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“ที่นี่ถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นป่าต้องห้ามที่มีแต่ตระกูลฟูจิวาระเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้”
“ก็ป่าเหมือนกัน และข้าเองก็เข้ามาวิ่งเล่นตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นจะมีอะไร”
“นั่นเพราะที่นี่มีพลังป้องกันอันแข็งแกร่งซึ่งทำให้พวกปีศาจชั้นต่ำไม่สามารถล่วงล้ำเข้ามาในป่าแห่งนี้ได้ เจ้าถึงปลอดภัยอยู่เสมอ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้ำตก” โฮชิโนะย้อนถาม ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวไปอีกด้านและเริ่มต้นออกเดินอีกครั้ง
“คิโยเมรุเป็นน้ำตกที่มีอำนาจพิเศษ กระแสน้ำที่เจ้าเห็นเกิดมาจากหิมะบนยอดเขาสูงที่ละลายและไหลลงไปในช่องเขาลึกกลายเป็นธารน้ำใต้ดิน มันจึงมีความเย็นจัดชนิดที่สามารถทำให้หัวใจคนหยุดเต้นได้ หากไม่เข้มแข็งพอ”
“ข้ามาเที่ยวในป่ากับเจ้าตั้งหลายครั้ง เพิ่งรู้ที่มาของคิโยมารุในวันนี้นี่เอง” โฮชิโนะพูดพลางวิ่งพลางด้วยท่าทางร่าเริง “แล้วทำไมเจ้าถึงชอบมาที่นี่”
“เพื่อชำระล้างจิตใจ” เขาตอบเสียงเรียบ อีกฝ่ายนิ่วหน้า
“การร่ายรำต้องชำระจิตใจอะไรกันนักกันหนา แค่อาบน้ำล้างตัวให้สะอาดเท่านั้นก็น่าจะพอ ข้าไม่เข้าใจพวกนาฏกรรมเลย”
เสียงบ่นของเด็กสาวทำให้ฮารุคาเสะรู้สึกขำจนยิ้มออกมา เขาขยี้ผมของนางด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“แล้วเจ้าจะเข้าใจเองเมื่อโตขึ้น” เขาพูดเสียงเรียบและก้าวเดินต่อไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีก โฮชิโนะมองชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่ด้วยกัน สีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของเขาทำให้เด็กสาวต้องเอ่ยปากถาม
“เจ้ากำลังไม่สบายใจ”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ฮารุคาเสะหันไปมองโฮชิโนะ
“รู้ได้ยังไง”
“เจ้าไม่พูด” เด็กสาวตอบ อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ
“ข้าไม่ใช่คนช่างพูดเหมือนเจ้า”
“แต่ก็ไม่ถึงกับนิ่งแบบนี้” โฮชิโนะมองหน้าเขา “มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มี” ฮารุคาเสะตอบไม่เต็มเสียง “ข้าแค่กำลังคิดท่าร่ายรำใหม่เท่านั้นเอง”
“แน่ใจนะ” เด็กสาวคาดคั้น ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“แน่ใจ”
“งั้นก็ดี เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะมัวคิดถึงแต่พวกผู้หญิงในจวนท่านเจ้าเมืองจนลืมวิธีการร่ายรำ”
“อะไรทำให้เจ้าคิดแบบนั้น” ฮารุคาเสะพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ โฮชิโนะเบ้หน้า
“ข้าได้ยินคนในบ้านของเจ้าพูดกัน ว่าหลังกลับมาจากจวนของท่านยาสึฮิระแล้ว เจ้าดูแปลกไป” ใบหน้ากลมน่ารักหันไปมองชายหนุ่ม “หรือว่าเจ้าหลงพวกผู้หญิงในจวนนั่น”
คำถามของเด็กสาวทำให้ฮารุคาเสะยิ้มออกมา เขาเลื่อนมือไปโยกหัวของนางเบาๆ
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” เขาพูดเสียงเรียบ “และข้าก็ไม่ได้สนใจหญิงเหล่านั้น”
“งั้นรึ” เสียงถอนใจดังขึ้นขณะที่ผู้พูดทำท่าเหมือนโล่งอก “ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล”
“เจ้าจะมากังวลเรื่องของข้าทำไม” ฮารุคาเสะถามด้วยความสงสัย โฮชิโนะยิ้มกว้าง
“เพราะข้าไม่อยากมีอาจารย์ที่มัวใจลอยคิดถึงแต่ผู้หญิงจนสอนการรำผิด” นางมองสีหน้าที่กำลังตกตะลึงของอีกฝ่าย “ท่านพ่อจะให้เจ้าเป็นอาจารย์สอนนาฏกรรมให้กับข้า ดีใจไหม
ฮารุจัง”
“อ...อืม” เสียงตอบรับแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินแต่ดูเหมือนเด็กสาวจะไม่ได้สนใจ
ฮารุคาเสะมองโฮชิโนะที่กำลังกางแขนของตนและหมุนตัวไปมาในท่ารำพัดพร้อมกับร้องเพลงอย่างมีความสุขนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงเลื่อนสายตามองไปยังทิศทางที่ตั้งจวนของยาสึฮิระ หัวใจของชายหนุ่มกระหวัดไปถึงดวงหน้างาม
“ข้าปรารถนาที่จะสอนการร่ายรำให้กับเจ้าเหลือเกิน”

*/*/*/*/*/*






Create Date : 26 มิถุนายน 2552
Last Update : 26 มิถุนายน 2552 17:39:57 น.
Counter : 350 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี