บทที่ 13 ภัย
บทที่ 13

ภัย

โอริเอะนิ่วหน้าด้วยความรู้สึกโกรธขณะที่ยืนมองห้องขังนักโทษอันว่างเปล่า เขาหันไปมองยามเฝ้าซึ่งกำลังยืนก้มหน้านิ่งและเอ่ยถามเสียงห้วน
“นักโทษหายไปไหน”
ยามผู้นั้นสะดุ้งสุดตัว เขาค้อมตัวลงพร้อมกับตอบด้วยกริยาลนลาน
“พวกเขาถูกย้ายไปขังที่คุกอื่นขอรับท่านโอริเอะ”
“ย้ายไปขังที่อื่น” นายกองหนุ่มทวนคำ เขาจ้องหน้ายามผู้นั้นและถามเสียงดัง “ย้ายไปที่ไหนและเป็นคำสั่งของใคร”
“คุกใต้ดินที่จวนของท่านแม่ทัพ และเป็นคำสั่งของท่านกันโซ”
คำตอบของผู้ใต้บังคับบัญชาสร้างความฉงนต่อโอริเอะยิ่งนักเพราะนับตั้งแต่กลับจากสงครามกับอุเนโอะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่กันโซนำนักโทษของเขาไป นายกองหนุ่มขมวดคิ้วขณะยืนครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจก้าวออกจากที่นั่นและเดินตรงไปยังจวนของขุนพลกันโซซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของปราสาท ทันทีที่ไปถึงโอริเอะก็ตรงไปยังคุกใต้ดินโดยไม่สนใจคำร้องทัดทานของ
ยามรักษาการณ์ เขามองห้องขังอันว่างเปล่าซึ่งเรียงรายอยู่ทั้งสองด้านด้วยความสงสัยก่อนจะเปิดประตูและก้าวเข้าไปในห้องขังที่อยู่ด้านในสุด ความอับชื้นและกลิ่นเหม็นของเนื้อเน่าทำให้นายกองหนุ่มต้องผงะและก้าวถอยหลังพร้อมกับอุทานด้วยความตกใจ
“นี่มันกลิ่นอะไรกัน”
เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปอีกครั้งและกวาดตามองไปทั่วห้อง โอริเอะนิ่วหน้าด้วยความสยองเมื่อเห็นเครื่องมือทรมานที่วางเรียงรายอยู่เต็มห้อง นายกองหนุ่มเดินดูอย่างระมัดระวัง และขบกรามแน่นเมื่อพบว่าบางชิ้นยังคงมีเลือดของนักโทษติดอยู่ เขาหยิบลิ่มอันหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับพึมพำ
“ทำไมท่านกันโซถึงได้มีเครื่องมือแบบนี้”
“เพราะข้าต้องการรีดความลับจากนักโทษ”
เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้น โอริเอะสะดุ้งและหันหน้าไปมอง เขารีบค้อมกายลงพร้อมกับกล่าวทักอย่างยำเกรง
“ท่านกันโซ”
ขุนพลแห่งโคะโตโระมองนายกองหนุ่มเขม็ง แม้จะเต็มไปด้วยความไม่พอแต่กันโซกลับไม่กล่าวคำตำหนิใดออกมา เขาเดินเข้าไปหาโอริเอะและพูดเสียงเรียบ
“ข้าเพิ่งใช้ลิ่มนั้นตอกลิ้นของนักโทษ” กันโซยื่นมือออกไปข้างหน้า โอริเอะจึงรีบส่งโลหะแหลมชิ้นนั้นคืนให้ เขาวางมันไว้กับค้อนพร้อมกับพูด “น่าเสียดายที่มันใจเสาะเลยไม่ทันได้รู้อะไร ยังดีที่พวกของมันเกิดกลัวขึ้นมาเลยคายความลับออกมาเกือบทั้งหมด”
“แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันหรือขอรับ”
กันโซไม่ตอบแต่กลับมองหน้าโอริเอะนิ่ง นายกองหนุ่มจึงรู้ได้ในทันทีว่าบัดนี้นักโทษที่เขาจับมาได้ตายหมดแล้ว
“เจ้าถือดีมากที่บุกเข้ามาในจวนของข้า” ขุนพลแห่งโคะโตโระเอ่ยขึ้น โอริเอะค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าว
“ต้องขออภัยท่านขุนพล ข้ามัวแต่กังวลเรื่องนักโทษจนลืมเรื่องมารยาทและกฎเกณฑ์”
“จะห่วงอะไรพวกมันหนักหนา” กันโซย้อนเสียงกระด้าง “ก็แค่สวะที่ถูกเจ้าฮะคุโจใช้มาเท่านั้น”
“ฮะคุโจ” นายกองหนุ่มทวนคำ “เขาจะส่งคนพวกนี้มาทำไมในเมื่อโคะโตโระกับแคว้น
ทาคุฮันไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรต่อกัน”
“เรื่องนั้นข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่คงจะได้คำตอบในอีกไม่นาน” กันโซมองโอริเอะเขม็ง “ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า”
“การปกป้องโคะโตโระเป็นหน้าที่ของข้า รวมถึงการสอบถามนักโทษด้วย”
“เจ้ากำลังตำหนิข้าหรือ โอริเอะ” น้ำเสียงเจือความโกรธ นายกองหนุ่มรีบค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าว
“ข้าไม่กล้า เพียงแต่”
“การที่เจ้าบุกเข้ามาในจวนของข้าโดยพละการก็มีโทษหนักจนถึงขั้นตัดหัวแล้ว” กันโซพูดเสียงห้วน “แต่เพราะทุกอย่างที่เจ้าทำลงไปล้วนมาจากความรักแผ่นดินข้าจึงไม่อยากถือสาหาความ”
ขุนพลแห่งโคะโตโระมองหน้าโอริเอะนิ่ง นายกองหนุ่มรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างเมื่อเห็นประกายสีแดงก่ำเต้นระริกอยู่ในดวงตาของเขา กันโซกล่าวเสียงเย็น
“นับแต่นี้ต่อไปห้ามเจ้าเข้ามาในคุกใต้ดินนี่ และหากจับคนร้ายที่สงสัยว่าจะเป็นสายของข้าศึกได้ จงรีบส่งมันมาให้ข้า”
โอริเอะทำท่าจะแย้งแต่ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายตวาดเสียงดัง
“เข้าใจไหม”
“ขอรับ” นายกองหนุ่มรับคำพร้อมกับค้อมตัวลง กันโซจ้องเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงเรียบ
“ดีมาก” เขาเว้นระยะไปเล็กน้อย “ดูเหมือนตั้งแต่กลับมาจากศึกอุเอโนะ เจ้ายังไม่เคยได้หยุดพักเลยใช่ไหม”
“ขอรับ” โอริเอะตอบเสียงไม่ดังนัก ขุนพลแห่งโคะโตโระพยักหน้า
“เจ้าน่าจะพักผ่อนบ้าง”
“แต่ข้าไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด” นายกองหนุ่มตอบ กันโซหัวเราะในลำคอขณะที่วางมือลงบนบ่าของเขาและบีบแน่น น้ำหนักกดอันรุนแรงสร้างความเจ็บปวดให้กับโอริเอะจนเขาต้องนิ่วหน้า ขุนพลแห่งโคะโตโระกล่าวเสียงไม่ดังนัก
“ข้าอยากให้เจ้าพัก” ดวงตาทอประกาย “เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หายเหน็ดเหนื่อยเมื่อไหร่ค่อยกลับมา”
กันโซแสยะยิ้มและคลายมือออก เขาตบบ่านายกองหนุ่มสองสามครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง โอริเอะยกมือขึ้นกุมไหล่ของตนและขบกรามแน่น เสียงร้องเรียกของทหารที่ยืนรออยู่ทางด้านนอกทำให้เขาจำต้องก้าวออกจากที่นั่น โอริเอะรีบเดินออกจากบริเวณจวนของกันโซอย่างรวดเร็ว กระแสกดดันอันเย็นเยือกที่ไล่หลังมาทำให้เขาชะงักและหันหน้ากลับไปมอง ดวงตาของนายกองหนุ่มเบิกกว้างเมื่อเห็นจวนทั้งหลังถูกปกคลุมด้วยเงาสีดำอันน่ากลัว
“น...นี่มัน” โอริเอะอุทานออกมาด้วยความตกใจ มือเลื่อนไปกุมดาบแน่นขณะที่ร่างของเขาเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ชั่วเวลานั้นเองที่นายกองหนุ่มฉุกคิดถึงคำเตือนของฮารุคาเสะ เขาขบกรามแน่นก่อนตัดสินใจก้าวออกจากปราสาทยาสึฮิระและเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลฟูจิวาระทันที
*/*/*/*/*

เสียงดนตรีอันไพเราะดังออกมาจากห้องขนาดใหญ่ภายในบริเวณบ้านตระกูลฟูจิวาระ คนรับใช้ชายหญิงหลายคนที่เดินผ่านอดที่จะหยุดยืนมองชายหนุ่มซึ่งกำลังรำพัดอย่างงดงามไม่ได้ บางคนถึงกับเผลอตัวกล่าวออกมา
“นั่นเป็นท่ารำใหม่ของคุณชายหรือ”
“ข้าคิดว่าใช่” หญิงรับใช้ที่ยืนใกล้กันตอบ ชายคนแรกพยักหน้า
“งามเหลือเกิน ดูการโบกพัดสิเหมือนกลีบดอกไม้ที่กำลังปลิวอยู่กลางอากาศไม่มีผิด”
“แต่คุณชายฮารุคาเสะจะฝึกท่ารำใหม่ไปทำไม” หญิงรับใช้หันไปถาม อีกฝ่ายสั่นหน้า
“ข้าเองก็ไม่รู้” เขาหันไปมองหน้านาง “หรือท่านยาสึฮิระเรียกให้ไปแสดงที่ปราสาทอีก”
หญิงรับใช้ทำท่าจะตอบแต่ต้องชะงักเมื่อโทอิจิโรหันหน้ามามอง นางรีบก้มตัวลงพร้อมกับกล่าวขออภัยก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากที่นั่นทันที คนที่เหลือต่างพากันแยกย้ายออกไปทำหน้าที่ของตน เจ้าบ้านฟูจิวาระจึงหันกลับไปยังฮารุคาเสะอีกครั้ง
“หยุดก่อน”
โทอิจิโรกล่าวขึ้น นักดนตรีพากันหยุดชะงักและมองเขาอย่างสงสัย เจ้าบ้านฟูจิวาระ
นิ่วหน้าขณะชี้พัดที่ถืออยู่ไปที่บุตรชายของตน
“การหมุนตัวของเจ้าเร็วเกินไป” เขาลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาฮารุคาเสะพลางใช้พัดตีลงไปที่หลังมือของชายหนุ่มเต็มแรง “การโบกพัดก็ดูแข็งกระด้างจนเหมือนการฟันดาบมากกว่าร่ายรำ”
เขามองหน้าบุตรชายก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาพร้อมกับกล่าวเสียงห้วน
“รำให้ข้าดูใหม่ตั้งแต่ต้น”
เสียงดนตรีดังขึ้นอีกครั้ง ฮารุคาเสะยกมือขึ้นและวาดพัดขึ้นลงอย่างเชื่องช้าไปตามจังหวะของเสียงเพลง โทอิจิโรมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าพร้อมกับพูดออกมา
“พอที” เขาหันไปทางนักดนตรี “พวกเจ้าออกไปก่อน”
นักดนตรีทั้งสามค้อมตัวลงและกล่าวรับคำ พวกเขาพากันวางเครื่องดนตรีของตนก่อนจะทยอยออกไปจากห้อง โทอิจิโรรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของทุกคนห่างไปไกล เขาหันไปมองบุตรชายพร้อมกับถาม
“เจ้าเป็นอะไร”
“เหตุใดท่านจึงถามเช่นนั้น” ฮารุคาเสะย้อนผู้เป็นพ่อ อีกฝ่ายจ้องหน้าเขานิ่ง
“การสะบัดพัดของเจ้าเหมือนมีเส้นด้ายมัด มันไม่พลิ้วไหวเหมือนที่เคยเป็นเลยสักนิด” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “เจ้ากำลังมีเรื่องกังวล”
ฮารุคาเสะยืนนิ่ง เขาก้มหน้าลงมองพัดที่ถืออยู่ในมือและถอนใจก่อนจะตอบเสียงไม่ดังนัก
“ข้ามัวแต่คิดเรื่องงานพิธีชมหิมะ”
“พิธีชมหิมะ” โทอิจิโรพูดทวนคำ “เวลานี้ยังเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น จะคิดไปถึงงานพิธีนั่นทำไม”
“ข้า” ฮารุคาเสะตอบออกมาได้เพียงเท่านั้นแล้วนั่งนิ่ง ผู้เป็นบิดามองหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา
“ปรกติแล้วพิธีชมหิมะจะจัดขึ้นที่ปราสาทของท่านยาสึฮิระ และเจ้าเองก็ไม่เคยได้ไปเลยสักครั้ง เหตุใดจึงกังวลกับเรื่องนี้นักฮารุคาเสะ”
เขามองบุตรชายคล้ายกำลังจับพิรุธ แต่ฮารุคาเสะกลับเบือนหน้าหนีไปอีกด้านและไม่เอ่ยอะไรตอบกลับมา โทอิจิโรจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากกว่าเดิม
“อยากพบนางมากขนาดนั้นเลยหรือ”
ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาทันทีและก้มหน้าลงเมื่อเห็นสายตารู้เท่าทันจากบิดา โทอิจิโรถอนใจ
“ความจริงแล้วข้าได้ยินข่าวมาว่าอาจจะมีการเปลี่ยนผู้จัดงานชมหิมะ เพราะนักเป่าขลุ่ยของตระกูลเบนิฮานะที่เคยประกอบพิธีทุกครั้งได้ล้มป่วยลงและทางจวนท่านเจ้าเมืองได้ส่งหนังสือมาทาบทามตระกูลฟูจิวาระของเรา ข้ากำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะจัดการแสดงอะไรให้ดูน่าประทับใจดี”
“เหตุใดจึงไม่ให้ข้าร่ายรำ...” ฮารุคาเสะรีบพูดแต่โทอิจิโรกลับยกมือห้ามพร้อมกับกล่าวแทรกขึ้นมา
“พิธีชมหิมะเป็นการแสดงเพื่อต้อนรับฤดูหนาว ข้าไม่คิดว่าการรำพัดเป็นการกระทำที่เหมาะสม”
คำพูดของบิดาทำให้ชายหนุ่มนั่งอึ้งและถอนใจออกมา
“ข้าลืมนึกถึงข้อนี้ไป” เสียงพูดเต็มไปด้วยความผิดหวัง โทอิจิโรมองบุตรชายของตนแล้วส่ายหน้า
“เจ้าเปลี่ยนไปมากกว่าที่ข้าคิด” น้ำเสียงกล่าวอย่างอ่อนใจ “ทั้งเหม่อลอย ทั้งการรำที่ผิดจังหวะ ไหนจะการพูดที่ไม่รู้จักคิดของเจ้าเมื่อครู่นี้อีก” เขาเว้นระยะคำพูดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“ฮารุคาเสะ”
คำของบิดาทำให้ฮารุคาเสะต้องก้มหน้าลงอีกครั้ง เขาทำท่าจะเอ่ยปากตอบแต่ชะงักและนั่งนิ่ง ครู่หนึ่งชายหนุ่มจึงถอนใจและหันหน้ามองออกไปนอกห้องพร้อมกับพูดเสียงไม่ดังนัก
“วันนี้โฮชิโนะจะมาเรียนนาฏกรรม ทำไมนางจึงยังมาไม่ถึงเสียที”
โทอิจิโรนิ่วหน้าเมื่อเห็นฮารุคาเสะมีเจตนาที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด เขาจ้องชายหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายศีรษะช้าๆด้วยความระอาใจก่อนจะกล่าว
“บางทีบิดาของนางอาจจะแวะไปทำธุระที่อื่นก่อน”
“ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังคิดว่าพวกเขามาช้าผิดปรกติ” ฮารุคาเสะพูดพลางเลื่อนสายตามองท้องฟ้าซึ่งกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงส้ม สายลมเย็นยามค่ำเริ่มพัดผ่านเข้ามาในสวน ชายหนุ่มก้าวออกจากห้องและหยุดยืนมองดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำ พริบตานั้นเองก็บังเกิดกระแสลมพัดกรรโชกผ่านร่างอย่างรุนแรงจนเขาถึงกับผงะ ดวงตาของฮารุคาเสะเบิกกว้างด้วยความตระหนก
“ปีศาจ”
“อะไรนะ” โทอิจิโรร้องขึ้นขณะเดินไปยืนข้างบุตรชายและกวาดสายตามองไปโดยรอบ “ข้าไม่เห็นมีปีศาจหรืออสูรสักตัว”
“ไม่ใช่ที่นี่” ฮารุคาเสะนิ่งไปเล็กน้อย “ข้าได้กลิ่นเลือดปะปนมากับสายลม”
เขามองหน้าโทอิจิโรพร้อมกับอุทานออกมาอย่างตกใจ
“พวกมันกำลังกินมนุษย์”
ฮารุคาเสะรีบเดินออกจากที่นั่นทันทีโดยยังไม่ทันที่บิดาของเขาจะทันได้กล่าวอะไรออกมา เขาก้าวออกจากบ้านอย่างเร่งรีบและมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่สัมผัสถึงพลังปีศาจ หัวใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างหนักเมื่อนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเด็กสาวที่เขาคุ้นเคย ฝีเท้าถูกเร่งให้เร็วขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งเมื่อกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงโชยมากระทบจมูก ฮารุคาเสะหยุดยืนอยู่ที่ทางสามแยกและกวาดตามองไปโดยรอบ พลังกดดันอันรุนแรงที่พุ่งมาปะทะร่างทำให้ชายหนุ่มรีบหันไปมอง เขาเบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อพบว่าพลังปีศาจที่สัมผัสได้เมื่อครู่มาจากวัดเก่าแก่ที่อยู่ไม่ห่างไปจากที่ตนยืนอยู่เท่าใดนัก และที่สำคัญวัดแห่งนั้นมักถูกใช้เป็นที่แวะพักของเหล่านักเดินทาง ฮารุคาเสะวิ่งตรงไปที่นั่นทันที เขาหยุดยืนที่หน้าประตูทางเข้าและก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ภาพเศษชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ตกกระจายเกลื่อนพื้นทำให้เขาชะงัก ชายหนุ่มกวาดจะมองไปจนทั่วอย่างระมัดระวังและหยุดสายตาไว้ที่ห่อผ้าชิ้นหนึ่งซึ่งถูกฉีกจนกระจุย ตราประทับที่ปรากฏอยู่บนผืนผ้าทำให้ฮารุคาเสะต้องอุทานออกมา
“โฮชิโนะ”

*/*/*/*/*/*




















Create Date : 26 มิถุนายน 2552
Last Update : 26 มิถุนายน 2552 17:41:16 น.
Counter : 336 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี