|
อาหารธรรมชาติ เพิ่มน้ำหนัก
ตัวผอม.... ผอมเกินไปป่าวเนี่ย.... น้ำหนักอยู่ที่ 48 กิโลกรัม..... ต้องการ 2 กิโลกรัม เพิ่มน้ำหนักเป็น 50 กิโลกรัม
ก็ต้องกินเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ท้องไม่ว่างเลยทั้งวัน ทั้งอาหาร 3 มื้อ และผลไม้ระหว่างมื้ออาหาร
กินอะไรดีที่ไม่เปลืองท้อง คือกินแล้วไปเพิ่มน้ำหนักได้ และต้องเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
คิดเมนูนี้ ปนๆ กันมั่วๆ หน่อยนะ + มันฝรั่งต้ม หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ พักไว้ให้เย็น + มะเขือเทศสด หั่นเป็นลูกเต๋าใหญ่ๆ + ต้นหอมซอย + ส้มเกลี้ยง ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นๆ + เกลือทะเล + พริกป่น + พริกไทย เอาทั้งหมดข้างบน ใส่ในชามสลัด คนๆ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตัดใส่จานที่จัด ผักกาดหอม ผักน้ำ (หลวงพระบาง) โหระพา ผักชีใบหยัก สะระแหน่
เพิ่มอีกอย่างหนึ่ง + กล้วยน้ำว้า นึ่ง หรือต้ม พักไว้ให้เย็น หั่นเป็นแว่นๆ
แบบนี้ ไม่ต้องข้าว ก็อิ่มได้แล้ว
ส่วนผลไม้ระหว่างมื้ออาหาร ก็เริ่มต้นด้วยตอนเช้า ก่อนไปตลาด กินชามนี้ก่อนเลย
+ มะละกอสุก + แตงไทย + กล้วยน้ำว้า เพิ่มสารอาหารและเส้นใยอาหาร + จมูกข้าวสาลี + เมล็ดอัลมอนด์ ทุบและสับ + ลูกเกด + ราดด้วยนมถั่วเหลืองไร้น้ำตาล
Create Date : 09 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 9 กันยายน 2551 21:56:54 น. |
Counter : 1778 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เมนู ลาบเหนือ--เต้าหู้และฟักทองบด
อาหารมื้อกลางวัน จะเป็นอาหารปรุงสุก กินกับข้าวกล้อง...
เมนูวันนี้ เป็น ลาบเหนือ ทำจากเต้าหู้และฟักทองบด
เครื่องปรุง: - ฟักทองหั่นเป็นชิ้น - เต้าหู้แข็งยี แล้วรวนในกะทะให้แห้งฟู - น้ำพริกลาบ - น้ำมันมะกอก ครึ่งช้อนชา - ซีอิ๊วขาว - เครื่องเคียง : กะหล่ำปลีซอย กะหล่ำม่วงซอย มะเขือเทศสด
พร้อมกันก็ทำแกงจืดไปด้วย - ข้าวโพดหวาน - แครอท - สาหร่ายวากาเมะ - ซีอิ๊วขาว
วิธีทำ 1. นำเต้าหู้แข็งที่ยีแล้ว ลงรวนในกะทะให้แห้งฟูเป็นเนื้อขาวๆ นุ่มๆ 2. นำฟักทองที่หั่นเป็นชิ้น ลงลวกในน้ำเดือด นำขึ้นแล้วบดละเอียดด้วยส้อม 3. นำข้าวโพดหวานตัดเป็นท่อน ลงลวกในน้ำที่ลวกฟักทอง 4. เก็บน้ำลวกฟักทองและข้าวโพดพักไว้ในหม้อเตรียมทำแกงจืด 5. ใส่น้ำมันมะกอกในกะทะ ใส่น้ำพริกลาบลงผัดในกะทะกันติด เติมซีอิ๊วขาว แล้วใส่เต้าหู้ที่รวมเสร็จแล้ว ลงผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ฟักทองบด คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสชาติให้พอดี
ก็จะได้ลาบเต้าหู้ฟักทองสีเหลืองๆ ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าดูไม่น่ากิน ให้ทำต่อ เป็นลักษณะคล้ายๆ ไส้เบอร์เกอร์ 6. ใช้ทัพพีจัดให้เป็นรูปร่างก้อนกลมแบน แล้วจี่ในกะทะให้เป็นสีน้ำตาลทั้งสองด้าน ตักขึ้นจัดจาน ด้วยกะหล่ำปลีซอย กะหล่ำม่วงซอย ข้าวโพดหวาน มะเขือเทศสด ยกเสริฟ
แกงจืด 1. นำน้ำลวกฟักทองและข้าวโพดหวานที่พักไว้ ใส่แครอทหั่นเป็นแว่น 2. เติมซีอิ๊ว ปรุงรสให้พอดี 3. ฝานข้าวโพดอ่อน ใส่ชาม แล้วเติมแกงจืดเดือดๆ ลงในชาม 4. เติมสาหร่ายวากาเมะ ยกเสริฟร้อนๆ
Create Date : 23 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 14:06:43 น. |
Counter : 1271 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Raw Food อาหารเพื่อพลังสด
วันนี้ มาว่ากันเรื่อง อาหารเพื่อพลังสด Raw Food
รอฟู๊ด คืออะไร ? มีเพื่อนตอบว่า "อาหารที่ยังไม่มา คือว่า "รอ" กินอาหารอยู่ง่ะ
แหม้..แหม๋ ถ้าเอาเข้าเรื่องก็ถือว่า ถูกครึ่งนึงนะ เพราะว่า Raw Food ก็เข้าข่าย Slow Food ด้วยเหมือนกัน
เอ้า แล้ว Slow Food มันเป็นยังไง ก็ตรงข้ามกับ Fast Food พวกอาหารจานด่วนไงล่ะ มันเป็นจานด่วนได้ เพราะว่า เป็นอาหารปรุงสำเร็จไว้แล้ว หรือไม่ก็กึ่งสำเร็จรูป แล้วนำมาอุ่น หรือทำให้สุก แป๊ปเดียวก็ได้กิน คนกินก็พลอย ใช้เวลากินหมุบหมับ แป๊ปเดียวหมดอีกด้วย
ทางตะวันตก มีอาหาร Slow Food ฮิตกัน ประมาณว่า ให้มีวัฒนธรรมสูงส่ง ต้องย้อนกลับมา ใช้เวลาในการเตรียมหน่อย ปรุงกันใหม่ๆ สดๆ ถ้าไปตามภัตตาคาร ก็ต้องคอยนานกันหน่อยหนึ่ง เมื่ออาหารมาเสริฟ คนกินก็ค่อยๆ ละเลียดเคี้ยวช้าๆ สัมผัสรสชาติอาหาร อย่างพวกคนที่มีวัฒนธรรมชั้นสูง...โห้...ว่าเข้าไปนั่น
ที่จริงถ้าพูดแบบวิถีพุทธ ที่พวกเราเข้าใจกันดีอยู่แล้วก็คือ การกินอย่างมีสติ น่ะแหละ ยกช้อน ตักเข้าปาก เคี้ยวให้รู้ถึงความหยาบ ละเอียด เคี้ยวละเอียดเพื่อจะย่อยง่ายในท้อง และให้รู้รสชาติของแต่ละคำ ไม่กินจนล้นเกินจนเป็นทุกข์ เพราะท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือทำให้เกิดโรค เกิดการเจ็บป่วย
Raw Food เริ่มตั้งแต่เกือบ 100 ปีก่อน มีคนกลุ่มหนึ่ง มีความเชื่อว่า คนเราต้องกินอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน หรือถ้าจะมีการผ่านความร้อนก็ต้องอุณหภูมิสูงไม่เกิน 110 - 120 องศาฟาเรนไฮต์ เอ...มันกี่องศาเซลเซียสกันล่ะนี่ {สูตรคำนวณ C= (F-32)*(5/9)} ได้ออกมาเป็น 43 - 48 องศาเซลเซียส เพราะถ้าอุณหภูมิสูง จะทำลายเอ็นไซม์ ที่มีจำเป็นสำหรับการย่อยอาหาร มีแบคทีเรีย และจุลินทรีย์หลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ข้อควรระวัง ก็คือ สารปนเปื้อน และไวรัส หรือเชื้อโรคอื่นๆ ที่เป็นโรคติดต่อหรือโรคระบาด ต้องล้างให้สะอาด...
เอาเป็นว่า เราว่ากันง่ายๆ ว่า เราต้องการพลังสดจากอาหาร ในบางมื้อ ด้วยการ - กินอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ สดจากไร่ ปอกเดี๋ยวนั้น กินเกือบทันที - ไม่ผ่านความร้อน - ผลไม้สด เป็นทางเลือกที่ดี บางมื้อกินผลไม้อมเปรี้ยว บางมื้อกินอมหวาน - ผักสดเยอะแยะ ที่ใช้กินกับน้ำพริก คุ้นเคยดีอยู่แล้ว มีวิตามินเพียบ
แต่วันนี้ เอาแนว "สลัด" จานใหญ่ยักษ์ กินเป็นมื้อเช้า ใช้ผักจากดอยคำ
มี ผักกาดแก้ว ผักกาดครอส พริกหวานเขียว มะเขือเทศ หอมใหญ่ แครอทดอย และแก้วมังกรหั่นสี่เหลี่ยมใส่ไปด้วย
แบ่งเอาแก้วมังกรส่วนหนึ่งมาบดด้วยส้อม หรือถ้าจะใส่โถปั่นก็ได้นะคะ เอาไว้เป็นน้ำสลัดชุ่มฉ่ำ
จากนั้น ก็ทดลองเผื่อสำหรับคนที่ยังติด น้ำสลัดรสชาติเข้มข้น ก็เอา มัสตาร์ด กับ บาลซามิก ผสมลงไป....
จานนี้น่ะ กินคนเดียวนะคะ เป็นอาหารเช้าเมื่อเช้านี้เอง....
ดูอีกที เทียบกับส้อมขนาดมาตรฐาน จะเห็นว่าจานใหญ่ :)
กินอาหารเพื่อเอาพลังสด กินบางมื้อ อย่างมื้อกลางวัน กินข้าวกล้อง กับผักผ่านความร้อน มื้อเย็น ก็อาจจะกินข้าวอีก แต่กินหัววันหน่อย อย่าให้ค่ำ หรือมื้อเย็นเป็นอาหารสดอีก กินผลไม้แทนข้าวก็ได้ อย่าให้หวานเกินไปนัก ยิ่งฤดูนี้ เงาะมีเยอะ กินไปมากๆ เดี๋ยวน้ำตาลขึ้นสูง เป็นโรคติดน้ำตาลอีก.. ----------------------------------------------------------------------------
ลองค้นข้อมูลดู พบว่า มีพวกที่กินโดยใช้ทฤษฏี "กินแบบธรรมชาติ" เรียกว่า พวก instinctive eating or anosology เค้ากินอาหารที่ได้จากธรรมชาติจริงๆ คือ มันเป็นไง ก็กินงั้นกันเลยแหละ
เห็นว่า มนุษย์เราเนี่ย จะรู้ว่าพืช ผัก ผลไม้ เมล็ดพืช ธัญพืช หรือสัตว์นั้นๆ กินได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่ลองชิม ถ้าชิมดูแล้ว ลองกิน ถ้ากินได้นิดหน่อยแล้ว ไม่รู้สึกว่าอยากกินต่อ ก็ไปกินอย่างอื่น คือร่างกาย หรือการรับรส จะบอกเองว่า กินได้แค่ไหน
ดูแล้วก็เหมือน "ลิง" และก็คงมี ทั้งมนุษย์ ทั้งลิง ที่ตายไปเพราะว่า ชิมไปเรื่อย
แต่ถึงยุคปัจจุบันนี้ ก็มีการบอกต่อ เป็นความรู้ว่า อะไรกินได้กินไม่ได้ ส่วนไหนเป็นพิษ ส่วนไหนทำให้ท้องเสีย ท้องผูก...
เช่น มันฝรั่ง ที่ใต้ผิว ถ้ามีสีเขียวๆ ไม่ควรกิน มันเป็นพิษ อาจจะปอกเปลือกออกลึกหน่อย แล้วเอาเนื้อลงไปทอดน้ำมันให้สุก พิษถึงจะหมดไป แต่นักกินอาหารสด (Raw Foodist หรือ Rawist) ก็ไม่กินของทอดหรอก...
อีกประเภทหนึ่ง ก็เรียกว่า Raw Paleolithic Diet หรือเรียกสั้นๆ ว่า Paleo Diet เขามีชื่ออื่นอีกว่า Caveman Diet คือกินแบบมนุษย์ยุคหิน กินเนื้อสัตว์ ปลา พืช ผลไม้ แต่ไม่กินธัญพืช กับพวกนม อ้อ..พวกเกลือ เครื่องเทศก็ไม่เอา กินกันแบบธรรมชาติ..
แนวนี้นะ เขาบอกว่า การกินแบบปรุงแต่ง ผ่านความร้อน ปรุงรสชาติ จะทำให้กินได้มากขึ้น กินล้นเกิน สุดท้าย เกินกว่าที่ร่างกายจะย่อยได้ ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ รวมไปถึง โรคร้าย โรคไม่ร้ายด้วย
Create Date : 10 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 10 มิถุนายน 2551 14:40:16 น. |
Counter : 4659 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อาหารต้านมะเร็งง่ายๆ
เบื่อๆ คิดอะไรไม่ออกว่าจะทำอาหารจานผักอะไร
เมนู : ต้มผักใส่ขิง
- ผักอะไรก็ได้ - ขิงแก่ หรือขิงอ่อนซอยเส้นเล็กๆ - พริกขี้หนูเม็ดเล็ก ทุบ 1 เม็ดพอแล้ว - ซีอิ๊วขาว - น้ำเปล่า
อาจจะใส่ผักชีลาวนิดหนึ่ง
เอาต้มรวมกัน แค่นี้แหละ....
Create Date : 10 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2551 11:26:37 น. |
Counter : 857 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|