SmileySmiley :: How Do I Enjoy Life while "Living with Cancer" ::
Group Blog
 
All blogs
 
ตีแผ่ความลับโภชนาการ

พยายามหาว่ามีใครแปลหนังสือเล่มนี้หรือยัง
เพราะอ่านดูแล้ว สาระเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังหาหนทางเข้าสู่สุขภาวะ
อยากให้ญาติพี่น้อง เพื่อนที่รักได้อ่าน
ใครที่อ่านภาษาอังกฤษได้สะดวก สั่งซื้อหนังสือได้ //www.thechinastudy.com

ทำไมฉันจึงใช้คำว่า "ตีแผ่ความลับโภชนาการ"
ก็เพราะว่า ผลงานวิจัยหลายต่อหลายชิ้น ถูกเก็บไว้เป็นความลับ มันเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ แต่มันขัดผลประโยชน์คนบางกลุ่ม ไงล่ะ
----------------------------------------------------------------------------

หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The China Study พิมพ์เมื่อปี 2005
ซึ่งน่าสนใจมาก เกี่ยวกับการวิจัยศึกษา พฤติกรรมการกิน
และปัจจัยการกินที่ก่อให้เกิดโรค
เป็นงานวิจัยชิ้นใหญ่ที่ใช้เวลายาวนาน
ศึกษาทั้งพฤติกรรมการกิน และวิถีชีวิต

หนังสือเล่มนี้ กล่าวถึง
++ ปัญหาสุขภาพที่คนเมืองใหญ่ใช้วิถีแบบตะวันตกเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
++ เราเป็นโกดังสะสมโปรตีน
++ การหยุดมะเร็ง
++ บทเรียนจากจีนและใต้หวัน เรียกว่า The China Study
++ หัวใจที่แตกสลาย
++ ภาวะโรคอ้วน
++ ภาวะเบาหวาน
++ มะเร็งที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่
++ โรคภูมิแพ้ ชนิดต่างๆ
++ ผลกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ โรคเกี่ยวกับกระดูก ไต ตา และสมอง
++ กินให้ถูก: 8 หลักการกิน เพื่อสุขภาวะที่ดี
++ กินอย่างไร
++ วิทยาศาสตร์ : ด้านมืดของการเอาชนะธรรมชาติ
++ การลดการใช้วิทยาการสมัยใหม่
++ ภาครัฐ...ทำงานเพื่อประชาชนจริงหรือ?
++ ยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับ "ยา" พวกเขาปกป้องสุขภาวะของใครกันแน่?
++ ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก

หน้าปกหนังสือนะค๊า ไปที่เวปไซต์เขาเลย
โดย T. Colin Campbell, PhD and Thomas M. Campbell II
สำนักพิมพ์ Benbella
Veg News Book of The Year ราคา US$ 16.95

จากข้อสงสัย การเกิดคำถาม ไปสู่สมมติฐาน การทดลอง และความร่วมมือระดับชาติ นำมาสู่ "ผลงานวิจัยชิ้นสำคัญของโลก"

งานทางวิทยาศาสตร์ที่แจ่มแจ้ง
ผลการทดลองที่ไม่มีส่วนใดผิดพลาด
การปรับเปลี่ยนการกินอาหาร จะทำให้ลดความเสี่ยง
ต่อการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน


ข้อมูลพวกนี้ คุ้นเคย คำพูดพวกนี้ ก็คุ้นเคย แต่...ไม่มีผลต่อ การเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน... เพราะ...ไม่เชื่อ หรือ...ไม่อยากจะเชื่อ
เนื่องจาก ยังอร่อยกับสิ่งที่กิน และรอคอยให้ถึงวันหนึ่ง
ที่อาจเป็นทางเลือกสุดท้าย ค่อยเปลี่ยนก็แล้วกัน

ผลงานวิจัยชิ้นนี้ อาจไม่แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันเท่าใดนัก แต่วิธีการ ค่าความเชื่อถือได้ของงานวิจัย รวมถึงเรื่องราวที่ถูกซ่อนไว้ ถูกตีแผ่ออกมาให้เรารับรู้ ว่าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพมากมายที่ผ่านทางสื่อ กรอกหูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง และพวกเรากำลังตกอยู่ในกับดัก สุขภาพที่อ่อนแอลง โรคที่รุมเร้า ยาเคมี การผ่าตัด สารสกัด วิตามิน การเข้าออกโรงพยาบาลอย่างไม่มีวันถอนตัวออกมาได้ จนกว่าจะถึงวันนั้น

"ทำไมจึงเป็น The China Study?"

ก่อนจะเล่าประวัติ ดร.แคมเบล ที่สนใจเกี่ยวกับการวิจัยโดยเฉพาะเรื่องมะเร็ง ขอตรงไปที่ความร่วมมือระหว่างชาติ เมื่อต้นทศวรรต 1980 ดร.จุนไชเฉิน รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสุขภาพแห่งชาติจีน ได้มาที่ Cornell University เพื่อจะทำงานวิจัยในห้องแลปของ ดร.แคมเบล ซึ่งถือว่า เป็นนักวิจัยจากจีนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มแรกที่มาเยือนสหรัฐอเมริกา

The Cancer Atlas แผนที่มะเร็ง
ต้นทศวรรต 1970 ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี โจเอนไหล ตายด้วยโรคมะเร็ง!! ในช่วงระยะท้ายของชีวิต ท่านนายกโจ ได้มีดำริให้ทำการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง ที่ไม่มีเข้าใจโรคนี้ งานวิจัยชิ้นนี้ เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจลืมได้ ด้วยการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 12 ชนิด จากกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2,400 กลุ่ม (ปกติกลุ่มหนึ่งประมาณ 100 คน) และจากประชากร 880 ล้านคน (96%)

ผลงานวิจัยที่ออกมามีข้อมูลน่าสนใจหลายแง่มุม คนทำงานโครงการนี้ 650,000 คน เป็นงานวิจัยสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา ผลงานที่นำเสนอนั้น สวยงาม มีการทำรหัสสี ลงบนแผนที่ ระบุว่าพื้นที่ใดมีอัตราการเป็นมะเร็งสูงโดยแยกชนิดไว้ ทำให้เห็นว่า มีพื้นที่ใดบ้างที่ไม่มีการตายจากมะเร็ง ตามปกติ งานวิจัยทั่วโลก จะมีการระบุว่า การเกิดมะเร็งจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องชาติพันธุ์ พันธุกรรมก็ได้ ในประเทศจีน ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน 87% คือชาวฮั่น แต่กลับพบว่า ในแต่ละพื้นที่มีอัตราการเกิดมะเร็งชนิดต่างๆ แตกต่างกัน เพราะอะไรจึงมีความแตกต่างกันได้ขนาดนั้นทั้งๆ ที่มีพันธุกรรมคล้ายคลึงกัน สมมติฐาน: อาจเป็นเพราะมะเร็งเกิดจาก สิ่งแวดล้อม หรือปัจจัยในการใช้ชีวิต ซึ่งอาจไม่ใช่จากกรรมพันธุ์ก็ได้? งานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ในอเมริกา เสนอผลงานเกี่ยวกับการกินอาหารกับโรคมะเร็ง ต่อสภาคองเกรสในปี 1981 ว่า กรรมพันธุ์เป็นปัจจัยต่อความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เพียง 2-3% เท่านั้น


จากแผนที่มะเร็ง มีข้อมูลเชิงลึก พบว่า กลุ่มตัวอย่างหลายกลุ่มที่เกิดมะเร็งบางชนิดในอัตราสูงนั้น สูงถึงขนาดว่า มากกว่ากลุ่มที่เกิดน้อยที่สุดเป็น 100 เท่า (10,000 %) ซึ่งจากการวิจัยในอเมริกา มักแตกต่างกันประมาณเพียง 2 เท่า แต่ทั้งนี้ แม้กลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันไม่มาก ทำให้เกิดกระแสข่าวดัง เงินจำนวนมหาศาล และนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เคยเกิดเรื่องที่ลองไอร์แลนด์ นิวยอร์ค เมื่ออัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมสูงขึ้น มีงบประมาณกว่า 30 ล้านดอลล่าร์ เข้ามาพร้อมกับการทำงานตรวจสอบต่อเนื่องกันหลายปี ส่วนต่างของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มหนึ่งที่มากกว่ากลุ่มอื่นเพียง 10-20% ทำไมจึงเกิดความโกลาหลได้ขนาดนี้ ส่งผลให้มีรายงานข่าวหน้าหนึ่ง ผู้คนหวาดวิตก นักการเมืองเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ ในขณะที่ในจีน พบว่ากลุ่มหนึ่งมีความแตกต่างมากกว่า กลุ่มอื่นถึง 100 เท่า

เพราะในจีน พันธุกรรมกลุ่มเดียวกัน จึงทำให้เด่นชัดว่า จำเป็นจะต้องทำการอธิบายถึงสาเหตุที่มาจากสิ่งแวดล้อม มีคำถามเกิดขึ้นดังนี้
- ทำไมโรคมะเร็งจึงเกิดสูงมากในกลุ่มตัวอย่างหนึ่ง แต่ไม่เกิดกับบางกลุ่ม
- ทำไมจึงเกิดความแตกต่างอย่างมากขนาดนั้น
- ทำไมโรคมะเร็งในทั่วประเทศจีน จึงเป็นโรคที่เกิดน้อย เมื่อเทียบกับในอเมริกา

และเมื่อนักวิจัยมืออาชีพได้จับเข่าคุยกัน เขาจึงมีแนวคิดว่า จะไปดูสิว่า
- พวกเขาอยู่อย่างไร
- กินอย่างไร กินอะไร
- มีวิถีชีวิตอย่างไร
- มีอะไรอยู่ในเลือดของเขา
- ฉี่ออกมามีอะไรบ้าง
- และพวกเขาตายอย่างไร

เมื่องบประมาณมี วิทยาศาสตร์ถึง เรื่องการเมืองไม่มีอุปสรรค งานวิจัยชินนี้ก็เริ่มขึ้น เป็นงานที่ครอบคลุมกว้างและลึกซึ้ง ในด้านอาหารการกิน วิถีชีวิต และโรคต่างๆ ได้มากที่สุด

เพื่อความน่าเชื่อถือของการวิจัย ต้องเล่าให้ฟังสักหน่อย
- ศึกษาโรค มากกว่า 4 โหล รวมถึงมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ
- รวบรวมข้อมูลจาก 367 ตัวแปร แล้วนำเอามาเปรียบเทียบแต่ละตัวแปร
- ทำกลุ่มตัวอย่าง 65 กลุ่มทั่วประเทศจีนและ ทำแบบสอบถามพร้อมตรวจเลือดผู้ใหญ่จำนวน 6,500 คน นำตัวอย่างปัสสาวะมาตรวจ ทุกๆ 3 วัน เพื่อครอบครัวนั้นๆ กินอะไรเข้าไปบ้าง นำตัวอย่างอาหารจากตลาดทั่วประเทศมาวิเคราะห์

กลุ่มตัวอย่าง 65 กลุ่มถูกเลือกมาจากพื้นที่ชนบท และพื้นที่กึ่งชนบทของจีน เจาะจงทำอย่างนี้ เพื่อจะศึกษาคนที่ใช้ชีวิตในที่เดียว พฤติกรรมการกินอาหารในพื้นที่เดิมตลอดชีวิตของเขา และพบว่า วิธีนี้ใช้ได้ เพราะ 90-94% กลุ่มตัวอย่างนั้น ใช้ชีวิตอยู่ที่เดิม ที่ๆเขาเกิดนั่นเอง

การวิเคราะห์จึงได้สถิติที่จะนำมาอ่านผลได้อย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างวิถีชีวิต อาหาร และการเกิดโรค มากกว่า 8,000 ความสัมพันธ์ ผลงานมีครอบคลุมกว้าง ลึกซึ้ง มีคุณภาพ และมีเอกลักษณ์ นิวยอร์คไทม์กล่าวว่าเป็น "งานเกี่ยวกับระบาดวิทยาที่มโหฬารที่สุดแห่งยุค"

นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สมบูรณ์แบบที่จะทดสอบหลักแนวคิดที่เคยทดลองมาแล้วในสัตว์ทดลอง จะได้ทราบว่า
- สิ่งที่เคยค้นพบในห้องทดลองนั้นตรงกันกับประสบการณ์จริงของมนุษย์หรือไม่
- สิ่งที่ค้นพบว่า ตัวกระตุ้น อฟลาทอกซิน ให้เกิดมะเร็งตับในหนูนั้น มีส่วนให้เกิดมะเร็งในอวัยวะอื่น หรือในมนุษย์ด้วยหรือไม่

-----------------------------------------------------------------------------

คำนำ

ถ้าคุณเหมือนกับคนอเมริกันส่วนใหญ่ ก็จะมีร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดล้อมอยู่ใกล้ๆตัว มีโฆษณาฟาสต์ฟู๊ดกระหน่ำใส่ทั้งทางทีวี หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แล้วก็เห็นโฆษณาลดน้ำหนักที่บอกว่า "คุณจะกินอะไรมากแค่ไหนก็ได้เท่าที่คุณต้องการ ไม่ต้องออกกำลังกาย แล้วน้ำหนักก็จะลดลงถ้าใช้โปรแกรมของเรา" หาซื้อเวเฟอร์เคลือบช็อคโกแลต บิคแม็ค แฮมเบอร์เกอร์ โค้ก ได้ง่ายกว่าแอปเปิ้ลสักลูกหนึ่ง เด็กๆไปโรงเรียนกินที่โรงอาหารโดยนึกได้แต่ว่าผักเหรอ..ก็ซอสมะเขือเทศบนแฮมเบอร์เกอร์ไง (หรือแบบไทยๆ ก็ ผักชีบนข้าวมันไก่)

เวลาไปหาหมอเพื่อขอคำแนะนำด้านสุขภาพ ระหว่างคอย ก็มีนิตยสารเล่มหนาพิมพ์สวยงามด้วยคุณภาพดีเลิศ ชื่อ Family Doctor : Your Essential guide to Health and Well-being จัดพิมพ์โดยสมาพันธ์แพทย์ประจำครอบครัวของอเมริกา แจกให้แพทย์ประจำครอบครัว 50,000 คน ในอเมริกาปี 2004 ในนั้นมีโฆษณา McDonald's, น้ำอัดลม Dr Pepper, ช็อคโกแลตพุดดิ้ง และ โอรีโอคุ๊กกี้ นิตยสาร National Geography for Kids มีโฆษณา ทวิงกี้, เอ็มแอนด์เอ็ม, Frosted Flakes, Froot Loops, Hostess Cup Cake, Xtream Jell-O Pudding Stick คือเป็นของกินที่นักวิทยาศาสตร์และอาหารของมหาวิทยาลัย Yale เรียกว่าเป็นอาหารพิษ...
----------------------------------
(ในเมืองไทย การโฆษณาอาหารพวกนี้ผ่านสื่อต่างๆ ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าอเมริกาในหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างใน นิตยสาร True Television มันเห็นๆ เลยว่า โปรโมทการกิน โดยการสั่งถึงบ้าน กินพิซซ่าระหว่างดูทีวี กินเคเอฟซีดูทีวีตอนดึก ถ้าจำไม่ผิดบางช่วงเล่นส่งถึงบ้านกัน 24 ชั่วโมงเลย)
----------------------------------

Introduction คำนำของผู้เขียน

มันน่าแปลกที่ข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการที่นำเสนอต่อสาธารณะยังขาดแคลนเป็นอย่างมาก แม้ว่าผมจะอุทิศเวลาตลอดชีวิตการทำงานของผมเพื่อจะทำการค้นคว้าวิจัยด้านโภชนาการกับสุขภาพ หนังสือการคุมอาหาร (Diet Books) ยังคงเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุด ทั้งนิตยสารทางโภชนาการ คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ รายการในโทรทัศน์และวิทยุก็มีการกล่าวถึงการควบคุมอาหารและสุขภาพกันอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลมหาศาลที่นำเสนอมาให้อ่าน ให้ฟัง คุณมั่นใจมั้ยว่าคุณรู้ว่าควรจะทำอะไรเพื่อดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น?
- ควรจะซื้ออาหารที่มีฉลากว่า ออแกนิค เพื่อจะเลี่ยงสารเคมีปนเปื้อน?
- สารเคมีในสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยหลักที่ก่อมะเร็ง?
- หรือสุขภาพของคุณ ถูกกำหนดจากพันธุกรรมตั้งแต่คุณเกิดแล้วแหละ?
- คาร์โบไฮเดรตทำให้คุณอ้วน?
- ควรจะใส่ใจกับปริมาณไขมันที่กิน เลือกชนิดของไขมันอิ่มตัว เลี่ยงไขมันคืนรูป (Trans-Fats)?
- ควรกินวิตามินมั้ย ถ้ากินควรวิตามินอะไร?
- ต้องซื้ออาหารชนิดที่มีการเพิ่มเส้นใยอาหาร (ไฟเบอร์)?
- ควรจะกินปลามั้ย ถ้ากิน น่าจะกินบ่อยแค่ไหน?
- น่าจะกินอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง เพื่อจะป้องกันโรคหัวใจมั้ย?

ผมเดาว่า คุณก็ไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกว่าคำตอบคืออะไร ถ้าคุณไม่มั่นใจ ก็ไม่แปลกหรอก ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เป็นแบบนั้น แม้ว่าข้อมูลจะมีมากมาย มีความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเยอะแยะ แต่มีคนจำนวนไม่มากนักที่รู้จริงๆว่า อะไรที่จะทำให้สุขภาพดีขึ้น

ไม่ใช่ว่าไม่มีคนทำวิจัย มันมี นักวิจัยแบบพวกผมรู้ข้อมูล แต่ข้อมูลของแท้ถูกฝังไว้ใต้สิ่งที่ไม่ค่อยเกี่ยวกัน หรือบางทีก็ข้อมูลที่อันตรายด้วยซ้ำ ก็พวก- วิทยาศาสตร์ขยะ การคุมอาหารแบบแฟชั่น กับการแพร่ข่าวของบริษัทอุตสาหกรรมอาหาร ผมต้องการเปลี่ยนแปลงพวกข้อมูลขยะพวกนั้น ผมอยากให้รู้ถึง โภชนาการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะ กำจัดความสับสน ป้องกัน และบำบัดโรค รักษาความเจ็บป่วย ให้มีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น ผมอยู่ "ในระบบ" (เกี่ยวข้องกับเรื่องอาหาร ความเจ็บป่วย) มากเกือบ 50 ปี ทำออกแบบ กำกับโครงการงานวิจัยขนาดใหญ่มากมาย ได้ทุนและแปลงานวิทยาศาสตร์จำนวนมากเพื่อรายงานให้กับคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญแห่งชาติ
หลังจากการทำงานวิจัยและการกำหนดนโยบายมายาวนาน ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมชาวอเมริกันจึงสับสน ในฐานะคนจ่ายภาษีให้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยและกำหนดนโยบาย ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องรู้ว่า สิ่งที่คุณเคยรู้มาตลอดมันผิด... เพราะ

- สารเคมีสังเคราะห์ในสิ่งแวดล้อมและในอาหารที่คิดว่าเป็นปัญหาหลักนั้น มันไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
- ยีนส์ที่ได้รับมาจากพ่อแม่ ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะกำหนดว่าคุณจะตายเพราะโรคที่บรรพบุรษเคยเป็น
- ความหวังว่างานวิจัยระดับยีนส์ จะนำมาซึ่งการรักษาโรคด้วยยา ตอนนี้เลือนลาง เพราะยังไร้หนทาง
- การหมกมุ่นควบคุมสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรต คอเรสเตอรอล หรือไขมันโอเมก้า3 ไม่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
- วิตามินและอาหารเสริม ไม่สามารถป้องกันโรคได้ในระยะยาว
- ยา และการผ่าตัด ไม่สามารถรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุการตายของชาวอเมริกันได้
- นายแพทย์ของคุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณควรจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะมีสุขภาพดีที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้

ผมขอเสนอว่า ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า การปรับโภชนาการให้ดี ผลการศึกษากว่า 40 ปี ที่ผมได้ทำงานวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Biomedical) รวมถึงการค้นพบจากการทำงานในห้องแลปกว่า 27 ปี พิสูจน์แล้วว่า " การกินอย่างถูกต้อง จะช่วยชีวิตได้ "

ผมจะไม่ชวนเชื่อ โดยการอ้างถึงข้อสังเกตส่วนตัวแบบที่คนอื่นๆเขาทำกัน หนังสือเล่มนี้มีหนังสืออ้างอิง 750 เล่ม ข้อมูลมหาศาลที่เป็นงานวิจัยโดยตรง รวมถึงจากวารสารวิทยาศาสตร์อีกนับร้อยจากนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆ ที่บ่งชี้เกี่ยวกับหนทางยับยั้งมะเร็ง ลดการเกิดโรคหัวใจ ลดการอุดตันในเลือด ลดโรคอ้วน ลดเบาหวาน ลดโรคภูมิเพี้ยน ลดโรคกระดูกพรุน ลดโรคอัลไซเมอร์ ลดโรคนิ่วไต และลดการตาบอด

ข้อมูลที่พบถูกตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า:-
- การปรับเปลี่ยนอาหารจะทำให้ผู้ป่วยเบาหวาน งดการใช้ยาได้
- โรคหัวใจ จะแปรสภาพให้กลับคืนดีมาได้ ด้วยการควมคุมอาหาร เท่านั้น
- มะเร็งเต้านมเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนเพศหญิงในเลือด ซึ่งบ่งชี้ได้จากอาหารที่เรากินเข้าไป
- การกินผลิตภัณฑ์จากนม จะเพิ่มความเสี่ยงกับมะเร็งระยะท้าย
- แอนตี้ออกซิแดนท์ ที่พบในผลไม้และผัก มีส่วนเชื่อมโยงกับความสามารถทางสติปัญญา (Mental Performance) สำหรับผู้สูงอายุ
- นิ่วในไต ป้องกันได้ด้วยการกินอาหารสุขภาพ
- โรคเบาหวานชนิด 1 เป็นโรคที่ก่อความเสียหายมากที่สุด ที่เกิดกับเด็กเล็ก เชื่อมโยงกับการป้อนนมตั้งแต่ยังเป็นทารก (เด็กทารกที่กินนมวัว โปรตีน Cacein ในนมวัวทำให้เกิดเบาหวานชนิด 1 ยิ่งกินนมวัวอายุน้อยเท่าไรก็มีโอกาสเกิดสูงมากที่สุด เขาแนะนำให้เด็กกินนมแม่ไปจนถึงเกือบ 2 ขวบเลย ถ้าแม่มีนม ไม่งั้นก็กินนมถั่วเหลือง)

การค้นพบข้างต้นแสดงให้เห็นว่า โภชนาการที่ดีเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดสำหรับต่อสู้กับโรคและความเจ็บป่วย ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้สุขภาพคุณดีขึ้น แต่มีนัยสำคัญต่อคนในสังคมทั้งหมด เราต้องรู้ว่าทำไมข้อมูลที่ออกมาสู่สาธารณชนจึงบิดเบือน และทำไมจึงมีความผิดพลาดในการสืบหาหรือตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับโรคและโภชนาการ การประชาสัมพันธ์เรื่องสุขภาพและการรักษาโรคนั้นทำกันอย่างไร

ในการพิจารณาตัวเลขต่างๆ การสาธารณะสุขของอเมริกาสอบตก เราใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อหัวสูงที่สุดในโลก ในขณะที่ 2ใน3 ของคนอเมริกันมีน้ำหนักเกิน เบาหวานมากกว่า 15 ล้านคนและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอัตราที่สูงมาก เราเป็นเหยื่อของโรคหัวใจพอๆกันกับเมื่อ 30ปีก่อน (การแพทย์ไม่เห็นดีขึ้น!!) ประกาศสงครามกับมะเร็งเมื่อต้นทศวรรต 1970 และมันก็ล้มเหลวมาโดยตลอด ชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งมีปัญหาสุขภาพโดยต้องไปรับยาที่สั่งโดยแพทย์ทุกสัปดาห์ และชาวอเมริกันกว่า 100 ล้านคนมีภาวะคอเลสเตอรอลสูง เรื่องนี้มันแย่ไปกว่าเก่าอีก เพราะเรากำลังนำพาเอาเด็กรุ่นใหม่เข้าสู่หนทางแห่งความเจ็บป่วย เร็วขึ้น และเร็วขึ้นตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ เด็ก 1ใน3 ของประเทศมีน้ำหนักสูงกว่าเกณฑ์ และมีความเสี่ยงของน้ำหนักเกิน มีการเพิ่มขึ้นของเหยื่อโรคเบาหวานที่ปกติเคยเห็นกันแต่ในผู้ใหญ่ และคนหนุ่มสาวต้องกินยารักษาโรคมากกว่าที่เคยเป็นมา

ประเด็นที่ว่ามานี้เกิดจากสาเหตุ 3 ประการ อาหารเช้า อาหารเที่ยง และอาหารค่ำ

40 กว่าปีก่อน ตอนที่ผมกำลังเริ่มอาชีพการงาน ผมไม่เคยคิดเลยว่าอาหารจะมีส่วนสัมพันธ์กับสุขภาวะอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ หลายปีนั้นผมไม่เคยให้ความใส่ใจว่าอาหารประเภทใดเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ควรกิน ผมก็กินอะไรๆที่คนอื่นๆเขากินกัน ก็เป็นของที่เขาบอกมาว่าเป็นอาหารที่ดี พวกเราทุกคนแหละที่กินอะไรก็ได้ที่รสชาติดี เอาสะดวกเข้าว่า หรือไม่ก็พ่อแม่ของเราสอนให้ชอบกินแบบนี้ ส่วนใหญ่เลยเราใช้ชีวิตภายใต้วัฒนธรรมที่มันกำหนดอาหาร และพฤติกรรมต่างๆด้วย

สำหรับผมก็เช่นกัน ผมเติบโตมาในฟาร์มโคนม ซึ่งมีนมวัวเป็นศูนย์กลางของการดำรงอยู่ของพวกเรา ที่โรงเรียนเราเรียนรู้ว่านมวัวทำให้ร่างกายแข็งแรง ดีต่อสุขภาพกระดูกและฟัน มันเป็นอาหารธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ที่ฟาร์ม อาหารที่กินมาจากในฟาร์ม ในสวน หรือไม่ก็ในทุ่งหญ้าที่เลี้ยงสัตว์ของเราเอง ผมเป็นคนแรกของครอบครัวที่ไปเรียนในมหาวิทยาลัย เรียนเตรียมสัตวแพทย์ที่ Penn State แล้วก็เข้าเรียนสัตวแพทย์ที่ Georgia 1 ปี จากนั้นก็ได้ทุนไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Cornell ให้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "โภชนาการของสัตว์"

แล้วผมก็ทำปริญญาโท โดยที่เรียนกับศาสตราจารย์ McCay ที่ทำเรื่องการให้อาหารแก่หนูในประมาณที่น้อยมากกว่าปริมาณปกติที่ควรกิน ผมเองทำวิจัยปริญญาเอกเกี่ยวกับการทำให้วัวและแกะโตเร็วกว่าเดิม เป้าหมายของผมตอนนั้น คือการเพิ่มความสามารถที่จะผลิตโปรตีนจากสัตว์ เป็นสิ่งที่ยืนยันมาว่าเป็น "โภชนาการที่ดี (-โปรตีนจากสัตว์)"

ผมเข้าร่วมกับการรณรงค์ให้บริโภคเนื้อสัตว์ ไข่และนม ให้มากขึ้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำงานที่ฟาร์มตั้งแต่เด็ก และผมก็มีความสุขที่เชื่อว่าอาหารของชาวอเมริกันนั้นดีที่สุดในโลก หลายปีผ่านไป ผมจำได้ว่า เรากินอาหารที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกินโปรตีนสัตว์ที่มีคุณภาพสูง

ในช่วงต้นของการทำงานผมได้สัมผัสกับงานที่ค้นพบว่า ก่อให้เกิดสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยมีมา ได้แก่ ไดออกซิน และอะฟาท๊อกซิน ตอนแรกผมทำงานกับ MIT ที่เขามอบหมายให้ไขปัญหาเกี่ยวกับอาหารไก่ มีไก่ตายจำนวนหลายล้านตัวต่อปีเนื่องจากสารพิษที่เราไม่รู้จัก ผมรับผิดชอบในการคัดแยกไก่ตายพวกนั้น เพื่อระบุหาโครงสร้างของสารเคมีที่พบ 2 ปีครึ่งหลังจากนั้น ผมก็ช่วยให้พบ ไดออกซิน สารเคมีที่มีความเป็นพิษสูงสุดที่เคยมีมา และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะมันเป็นส่วนสำคัญของ Herbicide 2,4,5-T หรือฝนเหลือง ที่นำไปใช้ทำลายล้างป่าในสงครามเวียดนาม

หลังจากย้ายออกจาก MIT แล้วทำงานในตำแหน่งของคณะฯ ที่ Virginia Tech ผมเริ่มประสานงานเพื่อช่วยเหลือทางด้านเทคนิคให้กับโครงการของฟิลิปปินส์เกี่ยวกับเด็กขาดสารอาหารทั่วประเทศ ส่วนหนึ่งของโครงการเป็นเรื่องการตรวจสอบหาสาเหตุของโรคมะเร็งตับที่สูงมากในพื้นที่หนึ่ง ซึ่งปกติเป็นโรคที่เกิดกับผู้ใหญ่ แต่เด็กฟิลิปปินส์เป็นโรคนี้ คิดว่า เนื่องจากมีการบริโภคอาหารที่มี อะฟลาท็อกซิน มาก เชื้อรามีพิษที่พบในถั่วลิสง และข้าวโพด มันน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหา "อะฟลาท็อกซิน มันได้ชื่อว่าเป็นสารก่อมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูงมากเท่าที่เคยมีมา"

เป้าหมายหลักสำหรับโครงการในฟิลิปปินส์เป็นการพัฒนาการขาดสารอาหารของเด็กในกลุ่มคนยากจน ใน 10 ปี โครงการนี้สนับสนุนโดยหน่วยงานอเมริกันเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ในขณะนั้น เราได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือตนเองด้านโภชนาการจำนวน 110 แห่งทั่วประเทศ เป้าหมายของความพยายามในฟิลิปปินส์นั้นง่ายๆ คือ ให้แน่ใจว่าเด็กในฟิลิปปินส์ได้รับโปรตีนสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในยุคนั้นทัศนคติของคนทั่วโลกว่า เด็กที่ขาดสารอาหารนั้นเนื่องจากการขาดโปรตีน โดยเฉพาะโปรตีนที่มาจากสัตว์ มหาวิทยาลัยต่างๆ และรัฐบาลของแต่ละประเทศทั่วโลกพยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะบรรเทาภาวะขาดโปรตีน (Protein Gap) ในประเทศกำลังพัฒนา อย่างไรก็ตาม ในโครงการนี้ ผมได้เปิดเผยความลับด้านมืด "เด็กที่บริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูงที่สุด เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเป็นมะเร็งตับ! ซึ่งก็เป็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวคนมั่งมี

ผมก็สะดุดกับรายงานวิจัยชิ้นหนึ่งจากประเทศอินเดีย ที่เร้าให้ผมต้องค้นหาข้อมูลเชิงลึก เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันกับข้อมูลที่ผมค้นพบ นักวิจัยอินเดียศึกษากลุ่มหนูทดลอง 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเขาทำให้เกิดอะฟลาท็อกซิน แล้วให้กินอาหารที่มีโปรตีน 20% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปริมาณโปรตีนที่ชาวตะวันตกบริโภคกันเป็นปกติ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำให้มีอะฟลาท็อกซินในปริมาณที่เท่ากันกับกลุ่มแรก แล้วให้อาหารที่มีโปรตีน 5% ไม่น่าเชื่อ หนูที่กินโปรตีน 20% เป็นมะเร็งตับทั้งหมดทุกตัว ส่วนหนูที่กินโปรตีน 5%ไม่มีตัวใดเลยที่เป็นมะเร็งตับ มันเป็นคะแนนสัดส่วน 100 ต่อ 0 ไม่มีข้อสงสัยอีกแล้วว่า เพื่อการควบคุมโรคมะเร็ง โภชนาการสามารถเอาชนะสารเคมีก่อมะเร็ง แม้ว่าจะมีสารก่อมะเร็งระดับสูงก็ตามที

ข้อมูลนี้ ตอบโจทย์ทุกอย่างที่ผมคิด มันไม่ค่อยถูกนักที่จะพูดว่า "โปรตีนนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ" แต่ควรจะพูดว่า "โปรตีนกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง" มันเป็นการค้นพบที่แจ่มแจ้งสำหรับการทำงานของผม การสืบค้นนี้ใช้เวลาไม่นานนัก และมันไม่เป็นเรื่องที่ฉลาดสักเท่าใด เพราะการที่จะมีปัญหากับโปรตีนและอาหารจากผลิตภัณฑ์สัตว์ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นพวกนอกคอก แม้ว่าผลการวิจัยจะผ่านการทดสอบว่าเป็น "วิทยาศาสตร์ชั้นเลิศ" ก็ตาม

แต่ยังไงผมก็ไม่ตามคำสั่งที่สั่งการมาหรอก ตอนผมเรียนรู้จะจัดการกับฝูงม้า หรือฝูงวัว ตกปลา หรือการลงทำงานในไร่ ผมว่าการยอมรับความคิดของแต่ละคนต้องเป็นส่วนหนึ่งขอข้อตกลง มันต้องเป็นแบบนั้น การเผชิญหน้าปัญหาระหว่างลงในไร่ที่ต้องหาให้เจอว่าจะต้องทำอะไรต่อไป ถือเป็นห้องเรียนที่ยิ่งใหญ่ของเด็กฟาร์ม เรื่องความเชื่อมั่นในตัวเองมันก็อยู่กับผมตลอดมา

ผมเผชิญหน้าปัญหาที่ยุ่งยาก ผมตัดสินใจทำโปรแกรมการทดลองในห้องแลปเพื่อจะค้นหาบทบาทหน้าที่ของสารอาหารว่ามันก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโปรตีน ผมกับเพื่อนร่วมงานระมัดระวังอย่างมากเกี่ยวกับสมมติฐาน ทำวิธีการวิจัยอย่างละเอียดอ่อน รวมทั้งตีความของผลวิจัยอย่างรอบคอบ ผมเลือกจะทำการวิจัยด้วยขบวนการระดับพื้นฐาน ศึกษาการก่อตัวของมะเร็งจในระดับชีวเคมี มันสำคัญมากที่ไม่เพียงจะรู้ว่า โปรตีนอาจส่งเสริมให้เกิดมะเร็ง "จริงหรือไม่" แต่จะรู้ด้วยว่า "เกิดขึ้นอย่างไร" มันเป็นงานที่ดีที่สุดในโลก โดยใช้กฏของวิทยาศาสตร์ชั้นเลิศ โดยที่ไม่ต้องมีการสะดุดหกล้มระหว่างทาง มันได้รับการสนับสนุนเงินทุนและความร่วมมือเป็นเวลา 27 ปี โดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมมะเร็งแห่งอเมริกา และสถาบันโภชนาการเพื่อการวิจัยมะเร็ง แล้วผลงานก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์กลั่นกรองอีกครั้งโดยวารสารวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดก่อนจะจัดพิมพ์เผยแพร่

เราถึงกับช็อคกับสิ่งที่ค้นพบ อาหารโปรตีนต่ำลดมะเร็งที่เกิดจากอะฟลาท็อกซิน โดยไม่สนว่าจะมีปริมาณของสารก่อมะเร็งสูงหรือต่ำอย่างไรในสัตว์ทดลอง หลังจากการเกิดมะเร็งเรียบร้อยแล้ว อาหารโปรตีนต่ำก็ทำให้สกัดกั้นการเติบโตของมะเร็ง พูดอีกอย่างหนึ่ง ผลกระทบการเกิดมะเร็งจากสารเคมีก่อมะเร็งนั้น ไม่มีนัยสำคัญหากบริโภคอาหารโปรตีนต่ำ ในความเป็นจริง มีการพิสูจน์แล้วว่า โปรตีนสามารถกระตุ้น หรือสกัดกั้นการเติบโตของมะเร็งได้ ด้วยการเปลี่ยนปริมาณการบริโภคโปรตีน

นอกจากนั้น ปริมาณโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็ง ยังเป็นระดับเดียวกับที่คนทั่วไปกำลังบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ เราไม่ได้ทดลองให้กินโปรตีนมากมายอย่างการทดลองเกี่ยวกับสารก่อมะเร็งอื่นๆ

แล้วนั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด เราพบว่าไม่ใช่โปรตีนทุกชนิดที่ส่งผลให้เกิดมะเร็ง แล้วโปรตีนชนิดไหนกันล่ะที่ส่งผลอย่างร้ายกาจ เคซีน (Casein) ที่เป็นส่วนประกอบ 87% ของโปรตีนจากนมวัว เป็นตัวกระตุ้นทุกกระบวนการของมะเร็งทุกขั้น แล้วโปรตีนชนิดไหนล่ะที่ไม่ส่งผลร้ายนี้แม้ว่าจะกินในระดับสูงก็ตาม โปรตีนที่ปลอดภัยเป็นโปรตีนจากพืช รวมถึงข้าวสาลีและถั่วเหลือง พอเห็นภาพนี้แล้ว มันก็ท้าทายและสั่นคลอนสมมติฐานหลายข้อที่กำลังยึดถือกันอยู่
(ดูมันดิ ฉันเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาแล้ว กินนมผง ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ ดื่มโอวัลตินที่ใส่นมข้น ทุกวันเมื่อกลับจากเรียนอนุบาลและชั้นประถม อยู่มหาวิทยาลัยดื่มนมทุกวัน ไปออสเตรเลีย 8 เดือนยิ่งดื่มนมวัวทุกวัน 3 เวลา ทำให้เกิดผื่นคันผิวหนังเมื่อโดนแดดจนถึงทุกวันนี้ด้วย ไม่น่าแปลกใจว่าวันหนึ่ง จะพบตัวเองเป็นมะเร็ง)

การค้นคว้าไม่ได้จบลงที่การทดลองในสัตว์ ผมได้ทำงานวิจัยในเชิงลึกต่อไปเกี่ยวกับอาหาร วิถีชีวิต และโรคร้าย ซึ่งมันเป็นงานวิจัยที่ลึกที่สุด ครอบคลุมรอบด้านที่สุดเท่าที่เคยมีมาประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์การแพทย์และของมนุษยชาติ มันเป็นงานขนาดยักษ์ที่ร่วมมือกันโดยผ่านมหาวิทยาลัย Cornell มหาวิทยาลัย Oxford และสถาบันการแพทย์เชิงรุกของจีน นิตยสารนิวยอร์คไทม์เรียกมันว่า "งานเกี่ยวกับระบาดวิทยาที่มโหฬารที่สุดแห่งยุค" โครงการนี้ จึงได้สถิติที่จะนำมาอ่านผลได้อย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างวิถีชีวิต อาหาร และการเกิดโรค มากกว่า 8,000 ความสัมพันธ์ จากการศึกษาในพื้นที่ชนบทของจีนและใต้หวัน

สิ่งที่ทำให้งานวิจัยนี้โดดเด่นคือ พบว่า ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางสถิติของข้อมูล พบว่า คนที่บริโภคอาหารจากเนื้อสัตว์เกิดโรคเรื้อรังยาวนานที่สุด ส่วนที่บริโภคสัตว์ต่ำก็เกิดโรคน้อยตามไปด้วย คนที่บริโภคอาหารจากพืชจะมีสุขภาพดีที่สุดและมีแนวโน้มเจ็บป่วยต่ำที่สุดด้วย ผลการวิจัยนี้ไม่ควรถูกละเลย เพราะไม่ว่าจะทดลองในสัตว์ หรือรวมข้อมูลจากคน ผลที่ออกมาก็คงที่ จึงมีนัยสำคัญที่ว่า สารอาหารระหว่างการกินสัตว์ หรือกินพืชให้ผลที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

ผมไม่ได้หยุดตัวเองที่ผลการทดลองจากสัตว์ หรือผลจากข้อมูลในจีน แต่ผมค้นคว้าจากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ รวมถึงนักวิจัยคลีนิค ข้อมูลที่พบจากงานแต่ละชิ้น พิสูจน์ให้เห็นถึง ข้อมูลที่น่าตื่นเต้นที่สุดใน 50 ปีที่ผ่านมา

ข้อมูลที่จะอยู่ใน ส่วนที่ 2 ของหนังสือเล่มนี้ แสดงให้เห็นว่า สามารถจัดการบำบัดโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน ด้วยอาหารสุขภาพ ผลวิจัยอื่นๆ แสดงว่า มะเร็งชนิดต่างๆ โรคภูมิเพี้ยน สุขภาพกระดูก สุขภาพไต การมองเห็น และความบกพร่องทางสมองในผู้สูงอายุ (เช่น อัลไซเมอร์) นั้นเปลี่ยนสภาพได้ด้วยโภชนาการ ที่สำคัญอย่างยิ่ง โรคเหล่านี้ใช้โภชนาการประเภทเดียวกันจัดการ ได้แก่ ธัญพืชเต็มรูป (ไม่ขัดขาว) อาหารจากพืช จะทำให้กลับมามีสุขภาพที่ดี ซึ่งก็ตรงกันกับผลจากห้องแลปและจากการวิจัยในจีน ผลการวิจัยเหล่านี้พูดตรงกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าข้อมูลนี้จะมีความหนักแน่นเพียงใด ไม่ว่ามันจะสร้างความหวังให้ได้ ไม่ว่ามีความต้องการเร่งด่วนในการเข้าใจโภชนาการ สุขภาวะ แต่คุณก็ยังคงสับสนอยู่นั่นล่ะ

ผมมีเพื่อนที่เป็นโรคหัวใจที่แพทย์ไม่รับรักษาแล้ว เพราะประเมินว่าถึงจุดที่หมดหนทางรักษา ผมได้พูดคุยกับหญิงหลายคนที่หวาดกลัวโรคมะเร็งเต้านมกลัวจะเกิดกับตนเอง หรือลูกสาว เพราะยังต้องการมีเต้านม หากวิธีเดียวที่จะลดความเสี่ยงคือการผ่าตัดเต้านมทิ้ง คนมากมายที่ผมได้พบถูกลากเข้าสู่เส้นทางของการเจ็บป่วย พวกเขาท้อแท้ใจ สิ้นหวัง และสับสนเกี่ยวกับสุขภาพ และไม่รู้หนทางจะทำอย่างไรที่จะป้องกัน

ชาวอเมริกันกำลังสับสน และผมจะบอกคุณว่าทำไม คำตอบอยู่ใน ส่วนที่ 4 จะบอกว่า การกระจายข้อมูล เผยแพร่ข่าวสารนั้นทำกันอย่างไร การสื่อสารนี้อยู่ในกำมือของใคร เพราะผมเองก็อยู่เบื้องหลังของการเผยแพร่ข่าวสารมาเป็นระยะเวลายาวนาน ผมได้เห็นว่าในความเป็นจริงมันเกิดอะไรขึ้น และผมพร้อมแล้วที่จะประกาศต่อโลกว่า อะไรบ้างที่ไม่ถูกต้องในระบบที่เป็นอยู่นี้บ้าง เริ่มแยกไม่ออกระหว่างการเมือง อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และการแพทย์ แยกไม่ออกระหว่างการเสริมสร้างสุขภาพกับการทำกำไร ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดแบบการคอรัปชั่นอย่างโฉ่งฉ่าง (Hollywood style corruption) ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มันซับซ้อนกว่ามาก และแน่นอนมันอันตรายยิ่งกว่า ผลของมันคือการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างใหญ่หลวง ทำให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต้องจ่ายสองต่อ ต้องจ่ายภาษีสำหรับงานวิจัย แล้วยังต้องจ่ายเงินเพื่อรักษาตัวกับโรคที่ร้ายแรง ที่แท้จริงแล้วป้องกันได้

เรื่องราวนี้ เริ่มจากประวัติส่วนตัวของผม ถึงที่สุดมาจบที่ความเข้าใจแจ่มแจ้งของความสัมพันธ์ระหว่างโภชนาการและสุขภาวะซึ่งเป็นหัวใจหลักของหนังสือเล่มนี้ ที่มหาวิทยาลัย Cornell เมื่อ 6 ปีที่แล้ว (10 ปีในตอนนี้ค่ะ) ผมขึ้นหลักสูตรและสอนวิชาเลือกวิชาใหม่ชื่อ โภชนาการอาหารผัก (มังสะวิรัติ) เป็นหลักสูตรใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในอเมริกา ที่ประสบความสำเร็จมากกว่าที่ผมคาดไว้ หลังจากใช้เวลาที่ MIT และ Verginer Tech แล้วกลับมาที่ Cornell เมื่อ 30 ปีที่แล้ว งานของผมคือการรวมแนวความคิดและหลักการชั้นสูงของวิชาเคมี เคมีระดับชีวโมเลกุล กลไกชีวภาพ และวิชาว่าด้วยสารพิษขั้นสูงในเรื่องของโภชนาการ

หลังการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การศึกษา และการจัดทำแผนนโยบาย 4 ทศวรรต ผมรู้สึกว่าสามารถรวบรวมหลักการเข้ามาให้เป็นเรื่องที่จะโน้มน้าวผู้คนได้ และผมใช้มันในการสอนล่าสุด ซึ่งนักเรียนของผมหลายคนกล่าวว่า ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อจบเทอมนั้น และผมก็ตั้งใจจะนำเสนอต่อคุณ ผมหวังว่า ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนเช่นกัน
----------------------------------------------------------------------------

หาอ่านกันนะคะ จะแปลทั้งเล่มก็ไม่รู้จะไหวไหม
ข้างบนนี้ แปลประโยคต่อประโยค ยังไม่ได้เรียบเรียงเลยค่ะ
ขอบคุณ The China Study ที่ตีแผ่ความลับโภชนาการ
ที่จะพลิกความเป็นไปของสุขภาวะและชีวิตของเราได้


Create Date : 31 ตุลาคม 2552
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2552 10:43:30 น. 7 comments
Counter : 5039 Pageviews.

 
น่าสนใจมาก..แต่เช้านี้มีประชุมผู้ปกครอง
จะหาเวลาเข้ามาอ่านทีหลังนะคะ
ขอ add ไว้ก่อนนะคะ


โดย: ratana_sri วันที่: 31 ตุลาคม 2552 เวลา:6:28:32 น.  

 
dank u wel voor informatie. ik ben thai.ik woon in belgium.tot volgende keer.


โดย: mugky IP: 62.88.9.182 วันที่: 31 ตุลาคม 2552 เวลา:14:17:32 น.  

 
ขอบคุณค่ะ

Photobucket


โดย: ตะเกียงป่า วันที่: 31 ตุลาคม 2552 เวลา:15:31:15 น.  

 


โดย: หน่อยอิง วันที่: 31 ตุลาคม 2552 เวลา:20:24:42 น.  

 
กวางแปลเก่งจังเลยค่ะ น่าซื้อมาแปลเป็นเล่มนะ ทำเป็นอาชีพได้นะเนี่ย


โดย: Nuch ja IP: 220.244.105.133 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:12:43:22 น.  

 
หวัดดี ค่ะ พี่นุช,

แปลให้อ่านกัน เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งน่ะค่ะ
ยังไม่ได้มาต่อเลยค่ะ กำลังวุ่นๆ นิดหนึ่ง

ไว้ตั้งหลักได้แล้วจะมาแปลต่อค่ะ


โดย: Minie' วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:51:49 น.  

 
Hello,
please inform where can I get the Thai version?
thank you

my email: insulsim@hotmail.com


โดย: vichaiSim IP: 124.120.204.7 วันที่: 6 กันยายน 2554 เวลา:7:31:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Minie'
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]




รู้โลกเรียนธรรม

Friends' blogs
[Add Minie''s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.