Group Blog
 
All Blogs
 



Clash of The Titan 2010 Final ศึกมหาอำนาจลูกหนังยุโรปครั้งท้ายสุดบนแผ่นดินซาฟารี (1)

        ในที่สุดศึกเวิร์ลคัพ 2010 ซึ่งโรมรันพันตูมาเกือบเดือนเต็ม ก็ได้ฤกษ์ปิดฉากเสียที โดยมีมหาอำนาจลูกหนังจากแผ่นดินยุโรปทั้งสองชาติ อย่างอัศวินสีส้ม - ฮอลแลนด์ กับกระทิงดุ - สเปน เป็นคู่ชิงชัยถ้วยฟีฟ่าเวิร์ลคัพหนล่าสุด

        ทั้งสองชาติมหาอำนาจลูกหนังยุคปัจจุบัน ต่างก็ไม่เคยสัมผัสถ้วยแชมป์รายการนี้ในฐานะแชมป์เปี้ยนมาก่อน โดยอัศวินสีส้มทำได้ใกล้เคียงกว่า โดยรับบทพระรองในปี ค.ศ.1974 และ 1978 ขณะที่กระทิงดุทำได้สูงสุดเพียงแค่รอบสี่ทีมสุดท้ายในปี ค.ศ.1954 เท่านั้นเอง

        ผลงานในรอบที่ผ่านมา ทัพฟลายอิ้งดัตช์แมนดูเหลื่อมล้ำกว่านิดๆ ตรงที่ชนะรวดมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มกับเดนมาร์ก (2-0) ญี่ปุ่น (1-0) และแคเมอรูน (2-1) ผ่านเข้ามาในรอบน็อกเอาท์ อัศวินสีส้มยาตราทัพตะลุยปราบทั้งน้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ - สโลวะเกีย (2-1) เต็งหนึ่ง - บราซิล (2-1) และม้ามืด - อุรุกวัย (3-2)

        ส่วนทัพกระทิงดุ มีมลทินพ่ายในนัดเปิดหัวรอบแบ่งกลุ่มกับสวิตเซอร์แลนด์ (0-1) จากนั้นจึงเร่งเครื่องเก็บชัยจากฮอนดูรัส (2-0) และชิลี (2-1) ผ่านเข้าไปน็อกโปรตุเกส (1-0) ปารากวัย (1-0) และล่าสุดกับทีมฟอร์มแรงอย่างอินทรีเหล็ก - เยอรมัน (1-0) จนทำให้สถานการณ์ของเจ้าพอล หมึกยักษ์จอมทำนายวัย 2 ขวบ แทบจะเปลี่ยนจากสถานะตัวเป็นๆ ในตู้ปลาของสวนน้ำ ณ โอเบอร์เฮาเซ่น มาเป็นเมนูจานเด็ดเลยทีเดียวเชียว

        ทัพฟลายอิ้งดัตช์แมนมีโอกาสคว้าถ้วยแชมป์มากทีเดียว หากพิจารณาตามสถิติฟุตบอลโลกทั้ง 18 ครั้งที่ผ่านมา ทีมที่คว้าถ้วยแชมป์มักจะไม่พ่ายแพ้ต่อทีมใดเสมอ

        หากมองในมุมแบบย้อนแย้ง เรื่องสถิติเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พอมองเห็นความเป็นไปได้ (แบบเข้าข้างตัวเอง) เท่านั้น แต่ปัจจัยสำคัญจริงๆ อยู่ที่ผลงานตะบันแข้งของทั้งสองทีมในสนามมากกว่า ทั้งอัศวินสีส้มและกระทิงดุต่างก็มีขุมกำลังที่พอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ขุมกำลังสำรองของกระทิงดุดูเหลื่อมล้ำกว่านิดๆ

       เอาล่ะ... งั้นผมขอพาคุณผู้อ่านมาตามอ่านดีกว่า ว่าขุมกำลังของทั้งสองทีมมีจุดเด่น – จุดด้อยอย่างไร?? ซึ่งเพียงพอที่จะสร้างโอกาสคว้าแชมป์แรกของตนเองได้บ้าง


ผู้รักษาประตู

        มาร์เท็น สเตเกเลนเบิร์ก นายด่านจากอาแจ๊กซ์ ตัวแทนของน้าซาร์ ถึงแม้ชั่วโมงบินจะดูด้อยกว่ากาซิยาสของกระทิงดุ แต่ก็หาใช่ว่าเขาจะเป็นจุดอ่อนของทีมเสียทีเดียว ซึ่งมีจังหวะซูเปอร์เซพโชว์ออกมาให้เห็นเป็นระยะ อีกทั้งในรายการนี้เขาไม่เคยเสียประตูจากลูกกลางอากาศ แต่ที่เข้าตาสุดเป็นจังหวะเซพฟรีคิกของฟอร์ลัน ซี่งสามารถหยุดอุรุกวัย มิให้ขึ้นนำได้อย่างเฉียดฉิว

        ส่วนอิเคร กาซิยาส นายด่านจากราชันชุดขาวของกระทิงดุ เท่าที่เห็นออกอาการเหวออยู่จังหวะเดียว ในเกมเปิดหัวนัดแรกของทีมนั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะทีมทำเกมบุกเพลินไปมั้ง เลยถูกสวนยาวตูมเดียว ก็ถูกเบิกสกอร์แรกและแพ้มันซ้า ง้า ~ น นับจากนัดนั้น กาซิยาสมีสมาธิกับเกมอย่างดีเยี่ยม มีจังหวะเซพสวยๆ อยู่บ้าง อีกทั้งลูกกลางอากาศก็มิได้เป็นรองนายทวารอัศวินสีส้ม แถมยังเคยเซพจุดโทษ อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเกมกับทีมขวัญใจแม่สาวลาริสซ่าอีกต่างหาก อันเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้สเปนรักษาสถิติคลีนชีตในรอบน็อกเอาท์ก่อนถึงเวลาชิงชัย

แผงหลัง

        หากสังเกตดูให้ดี 4 นัดหลังสุดของอัศวินสีส้มเสียประตูทุกนัด อันแสดงให้เห็นว่าแผงหลังชุดนี้ยังไม่สามารถไว้ใจไดเสียทีเดียว ยอริส มาไธจ์เซ่นและจอห์นนี่ ไฮติงก้า สองปราการหลังตัวกลางบางช่วงอาจดูช้ากว่าแนวรุกคู่ต่อสู้ไป 1 จังหวะ เช่น ประตูขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกมของโรบินโญ่ ในเกมกับบราซิล หรือจังหวะสับไกตีเสมอของฟอร์ลันในเกมกับอุรุกวัย

        แต่การตัดจังหวะลูกกลางอากาศ หรือการรับมือกับการบุกกดดันจากคู่ต่อสู้ในช่วงท้ายเกม แผงหลังอัศวินสีส้มทำได้ค่อนข้างดี เสียเพียงอย่างเดียวที่สมาธิของผู้เล่นแนวรับมักจะหลุดไปนิดในช่วงท้าย เห็นได้จากลูกยิงไล่ตาม 2-3 ของอุรุกวัยนั่นแหละ

        ขณะที่เกมรับของกระทิงเปลี่ยวค่อนข้างแน่นอนกว่า เมื่อมองจากผลแข่งในรอบน็อกเอาท์ แนวรับทีมกระทิงปรับกระบวนตั้งรับเสียประตูยากขึ้น ปิดจังหวะสวนกลับของคู่ต่อกรได้ดี ไม่ผลีผลามเติมเกมรุกเหมือนในเกมแรก เซอร์คิโอ รามอส ค่อนข้างโดดเด่นทั้งเกมรุก/รับ คล้ายกับฟาน เดอ วีลของอัศวินสีส้ม ในหลายเกมเรามักจะเห็นรามอสมีบทบาทในการเติมเกมรุกมากกว่าอยู่เสมอ

แผงกองกลาง

        แผงกองกลางของทั้งสองทีม จัดว่าเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งรับบทบาทคุมเกมในสนามทั้งรุก/รับ โดยแผงกลางของทัพฟลายอิ้งดัตช์แมนดูโดดเด่นกว่าด้านการเล่นเกมรับอยู่นิดๆ โดยเฉพาะ เมื่อยามที่มีไนเจล เดอ ยองลงสนามคู่กับมาร์ค ฟาน บอมเมล กับตันทีม พ่วงตำแหน่งลูกเขยกุนซือทีมชาติอีกด้วย ซึ่งเดอ ยองมักทำหน้าที่เปรียบเสมือนผึ้งงาน ใช้ความเร็ว และความแข็งแกร่ง อันเป็นจุดเด่นของตนเอง ขึ้นเติมเกมรุก หรือลงมาช่วยตัดเกมจากจังหวะสวนกลับของคู่ต่อสู้อย่างทันท่วงทีอยู่เสมอ

        ในเกมกับจอมโหดก็เป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกองกลางผู้นี้ ในยามที่ทีมกังหันลมไร้เงาเดอ ยองอยู่ในสนาม คู่ต่อสู้สามารถทำเกมรุกกดดันได้เป็นระยะๆ ช่วงท้ายครึ่งแรก จากจังหวะแผงกลางขึ้นไปช่วยเกมรุก และถูกตัดบอลสวนกลับ แผงกลางอัศวินกลับมาช่วยเกมรับไม่ทัน จึงถูกฟอร์ลันลงโทษในที่สุด

        ส่วนแผงกลางของกระทิงดุ ก็แบ่งหน้าที่คล้ายกับทีมอัศวินสีส้ม โดยมีซาบี เอร์นานเดซ ซึ่งบาร์เซโลนาส่งเข้าประกวด ในบทบาทเป็นตัวเชื่อมเกม สร้างโอกาสขึ้นเกมรุก จากจังหวะการจ่ายบอลอันเฉียบคม แถมบางคราว ก็ยังขึ้นไปทำประตูให้กับทีมอีกด้วย

         ขณะที่เซรคิโอ บุสเกต ดาวรุ่งจากค่ายเดียวกัน รับบทบาทคอยตัดเกมเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้ชั่วโมงบินในทีมชาติของเขาจะน้อย แต่เดล บอสเก้ อาศัยว่าผู้เล่นแผงกลางทั้งสองจากค่ายบาร์ซ่า จะประสานงานกันได้ดี จากที่เคยเล่นร่วมกันในระดับสโมสรนั่นเอง

       …............
        …........
        …......
         …...


        >0< ส่วนผมต้องขอตัวไปทานข้าวก่อน เนื้อหาบทวิเคราะห์ที่เหลือ ผมจะมาอัพต่อในคราวหน้าครับ >0<

Create Date : 11 กรกฎาคม 2553
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 1:14:10 น. 0 comments
Counter : 424 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

boyberm
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




boyberm
Friends' blogs
[Add boyberm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.