การลงสี-ตัดเส้น...ช่อลายกระหนก
| เนื่องจากอาทิตย์หน้า ผมมีภารกิจที่จะต้องนำนักศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาศิลปะไทย ไปทัศนศึกษายัง ๓ จังหวัดทางภาคเหนือ เพื่อศึกษาศิลปวัฒนธรรมล้านนา ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๖ กรกฎาคม นี้ครับ...
ผมจึงได้มอบหมายงานให้กับนักศึกษา ระดับชั้น ศ.ปวส. (ศิลปกรรมประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง)ชั้นปีที่ ๑ สาขาศิลปะไทย ได้ปฏิบัติงานตามสื่อการเรียนการสอนใน Entry นี้ครับ...
วันนี้เราจะปฏิบัติงานกันใน หัวข้อ การลงสีและตัดเส้น ช่อลายกระหนก
สาระสำคัญ มีอยู่ว่า...การเขียนลวดลายไทยนั้น ความงามจะอยู่ที่การใช้เส้นเป็นหลัก โดยเฉพาะเส้นคดโค้งที่อ่อนช้อยสวยงาม ดังที่ช่างเขียนไทยโบราณกล่าวไว้ว่า “คดให้ได้วง ตรงให้ได้เส้น”
เมื่อนักศึกษาได้ฝีกฝนการเขียนเส้นด้วยดินสอมาระยะหนึ่งแล้ว ก็ควรที่จะใช้พู่กันเขียนเส้นบ้างนะจ๊ะ...เพื่อเป็นการเปรียบเทียบถึงความแตกต่าง ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
จุดประสงค์ของการเรียนรู้ ที่ครูต้องการนะ...ก็เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะการใช้สี ตามหลักเกณฑ์ของทฤษฎีสี และตามแบบอย่างของงานจิตรกรรมไทยประเพณี ที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยให้นักศึกษาปฏิบัติงานตามลำดับขั้นตอน ดังต่อไปนี้
๑. จัดเตรียมกระดาษ ๑๐๐ ปอนด์เรียบ โดยตัดให้ได้ขนาดตามความต้องการที่จะเขียน จากนั้นก็ร่างภาพจากแบบที่ครูเขียนไว้ให้ บนกระดานดำหน้าชั้นเรียน ขึ้นโครงร่างโดยรวมทั้งหมดให้ได้ก่อนนะ...แล้วจึงค่อยลงไปในรายละเอียด
๒. ตรวจสอบดูสิว่า การแบ่งจังหวะและการวางตัวกระหนกในช่อลายนั้น มีลักษณะที่ดูแล้ว รู้สึกว่าถี่ - ห่าง หรือเล็ก - ใหญ่ ต่างกันหรือไม่ ให้เปรียบเทียบระหว่างรูปทรง คือ ตัวลาย กับพื้นที่ว่าง คือ ช่องไฟ ไม่เหมือนแบบก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ต่างกันมากจนดูน่าเกลียด เมื่อเขียนตัวกระหนกเสร็จหมดแล้ว ยังไม่ต้องใส่ไส้ในนะจ๊ะ...
๓. ตีกรอบรอบช่อลายเพื่อถมพื้น โดยใช้สีฝุ่นสำเร็จรูป (สีตลับพิลิแกน) สีน้ำเงินเจือแดงผสมดำ ระบายให้ทั่วตามรอบนอกของช่อลาย ไม่จำเป็นต้องระบายให้เรียบเสมอกัน การทิ้งรอยทีแปรงเอาไว้ จะช่วยให้พื้นหลังดูไม่ทึบตัน และสามารถสร้างพลังความเคลื่อนไหว ที่ลัดเลาะไปตามลวดลายได้อีกด้วย
๔. หลักการถมพื้นในงานจิตรกรรมไทย จะต่างจากงานลายรดน้ำตรงที่ การรักษารูปทรงของบากและยอดลาย ที่เรียกกันว่า “เลี้ยงบาก, เลี้ยงยอด” ลายรดน้ำเวลาถมต้องเปิดปลายบากและยอด เพื่อไม่ให้ยอดด้วน ส่วนงานจิตรกรรมไทยสามารถลงสีทับได้ แต่ก็อย่าให้กินเข้าไปในตัวลายมากนะ เดี๋ยวรูปทรงจะเสีย...เหมือนกับคนที่กินมาก ๆ นั่นแหล่ะ...
๕. เมื่อถมพื้นเสร็จแล้ว เราก็จะลงสีในตัวลายกันนะจ๊ะ โดยใช้แบบอย่างของโบราณที่สลับสีในตัวลาย เริ่มจากสีแรก คือ สีแดง ให้เราใช้สีแดงสดละลายด้วยน้ำเยอะ ๆ เรียกว่า “น้ำสี” ระบายลงบนตัวกระหนกตามแบบสื่อการสอนนี้
๖. สีที่สอง นำสีแดงมาผสมกับสีเขียว (สีคู่ตรงกันข้าม) เพื่อลดค่าความสดของสีลง จะได้เป็นสีแดงคล้ำ หรือสีเลือดหมู ละลายให้เป็นน้ำสีแล้วก็ระบายลงไป เช่นเดียวกันกับสีแดง
๗. สีที่สาม เป็นสีที่ตัดกันหรือคนละวรรณะ กับสองสีที่เราได้ระบายไปแล้ว โดยนำสีน้ำเงินมาผสมกับสีเขียวเจือส้มนิดหน่อย (สีคู่ตรงกันข้ามกับสีน้ำเงิน) ระบายลงในลวดลายที่เหลือทั้งหมด
๘. จากนั้นเราก็ใช้ “เนื้อสี” ของทุกสีที่ได้ระบายไปแล้วข้างต้น มาเขียนเป็นไส้ในของตัวกระหนก ล้อตามเส้นรอบนอก กะระยะห่างประมาณครึ่งหนึ่งในตัวลาย ลงไปตามน้ำสีของสีนั้น ๆ จนหมดทั้งช่อลาย
๙. ใช้พู่กันจุ่มน้ำสีของแต่ละสี พอหมาด ๆ ไล่เกลี่ยรอยต่อระหว่างเนื้อสีกับน้ำสี ให้เนียนนุ่มน่าสัมผัส...
๑๐. ขั้นตอนสุดท้าย ใช้สีขาว “ตัดเส้น” รอบนอกของตัวลาย พร้อมทำรายละเอียดต่าง ๆ สังเกตดูนะครับว่า...ตรงส่วนของบากและยอดลายนั้น เราจะถมสีขาวให้ทึบเพื่อให้เห็นส่วนของบากและยอดลาย เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
๑๑. เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการลงสี-ตัดเส้น ช่อลายกระหนกแบบรัตนโกสินทร์ ที่นิยมเขียนบนพื้นฉากหลังอันมืดทึบ หากเป็นแบบสมัยอยุธยาพื้นหลังจะสว่าง เราก็สามารถนำวิธีการนี้ไปใช้ได้ แต่ต้องเปลี่ยนค่าน้ำหนักของสี เช่น สีขาวที่ใช้ตัดเส้น ก็จะเป็นสีที่เข้มกว่าตามค่าของสีในตัวลายนั้น ๆ ครับ...
ลายช่อกระหนกนี้ จะพบเห็นได้ตามจิตรกรรมฝาผนังโดยทั่วไป ส่วนมากจะใช้ประกอบกับพื้นที่ว่างของตัวภาพในส่วนที่เป็น ประตู หรือ หน้าต่าง (ทวารบาล) ซึ่งเราสามารถคิดประดิษฐ์พลิกแพลงลาย แล้วนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย
เป็นการจุดประกาย ให้ศิลปะประจำชาติไทยของเรา มีพัฒนาการก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง มิใช่หยุดนิ่งอยู่กับที่ จนกระทั่งตายสนิทไปเลย...ครับ
|
Create Date : 11 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 11 กรกฎาคม 2553 1:13:12 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3478 Pageviews. |
|