|
เคียว@mood แปลก ๆ
เรียกว่าอะไรดี บันทึกละมั้ง ( แต่ปรกติไม่ใช่มนุษย์เขียนไดอารี่หรอก อาจารย์เคยให้เขียนอยู่เดือนนึงสมัยม.ปลาย เขียนได้ออกมาเป็นวรรณกรรมดาดามาก กลับไปดูอีกทีแล้วแอบสงสัยว่าอาจารย์จะคิดยังไงตอนอ่านหนอ... )
ทำไมจู่ ๆ ถึงใช้คำว่าวรรณกรรมดาดา...เมื่อเช้าไปเดินเล่นในห้องการ์ตูนเฉลิมไทย แล้วมีคนพูดถึงฮีโร่ที่พิการ ( ไม่ใช่เอกซ์เมน ) เรียกว่ากลุ่มดูมพาโทรล เขาให้ลิงค์ไปอ่านเรื่องย่อของดูมพาโทรล เห็นมีเวอร์ชั่นเก่ากับใหม่ เวอร์ชั่นใหม่ประหลาดมาก มีกลุ่มตัวร้ายชื่อกลุ่ม "ดาดา" อุทิศตัวเพื่อความไร้สาระของโลกด้วย ( รู้สึกคนเขียนช่างเป็นศิลปิน )
ในเว็บนั้นบอกว่าดีซีกับมาร์เวลออกฮีโร่ "พิการ" มาเกือบพร้อมกัน และเชื่อว่า "โดยไม่ได้นัดหมาย" ก็มีคนสงสัยว่าจริง ๆ แล้วมันก็การฆ่ากันทางการค้าหรือเปล่า แต่เราคิดว่าไม่ใช่ เราคิดว่าบางทีคนในสังคมเดียวกันจะรับแนวคิดต่าง ๆ มาพร้อมกันโดยไม่ได้เจตนา และมีการแสดงออกเหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่ทฤษฎี เราไม่ได้อ้างทฤษฎีของใคร ถ้ามีทฤษฎีตัวนี้อยู่ก็ช่างเถอะ เพราะเราคิดอย่างนั้นจริง ๆ ทฤษฎีเป็นแค่ของที่รวบรวมขึ้นจากตัวอย่างเท่านั้นเอง ( จากนั้นเราก็ควรจะพูดกันเรื่องโลกของแบบของตาเพลโต แล้ววิธีที่ตาอริสจังโต้กลับสินะ )
เราคิดว่าช่วงนั้นฮีโร่เมกันคงงวดเต็มที ไม่รู้จะเล่นกับอะไรแล้ว ประกอบกับเกิด social awareness อะไรบางอย่างขึ้น เรื่องโซเชียลอะแวเนสนี่ในช่วงเจ็ดศูนย์มันมีเกิดขึ้นมาค่อนข้างรุนแรง เราคิดว่ามันคงมีความสัมพันธ์ในระดับใหญ่ของสังคมอีก
ยังไงก็ตาม โซเชียลอะแวเนสประกอบกับความแห้งขอดทางรูปแบบการนำเสนอ คงนำไปสู่การผลิตฮีโร่กลุ่มใหม่ขึ้นมา ดูมพาโทรลเป็นยังไงไม่รู้ แต่เราชอบเอกซ์เมนนะ เคยบ้าอยู่ช่วงนึงสมัยเด็ก ๆ ( แต่พอพยายามจะซื้อหนังสือก็แย่ไปเหมือนกัน หนังสือการ์ตูนคอมิคฝรั่งที่มาเมืองไทยนี่แพงมาก อ่านไม่รู้เรื่องอีกต่างหากเพราะใช้ศัทพ์แสลงเยอะมาก ) ว่าตามตรงแล้วเราคิดว่าเรื่องเอกซ์เมนเป็นเรื่องที่มี potantial สูงมาก โดยเฉพาะในระดับตัวละคร เพราะแค่ตัวละครนี่ก็เอามาผสมกันได้เกือบไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว เราดูสารคดี มีคนบอกว่าเอกซ์เมนรับใช้ความต้องการของคนได้หลายกลุ่มมาก
เอาเข้าจริง เราคิดว่าทุกคนต่างรู้สึกว่าตัวเองเป็น outcast ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันเป็นส่วนนึงของการรู้สึกว่าเป็นปัจเจกบุคคลด้วย แต่เราอาจจะคิดไปเองก็ได้
วันก่อนนี้เรียนนิทเช่ ตานิทเช่แกบ่นพึมพำว่าคนในโลกนี้ทำอะไรไร้สาระ ทั้ง ๆ ที่โลกและมนุษยชาติมันดำรงอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียวของจักรวาล แล้วก็สูญไป เราเห็นด้วยกับแกนะ แต่เราไม่ชอบอารมณ์สิ้นหวังของแก เราคิดว่าถ้ามันดำรงอยู่ชั่วลมหายใจเดียว เราก็อุตส่าห์มีเวลามาทำอะไร ๆ ในนี้แล้ว มีโอกาสแล้วมัวแต่มานั่งมืดมนอยู่ได้ จะไปเกิดพระแสงอะไรขึ้นมาในโลก
เราคิดว่าโลกนี้แทบไม่มีสาระอะไรเลย และอะไรที่คนยึดถือกันก็แทบจะเป็นของกลวง เราคิดว่าทุกอย่างมันเกิดแล้วมันก็จบ บางทีเราก็คิดถึงฉากในเรื่อง...ชื่ออะไรหนอ ที่นางเอกขื่อนกยูง ของคุณว.วินิจฉัยกุล เราไม่ได้อ่านเอง แต่มีคนอ่านให้เราฟัง พูดถึงฉากที่นกยูงเห็นอยุธยาที่เป็นโบราณสถาน ต่างจากอยุธยาที่เธอจำได้โดยสิ้นเชิง
มันเป็นอารมณ์เจ็บปวด แต่เราก็คิดว่า โอเค คิดถึงเรื่องอย่างเดียวกัน คิดถึงว่าถ้าสักวันมีอะไรเกิดขึ้น ของที่มนุษย์สร้างมันสุดจะไม่ทน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ของที่พยายามสร้างเต็มความสามารถก็จะแหลกสลายไปง่าย...ง่ายมาก ๆ เรื่องเล่าถ้าไม่มีคนเล่าก็จะถูกลืม อารยธรรมของมนุษย์มันเปราะบางเสียจนรู้สึกว่าแก่นสารมีจริงหรือเปล่า
เราไม่ได้สิ้นหวัง แต่เราไม่อยากในอะไรที่ไม่ถาวร ( และบางทีอาจจะไม่มีอะไรถาวรเลยก็ได้ ) ดังนั้นเราจึงอยู่ในโลกนี้ด้วยการคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์คนนึงควรทำก็คืออย่าไปเหยียบชาวบ้าน เราอยู่ด้วยความรู้สึกว่าทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
อืมม์...ฟังดูหน้าตายดีนะ
เราไม่ชอบไร้ความหวัง ใครอยากไร้หวังก็เชิญคนนั้นไร้หวังแล้วก็เสพติดความไร้หวังไปเถอะ ( ความเศร้าเป็นของเสพติดได้นะ มีการทดลองทางวิทย์แล้วว่าจะมีสารบางอย่างไหลออกมา ทำให้คนเศร้าอยู่ในมู้ดกึ่ม ๆ และเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า )
แต่เรามีความเชื่อว่ามนุษย์ก็ไม่ได้มีแต่แสงสว่างเหมือนกัน
รู้สึกเหมือนพูดอะไรที่มันลอยอีกแล้ว แต่เราก็ยังรู้สึกว่าถ้าขืนอยู่แต่ในโลกนี้โดยคิดแต่เรื่องหากิน เรียนอะไรถึงจะทำงานแล้วมีชีวิตรอดได้ เราก็คงอยู่ในวงจรของระบบไปไม่มีที่สิ้นสุด
เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเราจะออกจากระบบไปทำไม เพราะชีวิตมันสั้น แต่บางที ก็อาจจะเพราะชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะเสียมันไปกับการทำอะไรโดยไม่คิดแล้วก็ตายละมั้ง
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2548 |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2548 12:46:10 น. |
|
4 comments
|
Counter : 403 Pageviews. |
|
|
|
โดย: วัสส์ วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:11:11:31 น. |
|
|
|
โดย: เคียว IP: 61.90.44.114 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:20:16:37 น. |
|
|
|
| |
|
|
และก็อย่างที่ว่าคือมันเป็นอะไรที่จะว่าไร้สาระคงได้ มันจับอะไรมาโยนเข้าไปแบบไม่มีหัวมีหาง เป็นแนวทางศิลปะที่เล่นกับ Illogical nonsense ให้มันช็อกสังคมกันไป (มาถึงตรงนี้เริ่มงงๆ ว่าตกลงคนเขียนที่ปันว่าแกเป็นศิลปินหรือด่าศิลปิน ^^" ถึงจับเอาแนวคิดของ Dada มาทำตัวร้าย)
แต่ถึงจะบอกว่าหัวใจของ Dada คือความไร้สาระ แต่พูดไปแล้ว Dada ก็คือการกบฏต่อสังคมที่ตั้งกรอบระเบียบขึ้นมา แล้วพูดไปอีกชั้น การกบฏจะเรียกว่าไร้สาระก็คงไม่ใช่ เพราะการตั้งใจทำอะไรไร้สาระเพื่อหวังผลอะไรสักอย่าง มันก็คือสาระ
แล้วอะไรคือไร้สาระ?
บางทีสาระหรือไร้สาระอาจจะอยู่ในมุมมองของแต่ละคน อะไรที่คนคนหนึ่งมองว่าไร้สาระ อาจจะเป็นสาระของอีกคน ใครล่ะจะมาตัดสินได้ว่าอะไรที่เรียกว่าไร้สาระ
ไม่รู้พวกศิลปิน Dada คิดแบบนี้ หรือเราคิดลึกไปเอง บางทีพวกนี้อาจจะเป็นแค่คนที่มีความสุขกับการได้แหวกกรอบ แต่เราก็คิดว่าแหวกกรอบนั้นมันเหนื่อยและต้องใช้ความพยายามมากกว่าการไปตามน้ำ การยืนยันที่จะทำอะไร "ไร้สาระ" ในสายตาคนอื่นมันก็คงเหนื่อย แต่ก็เพราะโลกนี้มีคนที่ยืนยันจะทำอะไรเหนื่อยๆ ถึงมีอะไรแปลกใหม่มาให้ดู แนวทางศิลปะต่างๆ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มักเริ่มขึ้นมาจากการกบฏทางความคิดที่คนคิดและทำมักถูกมองว่าทำอะไร "ไร้สาระ" หรือ "บ้า"
บางทีคนเราอาจจะชอบตัดสินกันง่ายเกินไป และ...ไม่รู้สิ บางทีถ้ามองมุมกลับ การมานั่งบ่นงึมงำว่าคนอื่นช่างทำอะไรไร้สาระ ก็อาจจะเป็นความไร้สาระแบบหนึ่งก็ได้ สาระและไร้สาระมันมีตัวตนจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้
(เริ่มลอยตามปันไปแล้ว.... ^^")