- ประวัติ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : About Pol.Col.Dr.Siriphon Kusonsinwut
- ชีวิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน (กงสุล)
- ชีวิตนักเรียนฯ ในสหรัฐ : My Life & Experience in the United States School of Law
- การเรียนกฎหมายสหรัฐ :Course Outlines & Study In U.S. Law School [ JD. / LL.M. / JSD./ SJD. Program ]
- ว่าด้วยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ : The U.S. Constitutional Law : Rule and Legal Issues
- กระบวนการยุติธรรมสหรัฐ: Law & Order - Criminal Justice System: Criminal Law & Criminal Procedure Issues, 4th, 5th, & 6th Amendment, to the U.S. Constitution
- กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ : U.S. Intellectual Property Law : Trademark & Unfair Competition Law, Patent and Copy Rights Law
- Conflict & Peace Resolution: การจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
- กฎหมาย อำนาจ ผลประโยชน์ กับ การเมืองของไทย : Law & Problems in Thai Politics v. Fucking Coup
- บางปัญหาหลักกฎหมายมหาชน และหลักนิติรัฐของไทย: Rule of Law (Etatdedroit ) & Constitutional & Legal Issues in Thailand
- เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนและสั่งคดีของพนักงานอัยการ
- เพื่อสถาบันตำรวจไทย : The Royal Thai Police
- แด่ทวีธาภิเศก เตรียมทหาร นายร้อยตำรวจ และธรรมศาสตร์ : Educational Institute Alumni
- ขายความคิด นานาสาระ เล่าสู่กันฟัง : Idea Retailor & Current Global Problem Story
- ชีวิตหลังการศึกษา สู่โลกแห่งความเป็นจริง
- นำเที่ยวในสหรัฐและแคนนาดา : Travel Around the United States & Canada [ Victoria, Vancouver, California, Arizona, Florida, Pennsylvania, Ohio, Chicago, Indiana, New York, etc.]
- ท่องเที่ยวในอังกฤษ & ยุโรป : Travel Around England, Scotland and Europe [France, Belgium, Germany ]
- การท่องเที่ยวในเอเชีย : ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น : Travel Around Taiwan Japan and other Country in Asia
|
|
|
|
|
|
หิมะตกที่แชมเปญจ์ v. มาตรฐานจริยธรรมสื่อมวลชน
มาบันทึกกันลืมครับ .... หิมะตกที่แชมเปญจ์ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ สำหรับปีที่แล้ว กระผมจำไม่ได้แล้ว ..ว่าตกวันที่เท่าไหร่ จำได้แต่ปีแรก ที่ผมมาเหยียบประเทศสหรัฐฯ นั้น หิมะตกที่อินเดียนน่า เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ .... ตื่นเต้นมาก ....
วันนั้น เมื่อเดินออกจากบ้าน เห็นปุยขาว ๆ ลอยล่องอยู่ในอากาศ สวยงามมาก มองไปทางไหน ก็สวยงามจริง ๆ แต่ความสวยงามมันไม่จีรังหรอกครับ เพราะ หิมะตกหนาขึ้นเรื่อย ๆ ที่อินเดียนน่า หรืออิลลินอยส์นี่ ตกหนาพอ ๆ กัน คือ ประมาณ ๑ ศอก และหนาวจับขั้วหัวใจ ลงไปที่ ลบ ๒๐ องศาฟาเรนไฮน์ ไม่ผิดครับ หนาวเช่นนั้นจริง ๆ แต่หนาวเช่นนั้น ไม่นานมากนัก อาจจะแค่ ๑ สัปดาห์ ช่วงมกราคมครับ โดยปกติ จะหนาวที่ ลบ ๕ องศาฟาเรนไฮน์ [หนาวแทบมองไม่เห็นของประจำตัว อิ อิ .....ทาลึ่งจัง .....]
หิมะนี่ ตอนมันตก ลงสู่พื้นทับถมกันหนา ๆ มันก็งามตาดี ดูขาวโพลนสะอาดตาไปหมด ซึ่งหลายคนก็บอกว่าที่จริงมันไม่ได้สวยหรอก เพราะแท้จริงบรรยากาศมันเศร้าเหงาและหงอยมากครับ เวลาที่เราไม่ได้เจอแดดนาน ๆ แถมฝนก็ตกช่วงฤดูหนาวมากกว่าช่วงอื่น ๆ อีก ทั้งเปียกทั้งหนาว คิดแล้วมันก็เศร้าจริง ๆ ครับ ด้วยเหตุนี้ หากวันไหนมีแดดหน่อย พวกเราก็จะดีใจกัน เพราะชีวิตมันค่อยมีสีสันขึ้นมาหน่อย ครั้นหิมะละลายนี่สิครับ ดูไม่จืดเลย หิมะที่เคยดูขาวโพลน ตอนนี้ มันกลายเป็นโคลนดำ ๆ เลอะเทอะตามถนนไปหมด ไม่อยากเหยียบถนนเลยให้ตายเหอะ สกปรกมาก เรียกได้ว่า ที่เคยขาว ๆ ดูสะอาดตา กลายเป็นขาวข้น เทา หมองหม่น ดำ ปิ๊ด ปี๋ ไปในที่สุด
ขอพูดเรื่อง มาตรฐานจริยธรรมสื่อมวลชนซะนิดครับ สองสามเดือนมานี้ ได้อ่านข่าวและเห็นพฤติกรรมของหนังสือพิมพ์บางฉบับแล้ว ต้องบอกว่า มันควรจะเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิเกินส่วน ซึ่งไม่ควรได้รับการยอมรับตามกรอบจริยธรรม เพราะมีการการเสนอข่าวโดยใช้ถ้อยคำหยาบคายและรุนแรง เหยียดหยามศักดิ์ศรีของมนุษย์ องค์กร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น เรียก "กรมประชาสัมพันธ์" ว่า "กรมกร๊วก" เรียกผู้บริหารช่อง ๙ อสมท ว่า "ทีวีสีม่วง" เรียก ทหารในทำนองว่า "ขี้ขลาดตาขาว" สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องแปลกมาก ที่สภาการหนังสือพิมพ์ สมาคมนักข่าวฯ หรือองค์กรที่ควบคุมจรรยาบรรณสื่อปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะผิดทั้งศีลธรรมจรรยา กฎหมายอาญา และ กฎหมายแพ่ง อันไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแต่ประการใด สื่อมวลชน หาได้มีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำลายชื่อเสียงของคนอื่นแต่ประการใด การอ้างเสรีภาพของสื่อมวลที่ดูเหมือนจะไร้ขอบเขต จึงไม่สามารถกระทำได้
หากจะเปรียบกับสื่อมวลชนของสหรัฐฯ แล้ว มีมาตรฐานทางจริยธรรมที่แตกต่างกันมาก เท่าที่ติดตามข่าวสารที่สื่อมวลชนเสนอมาในรอบ ๒ ปีเศษ ก็ไม่เคยพบว่า สื่อมวลชนใช้วาจาหยาบคาย หรือมุ่งก่อความไม่สงบให้เกิดในแผ่นดินแต่ประการใด การกระทำในลักษณะเดียวกันกับที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น หากเกิดในสหรัฐฯ จะไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญสหรัฐว่าด้วย First Amendment เลย เพราะหากสื่อมวลชนใช้ถ้อยคำ "หยาบคาย" "ยั่วยุ" หรือ มีผลเป็นการชักจูงให้เกิดความไม่สงบฯ ในแผ่นดินแล้ว สื่อมวลชนก็จะต้องถูกฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญา อย่างหลีกเลี่ยงไมได้ วิธีการควบคุมมาตรฐานจรรยาบรรณของสื่อมวลชนประการหนึ่งของสหรัฐ ก็คือ การส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในสหรัฐอย่างมากมาย มหาศาล สิ่งเหล่านี้ ทำให้สื่อมวลชนในสหรัฐฯ มีคุณภาพสูง
ความรับผิดของสื่อมวลชน นอกจากจะเกิดจากการใช้วาจาหรือถ้อยคำยั่วยุ หยาบคายแล้ว การดำเนินการในลักษณะการตัดต่อข่าว หรือการเสนอไม่ตรงไม่จริง หรือ เป็นความจริงแต่ไม่ได้จริงทั้งหมด ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจสบสันและเกิดความเสียหายชื่อชื่อเสียงของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแล้ว สิ่งเหล่านี้ สื่อมวลชนก็จะต้องรับผิดชอบด้วย ถึงแม้จะเป็นบุคคลสาธารณะที่อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ การเสนอข่าวของสื่อมวลชนนั้น ก็รอดพ้นจากการติดคุก เพราะทางอาญา อาจได้รับการยกเว้น แต่ในทางแพ่งแล้ว ไม่มีรอดครับ กล่าวคือ อยากด่าทอ ก็ทำได้ แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนในการด่าทอ นั้นครับ ....
ผมอยากเห็นสื่อมวลชนไทยมีคุณภาพสูงขึ้นครับ เพราะสื่อมวลชนนี้สำคัญต่อความเจริญของบ้านเมืองนัก หากเป็นสื่อมวลชนที่ดีมีจริยธรรมคุณธรรมแล้ว ก็จะสามารถปกป้องประโยชน์มหาชนได้ แต่หากเป็นสื่อมวลที่ไร้จริยธรรม ก็สามารถทำลายชื่อเสียงของคน หลาย ๆ คน ให้ย่อยยับลงไปได้ในพริบตา นอกจากนี้ ยังจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและก่อความไม่สงบต่อประเทศชาติได้ง่ายอีกด้วย เราจะเห็นได้เนื่องตั้งแต่อดีตมา มีสื่อมวลชนที่ไร้จริยธรรมจำนวนไม่น้อย ที่อ้างประโยชน์สาธารณะบังหน้า เพื่อแสวงหาประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้งครับ
สิทธิของสื่อมวลชนนี้ กฎหมายไทย ก็วางหลักไว้เช่นเดียวกันครับ และเคยมีคำพิพากษาบรรทัดฐานวางไว้แล้ว ในกรณีที่สื่อมวลชนไร้จริยธรรมด้วยเสนอข่าวทำให้ผู้อื่นเสียหายนั้น จะต้องรับผิดเสมอ ตัวอย่างเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๗-๒๓๘/๒๕๑๔ นี้ครับ
"การที่จำเลยป่าวประกาศ ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ว่าโจทก์เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่น่ารังเกียจของประชาชนชาวไทย และการป่าวประกาศซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่าโจทก์เป็นคนโลภอำนาจทางการเมืองและมักใหญ่ใฝ่สูง ยอมทิ้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และและกลายเป็นผู้ที่ประชาชนชิงชังจนไม่อาจอยู่ประเทศไทยได้ ดังนี้ ย่อมเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์ มีความผิดฐานละเมิดโดยการไขข่าวแพร่หลาย ตามมาตรา ๔๒๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" [เก็บมาจาก บล๊อกท่าน Nazkull ]
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2548 | | |
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:10:44 น. |
Counter : 660 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ผมกับฟัก
ช่วงนี้ มีข่าวที่สำคัญ คือ นางมายเนอร์ ที่ประธานาธิบดีบุช เสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด เมื่อสักเดือนที่แล้ว ได้ยื่นหนังสือ เมื่อวันที่ ๒๘ ต.ค. ๔๘ ประกาศขอถอนตัวจากการเป็น Nominee
มีหลายกระแสคาดเดาว่า เธอคงไม่ผ่านความเห็นชอบ (Approval) ของสมาชิกวุฒิสภา หากยังดึงดันต่อไป เพราะดูจากประวัติเธอ ก็จบจาก SMU ซึ่งหากจะดูจาก Ranking แล้ว ก็อยู่ประมาณลำดับที่ ๕๐ ของตาราง แม้จะเป็นหญิงแกร่งคนแรกของ Texas State Bar Association แต่เธอก็ไม่เคยได้มีผลงานในการแสดงจุดยืนของกฎหมายที่โดดเด่นอะไร ไม่เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน ฯลฯ และที่สำคัญ วุฒิสมาชิกสายพรรค Republican ของนายบุชเอง ก็แสดงท่าทีไม่ด้วยกับบุชแม้แต่น้อย การถอนตัวเองครั้งนี้ ของเธอ จึงเป็นการผ่าทางตันให้ตัวเอง และนายบุช
หากจะกล่าวกันจริง ๆ มีผู้พิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐฯ เพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้สำเร็จการศึกษาจาก Top 10 Law School ของสหรัฐ เช่น Justice Black จบจาก Alabama Law School (Ranking อยู่ที่ ๔๐ ) Justice White จบจาก Washington and Lee Law School (Ranking อยู่ที่ ๒๓ ) Justice Steven จบจาก Northwestern Law School (Ranking อยู่ที่ ๑๒ ) นอกจากนี้ ก็ไม่ค่อยมีแล้ว เพราะโดยหลักการแล้ว American Bar Association จะจัดทำบัญชีรายชื่อ นักกฎหมายที่เขาบอกว่ามีชื่อเสียงแล้ว จัดทำข้อเสนอไปยังประธานาธิบดีฯ เพื่อคัดเลือก ในระดับ Federal Judge ก็เช่นกัน โดยหลักวุฒิสมาชิก ในภูมิภาคนั้น ๆ จะเป็นผู้แนะนำให้ประธานาธิบดี เป็นคนเลือก แต่นายบุชฯ เขาไม่สนหรอก เขาทำตามใจของเขา โดยไม่สนใจใคร ทั้งสิ้น
มีคนวิจารณ์กันว่า นางมายเนอร์ แม้จะทำงานเป็นเจ้าของบริษัททนายความเป็นของตนเอง เป็นที่ปรึกษานายบุช ตั้งแต่เป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัส และเป็นคณะที่ปรึกษาของทำเนียบขาวในปัจจุบัน รวมถึง ยังเป็นผู้เสนอชื่อนาย จอห์น โรเบิร์ต ให้เข้าชิงตำแหน่งประธานศาลสูงสุด จนได้รับชัยชนะและยอมรับจากวุฒิสภาก็ตาม แต่เธอ ก็ไม่มีจุดแข็งที่จะแสดงให้เห็นว่า เธอมีความสามารถในการตัดสินปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายรัฐธรรมนุญแม้แต่น้อย เธอก็คงรู้ตัวดี แล้วก็ถอนตัวไปในที่สุด ผมกำลังจับตาดูว่า ใครจะได้รับเสนอชื่อเพื่อถูกเชือดเป็นรายต่อไปครับ เพราะวุฒิสมาชิกจากทั้งสองพรรคก็ประกาศเตือนนายบุช ว่าต้องระมัดระวังในการเสนอชื่อให้จงหนักฯ
หากจะเปรียบเทียบกับเมืองไทย ก็คงจะคล้ายกับกรณีของ ศ. ดร.เสาวณีย์ อัศวโรจน์ อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖ ท่านเป็นศาสตราจารย์หญิงคนแรกในทางกฎหมาย แต่ตามประวัติการศึกษาของท่านก็ไม่ได้แสดงจุดแข็งในด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะท่านเจาะลึกในด้านกฎหมายการค้า ตั๋วเงิน และการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ แต่ในที่สุด ท่านก็ผ่านกระบวนการคัดเลือกและได้รับการแต่งตั้งในที่สุด
กลับมาเรื่อง ช่วงนี้ วุ่นสุด ๆ กับสิ่งที่ตนเองทำลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว ผมทำในสิ่งที่ทำให้ผมต้องปวดหัวมากพอสมควร จะเล่าเรื่องไหนก่อนดี เรื่อง ฟักก่อนดี หรือเรื่อง ผม ก่อนดีเอ่ย
เอาเป็นว่าเรื่องที่ทำที่ผมให้ผมต้องปวดหัวหรือปวดศีรษะมากหน่อย ก็เรื่องเกี่ยวกับ หัว ของผมนี่แหละ หลายท่านคงไม่ทราบว่าราคาค่าตัดผมที่นี่มันค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับเมืองไทย ที่เมืองไทย ราคาค่าบริการทั่วไป น่าจะอยู่ที่ ๕๐ บาท สำหรับท่านชาย แต่ที่สหรัฐฯ ตัดผมครั้งละ อย่างน้อยก็ ๑๒ ถึง ๒๐ เหรียญ ไม่รวมทิป ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ต้องให้ อย่างน้อยอีก ๑ หรือ ๒ เหรียญ ตามกำลังศรัทธาของผู้ใช้บริการ แต่จะบอกว่า ไม่ศรัทธาในบริการ แล้วไม่ให้เลย ก็ไม่ได้อีก เพราะคราวหน้าไปตัดอีกตายแน่ ๆ คาดเอาไม่ได้ว่า ทรงผมจะออกมาเป็นอย่างไร อีกทั้ง จะไปฟ้องร้องตำรวจให้ดำเนินคดีแบบที่เกิดที่เมืองไทย เมื่อเดือนก่อน ก็คงจะเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่ง
กว่าสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปซื้อของใช้ที่ร้านวอลล์กรีนด์ ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อ แบบที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น บ้านเรา เดินไปสะดุดตากับ แบตตาเลี่ยน ที่ขายอยู่ในร้าน สนนราคาต่ำสุดอยู่ที่ ๙ เหรียญ จนแพงสุดที่ ๓๐ กว่าเหรียญ ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างอะไรกันมาก ยกเว้น รูปร่างภายนอกของแบตตาเลี่ยน ผมเลยตัดสินใจซื้อมัน ไหน ไหน ก็ ไหน ไหน ลองสักครั้งจะเป็นไร แน่นอนที่สุด ราคา ๙ เหรียญก็น่าจะเกินพอแล้วสำหรับการทดลองเป็นช่างด้วยตนเอง
สิ่งแรกที่ผมสะดุดตามาก คือ ปลอก แบตตาเลี่ยนก็มี ปลอก ที่ใช้เป็นเครื่องวัดระดับความยาวของเส้นผม ตั้งแต่ครึ่งนิ้ว, ๑ ส่วน ๔ นิ้ว, ๓ ส่วน ๘ นิ้ว และ ๑ ส่วน ๘ นิ้ว ดังนั้น หากเราต้องการขนาดใด ก็ใส่ปลอกขนาดนั้นเข้าไปให้เหมาะสมกับขนาด ซึ่งถ้าเราใส่ปลอกผิดขนาด ก็อาจจะมีปัญหาได้ง่าย เพราะมันไม่สมส่วนกันนี่ครับ เมื่อไปถึงบ้าน ผมก็ลองสวมปลอกทันที แน่นอนที่สุด ผมต้องเลือกขนาดปลอกที่ใหญ่ที่สุดก่อน แล้วสวมเข้าไป เพื่อป้องกัน.... เมื่อสวมปลอกเสร็จ ก็ต้องมีการอุ่นเครื่องกันก่อนสักนิด คือ เปิดเครื่องตัดผม แล้วก็ลงมือปฏิบัติจากด้านหลังมาก่อน เพราะอย่างน้อง ผมก็ยังไม่เห็นมัน ผมไถผมออกโดยใช้ความรู้สึกฯ เพราะลืมซื้อกระจกส่งหลังมาฯ เส้นผมที่ยาวประมาณ เกือบ ๑๐ นิ้ว ร่วงหล่นตามพื้นฯ ทีละน้อยทีละน้อง จนหมดด้านหลัง จากนั้น ผมหันมาจู่โจมด้านหน้าบ้าง ไม่รู้จะทำไง เลยไถมันต้องแต่ด้านหน้าผาก ปื๊ด ปื๊ด ปื๊ด เสร็จเร็วกว่าที่คิดครับ แป๊บเดียวหมดหัว กลายเป็นไอ้โล้นซ่า แบบสกินเฮด เรียบร้อย ทำใจกับทรงผมใหม่อยู่นาน
ผมเริ่มมาดูหัวผม โอ้ยแผลเต็มไปหมด ...ตอนเล็ก ๆ ซนไปหน่อย วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งเอาหัวไปชนเสา ชนตะปู ที่ใต้ถุนบ้านผม ที่เป็นไม้ หัวแตก เนื้อหลุดไปเป็นแถบ ๆ อย่างไรเหรอครับ แน่นอนครับ ผมไม่เคยขึ้นมาให้เห็นในบริเวณนั้นอีกเลย นับแต่นั้นมา ......ตอนนี้ นอกจากหัวไม่สวยเพราะเต็มไปด้วยแผลแล้ว ยังพลาดอย่างยิ่งใหญ่ที่ทำให้ปวดหัวมาก คือ อากาศเย็นมากครับ....เพราะอากาศมันหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยครับ แบบว่าประมาณ ศูนย์องศาเซลเซียสในยามค่ำคื่น กลางวันประมาณ ๑๐ องศาเซลเซียส
ทางแก้ไข ก็น่าจะต้องอาศัย ปลอก อีกนั่นแหละ คือว่า ต้องหาหมวกไหมพรม เอามาใส่ครอบหัวและใบหู ไม่ให้มันประทะกับลมหนาว .... ก่อนมาสหรัฐฯ มีคนเตือนว่า ที่สหรัฐมันหนาว ประเภทว่า หนาวจนหูหลุดไปยังไม่รู้ตัว ผมไม่เชื่อหรอก แต่พอเจอหน้าหนาวที่นี่จริง ๆ มันหนาวจริง ๆ หนาวจนหูชา หยิบจับไม่เจ็บฯ เขาเล่ากันว่า ถูกดึงหูออกไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวก็มี เพราะมันไม่เจ็บ ... คิดแล้วสยองครับ .... คราวหน้า จะมามาเล่าเรื่อง ฟักครับ
Create Date : 29 ตุลาคม 2548 | | |
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:09:52 น. |
Counter : 505 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|