*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 

มาดูภาพหิมะ กับเสื้อผ้าจากไทย ....



วันนี้ (๘ ธ.ค.๔๘) นำเสนอเรื่องราวไปแล้วตอนหัวค่ำของสหรัฐ คือ เรื่อง เวปไซต์ "สนธิ - ผู้จัดการ" ที่ "ผู้จัดการ" รังเกียจเดียจฉันท์ ตกดึก ไปอ่านเวปไซต์ของ ท่านพี่วีระศักดิ์ฯ ที่ถ่ายภาพงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เลยหยิบภาพที่เก็บไว้ในห้องภาพของพี่เขามาฝาก

ภาพที่นำเสนอ หากจะเปรียบเทียบกับสถานที่เดียวกันของมหาวิทยาลัย Illinois ที่เมือง Urbana-Champaign เมืองแฝดแห่งนี้ ในช่วงเวลาซัมเมอร์ (ประมาณ มิถุนาย ถึง สิงหาคม ) แล้วจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันมาก ในช่วงหน้าร้อน อุณหภูมิ สูงสุดประมาณ ๑๑๐ องศา F แต่ในหน้าหนาว อุณหภูมิ ต่ำสุดของที่นี่ คือประมาณ - ๑๐ องศา F แต่ด้วยความแรงของลม ทำให้อุณหภูมิลดต่ำเพราะความหนาวของลม ไปถึง - ๒๐ กว่าองศา F ได้

การอยู่รอดปลอดภัยในฤดูหนาว จึงเป็นเรื่องสำคัญฯ เสื้อผ้าที่เตรียมมาจากเมืองไทย ดูจะไร้ความหมายไปสิ้นเชิง เพราะกรรมวิธีการผลิตเสื้อผ้าสำหรับใช้เมืองไทย แตกต่างจากเสื้อผ้าที่ใช้ในเมืองหนาวมาก เสื้อผ้าที่ผลิตเพื่อใช้ในเมืองไทย เมื่อนำมาซักอบความร้อน และปั่นแห้ง เนื่องจากไม่มีแดด และเนื้อที่ ซึ่งเราจะเอาเสื้อผ้าไปแขวนตากแดดแบบเมืองไทยเราได้ ก็ต้องอบแห้ง .... ซัก และอบแห้ง รวมกันประมาณ ๒ เหรียญเศษ ๆ ครับ (แล้วแต่ความงกของร้านที่ให้บริการ)




เสื้อผ้าที่ผมนำมาจากเมืองไทยนี่ หดเหมือนเสื้อผ้าเด็กเลย ...สรุป ใส่ไม่ได้ไปหลายตัว ก็ไม่รู้ว่าเขาห้ามซักและปั่นด้วยความร้อนฯ ก็หดเรียบร้อยหมด ตอนหลัง ๆ ผมไปซื้อเสื้อผ้า Clearance มาใช้ คือ นโยบาย ร้านค้า ต่าง ๆ นี่ ซื้อของแล้วเก็บใบเสร็จไว้ ไม่พอใจ คืนได้ตามกำหนดเงื่อนไขไว้ สินค้าที่รับคืนแล้ว ก็เอามาวางขายต่อ ราคาก็ลดลงไปประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ลดซ้ำไปซ้ำมา เสื้อผ้าตัวละ เหรียญสองเหรียญไปเลยก็มี เคยซื้อรองเท้ามียี่ห้อดี ๆ ที่ปกติ ราคา ๕๐ เหรียญ ลดไปลดมา เหลือ ๕ เหรียญ เออ เสร็จเรา ถูกดี

พูดถึงเสื้อผ้ากันอีกสักนิด ที่ผมบอกว่าเสื้อผ้าเมืองไทย เอามาใช้ที่นี่แล้วหด ไม่ใช่ของที่ผลิตในเมืองไทยจะไม่ดีนะครับ แต่มันขึ้นอยู่กับเขาผลิตให้ใครใช้นะครับ ถ้าผลิตในเมืองไทย ใช้ในเมืองไทย มันต้องเป็นเสื้อผ้าโปร่ง ๆ สบาย ๆ ซกด้วยเครื่องธรรมดา แล้วก็ตากปกติ ฯ ย่อมไม่เหมาะสมจะนำมาใช้ที่นี่อยู่แล้วครับ



แต่เพื่อนทราบหรือไม่ครับ เสื้อผ้ามียี่ห้อดี ๆ ทั้งหลายแหล่ ผลิตจากประเทศโลกที่สามทั้งนั้น เมืองไทย ก็เป็นแหล่งผลิตหลายยี่ห้อ ผมเคยซื้อเสื้อกันหนาวยี่ห้อหนึ่ง แปลเป็นไทยว่า "สาธารณรัฐแห่งกล้วย"(ไม่อยากกล่าวถึงยี่ห้อเขา) ก็ผลิตในประเทศไทยเรา หันไปมองรอบ ๆ ยี่ห้ออื่น ๆ ก็ผลิตในเวียตนาม ปากีสถาน ฯลฯ โดยสินค้าจากจีน จะถูกกว่าเพื่อน .... นี่แหละ ถึงบอกว่า เสื้อผ้าเจ๋ง ๆ หลายยี่ห้อ รองเท้าดัง ๆ หลายยี่ห้อ ฯลฯ ล้วนแต่ MADE IN THAILAND ทั้งนั้นครับ

น่าภูมิใจไม่น้อย แต่อย่าได้หวังว่าจะหาซื้อได้ในประเทศไทยนะครับ เจ้าของชื่อสินค้านั้น เขาคงทำสัญญาห้ามขายในประเทศเราอยู่แล้วนะครับ ตอนผมกลับเมืองไทย จะกลุ้มมาก กับการซื้อของฝาก โดยเฉพาะถ้าซื้อเสื้อผ้านี่ ลำบากใจมาก เพราะ นอกจากจะมีราคาแพง คนรับยังไม่เห็นคุณค่าอีก ก็เข้าใจเขานะครับ ...มันไม่ได้ตีตรา MADE IN U.S.A. แต่มันผลิตจากประเทศโลกที่สามทั้งนั้น ..... .....

ใครที่มาอยู่ในสหรัฐฯ คงจะเข้าใจ ...แต่เพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่รู้จักกันอะดิ ...มันรับของผมไป มันร้อง "ยี้" ทำปากห้อย "ร้อยยี่สิบ" เลยทันที .... เอาอะไรมาให้ผมเนี่ย...เวรกรรมจริง ๆ ครับ



อีกอย่างที่ พวกเรามาจากเมืองร้อนมักจะทำ คือ หนาว ก็เลยไม่ออกจากบ้าน ไม่ออกกำลังกาย อ้วนฉุขึ้นมาทันทีทันใด อย่างปีก่อน บ้านผมไกล รถเมล์หมดตอน ๖ โมงเย็น แย่เลย ต้องกลับบ้านเร็ว จะวิ่งข้างนอกก็ไม่ไหว หนาวไป จะไปโรงยิม รถก็หมดก่อน กลับบ้านก็จะลำบาก เป็นอันว่า เข้าทำนองที่ว่า ไม่ได้กำลังกายเท่าไหร่ น้ำหนักเพิ่มพรวด ๆ เป็นเกือบ ๘๐ กิโลกรัม ....เดินไปไหนมาไหน กลิ้งแทนได้เลย

ปีนี้โชคดีหน่อย อยู่ใกล้ เดินกลับบ้านได้ ก็ออกกำลังได้สบาย ๆ นักเรียนไทย ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้หญิงหน้าตางาม ๆ นี่ยิ่งแปลกมาก ยิ่งงามยิ่งไม่ค่อยออกกำลังครับ แต่ฝรังนี่ ที่หน้าตางาม ๆ นี่ นิยมออกกำลังกายมากครับ เรียกได้ว่าโรงยิมมหาวิทยาลัยผมใหญ่มาก ๆ จนขนาดนักเรียนปริญญาเอกที่ Oxford ของอังกฤษ ซึ่งมาทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยผม ยังออกปากว่า ที่นี่ทุกอย่างดีกว่าที่อังกฤษมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ในหลาย ๆ ด้าน สาวฝรั่งฯ ทำให้โรงยิมที่ใหญ่โตนี้ เล็กลงถนัดตา โดยเฉพาะ บางส่วนของสาวฝรั่ง งาม ๆ เหล่านั้น มันพองจนทำให้คนที่ออกกำลังกายในโรงยิม ตาลาย กันเป็นทิวแถวนะครับ แต่ผมก็ยังเชื่อว่า ของไทยดีที่สุดในโลก ...(เสื้อผ้านะครับ ไม่ใช่อย่างอื่น)



สุดท้ายครับ .....เมื่อเพื่อน ได้ เห็นภาพหิมะฯ กันแล้ว คงจะหนาวแทนผมเลยซิครับ .......




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2548    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:11:19 น.
Counter : 745 Pageviews.  

ดนัย อุดมโชค ชนะเลิศ ที่เมือง Urbana-Champaign



วันนี้ ขอรายงานข่าวเกี่ยวกับเทนนิสสักนิด นักเทนนิสของไทย คือ ดนัย อุดมโชค ชนะเลิศในรายการ USTA Challenger 2005 ซึ่งเป็นรายการแข่งขันเทนนิส ที่จัดขึ้นที่เมือง Urbana-Champaign ทุกปี โดยในปีนี้ จัดที่สนามเทนนิส ในร่มของมหาวิทยาลัย Illinois ระหว่างวันที่ ๑๒ ถึง ๑๙ พฤศจิกายน ๒๐๐๕ ครับ



ดนัย อุดมโชค นักเทนนิสมือรองจากนายบอลลลลลล (ชื่อจริงว่าอะไรจำไม่ได้) ได้มาร่วมแข่งขันในรายการนี้ มาหลายปีแล้ว ปีนี้ ดนัยอายุ ๒๔ ปี (แม้หน้าตาของเขาจะประมาณว่ามีอายุ ๓๔ ปีขึ้นไป ก็ตาม) ได้รับการจัดวางเป็นมืออันดับ ๕ ของรายการ ต้องพบกับศึกหนัก เพราะ Justin Gimelstob นักเทนนิส อเมริกัน มือวางประมาณ ๙๕ ของโลก (มั๊ง) โดยคู่แข่งของดนัยฯ สูงอายุกว่าดนัยประมาณ ๗ ขวบปี (แก่เหมือนกันนะเนี่ย)



ลองเปรียบเทียบความสูงของดนัยฯ กับคู่แข่งของเขาซิครับ คนที่ยืนข้าง ๆ ดนัยนั่นแหละครับ


ดนัยฯ ของเรา เสียเปรียบทุกประการ ตั้งแต่รูปร่างที่สูงแค่ประมาณ ๑๗๐ ซม. รูปร่างเล็ก แต่คู่แข่งของดนัยฯ สูงใหญ่มาก สูงประมาณ ๑๙๐ ซม. แถมมีวางอันดับโลกสูงกว่า และเป็นมือวางอันดับสองของรายการ

เริ่มต้น ฝ่ายตรงข้ามที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่า มีความได้เปรียบในการเสิร์ฟลูกยิ่งนัก สามารถทำแต้มด้วยลูกเสิร์ฟยอดเยี่ยมไปหลายลูก และเก็บเกมแรกไปได้อย่างง่ายดาย พวกเราก็ยังหวังว่า ดนัยจะกลับมาทำคะแนนได้ในเกมเสิร์ฟของเขา ที่ไหนได้ โดนเบรกเกมเสิร์ฟไปอีก ดนัยจึงถูกนำไป ๓ ต่อ ๐



แต่คนไทยเราหรือจะย้อท้อ .. เชียร์มันเข้าไป (แม้จะเป็นการเชียร์เงียบ ตามกติกาการชมเทนนิส) ตัวดนัยฯ เอง คงได้รับแรงใจจากพวกเรา ทั้งที่เป็นนักเรียนของ U of Illinois และคนไทยที่อยู่ที่นี่ ดนัยฯ หันกลับมามองพวกเราหลายครั้ง พร้อมส่งสายตาทำนองว่า "ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังครับ" เขาจึงกลับมาควบคุมอารมณ์ และสติได้ดีกว่า พร้อมกับบีบให้คู่แข่งอารมณ์เสีย จนตีเสียเองบ่อยครั้ง ดนัยฯ จึงตีตื้นขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเสมอ กัน ๕ ต่อ ๕



ในที่สุด ดนัยฯ จึงชนะไปในเซ็ต แรกด้วยคะแนน ๗ ต่อ ๕ และในเซ็ตที่สอง ดนัยฯ ก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังครับ ดนัยฯ ทำคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งไป ถึง ๕ ต่อ ๒ ....... แล้วผมก็คิดว่า ...เกมสุดท้ายแล้ว ดนัยฯ น่าจะต้องออกแรงอย่างหนักหน่วงฯ ผมจึงไปห้องน้ำซะหน่อย ...ทนไม่ไหวแล้ว ...... พร้อมใส่ตีนหมาโกยแนบไปห้องน้ำทันที



สาว ๆ กับ กรรมการ (ผู้เก็บลูกเทนนิส) ตัวน้อย


หลังจากรีบทำธุระฯ ผมจึงได้วิ่งกลับเข้ามาในสนามเทนนิสในร่ม ของมหาวิทยาลัยผม ที่จัดการแข่งขันครั้งนี้ ผมงงไปหมด ทำไม ดนัยฯ กรรมการ และคู่แข่ง เข้าไปยืนกลางสนามกันหมด ฯ ผมถามเพื่อน ๆ ที่มาเชียร์ ว่ายังไม่เริ่มแข่งอีกเหรอ .... เพื่อนบอกว่า เขาชนะกันไปแล้ว ด้วยคะแนน ๖ ต่อ ๒ เสียดายครับ ไม่น่าไปห้องน้ำเลยฯ ไม่ได้ดูเกมสุดท้าย ว่าง่าย ๆ ๆ



เป็นอันว่า ดนัยฯ ชนะเลิศ ไม่เสียแรงที่ตามเชียร์มาหลายวันครับ .... แม้เงินรางวัลที่เขาได้รับ จะไม่มากเท่าไหร่ คือ ประมาณ ๗,๒๐๐ เหรียญ ก็ตาม แต่มันน่าภูมิใจครับ คนไทยด้วยกัน ไงพวกเราก็เชียร์ครับ ...และการเชียร์ครั้งนี้ ก็เป็นการเชียร์ ด้วยพลังอันบริสุทธิ์ของพวกเรา ที่เรามีให้คนไทยด้วยกันอย่างสุดหัวใจ



การชนะของดนัยฯ มีผลทำให้เขาได้รับคะแนนสะสม อันดับโลกไป ประมาณ ๔๐ คะแนน พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของอันดับโลกประมาณ ๒๐ กว่าตำแหน่ง น่าดีใจกับเขาครับ อีกประการหนึ่ง ดนัยฯ ไม่หยิ่งยะโสฯ มาที่นี่ เขาก็อ่อนน้อมถ่อมตนมาก เจอใครที่เขามั่นใจว่าเขาจะมีอายุน้อยกว่า เขาก็ยกมือไหว้... นี่แหละครับ ยกมือไหว้ มีแต่ได้กับได้ ใครเห็นใครก็รัก ใครก็ชอบครับ



หลังการชนะเลิศ ก็ต้องมีการเฉลิมฉลองกันครับ ส่วนใหญ่ ก็นักเรียนไทยที่เรียนที่ มหาวิทยาลัย อิลลินอยส์ (UIUC) โดยมีเจ๊เจี๊ยบ เจ้าของร้าน Basil Thai ที่เมืองนี้ เป็นหัวเรือใหญ่ เปิดบ้านตอนรับเลี้ยง จัดเตรียมอาหาร พร้อมเครื่องดื่มให้กับพวกเราฯ ที่ไปร่วมงานกันกว่า ๒๐ คน ในยามค่ำคืนที่เหน็บหนาว แต่อบอุ่นไปด้วยมิตรภาพและน้ำใจที่งดงามของคนไทยครับ สุดท้าย หวังว่าเขาจะมีอันดับโลกที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ



ดนัย กับเจ๊เจี๊ยบฯ เจ้าของร้าน Basil Thai ในเมืองนี้


ปล. คำถามท้ายบล๊อก ...เพื่อน ๆ ว่า Urbana-Champaign นี้ ออกเสียงว่าอะไรครับ ..... คือ หนังสือพิมพ์ ภาษาไทยของเรา ออกเสียงว่า "อูร์บาร์น่า-แชมเปียง" ครับ เพื่อน ๆ ละ ออกเสียงว่าอะไร




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:11:01 น.
Counter : 1161 Pageviews.  

หิมะตกที่แชมเปญจ์ v. มาตรฐานจริยธรรมสื่อมวลชน

มาบันทึกกันลืมครับ .... หิมะตกที่แชมเปญจ์ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ สำหรับปีที่แล้ว กระผมจำไม่ได้แล้ว ..ว่าตกวันที่เท่าไหร่ จำได้แต่ปีแรก ที่ผมมาเหยียบประเทศสหรัฐฯ นั้น หิมะตกที่อินเดียนน่า เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ .... ตื่นเต้นมาก ....




วันนั้น เมื่อเดินออกจากบ้าน เห็นปุยขาว ๆ ลอยล่องอยู่ในอากาศ สวยงามมาก มองไปทางไหน ก็สวยงามจริง ๆ แต่ความสวยงามมันไม่จีรังหรอกครับ เพราะ หิมะตกหนาขึ้นเรื่อย ๆ ที่อินเดียนน่า หรืออิลลินอยส์นี่ ตกหนาพอ ๆ กัน คือ ประมาณ ๑ ศอก และหนาวจับขั้วหัวใจ ลงไปที่ ลบ ๒๐ องศาฟาเรนไฮน์ ไม่ผิดครับ หนาวเช่นนั้นจริง ๆ แต่หนาวเช่นนั้น ไม่นานมากนัก อาจจะแค่ ๑ สัปดาห์ ช่วงมกราคมครับ โดยปกติ จะหนาวที่ ลบ ๕ องศาฟาเรนไฮน์ [หนาวแทบมองไม่เห็นของประจำตัว อิ อิ .....ทาลึ่งจัง .....]

หิมะนี่ ตอนมันตก ลงสู่พื้นทับถมกันหนา ๆ มันก็งามตาดี ดูขาวโพลนสะอาดตาไปหมด ซึ่งหลายคนก็บอกว่าที่จริงมันไม่ได้สวยหรอก เพราะแท้จริงบรรยากาศมันเศร้าเหงาและหงอยมากครับ เวลาที่เราไม่ได้เจอแดดนาน ๆ แถมฝนก็ตกช่วงฤดูหนาวมากกว่าช่วงอื่น ๆ อีก ทั้งเปียกทั้งหนาว คิดแล้วมันก็เศร้าจริง ๆ ครับ ด้วยเหตุนี้ หากวันไหนมีแดดหน่อย พวกเราก็จะดีใจกัน เพราะชีวิตมันค่อยมีสีสันขึ้นมาหน่อย ครั้นหิมะละลายนี่สิครับ ดูไม่จืดเลย หิมะที่เคยดูขาวโพลน ตอนนี้ มันกลายเป็นโคลนดำ ๆ เลอะเทอะตามถนนไปหมด ไม่อยากเหยียบถนนเลยให้ตายเหอะ สกปรกมาก เรียกได้ว่า ที่เคยขาว ๆ ดูสะอาดตา กลายเป็นขาวข้น เทา หมองหม่น ดำ ปิ๊ด ปี๋ ไปในที่สุด

ขอพูดเรื่อง มาตรฐานจริยธรรมสื่อมวลชนซะนิดครับ สองสามเดือนมานี้ ได้อ่านข่าวและเห็นพฤติกรรมของหนังสือพิมพ์บางฉบับแล้ว ต้องบอกว่า มันควรจะเข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิเกินส่วน ซึ่งไม่ควรได้รับการยอมรับตามกรอบจริยธรรม เพราะมีการการเสนอข่าวโดยใช้ถ้อยคำหยาบคายและรุนแรง เหยียดหยามศักดิ์ศรีของมนุษย์ องค์กร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น เรียก "กรมประชาสัมพันธ์" ว่า "กรมกร๊วก" เรียกผู้บริหารช่อง ๙ อสมท ว่า "ทีวีสีม่วง" เรียก ทหารในทำนองว่า "ขี้ขลาดตาขาว" สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องแปลกมาก ที่สภาการหนังสือพิมพ์ สมาคมนักข่าวฯ หรือองค์กรที่ควบคุมจรรยาบรรณสื่อปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะผิดทั้งศีลธรรมจรรยา กฎหมายอาญา และ กฎหมายแพ่ง อันไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแต่ประการใด สื่อมวลชน หาได้มีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำลายชื่อเสียงของคนอื่นแต่ประการใด การอ้างเสรีภาพของสื่อมวลที่ดูเหมือนจะไร้ขอบเขต จึงไม่สามารถกระทำได้

หากจะเปรียบกับสื่อมวลชนของสหรัฐฯ แล้ว มีมาตรฐานทางจริยธรรมที่แตกต่างกันมาก เท่าที่ติดตามข่าวสารที่สื่อมวลชนเสนอมาในรอบ ๒ ปีเศษ ก็ไม่เคยพบว่า สื่อมวลชนใช้วาจาหยาบคาย หรือมุ่งก่อความไม่สงบให้เกิดในแผ่นดินแต่ประการใด การกระทำในลักษณะเดียวกันกับที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น หากเกิดในสหรัฐฯ จะไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญสหรัฐว่าด้วย First Amendment เลย เพราะหากสื่อมวลชนใช้ถ้อยคำ "หยาบคาย" "ยั่วยุ" หรือ มีผลเป็นการชักจูงให้เกิดความไม่สงบฯ ในแผ่นดินแล้ว สื่อมวลชนก็จะต้องถูกฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญา อย่างหลีกเลี่ยงไมได้ วิธีการควบคุมมาตรฐานจรรยาบรรณของสื่อมวลชนประการหนึ่งของสหรัฐ ก็คือ การส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในสหรัฐอย่างมากมาย มหาศาล สิ่งเหล่านี้ ทำให้สื่อมวลชนในสหรัฐฯ มีคุณภาพสูง

ความรับผิดของสื่อมวลชน นอกจากจะเกิดจากการใช้วาจาหรือถ้อยคำยั่วยุ หยาบคายแล้ว การดำเนินการในลักษณะการตัดต่อข่าว หรือการเสนอไม่ตรงไม่จริง หรือ เป็นความจริงแต่ไม่ได้จริงทั้งหมด ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจสบสันและเกิดความเสียหายชื่อชื่อเสียงของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแล้ว สิ่งเหล่านี้ สื่อมวลชนก็จะต้องรับผิดชอบด้วย ถึงแม้จะเป็นบุคคลสาธารณะที่อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ การเสนอข่าวของสื่อมวลชนนั้น ก็รอดพ้นจากการติดคุก เพราะทางอาญา อาจได้รับการยกเว้น แต่ในทางแพ่งแล้ว ไม่มีรอดครับ กล่าวคือ อยากด่าทอ ก็ทำได้ แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนในการด่าทอ นั้นครับ ....

ผมอยากเห็นสื่อมวลชนไทยมีคุณภาพสูงขึ้นครับ เพราะสื่อมวลชนนี้สำคัญต่อความเจริญของบ้านเมืองนัก หากเป็นสื่อมวลชนที่ดีมีจริยธรรมคุณธรรมแล้ว ก็จะสามารถปกป้องประโยชน์มหาชนได้ แต่หากเป็นสื่อมวลที่ไร้จริยธรรม ก็สามารถทำลายชื่อเสียงของคน หลาย ๆ คน ให้ย่อยยับลงไปได้ในพริบตา นอกจากนี้ ยังจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและก่อความไม่สงบต่อประเทศชาติได้ง่ายอีกด้วย เราจะเห็นได้เนื่องตั้งแต่อดีตมา มีสื่อมวลชนที่ไร้จริยธรรมจำนวนไม่น้อย ที่อ้างประโยชน์สาธารณะบังหน้า เพื่อแสวงหาประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้งครับ

สิทธิของสื่อมวลชนนี้ กฎหมายไทย ก็วางหลักไว้เช่นเดียวกันครับ และเคยมีคำพิพากษาบรรทัดฐานวางไว้แล้ว ในกรณีที่สื่อมวลชนไร้จริยธรรมด้วยเสนอข่าวทำให้ผู้อื่นเสียหายนั้น จะต้องรับผิดเสมอ ตัวอย่างเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๗-๒๓๘/๒๕๑๔ นี้ครับ

"การที่จำเลยป่าวประกาศ ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ว่าโจทก์เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นที่น่ารังเกียจของประชาชนชาวไทย และการป่าวประกาศซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่าโจทก์เป็นคนโลภอำนาจทางการเมืองและมักใหญ่ใฝ่สูง ยอมทิ้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และและกลายเป็นผู้ที่ประชาชนชิงชังจนไม่อาจอยู่ประเทศไทยได้ ดังนี้ ย่อมเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์ มีความผิดฐานละเมิดโดยการไขข่าวแพร่หลาย ตามมาตรา ๔๒๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" [เก็บมาจาก บล๊อกท่าน Nazkull ]




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:10:44 น.
Counter : 660 Pageviews.  

“ฟัก”อเมริกัน: รอบสัปดาห์ที่สหรัฐฯ

ก่อนที่จะเล่าเรื่องข่าวที่น่าสนใจ ผมของเล่าเรื่อง “ฟัก ฟัก” ที่ยังติดค้างไว้ก่อน เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะของมหาวิทยาลัย Illinois ของผม ไม่น่าเชื่อนะครับ มหาวิทยาลัยผม มีพื้นที่ส่วนที่เป็นสวนสาธารณะ ที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลถึง ๑.๕๐๐ เอเคอร์ ชื่อว่า Allterton Park ครับ ส่วนสาธารณะแห่งนี้ นาย Robert Henry Allerton ได้บริจาคที่ดินของเขา ให้กับ University of Illinois ไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๔๖



ที่ดินแปลง ชื่อว่า The Farms ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Monticello ห่างจาก Campus ที่ Urbana-Champaign ไปประมาณครึ่งชั่วโมง นาย Allerton กำหนดเงื่อนไขการให้ไว้ว่ามหาวิทยาลัย Illinois จะต้องใช้เพื่อการศึกษาวิจัย และการสันทนาการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยทรัพย์ (Property Law) ของสหรัฐแล้ว หากมหาวิทยาลัยนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้แล้ว เจ้าของและผู้ที่เป็นทายาทของผู้ให้สามารถถอนคืนการให้ได้เสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปหลายร้อยหลายพันชั่วโคตรก็ตาม มหาวิทยาลัยและสถานการศึกษาที่รับบริจาคที่ดินในสหรัฐฯ จึงต้องระมัดระวังในการใช้ทรัพย์ที่บริจาคมาอย่างเคร่งครัด



กฎหมายเรื่องการให้ของสหรัฐฯ นี้ ต่างจากกฎหมายของไทย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยนั้น "การให้" จะสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบ หากเป็นการให้อสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน โดยปกติให้นำกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายมาใช้ คือ จะต้องไปจดทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ให้ จะยกให้ปากเปล่าแบบประเภทเชื่อใจกัน ดังนี้ยกให้สักหมื่นครั้งล้านครั้งก็ไร้ผล แต่ถ้าหากให้แล้ว ส่งมอบกันแล้ว จดทะเบียนกันแล้ว ก็ต้องให้เลย ไม่ใช่เบื่อ ๆ อยาก ๆ จะมาทวงคืนกันง่าย ๆ ก็ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายไทยนั้น ผู้ให้จะเอาคืนได้ ต่อเมื่อมีเรื่องประพฤติเนรคุณเท่านั้น แต่กฎหมายสหรัฐฯ หากไม่ได้ทำตามเงื่อนไขการให้แล้ว จะแบ่งเป็น ๒ ประเภท แล้วแต่เงื่อนไขที่ระบุ หากระบุมีเงื่อนไขที่กำหนดให้ทรัพย์กลับไปเป็นของผู้ให้ทันที ถ้ามีการใช้ผิดจากวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในเงื่อนไขการให้ ผู้ให้ไม่ได้ต้องเรียกคืน ไม่ต้องฟ้องร้องฯ อะไรเลย ทรัพย์ก็กลับคืนไปเป็นของตนเองทันทีทันใดนับแต่วินาทีที่มีการละเมิดเงื่อนไขดังกล่าว เป็นต้น



ขอกล่าวถึง Allterton Park สักหน่อยครับ สวนแห่งนี้ แบ่งเป็นหลายส่วน ส่วนแรก คือ อาคาร Conference ที่มหาวิทยาลัย ดัดแปลงมาจากคฤหาส์ของนาย Allerton ที่เขาปลูกไว้ และยังอาศัยอยู่ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ในระยะเวลาหนึ่งด้วย นำมาทำเป็นอาคารสัมมนาและที่พักของนักศึกษาและบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ เนื่องจากนาย Allerton ชอบสะสมงานปั้น หรือ งานประติมากรรม (เขียนถูกเปล่าเนี่ย) จึงแบ่งเนื้อที่ Farms ของตน เป็นหลายส่วน เช่น สวนที่ประดับหมาจีน เรียกว่า Fu Dog เรียงรายใกล้ศาลา ๖ เหลี่ยม สอง ๒ ชั้น พร้อมกับมีพระพุทธรูปปางค์ต่าง ๆ (รู้สึกว่าจะเป็นศิลปะเขมร เพราะ ต่างจากพระพุทธรูปไทย เช่น ใบหน้าไม่ยิ้มแย้มฯ แววตาไม่สดใสฯลฯ) เขายังแบ่งพื้นที่ ตกแต่งเป็นส่วนที่ตั้งของเทพยดาในสมัยโรมัน คือ Last Centaur ตัวที่ช่วยชีวิต Harry Potter ไว้ในป่า ซึ่งมีส่วนบนเป็นคน ส่วนล่างเป็นม้า แต่เขาตรอมใจตาย เพราะผู้คนเริ่มไม่ศรัทธาในตัวเขาแล้ว เขาจึงประกาศว่า ตายเสียดีกว่าที่จะอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี รวมถึงยัง Sunsinger ที่ยืนแก้ผ้าอย่างโดดเดี่ยวในที่โล่งแจ้ง แต่ดันใส่หมวก แล้วแหกปากร้องเพลง (ไม่ทราบว่าว่าเป็นเพลง ขอจับแต่เนื้อ จะไม่ให้ถูกเสื้อน้องฯ หรือเปล่า) อีกทั้งยังจัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติไว้บริการผู้หลงไหลในการเดินป่าแบบมินิ ไว้ด้วย มีเส้นทางเดิน หลายระยะ เช่น ไว้เวลาเดินประมาณ ๒ ชม. รวมทั้งโครงการต่างที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ และพันธุ์สัตว์ป่า เป็นต้น



ส่วนที่สำคัญ คือสวนแห่งนี้ ยังอนุญาตให้คนดูแลสวนปลูกฟัก เพื่อนำออกจำหน่ายอีกด้วย คำว่า "ฟัก" .. ซึ่งปกติเป็นคำต้องห้ามของที่นี่ เพราะ มันออกเสียงเหมือน Fuck ที่มีความหมายหยาบคาย ตามคำฝรั่ง เหมือนกับคำว่า "พริก" ก็เป็นคำที่มีเสียงคล้าย "Prick" แบบฝรั่งเขา ถ้าคนไทย โดยเฉพาะเมื่อเป็นหญิงงามด้วยแล้ว หากไปตลาดแล้วไปตะโกนโหวกเหวก แบบหนูจะหาจะเอาทั้ง "ฟัก" ทั้ง "พริก" แล้วละก็ ฝรั่งคงงงเป็นไก่ตาแตก แล้วพาลคิดว่าเธอ Hot มาจากไหน จึงได้ต้องการทั้ง "พริก" และ "ฟัก" ทั้งสองอย่างในตลาดขายผักด้วยหนอ



เพื่อนผมเป็นญี่ป่น เธอเป็นหญิงงามเชียว ตามวันเวลาเกิดเหตุ เธอต้องรายงานหน้าชั้นในวิชาเกี่ยวกับการกำหนดโทษที่ผมกับเธอเรียนด้วยกัน เธอออกเสียงคำ ๆ หนึ่งว่า Fuck ผมต๊กกะใจ นึกว่าเธอด่าใครฟะ หันไปมองบนกระดาน เธอเขียนว่า "FACT" แต่ญี่ปุ่นไม่มีเสียงสระ "แอ" เธอจึงออกเสียงว่า "ฟัก" เพื่อนฝรั่งก็ตะลึงแบบเดียวกับผมนั่นแหละครับ ...โอ้ พระเจ้าช่วยด้วยกล้วยทอด ญี่ปุ่นเขาออกเสียงหลายคำไม่ได้จริง ๆ ครับ แบบว่ายิ่งสมัยก่อน ออกเสียงชื่อร้าน แม๊คโดนัล ว่า "แม๊ค โด นา โร โด๊ะ" แอปเปิ้ล เธอก็ออกเสียงว่า "แอ๊ป ปรุ" ส้ม เธอก็อกเสียงว่า "ออ เร้นท์ จี่" ฟังแล้วตะลึง นะ จังงังไปเลย



ผมกับเพื่อน ก็เรียกไอ้ลูก Pumpkin นี่ว่า "ฟักอเมริกัน" ครับ สำหรับฟักอเมริกัน หรือ Pumpkin นี้ รูปร่างคล้ายฟักทองบ้านเรา แต่มันมีเปลือกแข็ง สีเหลืองสด มีหลายขนาด เช่น ตั้งแต่ลูกเล็กจิ๋วเท่าหัวแม่มือเด็ก ขนาดลูกฟตบอล จนถึงขนาดเท่าตุ่มมังกรบ้านเรา (รู้จักกันหรือเปล่าครับ ไม่รู้จักให้ไปดูที่ราชบุรีครับ) แต่ส่วนใหญ่เขาเอาไปตกแต่ง และเอาแข่งขันความใหญ่ยาวกันครับ สำหรับผมซื้อขนาดพอเหมาะสำหรับผม คือ ขนาดประมาณเท่าลูกฟุตบอลมา ราคาก็แสนจะทรมานใจ ลูกละ ๑ เหรียญ ซึ่งถือว่าถูกมาก ส่วนใหญ่เขาจะเขามาทำเป็นขนมพาย Pumpkin แต่สิ่งที่ผมคิดจะทำ คือ เอามาทำแบบขนมไทย ๆ คือ ฟักทองเชื่อมน้ำตาลทรายธรรมดานี่แหละครับ เพราะส่วนตัว ผมไม่ชอบกินขนมฝรั่งเลย ทั้งหวาน ทั้งเลี่ยน ไม่ไหวครับ



ฟักอเมริกันนั้น เนื้อมันเหมือนแตงกวย (ภาษาจีน) หรือ ฟักลูกโต ๆ มากกว่าจะเหมือนฟักทองบ้านเราครับ ปกติถ้าเป็นการทำฟักทองเชื่อมแบบบ้านเรา ก็ง่ายมาก คือ ปลอกเปลือกเล็กน้อย ให้เหลือสีเขียวแต้ม ๆ กับสีเหลืองของเนื้อฟักทอง แล้าเอาไปแช่ในน้ำปูนแดงสักเล็กน้อย ให้เนื้อมันไม่เละ ในขณะที่ทำให้สุกในน้ำเชื่อมร้อน ๆ แต่การนำฟักอเมริกัน มาทำฟักทองเชื่อม ต้องปลอกเปลือกให้หมด เพราะเปลือกแข็งมาก ไม่มีน้ำปูนแดง (แบบที่รุ่นคุณย่าเราใช้ทาใบพลู เคี้ยวกับหมากนั่นแหละครับ ยังจำได้เปล่าครับ คนรุ่นผมนี่ ตอนเด็ก ๆ ยังช่วยคุณย่า ทำหมากแข็ง ๆ ให้ท่านเคี้ยวกับใบพลูทาปูนแดงอยู่เลย) เลยไม่ใช้ อะไร ๆ มันก็ต้องเสียงนะครับ ผมก็ลองเสี่ยงดูว่า ผลจะออกมาเป็นไง



ผลคือ มันไม่อร่อยเลยครับ กรรมเลยตกไปที่รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย ต้องเอาไปช่วยกันกิน นี่ดีนะผมทำแค่ครึ่งลูก ยังได้หม้อใหญ่ ๆ หม้อนึง บทเรียนคราวนี้ สอนให้ผมรู้ว่า นอกจากฟักอเมริกันจะไม่แซบแล้ว มันยังทำให้หม้อดำไปด้วย เพราะเคี่ยวมันนานไปหน่อย.... อย่างนี้แหละ อะไรที่มันโดนนานมันก็ต้องดำไปบ้างครับ ผมทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วละครับ



สุดท้ายครับ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวน่าสนใจหลายประการ เช่น วันที่ ๓๑ ตุลาคมฯ ประธานาธิบดี Bush ได้เสนอ Alito ผู้พิพากษาระดับ Federal Court ขึ้นไปเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐ แทนนางมายเนอร์ที่ประกาศถอนตัวไปในวันที่ ๒๘ ตุลาคม ที่ผ่านมา, ก่อนหน้านั้น นายลิบบี้ ที่ปรึกษาอันดับสองของรองประธานาธิบดี ดิก เชนนี่ ของสหรัฐ ได้ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมถูกดำเนินคดีฐานเปิดของลับ เอ้ย เปิดเผย Identity ของสายลับ (CIA) ตั้งแต่ ๒ ปีก่อนหน้าโน้น ก่อนที่สหรัฐจะประกาศบุกอิรักฯ ผมไม่ชอบสหรัฐฯ หลายอย่าง แต่ผมชอบอย่างหนึ่งที่เขาทำกันจริงจัง คือ การดำเนินคดีอย่างจริงจัง เข้าสุภาษิตไทย

“ถึงท่านจะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ผมก็ต้องทำตามหน้าที่”


อะไรทำนองนั้น ผมไม่แน่ใจว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดในเมืองไทย เราจะได้เห็นภาพเหล่านี้หรือเปล่า เอาเป็นว่า ติดเอาไว้ฉบับหน้านะครับ ฯ

ปล. ขอเล่าอีกนิดนะครับ ตอนผมซื้อนะ ผมถามคนขายว่า ฟักอเมริกันทำอะไรได้บ้าง ... เธอบอกสั้น ๆ ว่า "Google" แล้วเธอก็ขยายความว่า ต้องไปค้นหาวิธีการทำฟักให้เป็นอาหารในกูเกิ้ล(โว๊ย) ผมว่าคนขายของนี่น่ารักที่สุดเลยครับ



สองภาพสุดท้าย แสดงให้เห็นฤดูที่แตกต่างครับ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2548    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:10:18 น.
Counter : 793 Pageviews.  

ผมกับฟัก

ช่วงนี้ มีข่าวที่สำคัญ คือ นางมายเนอร์ ที่ประธานาธิบดีบุช เสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด เมื่อสักเดือนที่แล้ว ได้ยื่นหนังสือ เมื่อวันที่ ๒๘ ต.ค. ๔๘ ประกาศขอถอนตัวจากการเป็น Nominee




มีหลายกระแสคาดเดาว่า เธอคงไม่ผ่านความเห็นชอบ (Approval) ของสมาชิกวุฒิสภา หากยังดึงดันต่อไป เพราะดูจากประวัติเธอ ก็จบจาก SMU ซึ่งหากจะดูจาก Ranking แล้ว ก็อยู่ประมาณลำดับที่ ๕๐ ของตาราง แม้จะเป็นหญิงแกร่งคนแรกของ Texas State Bar Association แต่เธอก็ไม่เคยได้มีผลงานในการแสดงจุดยืนของกฎหมายที่โดดเด่นอะไร ไม่เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน ฯลฯ และที่สำคัญ วุฒิสมาชิกสายพรรค Republican ของนายบุชเอง ก็แสดงท่าทีไม่ด้วยกับบุชแม้แต่น้อย การถอนตัวเองครั้งนี้ ของเธอ จึงเป็นการผ่าทางตันให้ตัวเอง และนายบุช


หากจะกล่าวกันจริง ๆ มีผู้พิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐฯ เพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้สำเร็จการศึกษาจาก Top 10 Law School ของสหรัฐ เช่น Justice Black จบจาก Alabama Law School (Ranking อยู่ที่ ๔๐ ) Justice White จบจาก Washington and Lee Law School (Ranking อยู่ที่ ๒๓ ) Justice Steven จบจาก Northwestern Law School (Ranking อยู่ที่ ๑๒ ) นอกจากนี้ ก็ไม่ค่อยมีแล้ว เพราะโดยหลักการแล้ว American Bar Association จะจัดทำบัญชีรายชื่อ นักกฎหมายที่เขาบอกว่ามีชื่อเสียงแล้ว จัดทำข้อเสนอไปยังประธานาธิบดีฯ เพื่อคัดเลือก ในระดับ Federal Judge ก็เช่นกัน โดยหลักวุฒิสมาชิก ในภูมิภาคนั้น ๆ จะเป็นผู้แนะนำให้ประธานาธิบดี เป็นคนเลือก แต่นายบุชฯ เขาไม่สนหรอก เขาทำตามใจของเขา โดยไม่สนใจใคร ทั้งสิ้น

มีคนวิจารณ์กันว่า นางมายเนอร์ แม้จะทำงานเป็นเจ้าของบริษัททนายความเป็นของตนเอง เป็นที่ปรึกษานายบุช ตั้งแต่เป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัส และเป็นคณะที่ปรึกษาของทำเนียบขาวในปัจจุบัน รวมถึง ยังเป็นผู้เสนอชื่อนาย จอห์น โรเบิร์ต ให้เข้าชิงตำแหน่งประธานศาลสูงสุด จนได้รับชัยชนะและยอมรับจากวุฒิสภาก็ตาม แต่เธอ ก็ไม่มีจุดแข็งที่จะแสดงให้เห็นว่า เธอมีความสามารถในการตัดสินปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายรัฐธรรมนุญแม้แต่น้อย เธอก็คงรู้ตัวดี แล้วก็ถอนตัวไปในที่สุด ผมกำลังจับตาดูว่า ใครจะได้รับเสนอชื่อเพื่อถูกเชือดเป็นรายต่อไปครับ เพราะวุฒิสมาชิกจากทั้งสองพรรคก็ประกาศเตือนนายบุช ว่าต้องระมัดระวังในการเสนอชื่อให้จงหนักฯ

หากจะเปรียบเทียบกับเมืองไทย ก็คงจะคล้ายกับกรณีของ ศ. ดร.เสาวณีย์ อัศวโรจน์ อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖ ท่านเป็นศาสตราจารย์หญิงคนแรกในทางกฎหมาย แต่ตามประวัติการศึกษาของท่านก็ไม่ได้แสดงจุดแข็งในด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะท่านเจาะลึกในด้านกฎหมายการค้า ตั๋วเงิน และการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ แต่ในที่สุด ท่านก็ผ่านกระบวนการคัดเลือกและได้รับการแต่งตั้งในที่สุด

กลับมาเรื่อง ช่วงนี้ วุ่นสุด ๆ กับสิ่งที่ตนเองทำลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว ผมทำในสิ่งที่ทำให้ผมต้องปวดหัวมากพอสมควร จะเล่าเรื่องไหนก่อนดี เรื่อง “ฟัก”ก่อนดี หรือเรื่อง “ผม” ก่อนดีเอ่ย

เอาเป็นว่าเรื่องที่ทำที่ผมให้ผมต้องปวดหัวหรือปวดศีรษะมากหน่อย ก็เรื่องเกี่ยวกับ “หัว” ของผมนี่แหละ หลายท่านคงไม่ทราบว่าราคาค่าตัดผมที่นี่มันค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับเมืองไทย ที่เมืองไทย ราคาค่าบริการทั่วไป น่าจะอยู่ที่ ๕๐ บาท สำหรับท่านชาย แต่ที่สหรัฐฯ ตัดผมครั้งละ อย่างน้อยก็ ๑๒ ถึง ๒๐ เหรียญ ไม่รวมทิป ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ต้องให้ อย่างน้อยอีก ๑ หรือ ๒ เหรียญ ตามกำลังศรัทธาของผู้ใช้บริการ แต่จะบอกว่า ไม่ศรัทธาในบริการ แล้วไม่ให้เลย ก็ไม่ได้อีก เพราะคราวหน้าไปตัดอีกตายแน่ ๆ คาดเอาไม่ได้ว่า ทรงผมจะออกมาเป็นอย่างไร อีกทั้ง จะไปฟ้องร้องตำรวจให้ดำเนินคดีแบบที่เกิดที่เมืองไทย เมื่อเดือนก่อน ก็คงจะเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่ง

กว่าสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปซื้อของใช้ที่ร้านวอลล์กรีนด์ ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อ แบบที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น บ้านเรา เดินไปสะดุดตากับ “แบตตาเลี่ยน” ที่ขายอยู่ในร้าน สนนราคาต่ำสุดอยู่ที่ ๙ เหรียญ จนแพงสุดที่ ๓๐ กว่าเหรียญ ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างอะไรกันมาก ยกเว้น รูปร่างภายนอกของแบตตาเลี่ยน ผมเลยตัดสินใจซื้อมัน “ไหน ไหน ก็ ไหน ไหน” ลองสักครั้งจะเป็นไร แน่นอนที่สุด ราคา ๙ เหรียญก็น่าจะเกินพอแล้วสำหรับการทดลองเป็นช่างด้วยตนเอง

สิ่งแรกที่ผมสะดุดตามาก คือ “ปลอก” แบตตาเลี่ยนก็มี “ปลอก” ที่ใช้เป็นเครื่องวัดระดับความยาวของเส้นผม ตั้งแต่ครึ่งนิ้ว, ๑ ส่วน ๔ นิ้ว, ๓ ส่วน ๘ นิ้ว และ ๑ ส่วน ๘ นิ้ว ดังนั้น หากเราต้องการขนาดใด ก็ใส่ปลอกขนาดนั้นเข้าไปให้เหมาะสมกับขนาด ซึ่งถ้าเราใส่ปลอกผิดขนาด ก็อาจจะมีปัญหาได้ง่าย เพราะมันไม่สมส่วนกันนี่ครับ เมื่อไปถึงบ้าน ผมก็ลองสวมปลอกทันที แน่นอนที่สุด ผมต้องเลือกขนาดปลอกที่ใหญ่ที่สุดก่อน แล้วสวมเข้าไป เพื่อป้องกัน.... เมื่อสวมปลอกเสร็จ ก็ต้องมีการอุ่นเครื่องกันก่อนสักนิด คือ เปิดเครื่องตัดผม แล้วก็ลงมือปฏิบัติจากด้านหลังมาก่อน เพราะอย่างน้อง ผมก็ยังไม่เห็นมัน ผมไถผมออกโดยใช้ความรู้สึกฯ เพราะลืมซื้อกระจกส่งหลังมาฯ เส้นผมที่ยาวประมาณ เกือบ ๑๐ นิ้ว ร่วงหล่นตามพื้นฯ ทีละน้อยทีละน้อง จนหมดด้านหลัง จากนั้น ผมหันมาจู่โจมด้านหน้าบ้าง ไม่รู้จะทำไง เลยไถมันต้องแต่ด้านหน้าผาก ปื๊ด ปื๊ด ปื๊ด เสร็จเร็วกว่าที่คิดครับ แป๊บเดียวหมดหัว กลายเป็นไอ้โล้นซ่า แบบสกินเฮด เรียบร้อย ทำใจกับทรงผมใหม่อยู่นาน

ผมเริ่มมาดูหัวผม โอ้ยแผลเต็มไปหมด ...ตอนเล็ก ๆ ซนไปหน่อย วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งเอาหัวไปชนเสา ชนตะปู ที่ใต้ถุนบ้านผม ที่เป็นไม้ หัวแตก เนื้อหลุดไปเป็นแถบ ๆ อย่างไรเหรอครับ แน่นอนครับ ผมไม่เคยขึ้นมาให้เห็นในบริเวณนั้นอีกเลย นับแต่นั้นมา ......ตอนนี้ นอกจากหัวไม่สวยเพราะเต็มไปด้วยแผลแล้ว ยังพลาดอย่างยิ่งใหญ่ที่ทำให้ปวดหัวมาก คือ อากาศเย็นมากครับ....เพราะอากาศมันหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยครับ แบบว่าประมาณ ศูนย์องศาเซลเซียสในยามค่ำคื่น กลางวันประมาณ ๑๐ องศาเซลเซียส

ทางแก้ไข ก็น่าจะต้องอาศัย “ปลอก” อีกนั่นแหละ คือว่า ต้องหาหมวกไหมพรม เอามาใส่ครอบหัวและใบหู ไม่ให้มันประทะกับลมหนาว .... ก่อนมาสหรัฐฯ มีคนเตือนว่า ที่สหรัฐมันหนาว ประเภทว่า “หนาวจนหูหลุดไปยังไม่รู้ตัว” ผมไม่เชื่อหรอก แต่พอเจอหน้าหนาวที่นี่จริง ๆ มันหนาวจริง ๆ หนาวจนหูชา หยิบจับไม่เจ็บฯ เขาเล่ากันว่า ถูกดึงหูออกไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวก็มี เพราะมันไม่เจ็บ ... คิดแล้วสยองครับ .... คราวหน้า จะมามาเล่าเรื่อง “ฟัก”ครับ




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2548    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:09:52 น.
Counter : 505 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.