*** พื้นที่ส่วนตัวของ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ รองผู้บังคับการกองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี นี้ จัดทำขึ้นเพื่อยืนหยัดในหลักการที่ว่า คนเรานั้นจะมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อมีเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยบริบูรณ์ และความเชื่อที่ว่าคนเราเกิดมาเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีอำนาจใดจะพรากความเป็นมนุษย์ไปจากเราได้ ไม่ว่่าด้วยวิธีการใด ๆ และอำนาจผู้ใด ***
*** We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable rights, that among these are life, liberty and the pursuit of happiness. That to secure these rights, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed. That whenever any form of government becomes destructive to these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, and to institute new government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety and happiness. [Adopted in Congress 4 July 1776] ***
Group Blog
 
All Blogs
 

ยินดี ปรีดา กับน้อง ๆ ที่ U of I ด้วยครับ



สัญลักษณ์มหาวิทยาลัย คือ I - ILLINOIS หรือ หมายเลขหนึ่ง



ในชีวิตคนเรา การสำเร็จทางการศึกษา ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เรารอคอย รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่มีให้กันระหว่างเพื่อนได้กลบและลบอุปสรรคต่าง ๆ นานา ในระหว่างเรียน ที่ต้องฝ่าฝันมาด้วยกันไปหมดสิ้น





น้อง ๆ ที่ U of I ก็คงเช่นเดียวกันครับ วันที่ ๑๔ และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา คือ วันนั้นที่พวกเขารอคอยครับ น้อง ๆ หลายคนที่พากเพียรเล่าเรียนมากันมา ก็สำเร็จซะที







เหมือนทุกปีครับ U of I ของผมนี่ มีนักเรียนไทยประมาณ ๑๐๐ คน ในแต่ละปี จึงมีนักเรียนไทย สำเร็จการศึกษาเยอะพอสมควร หลายท่าน อาจจะตกใจว่า ทำไม มีนักเรียนไทยเยอะจัง มาอยู่แล้วเหมือนมาเรียนเมืองไทยภาคภาษาอังกฤษหรือเปล่า .... จากประสบการณ์ ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเท่าไหร่ เพราะถึงเวลาเรียน ก็ต่างคนต่างแยกกันเรียนคนละคณะกันไป







หากจะเปรียบเทียบกับจำนวนนักเรียนทั้งมหาวิทยาลัยของ U of I ที่มีนักเรียนประมาณ ๔๓,๐๐๐ คนเศษ แล้ว จำนวนนักเรียนไทย ก็จะมีจำนวนน้อยมากเลยทีเดียวครับ สำหรับน้อง ๆ ที่สำเร็จการศึกษาประมาณ ๒๐ คนเศษนี้ ชีวิตในเมืองมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ของพวกเขากำลังจะจบลงแล้วครับ พร้อมกับชีวิตจริงที่เขาต้องเผชิญด้วยตัวเองกำลังจะเริ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกันครับ







น่าเสียดายที่ ปีนี้ อากาศในช่วงนี้ ไม่ค่อยดีครับ อุณหภูมิลดต่ำลงไปเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ อาทิตย์ ก่อน ยังอยู่ที่ ๗๐ องศาฟาเรนไฮน์ เลยครับ วันนี้ ลดลงไปที่ ๓๐ องศาเศษ ๆ หรือ ประมาณ เกือบ ๆ ศูนย์องศา บ้านเราครับ หนาวสั่นไปหมด แดดก็ไม่มี ถ่ายภาพออกมาเลยมัว ๆ ครับ






นักเรียนไทย ก็เริ่มตัวกันที่ Illini Union ตั้งแต่ประมาณ ๙ โมงเช้าครับ ถ่ายภาพร่วมกัน เป็นที่ระลึก จนกระทั่งประมาณ ๑๑ โมง ก็เริ่มแยกย้ายไปเตรียมเข้าพิธีรับปริญญา ที่มหาวิทยาลัย และคณะจัดให้ ซึ่งประกอบด้วย ๒ แห่ง คือ ที่ Assembly Hall กับที่ Karnnet Art Center




น้อง ๆ ที่ Law School ทั้งนั้นเลย



เห็นญาติ ๆ บินมาจากเมืองไทย แล้วรู้สึกอบอุ่นแทนน้อง ๆ ครับ ตอนผมรับที่ Indiana U - Bloomington เมื่อปี ๒๐๐๔ และ ที่ U of I เมื่อปี ๒๐๐๕ ที่ผ่านมา พ่อแม่ พี่น้องของรุ่นน้องหลายคน ก็มาร่วมพิธีด้วย เขาคงดีใจกันสุด ๆ นั่นแหละครับ ไม่งั้นไม่ทนเหนื่อย นั่งเครื่องบินกันมาเป็นวัน ๆ หรอกครับ (ในความเห็นของผมนี่ นั่งเครื่องบินนาน ๆ นี่ทรมานที่สุดเลยครับ ที่สำคัญมันแพงมากอีกด้วย ญาติผมเลยไม่ได้มาร่วมพิธีรับปริญญาของผมทั้งสองงานที่ผ่านมา)






ผมเข้าร่วมพิธีรับปริญญาของ น้อง ๆ ที่จบ Master of Law (LL.M.) จำนวน ๗ คน ประกอบด้วย น้องหฤหัย น้องชมพูนุช น้องสาธิมา (ออย) น้องจิราพร (เซี้ยม) น้องกรรณนิการ์(เดียร์) น้องเจตระวิน และน้องพีรพัฒน์ (เต้) ที่ Krannet Art Center ที่เดิมที่ผมไปยืนและเดินขึ้นเวทีเมื่อปีที่แล้วครับ


ปีนี้ พิธีการเหมือนเช่นเดิมครับ เริ่มต้นที่คณบดีของ College of Law คือ Dean Hurd ประกาศเกริกเกียรติ U of I สถานการศึกษา ที่เป็นผู้ริเริ่มหลายสิ่งหลายอย่าง ในทางวิทยาศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่ให้แก่โลกนี้ เช่น การสร้างระบบคอมพิวเตอร์ อีเมลล์ อันเป็นต้นแบบให้สหรัฐและทั่วโลกในยุคต่อมาจนถึงปัจจุบัน ที่ U of I ยังมีคณาจารย์และศิษย์เก่า ได้รับการยอมรับและได้รับรางวัลระดับโลก อย่าง Nobel Prize และ รางวัลนักเขียนยอดเยี่ยม หรือ Pulitzer Prizes เกือบ ๓๐ คน ฯลฯ ท่านก็กล่าวอีกหลายเรื่อง ที่ฟังแล้วฮึกเหิมไม่น้อยครับ


หลังจากนั้น ก็มีคณาจารย์และผู้พิพากษาระดับ Federal Judge ที่สำเร็จจาก College of Law มากล่าวสุนทรพจน์ และให้คำเตือนในการดำรงชีวิตในฐานะนักกฎหมายในอนาคต ที่จะต้องมีจริยธรรมอันแข็งแกร่ง โดยจะต้องใช้ความรู้ไปในทางกฎหมายไปในทางที่ถูกต้อง สร้างความเป็นธรรมแก่สังคม และความเชื่อถือศรัทธาต่อตนเอง






ผมว่า พิธีการรับปริญญาในสหรัฐ เป็นที่เรียบง่าย แต่ขลังดีครับ หลังประกาศชื่อ นักเรียน ก็ถือแถบวิทยฐานะ ส่งให้คณาจารย์ ที่ยืนบนเวที สวมคล้องคอให้ จากนั้นเดินไปรับปกปริญญาบัตร ที่ภายมีแผ่นกระดาษ ๒ แผ่น แผ่นแรก เป็นประวัติการก่อเกิด College of Law ของ U of I และ สาร์นแสดงความยินดีของ Dean ในห้องประชุมก็มีแต่รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ พร้อมโห่ร้องแสดงความยินดีกับญาติของตนตลอดเวลาหลังจากประกาศชื่อ สนุกสนานดีไปอีกแบบ






หลังจากทุกคนรับเสร็จ Dean ก็ประกาศให้ผู้รับปริญญาเปลี่ยนทิศภู่บนหมวกของตนจากขวาไปซ้าย จากนั้นได้กล่าวแสดงความยินดีอีกครั้ง พร้อมเสียงตบมือกึกก้องของญาติ และเสียงดนตรีสดบันเลงกระหึ่มขึ้นทันที เหล่าคณาจารย์ เดินลงจากเวที เดินตรงไปยังทางออกของหอประชุม ไปตั้งแถว รอแสดงความยินดีกับมหาบัณฑิต และ Juris doctor ที่สำเร็จการศึกษาครั้งนี้

ผมนึกถึงตัวเอง ตอนรอดซุ้มกระบี่ของรุ่นพี่ ๆ สมัยเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจปี ๑ ไม่มีผิดเพี้ยน สมัยนั้น รุ่นพี่ ๆ ปีสอง มาทำซุ้มกระบี่สั้นให้พวกเรา เดินผ่านอย่างสง่างาม ในพิธีรับกระบี่สั้น ก่อนวันตำรวจ (๑๓ ตุลาคม) ลองคิดดูว่า ทั้งปีที่ผ่านมา รุ่นพี่ ที่มองเราเหมือนอาหาร เจอเป็นไม่ได้ ต้องเรียกเราไป สั่งออกลงกำลังกายทุกที ... แล้วต้องมายืนแดดร้อน ๆ แต่งชุดใหญ่ ถือกระบี่ นาน ๆ แสนจะเมื่อย ให้พวกเราเดินอย่างสง่างาม พร้อมกับรอยยิ้ม และคำพูดว่า "แสดงยินดีด้วยนะน้อง" มันแสนจะน่าปลื้มขนาดไหน


พิธีการนี้ ก็เช่นกัน คณาจารย์ ที่ยืนสองข้างทาง ก็กล่าวแสดงความยินดี บางก็ตบไหล่ หรือสวมกอด ผู้สำเร็จการศึกษาที่เดินออกมาจากห้องประชุม ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของคนทุก ผมต้องยอมรับเลยว่า ผมชอบขั้นตอนนี้มากที่สุด การแสดงความรัก โดยการกอดกัน ในเมืองไทย ดูเหมือนจะกระทำไม่ได้เท่าไหร่ ด้วยข้อจำกัดทางวัฒนธรรม แต่ที่นี่ เขากระทำกันตลอดเวลาพบกัน โดยเฉพระเพื่อนสนิท ผมว่ามันอบอุ่นดี แล้วก็ไม่มีเรื่องเพศ หรือ เรื่องความคิดไม่ดีเข้ามาเกี่ยวข้องในหัวสมองโดยเด็ดขาด



งานนี้ ผมจึงได้กอดแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ทุกคนที่รู้จักใน Law School ซึ่งก็เหมือนกับพี่กอดน้อง แสดงความยินดีกับความสำเร็จในก้าวสำคัญครั้งนี้ และหวังว่า พวกเขาจะก้าวเดินไปข้างหน้า เผชิญชีวิตจริงในอนาคตต่อไปอย่างมั่นคง ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตทุกประการ




Illi Union



ขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ทุกท่าน และขอให้ระลึกถึงคำสุดท้ายของ Dean ที่ว่า Law is powerful ! กฎหมายมีพลังอำนาจมหาศาล ขอให้มั่นคงในวิชาชีพ ดำเนินวิชาชีพทางกฎหมายด้วยมาตรฐานจริยธรรม (Legal Ethics) ที่สูงส่ง และ ขอให้ใช้ Power of law ในทางที่ถูกต้อง เพื่อความเสมอภาคของคนในสังคมต่อไปในอนาคตครับ





หมายเหตุ


๑) ขอขอบคุณภาพสวย ๆ ท่านน้องเล็ก แห่ง โรงเรียนเคมี ของ U of I ครับ

๒) ภาพบางส่วน นำมาจาก U of I Campus Landmarks (สนใจดูเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่)








 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 14:44:51 น.
Counter : 1218 Pageviews.  

ผมจะทำอย่างไรกับบริษัท T-Mobile ดีครับ

วันนี้ (๒๑ เม.ย. ๔๙) ผมเพิ่งได้รับจดหมายตอบจาก อัยการสูงสุดรัฐอิลลินอยส์ ว่าบัดนี้ ทางบริษัท T-Mobile ได้แจ้งท่านทราบแล้วว่า บริษัทฯ ได้กล่าวขอโทษและลดราคาส่วนเกินให้แก่ผมหมดแล้ว (ซึ่งความจริง เขาไม่เคยกล่าวขอโทษผมเลย แต่การลดราคาลงไปนั้น เป็นความจริง) โดยทางอัยการสูงสุด ให้ผมตอบกลับใน ๑๐ วันว่า ยังต้องการให้ทำอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ แน่นอนครับ การให้อภัยเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด แต่คงไม่ใช่คราวนี้ครับ

คราวก่อน ผมได้เขียนเกี่ยวกับปัญหาการใช้โทรศัพท์มือถือของ T-Mobile ใน T-Mobile: The Worst Cell Phone Company ว่าเขามีเจตนาฉ้อโกงผม เป็นเงินเกือบ ๒๕๐ เหรียญ จากการใช้บริการโทรศัพท์ เพียงเดือนเดียว




ผมได้ส่งจดหมายร้องเรียนไปยัง อัยการสูงสุด (Illinois Attorney General) และ แผนกคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐอิลลินอยส์ พร้อมขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายฐานฉ้อโกงกับบริษัทนี้

การร้องเรียนประเภทนี้ ได้ผลโดยพลัน เพราะทางฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ระดับสูงของบริษัทนี้ ได้โทรศัพท์มาบอกว่า ลดราคาไปตามปกติแล้ว ไม่ต้องเสียค่า Overcharge ที่เคยส่งบิลล์ไปมูลค่า ๒๕๐ เหรียญ ดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่บริษัท T-Mobile นี้ แจ้งไปยังอัยการสูงสุดนั้น ไม่ได้จริงทั้งหมด เพราะบริษัทนี้ ไม่ได้กล่าวขอโทษอะไรผมสักคำเดียว และไม่ได้ส่งหนังสือมาเป็นทางการถึงผมเลยแม้แต่ฉบับเดียว ที่จริงน่าจะถือว่า ทำผิดฐานให้การอันเป็นเท็จ อีกต่างหาก (Making False Statement) ซึ่งมีความผิดร้ายแรงตามกฎหมายอาญาที่นี่เลย

ผมก็คนธรรมดาแหละครับ ... ถ้าทำผิดแล้วขอโทษ ผมก็จะลดความโกรธลงไปได้มาก แต่นี่ผมไม่ได้ยินการแสดงความเสียใจ หรือ ได้ยินคำว่า "ขอโทษ" จากบริษัทนี้เลย ไม่รู้ว่าคำว่า "Sorry" มันเขียนยาก หรือ พูดยากนักหรือไง อีกทั้ง บริษัทนี้ ก็ไม่มีการจ่ายค่าเสียหายทั้งค่าเสียหายปกติ และค่าเสียหายต่อจิตใจ (Emotional damages) ที่ทำให้ผมโกรธ เสียเวลา และพลกำลังจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นกังวลจนนอนหลับไม่สบายนัก เป็นเวลานานพอสมควร

ผมเลยตั้งใจว่าจะขอให้อัยการสูงสุดสูงสุด ดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายต่อไปให้ถึงที่สุด และจะขอยกเลิกการใช้โทรศัพท์กับบริษัทนี้ โดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ ที่บริษัทได้กำหนดเงื่อนไขไว้ในขณะทำสัญญาใช้บริการโทรศัพท์ โดยปกติ สัญญาการใช้โทรศัพท์จะกำหนดเป็นรายปี หากจะเลิกก่อนกำหนด ต้องจ่ายเงินค่ายกเลิกประมาณ ๓๐๐ เหรียญ ให้แก่บริษัทต่อไป แต่ผมจะต้องยกเลิกสัญญาให้ได้ โดยจะไม่ยอมจ่ายค่ายกเลิกสัญญาก่อนกำหนดแม้แต่เซ็นต์เดียว .... เลือดไม่ตก ยางไม่ออก คงไม่เลิกราละครับ .... พุทโธ พุทโธ พุทโธ ....




ถ้าเป็นเพื่อน ๆ แล้ว เพื่อนจะทำไง ต่อไปครับ





ผมได้ร่างหนังสือตอบกลับอัยการสูงสุดแห่งรัฐอิลลินอยส์ไว้แล้ว (มีข้อความปรากฎข้างล่างนี้) ผมคิดว่า ต้องป้องกันสิทธิ์ตามกฎหมายของให้ถึงที่สุด และจะไม่ยอมให้บริษัทยักษ์ใหญ่ เอารัดเอาเปรียบเรา ผมเข้าใจว่า เขาคงเห็นว่าเราเป็นเพียงกะเหรี่ยงบ้านนอก คงไม่มีปากไม่มีเสียงจะเล่นงานเขากลับไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบครับ อีกทั้งผมก็เชื่อว่า คงมีเด็กต่างชาติ จำนวนไม่น้อย ตกเป็นเหยื่อของการกระทำในทำนองเดียวที่ผมโดนนี้ ไม่น้อยเลย แล้วเรื่องคงเงียบไป ทำให้บริษัทเขาคงยังดำเนินการวิธีการนี้ต่อไป โดยไม่หาทางแก้ไขครับ ... ผมว่า บริษัทนี้ สมควรจะต้องจ่ายค่าราคา ที่เขาทำต่อลูกค้านะครับ ....


*****************



Consumer Protection Division
Office of the Attorney General, State of Illinois
500 South Second Street,
Springfield, IL 62706

Re: File No: 2006-CONSC-00145307, and T-Mobile USA.

Dear Ms. Diemer:

First of all, I would like to express that I am very thankful for your utmost attention to my complaint about fraudulent conduct committed by T-Mobile Wireless. After I received your letter dated April 19, 2006, I instantly reply your letter to confirm my intention.

I have read all correspondence in undated T-Mobile letter which was attached within your letter. It is true that at the present T-Mobile Wireless adjusted the amount that it overcharged me during February 1 and March 1, 2006.

However, this company conduct is too bad. As I mentioned in my complaints, this company intentionally overcharged me retroactively with the absolutely bad faith. I asked this company to change the new rate plan on February 18, 2006 and at the same time I asked the special plan of unlimited call between T-Mobile to T-Mobile cell phone. This company had charged backward to February 1 only the $29.00 a month plan, which this company can get the highest amount of money from me.

Under the new plan, this company knows that the amount of minute decreases from 600 minutes to 300 minutes, and the condition of free calling after 21:00 hrs will be eliminated. For this reason, once this company applies the new rate plan to my calling usage during February 1 to February 18, the air time which I called during such period would not be free calling at all, and I will be charged instantly over $ 147 only such the time I have already called between a -18- day period.

At the same time, this company did not apply my new request of free calling between T-Mobile to T-Mobile during such 18 days. This company applies forward from February 18, 2006 and partially charged me during 12 days left in February. It knows that if it applies this new rate plan to the first 18 days as well, they cannot exploit any overcharged fee from me because most customers in Urbana-Champaign city use its service, which most of my call would not be charged under a unlimited between T-Mobile to T-Mobile plan.

T-Mobile USA has never replied anything in writing to me. It has never said that they feel sorry about its bad performance or its fraudulent conduct. Undoubtedly, even the term of apology I have never got from this company, it, therefore, has never paid damages for me.

I would like to elaborate what the damage might be in my case. After I knew the purposely incorrect calculation about my account committed by this company, I relentlessly called the representatives of this company almost ten times to ask them to correct what I requested and my account. They denied to correct it and confirmed that I had to pay. Every time I called, I lost my airtime minutes at least 10 minutes; as a result, this company calculated such amount of time to what I have to pay for them. At least 50 minutes at I have to pay for additional service fee, which actually I do not have to do so.

In addition, I have contacted T-Mobile Company by e-mails several times; there was nothing better. It totally distracted my valuable time to do something else. Not only air time or financial damages I lost to this company in requesting them to correct my account, I also felt very upset, and caused me depressed from this conduct. I cannot sleep well almost one month after I knew this bad conduct.

I also lost my confidence to the company operating in the United States. I cannot trust this company at all, and I am afraid that there must be tremendous consumers subjected to the same problems as me, but they had never known how to complain, and they might not know which legal authority that they can file thier complaints to request the assistant.

Consequently, I would like this company to pay the price for what they did, meaning that, the punitive damages should be paid to its consumers, including me, for its bad faith conduct. In addition, the criminal conduct in this case should be investigated and finally filed to the court. In my particular case, this company has never accepted its guilt for the bad conduct to me; it has never paid attention to me; as well as never apologized to me. This penalty imposed on T-Mobile will accomplish the consumer protection function because it can be used as a means to deter such bad faith conduct in the future. Alternatively, I would like this company to pay punitive damages to me, and terminate the contract without my legal obligation to pay any fine on which I might be imposed under the present contract.

Again, I very appreciate your assistant. If there is any question about this issue, please let me know so that I can provide additional information to you as soon as possible.


Sincerely yours,




 

Create Date : 22 เมษายน 2549    
Last Update : 18 มิถุนายน 2553 8:17:14 น.
Counter : 723 Pageviews.  

เรื่องดี ๆ ในชีวิต ก็มีเหมือนกัน

วันนี้ (๑๔ เม.ย. ๔๙) มีเรื่องมาเล่าให้ฟังครับ เรื่องแรกนี่ ก็คือ ช่วงนี้ นอกจากจะเป็นเทศกาล Easter ของชาวคริสต์แล้ว ที่เขาเชื่อกันว่า Jesus Christ บุตรชายของพระเจ้าของเขา ได้ฟื้นคืนชีพ ขึ้นมาได้ หลังจากถูกตรึงไว้บนไม้กางเขน การฟื้นคืนชีพของ Jesus นั้นมาพร้อมกับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ โดยในเทศกาลนี้ ชาวคริสต์ ก็ต้องอดข้าว ไปโบสถ์ ฯลฯ แล้วก็มีการเล่นเกมส์ซ่อนไข่ ซึ่งเขาเชื่อกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ ....




ด้วยความเคารพในเสรีภาพในเรื่องศาสนาครับ .... ผมจึงขอเล่าแค่นี้แล้วกัน เหตุสำคัญประการหนึ่ง คือ ผมไม่ได้ศรัทธาในคริสต์ศาสนา และไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อว่า หญิงบริสุทธิ์ จะต้องครรภ์ได้โดยไม่มีเพศสัมพันธ์ ฯลฯ อีกทั้งผม เชื่อในกฎแห่งกรรม ที่คนทำดีย่อมได้ดี หรือ ปฏิกริยา Action = Reaction ตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ และพระพุทธศาสนา ผมจึงเชื่อว่า ถ้าผมไม่ทำงาน จะมีพระเจ้าที่ไหน มายื่นเงินให้ผมได้ละ .... เรื่องของตัวเองเท่านั้น ที่จะต้องทำเอง ไม่ทำ ก็ไม่มีทางได้อะไรมาหรอก ..

ปีก่อนมีแม่หนู ชาวอเมริกา ที่ทำงานที่ร้านอาหารที่ผมทำอยู่ มาชวนผมไปเข้ารีต กับเธอทุกวันเลย พับผ่าซิ ... เธอกลัวผมตกนรก ไปเจอไฟบรรลัยกัลป์ เพราะการที่ผมไม่เป็นคริสต์นี่แหละ .... เธอจะเศร้ามาก ถ้าผมบอกว่า ผมไม่เชื่อในพระเจ้าแบบที่เธอเชื่อ ... มาอ้อนวอนตลอด เพราะเธอบอกว่า หากไม่เป็นคริสต์แบบเธอ วิญญาณผม จะต้องจมปรักในนรกอเวจี ..... ดีนะครับ ที่แม่หนูชาวอเมริกันอีกคน เธอทนไม่ได้ เธอจึงพูดขึ้นว่า "It is not fair." ผมได้แต่ถามแม่หนูคนนั้นว่า ทุกวันนี้ ใครจ่ายเงินเดือนให้เธอหรือ ไม่ใช่ ดร. มยุรี ดอกหรือ ที่จ่ายเงินเดือนให้ ลองไม่ทำงานซิ .... เขาจะจ่ายให้หรือไม่ละ ... เธอจึงเพลา ๆ ลงไปเยอะ ไม่ว่ากัน เรื่องแบบนี้ บังคับกันไม่ได้หรอก อยากจะเชื่ออะไร ก็คงไม่มีใครว่าได้




Professor (Dr.) Thomas Ulen
ประธานกรรมการสอบ (คลิ๊กเพื่ออ่านประวัติ)


ย้อนกลับมาเรื่องที่น่ายินดีสำหรับตัวเอง คือ เรื่องการสอบ Preliminary Exam ของผม สองสัปดาห์ก่อน ผมได้ส่งร่างของ Proposal ให้คณาจารย์ ที่จะเป็นคณะกรรมการสอบผมแล้ว ให้ท่านอ่านก่อนว่า แนวคิดที่ผมจะทำการศึกษานั้นคืออะไร แล้วผมกจัดเตรียมทำทำทั้ง Power point และ Script ที่จะนำไป present (ที่จริง กะจะเอาไปอ่านให้กรรมการฟังมากกว่า)



Professor (Dr.) Tom Ginsburg
กรรมการสอบคนที่สอง (คลิ๊กเพื่ออ่านประวัติ)



เมื่อคืน ก็เอามาซ้อม จับเวลาว่า ถ้าเรา Present ตาม Script และ Power point จะต้องใช้เวลานานเท่าใด เพราะจริง ๆ ผมมีเวลา Present เพียง ๒๐ นาทีเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะ Present สิ่งที่เราตั้งใจจะทำเชิงลึก ที่ผมเตรียมร่าง proposal ผมไว้แล้วประมาณ ๖๐ หน้า ไป Present ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนั้น หลังจากนั้น ผมจะต้องตอบคำถาม อีกประมาณ ๑ ชั่วโมง ก่อนที่คณะกรรมการจะประชุมกันว่าจะให้ผ่านหรือสอบใหม่ครับ

ดี่ที่ เทอมก่อน Professor Thomas Ulen ประธานที่ปรึกษาของผม ได้แนะนำให้อ่านหนังสือ THE Craft OF Research ที่เขียนโดย Wayne C. Booth, Gregory G. Colom และ Joseph M. Williams ที่แนะนำเกี่ยวกับการทำ Research ตั้งแต่ การหา Topic การตั้งสมมุติฐานไว้ล่วงหน้า การหาหลักฐานสนับสนุนข้อโต้แย้ง ฯลฯ ซึ่งผมว่าเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งเลยครับ อีกประเด็นหนึ่งที่เด็กไทย มีปัญหาในการทำวิทยานิพนธ์มาก ๆ คือ ไม่ยอมเขียน หนังสือเล่มนี้ ก็บอกว่า ให้ลงมือเขียนทันที เพราะถ้าไม่เขียน ก็ไม่รู้จะแก้ไข หรือ rewrite มันอย่างไร อย่างเพื่อน ๆ ผม ที่เรียนปริญญาโท หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต ด้วยกันตั้งแต่ ปี ๒๕๔๓ หลายคนเข้าสู่โปรแกรม ปีสุดท้ายแล้ว ยังไม่จบเลย ผมได้แต่กระตุ้นว่า "เขียนซะที" เพราะไม่ลงมือ ก็ไม่มีทางสำเร็จหรอก ถ้าเขียนตั้งแต่แรก ผมว่าเพื่อนผม ที่เก่งกาจทั้งนั้น ก็คงจะจบพร้อมผม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ นั่นแหละครับ




Professor Margareth Etienne
กรรมการสอบ คนที่สาม (คลิ๊ก เพื่ออ่านประวัติ)


ในหนังสือหนังดังกล่าวมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่ง คือ เรื่อง Topic ว่าจะต้องตอบคำถามใหม่ ๆ หรือ โต้แย้งของเก่าว่าไม่ถูกต้อง โดย Topic นั้นต้องมีความสำคัญเพียงพอ และเป็นประโยชน์ พร้อมกับมี Claim หรือ คำตอบที่เราต้องการนำเสนอ พร้อมมีหลักฐานสนับสนุน .... แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุด คือ ถ้าต้องตอบคำถามว่า "คุณกำลังศึกษาอะไร" ให้ผู้ฟังเข้าใจได้

ผู้เขียนหนังสือ เล่มดังกล่าว ได้สมมุติเหตุการณ์ว่า ถ้าไปเจอคนในลิฟต์ แล้วถามเราว่า กำลังทำอะไรอยู่ ศึกษาเรื่องอะไร .... เราจะต้องตอบคำถามนั้น แล้วทำให้คนที่ฟังอยู่เข้าใจ แล้วเห็นความสำคัญ กระตุ้นความอยากรู้เขาให้ได้ โดยการตอบสั้น กระทัดรัด ได้ใจความ ซึ่งเป็นภารกิจที่ยากไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับบางคนที่เขียนบทความออกมาดี แต่ไร้ความสามารถในการอธิบาย

ผมก็พยายามทำตาม โดยตั้งใจจะใช้ Power point และ Script ที่เตรียมมา พร้อมฝึกซ้อมมาหลายรอบ ... แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็ไม่ได้อ่านตามนั้น นึกถึงตำรา เล่มนี้ได้ว่า จะดึงความสนใจของคณะกรรมการที่เข้ามารับฟังการ Presentation ในเวลา ๒๐ นาทีได้อย่างไร สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้หรอก พูดมันสด ๆ เลย ... ผมยังจำคำของผู้ที่มาบรรยายก่อนมาสหรัฐฯ ได้ คือ คุณ จักรภพฯ ว่า "ภาษาขึ้นอยู่กับความจำเป็น" สงสัยจะจริงครับ เพราะจริง ๆ การ Speaking ของผม ยังมีปัญหาไม่น้อย ผมพบว่า การ Stress ไม่ค่อยจะถูก และ การใช้อวัยวะภายในปาก ไม่ว่าจะเป็น ลิ้น หรือ ริมฝีปาก หรือ ฟัน มันทำไม่ได้แบบเด็กฝรั่ง โดยเฉพาะสำหรับอักษรบางตัว เช่น R, L, F, P, Sh, Ch, H, Th นับว่าจำเป็นมากที่จะต้องออกเสียงให้ถูกต้อง ไม่งั้นฝรั่งไม่เข้าใจเลย จำได้ว่า ตอนเด็ก เรียนภาษาอังกฤษแบบ อ่านแล้วเข้าใจ ไม่ได้ฝึกพูดอย่างถูกวิธี ไม่ได้สนใจการออกเสียงให้ถูกต้องเท่าไหร่ ... อันนี้ เป็นปัญหาใหญ่ จนถึงปัจจุบัน

กลับมาเรื่องการพูดนำเสนอผลงานเค้าโครงวิจัยนี่ เมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดจริง ๆ จากการที่ได้พยายามฝึกซ้อม พยายาม ทำหน้าด้าน เลียนแบบเพื่อน ๆ อเมริกา แล้วถามมันว่า ต้องเสียงอย่างไรฟะ ....ผมก็ทำได้ สามารถสื่อสารให้อาจารย์เข้าใจ คล้อยตาม และ เห็นความสำคัญของปัญหา ได้ไม่ยากเย็นนัก ... อืม ภาษาขึ้นอยู่กับความจำเป็นจริง ๆ ผมเชื่อแล้ว




Professor Andrew Leipol
กรรมการสอบคนที่สี่ (คลิ๊กเพื่ออ่านประวัติ)


เป็นอันว่า ผมก็ผ่าน Preliminary exam โดยการวิธีการพูดปากเปล่า ผ่านไปได้ด้วยดี แต่คณาจารย์ ที่ประกอบไปด้วย Professor Ulen, Ginsburg, Liepold และ Professor Etienne ท่านเห็นว่าเรื่องที่ผมสนใจจะศึกษา เป็นเรื่องน่าสนใจมาก แต่มีหลายประเด็นเกินไป หากต้องการศึกษาจริง ๆ ก็ต้องใช้เวลานานหลายปี และจะต้องเขียนไม่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ หน้า คณะกรรมการ เลยให้คำแนะนำให้ตัดหลายประเด็นออกไป ก็ดีเหมือนกัน งานจะเบาลงไป และสามารถจบในเวลาที่ทุนเหลืออยู่ คือ ใน ๒ ปีข้างหน้าได้

เรื่องสุดท้าย ที่ผมว่าน่ายินดีไม่น้อย ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องการสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์ของผม คือ เรื่องการไปประเทศญี่ปุ่น ในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้ เพราะงานส่วนหนึ่งของผม ก็คือ การศึกษากระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่น โดยเฉพาะ วิธีการลดอาชญากรรม โดยไม่ใช้กระบวนการทางกฎหมายโดยตรง แต่ใช้กระบวนการทางสังคม และความร่วมมือภาคประชาชนเข้ามาจัดการปัญหาอาชญากรรม ตามแนวคิดที่ว่า การขจัดอาชญากรรม เป็นหน้าที่ของสังคมและพลเมืองในสังคมทุกคน หาใช่เป็นหน้าที่ตำรวจโดยลำพังไม่ หากประชาชนไม่ใส่ใจสังคมของตนแล้ว ปัญหาอาชญากรรม ก็ไม่มีทางเบาบางลงไปได้

ที่ว่าเป็นข่าวดีก็เพราะ ทาง EAPS หรือ East Asian Pacific Study Center ของ University of Illinois ได้ปรกาศผลการขอทุนเพื่อไปศึกษาดูงาน ตามโครงการ Pre-dissertation Summer Travel แล้ว ผมได้รับอีเมลล์นี้ จากผู้ประสานงานทุน

"I wanted to inform you by email that the EAPS Awards Committee has selected your application for funding. You have been awarded a $ x,xxx Pre-dissertation Summer Travel grant. A formal letter of award, with the terms of the grant, is forthcoming and will require a reply.

Congratulations on your outstanding proposal!

Best,

Marty "


ผมได้ส่ง Proposal การขอไปดูงานที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่ต้นเดือน มกราคม ๒๕๔๙ ที่ผ่านมาแล้ว ตัดสินเสียที แม้เงินที่จะได้รับ จะไม่เต็มจำนวนที่ขอไป คือ ๒,๕๐๐ เหรียญ แต่ก็พอจะจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับได้ แล้วมีเงินเหลือกินขนมอีกนิดหน่อย หวังว่าผมคงจะอยู่รอดในญีปุ่น ช่วง ๑ เดือนที่จะไปอยู่ครับ



สุดท้าย ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอวยพรเรื่องการสอบของผมใน blog ที่แล้ว และอวยพรปีใหม่ให้แก่ผมด้วย ผมจึงขออนุญาต กล่าวสวัสดีปีใหม่ไทย และขออวยพรกลับครับ




สำหรับท่านที่สูงวัยกว่า ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงดลบันดาลให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรารถนาครับ

สำหรับท่านที่อ่อนเยาว์กว่า ในฐานะพี่ ก็ขออวยพรให้น้อง ๆ มีความสุข ความเจริญ ประสบแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตตลอดไปครับ







 

Create Date : 15 เมษายน 2549    
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 14:45:28 น.
Counter : 804 Pageviews.  

Tomorow is my day?

JSD Preliminary Exam At UIUC!


You might know that I have to take preliminary exam at College of Law University of Illinois (UIUC) on this Friday 14, 2006. According to the requirement of JSD program of my law school, I have to take two vital exams; preliminary exam is mandatory one. The last is to defense my complete research project, which I still have no idea how fast I can move to such point!

Studying in Ph.D. in law program might be different from a doctoral degree in other principles. Firstly, only some honorable law schools will establish and provide this highest degree of law; not more than 20 law schools that provide Ph.D. program. Secondly, different law schools call this Ph.D. program in different names. Some call is "SJD or Doctor of Juridical Science;" others call it "JSD or Doctor of Science of Law." Doctor of Science and Jurisprudence or Doctor of Philosophy might be called in some law schools as well. Those law schools always accept only an applicant who graduated in an LL.M. program from their own law school. As a result, it is very difficult to be admitted to study in this program.

Most importantly, prior to being accepted to study in JSD program, an applicant must submit his or her dissertation and tentative proposal to the committee to consider if he or she can complete such research. The same to me, I have submitted my proposal to Professor Thomas Ulen, and Professor Tom Ginsburg and asked them to be my advisor in August 2004. My attempt became true on April 2005 because I am lucky enough to be accepted as a JSD student to study in this program in August 2005.

I take one year to collect information and write my proposal or dissertation so that I can submit it to my advisor and request to take preliminary exam on the coming April 2006. It is very exciting to me because on that looming day, I have to present my project to them by making an oral argument. At the first consideration, I have a plan to study some aspects about the law in the United States and its problems to enforce the criminal law and criminal procedure.

However, I change my mind because I think that it will not be pertinent to apply such deep knowledge to the critical problems of Criminal Process in Thailand in the future. As a result, a Model to develop police practice in Thailand After adoption of the 1997 Thailand Constitution is my new topic that I will focus on. I hope that it will be useful to enhance both the defendant's right protection and the effectiveness of police function to execute the law enforcement tasks as well as it will facilitate and benefit to the victim in the criminal act.

Hope that on this Friday of April 14, the committee will accept and approve my proposal and thereby I can start writing my thesis instantly. Finally, I might be able to finish it in soon. All of my breath during spending my life in the U.S. does not belong to Uncle Sam because I always think about Thailand, my mother land, and I really want to work for my country! I promised to myself in 2003 after I got scholarship from my government that even though I have a chance to work in the States, I will keep my intention ahead!

I almost broke my moral obligation when I had been offered the best job from World Bank in the beginning of 2005. But, I could overcome my greedy mind at the time of Job interview at NYU job fair in January 2005. It was not easy and not a good call on the basis of finacial basis to refuse such highly desirable job at World Bank as a legal consultant for the Vice President of this organization, but I did! Money is worth nothing if I have no dignity as a human being!

Presently, I am still in the same position! I keep my mind to go back to Thailand! What I said always derives from the bottom or the depths of my heart; I do not belong to the United States! All my breath saying and reminding me all the time that I love you Thailand!




Hope that tomorow is my day!






 

Create Date : 14 เมษายน 2549    
Last Update : 17 ตุลาคม 2550 4:11:27 น.
Counter : 517 Pageviews.  

กลับมาแล้วครับ..... มาดูซิว่า ผมไปไหนมาบ้าง

สวัสดีครับ ผมกลับมาจากพักผ่อน (Spring break) ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ( ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๙) แล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกครับ เสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย แค่ ๖ วันเท่านั้น



น้ำตก Niagara Falls กลางวันและกลางคืน


การได้ไปพักผ่อนครั้งนี้ นับว่าคุ้มค่ามาก ๆ คณะผมเดินทางโดยการเช่ารถยนต์ตู้ไปกัน ๗ ชีวิต ผลัดเปลี่ยนกันขับรถ โดยมีพลขับหลัก คือ ท่านเต้ และ ท่านเจต ส่วนผมแก่แล้ว สายตาไม่ค่อยดี ขับได้แต่กลางวัน .... พวกเราได้ไปดูสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่สวยงามมาก เช่น Case Western Reserve University กับ เมือง Cleveland ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ Ohio ติดกับ Lake Erie ต้นกำเนิดของน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พวกเราได้เดินทางไปเยี่ยมชม คือ Niagara Falls น้ำตกที่ใหญ่ที่สุด คือ ที่เมือง City of Niagara Falls ในรัฐ New York รวมถึงการไปดูปราสาทเก่าของมหาเศรษฐีที่สร้างไว้เป็นที่พักตากอากาศในเมือง New port ของรัฐ Rhode Island อีกทั้ง พวกเรายังได้ไปปัสสาวะรดมหาวิทยาลัยเก่าแก่และสวยงามที่สุด (ในสายตาของผม) อย่าง Yale ด้วยครับ



ประสาทเก่า ๆ ของอัครมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ตั้งแต่
ค.ศ. ๑๗๕๐ ปัจจุบันเป็นพื้นที่สงวน และอยู่ในความดูแล
ของThe Preservation Society of ewport County
(ควรไปชมอย่างยิ่งครับ Click เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม )


เพื่อนนายตำรวจของผม เรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยที่เป็นเลิศทาง นิติวิทยาศาสตร์ (Forensic) คือ University of New Heaven ในรัฐ Connecticut ครับ เธอต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี โดยทำอาหารการกินไว้ให้พวกเรา ทั้ง ๆ ที่เธอ ไม่เคยทำเลย .... แต่ก็อร่อยมากครับ หลังจากกินแล้ว เธอก็พาพวกเราไปเยี่ยมชม มหาวิทยาลัย Yale ครับ ... เดินไปทางไหน ก็เหมือนเข้าไปอยู่ในฉากภาพยนต์เรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ ไม่มีผิดเพี้ยน ผมชอบที่นี่จริง ๆ

หลังจากกินอาหารเรียบร้อย ตกดึกพวกเราก็บึ่งรถเข้า Boston ทันที เพื่อไปเยี่ยมชมเมืองเก่าแก่ ที่เดิมเรียกว่า New Town แต่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Cambridge อันเป็นที่ตั้งของแหล่งสอนหนังสือ เมื่อปี ค.ศ. ๑๖๓๘ ในเพลิงเล็ก ๆ แล้วต่อมาได้กลายเป็นมหาวิทยาลัย Harvard ในปัจจุบัน เมือง Cambridge ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมือง Boston โดยมีแม่น้ำ Charles ไหลผ่านระหว่างสองเมือง ในรัฐ Massachusetts ครับ



หอสมุดกลางของ Yale และส่วนหนึ่งของที่พักนักเรียน
Yale อาคารทั้งหมด ดูแล้วเหมือนกับโรงเรียน
ในภาพยนต์เรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ ไม่มีผิดเพี้ยนเลย


ได้ไปเยี่ยมชม มหาวิทยาลัย MIT และถ่ายภาพร่วมกับ คุณพลอยไพลิน เจนเซ่น ผู้ซึ่งศึกษาอยู่ในคณะ MBA ของ MIT ด้วย หลังจากนั้น ก็กลับไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัย Cornell ที่เมืองเล็ก ๆ (เล็กมาก ๆ จนน่าจะหงอยเหงาที่สุดก็เป็นได้ ) เช่น เมือง Itaca ในรัฐ New York อีกด้วย



ภูมิพล สแควร์ และ รูปปั้นจำลองนาย Harvard
ผู้มอบทรัพย์สินให้แก่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
และชื่อของเขาได้กลายเป็นชื่อมหาวิทยาลัย ในปัจจุบัน


ที่จริงได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าแก่ อย่าง Boston และ Cambridge มานานแล้ว ตั้งแต่สงครามปลดปล่อยอเมริกา จากอังกฤษ โดยเริ่มต้นที่ปัญหา แบบ "ชา ชา" คือ Tea จริง ๆ ซึ่งอังกฤษพยายามจะเก็บภาษีจากผู้คนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในโลกใหม่ แต่ประชาชนไม่ยอม เพราะขัดต่อแนวคิด "ไม่มีภาษี หากไม่มีผู้แทนราษฎร" ที่ชาวอังกฤษยึดถือกันมานานตั้งแต่ประมาณต้นคริสตวรรษ ที่ ๑๑ กล่าวง่าย ๆ คือ ไม่ใช่ว่าเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว คิดจะทำอะไร ก็ทำได้ บ้านเมืองมีขื่อมีแปร มีกฎหมาย มีธรรมเนียมประเพณีการปกครองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยสืบเนื่องกันมาเนิ่นนาน พระมหากษัตริย์ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ดังกล่าวเช่นกัน



คณะรัฐศาสตร์ (ด้านซ้าย) และ คณะนิติศาสตร์ (ด้านขวามือ) ของ Harvard


น่าเสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อยครับ ได้อยู่ Boston แค่วันเดียวเท่านั้น ไม่งั้น ผมจะเดินตาม Freedom Trail อย่างละเอียด แล้วจะนั่งรถนำเที่ยวที่มีไกด์บรรยายประวัติศาสตร์ของเมืองโดยละเอียดให้ถ้วนทั่วครับ ปกติ ผมจะเที่ยวคนเดียว เพราะผมกำหนดตารางเวลาได้เองตามใจชอบ เพราะความสนใจของคนเราก็แตกต่างจากคนอื่นเป็นธรรมดา ผมสนใจประวัติศาสตร์ ในขณะที่คนอื่น อาจจะสนใจกับการจับจ่ายซื้อหาสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษีในรัฐแห่งนี้ แต่การไปเป็นกลุ่มนี่ ก็ต้องยึดถือคติ "มาด้วยกัน ไปด้วยกัน" แบบเลือดสุพรรณฯ ครับ ซึ่งผมก็ชื่นชมน้อง ๆ ในกลุ่มที่ไปด้วยกันว่า รักษาเวลาได้ยอดเยี่ยมครับ มีติดขัดไปบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ คราวหน้าผมจะไปหน้าร้อน เพื่อไปนั่งเรือแล้วศึกษาตามประวัติศาสตร์ที่ผมชื่นชอบอย่างจริงจังครับ เพราะเมืองบอสตัน น่าสนใจมาก เป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยกว่า ๕๐ แห่ง เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯ ตั้งแต่ยุค ค.ศ. ๑๖๓๐ เป็นต้นมาเลยทีเดียว



ใจกลางเมือง บอสตัน แหล่งชอบปิ้ง ปลอดภาษี ครับ


ไปคราวนี้ได้เห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่สำคัญมาก คือ เรื่อง "เงิน" ครับ ไม่ใช่เงินในกระเป๋าผมหรอก แต่เป็นเงินที่จะใช้ในการพัฒนามหาวิทยาลัยครับ เงินนี่สำคัญมาก ในการดึง Ranking ให้สูงขึ้น และในขณะเดียวกัน เมื่อ Ranking สูงขึ้น ก็เป็นตัวดึงดูดเงินที่ดีครับ อย่างมหาวิทยาลัย Harvard นี่ เขาว่ากันว่า มีเงินกองทุนมหาวิทยาลัยสูงถึง ๒ หมื่นล้านเหรียญ ค่าบำรุงการศึกษาของมหาวิทยาลัยชั้นนำเหล่านี้ ก็ล้วนแต่สูงลิบลิ่ว เช่น ที่ Cornell นี่ หากต้องการศึกษากฎหมาย ก็ต้องมีเงินค่าเทอมติดกระเป๋าปีละ ประมาณเกือบ ๕ หมื่นเหรียญ ในขณะที่มหาวิทยาลัยรัฐบาล ก็จะเก็บค่าบำรุงการศึกษาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ มหาวิทยาลัยเหล่านี้เก็บค่าบำรุงการศึกษา เป็นต้น เป็นธรรมดาของมหาวิทยาลัยที่มีเงินทุนหนาครับ ย่อมมี Facilities หรือ สิ่งอำนวยความสะดวกและสนับสนุนการเรียนได้ดีกว่ามหาวิทยาลัยเล็ก ๆ หรือ มหาวิทยาลัยของรัฐที่มีเงินทุนน้อยกว่าครับ อย่าง Harvard หรือ Yale ล้วนแต่มีอุปกรณ์ที่สนับสนุนการศึกษาเป็นเลิศทั้งสิ้นครับ คนที่จะเข้าเรียน ก็ต้อง "Trade - off คือ ต้องยอมจ่าย เพื่อให้ชาวโลกมองตนเองดีกว่าคนอื่น (?)" แต่จะตักตวงได้มากน้อยขนาดไหน ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ



มหาวิทยาลัย MIT ที่โด่งดังทางสายวิทยาศาสตร์


นอกจากมหาวิทยาลัยแล้ว ยังได้ไปดู สี่แยกแห่งหนึ่งที่ เมืองเคมบริดจ์ ได้ถวายพระปรมาภิไธย เป็น ภูมิพลสแควร์ อันเป็นสถานที่ที่พระองค์ท่านมีพระประสูติกาล พวกเรายังได้เลยไปดูโรงเรียนพยาบาลที่ สมเด็จย่า ได้มาศึกษาเล่าเรียน และพบรักกับพระบรมชนก พระบิดาวงการแพทย์ไทย ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัย Harvard เป็นต้น



น้องออย และ น้องทัย ถ่ายภาพร่วมกับคุณพลอยไพลิน


เอาละครับ ผมขอจบเรื่องเล่าสั้น ๆ แค่นี้ก่อน บล๊อกหน้า ถ้าผมมีเวลาว่างพอ จะนำภาพมาแสดงไว้อีกทีโดยละเอียดนะครับ คราวนี้ เล่าคร่าว ๆ ก่อน กลัวโดนบ่น "ทั้งยาว ทั้งใหญ่" อีก .... อืมจริง ๆ ผมก็ไม่รู้จะทำไงนะ ให้มันสั้นลงได้ ถ้าใครเข้ามาเจอแล้วรำคาญใจ ก็ต้องขอโทษด้วยครับ



Law School Cornell U. ตั้งอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร
สวยงามดีครับ ค่าเทอมแค่ปีละเฉียด ๆ ๕ หมื่นเหรียญเท่านั้น


แน่นอนที่สุด ต้องขอขอบคุณ น้อง ๆ ร่วมคณะทุกท่าน ที่จัดให้มี Trip เกิดขึ้น ตั้งแต่ ท่าน เต้ ลีโอ - รักษ์ ผู้อุทิศตนในการขับรถตลอดทาง ร่วมกับท่าน เจตฯ แห่งเมืองสุรินทร์ ท่าน หฤทัย ผู้เจ็บป่วยตั้งแต่ก่อนเดินทาง แต่เพื่อป้องกัน Trip ล่ม ท่านน้องเธอก็ไม่ละทิ้งพวกเรา ท่าน ชมพูนุช ผู้ตัดสินใจว่าจะร่วม Trip ในคืนสุดท้ายก่อนเดินทาง ทำให้ค่าใช้จ่ายเราลดลงไปอย่างมาก ท่าน กอล์ฟ ผู้เดินทางตรงดิ่งมาจากเมืองไทย เพื่อร่วม Trip โดยเฉพาะ ท่าน ออย ผู้นำสมัยด้วยเทคโนโลยี และเรื่องของเด็ก ๆ ผู้มีโชคด้านการพนัน

ที่สำคัญที่สุด คือ ขอขอบคุณเจ้าภาพ คือ ท่าน Eric ท่านหนู และ ร.ต.อ. หญิง โสรดา (นามเดิมเธอคือ ลูกอม แต่เพื่อนฝรั่งของเธอ เรียกว่า "Candy") สำหรับอาหารอร่อย และนำเที่ยวเมือง New Heaven & Yale เธอคือ เพื่อนร่วมวิชาชีพตำรวจและรับทุนมาเรียน ป.โท - เอก ทางนิติวิทยาศาสตร์ ในสหรัฐฯ ขอขอบคุณท่าน กฤษ ณ Ohio ที่นำเที่ยว Case Western Reserve University ขอขอบคุณ ท่าน ซันนี่ (นักเรียน ป. เอก แห่งคณะ Public Health Management ของ Harvard) ที่นำท่องเที่ยว เมืองเคมบริดจ์ บอสตัน และมหาวิทยาลัย Harvard ขอขอบคุณ ท่าน Dr. Wu (ญาติท่านเต้ ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นสูงสุดเอื้อมมือสอย จาก MIT) ที่นำเที่ยว MIT พร้อมบรรยายอาคารสถานที่ต่าง ๆ แล้วก็พาไปกินอาหารจีนที่ China town อร่อย ๆ ครับ สุดท้าย คือ ขอขอบคุณ ท่านโจ๊ก ผู้นำชมมหาวิทยาลัย Cornell ข้าฯ น้อย ขอคารวะด้วยใจ ครับ



สมาชิกร่วมแก๊งค์ และ เจ้าภาพผู้มีพระคุณในเรื่องอาหาร
อร่อย ๆ ที่ Connecticut และที่พักใน Boston ครับ


สุดท้าย ผมขอฝากเวปไซต์นี้ไว้อ่านเล่น ๆ ครับ ผมว่ามันสร้างมุมมองใหม่ ๆ ได้ดีครับ ลอง Click เพื่ออ่าน "สาระสนเท่ห์" กันหน่อยครับ ... ถ้าเราลองมองปัญหาเดียวกัน ในมุมที่แตกต่างนะครับ บางทีเราอาจจะหาทางออกให้กับจิตใจของเราเองได้ หรือ ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะแก้ไขปัญหาอะไรในวงกว้างขึ้นได้ครับ



ขอบคุณเพื่อนร่วมแก๊งทุกท่าน ส่วนภาพสุดท้าย คือ
นาย Cornell มหาเศรษฐีทางธุรกิจโทรคมนาคม
ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ในปี ค.ศ. ๑๘๖๘


ขอประเทศไทยอยู่รอดปลอดภัย บุญรักษา ชีวาเป็นสุขครับทุกท่าน




 

Create Date : 26 มีนาคม 2549    
Last Update : 17 ตุลาคม 2550 4:12:22 น.
Counter : 1550 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

POL_US
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 82 คน [?]




คลิ๊ก เพื่อ Update blog พ.ต.อ.ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ ได้ที่นี่
https://www.jurisprudence.bloggang.com






รู้จักผู้เขียน : About Me.

"เสรีภาพดุจดังอากาศ แม้มองไม่เห็น แต่ก็ขาดไม่ได้ "










University of Illinois

22 Nobel Prize & 19 Pulitzer Prize & More than 80 National Academy of Sciences (NAS) members







***คำขวัญ : พ่อแม่หวังพึ่งพาเจ้า

ครูเล่าหวังเจ้าสร้างชื่อ

ชาติหวังกำลังฝีมือ

เจ้าคือความหวังทั้งมวล



*** ความสุข จะเป็นจริงได้ เมื่อมีการแบ่งปัน :

Happiness is only real when shared!














ANTI-COUP FOREVER: THE END CANNOT JUSTIFY THE MEANS!






Online Users


Locations of visitors to this page
New Comments
Friends' blogs
[Add POL_US's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.