นาน นาน ที บล๊อก - ยินดีที่ผ่านมาพบนะ ปล.ช่วงนี้ หนี้เยอะ งดเที่ยว พักหนังสือ มารับจ้างทำงานก่อนนนนน
space
space
space
space

เก็บของหนีน้ำไปลงทะเลกระบี่-อ่าวนางกับสามเกาะ- 21-24 ตุลาคม 2554:2

น้ำทะเลสีครามหรือจะลบล้างน้ำหลากที่ไหลท่วมใจ


ตอน2: ล่องเรือชมน้ำ...ทะเลคราม


น้ำทะเลสีเขียวสวยสด ฟ้าอ่อนบนชายหาด ฟองคลื่นขาวนวล เม็ดทรายสีขาวเจิดจ้า ลมเย็น ๆ พัดผ่านเบื้องหน้า ข้าพเจ้ากลับยังไม่รู้สึกถึงความงดงามนี้อย่างแท้จริง หัวใจยังคงยึดติดกับภาพน้ำที่ค่อย ๆ เอ่อขึ้นมาจากท่อ ไหลบ่าจากคันดินบนถนน เอ่อล้นขึ้นมาจากคลอง ขึ้นมาบนถนน ปะทะกับสะพาน และข้ามสะพานนั้นไป ไม่ว่าเราจะได้ลงเรือ ล่องไปในทะเลกว้าง ทิวทัศน์ที่แปลกตา อันดามันมีเสน่ห์ที่สีของน้ำทะเล และเกาะน้อยใหญ่พุ่งยอดเสียบทะลุน้ำขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัว ท้องฟ้ายังคงสลัวอยู่ในดวงตาของผู้อพยพ...



ผ่านเกาะแรก ที่ด้านหนึ่งมีหัวยื่นออกมาดูคล้ายกับหัวไก่ จึงเป็นที่มาให้เรียกมันว่า เกาะไก่ ทะเลเขียวยิ่งกว่าที่เคยเห็น ผู้คนโดดลงน้ำด้วยความสนุกสนาน ข้าพเจ้าเพ่งมองกระแสน้ำ และฝูงปลา ที่นี่ช่างประหลาดนัก แต่ก็งดงาม ต่างจากภาพหนีน้ำยามเย็นจนมืดหม่น...เริ่มหนีหายไป



เกาะที่สอง เกาะทับ ซึ่งมีสันทรายสวนหนึ่งที่จะโผล่ขึ้นมาเชื่อมเกาะที่ดูเหมือนจะไม่มีทางเดินไปให้ถึงได้ด้วยสองเท้า แต่เมื่อน้ำลด หนทางก็ปรากฏขึ้น หรือที่เรียกกันว่า ทะเลแหวก นั่นเองโดยปกติเดือนตุลาคมที่ไม่ใช่ช่วงฤดูท่องเที่ยวทางใต้ผู้คนจะไม่มากนัก แต่ในปีนี้ไกด์ประจำเรือบอกกับเราว่า คนเยอะผิดปกติ ซึ่งสอบถามดูทำให้ทราบว่าส่วนใหญ่ก็หนีน้ำมาเหมือนกับครอบครัวของเรา อีกส่วนหนึ่งก็จากนโยบายไทยเที่ยวไทย ส่วนช่วงที่เห็นสันทรายเชื่อมเกาะสองเกาะได้ชัดเจนก็จะเป็นเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคม ก่อนและหลังขึ้น 15 ค่ำ 5 วัน



ภาพเรือลำน้อยจอดเทียบตามชายหาดด้านต่าง ๆ ยามไร้ผู้คนบนเรือ คนเรือ ทะเล กับเรือของเขา และฟ้ากว้าง เป็นภาพที่กลมกลืมและงดงามยิ่ง สำหรับข้าพเจ้าแล้ว พวกเขาดูไม่สนใจสันทรายที่โผล่ผุดขึ้นมายามน้ำลดเท่ากับจำนวนเที่ยวที่ได้ในแต่ละวัน



เช่นเดียวกับคนเรือของเรา ภาษาใต้ กับสีผิวที่ไม่หลงลืมบ้านเกิด ดูเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจ ซึ่งก็ควรจะเป็นเยี่ยงนั้น ตลอดเวลาการล่องเรือ 4 เกาะ ชายผู้นี้กับลูกเรือที่คอยนำเรือร่องไป แจกข้าว อาหาร ชวนนักท่องเที่ยวคุย ทั้งไทยและเทศน์ เกี่ยวกับเกาะบ้าง ไม่เกี่ยวบ้าง แสดงถึงชั่วโมงบินในการนำทางนักท่องเที่ยวจากแดนไกล ตลาดเส้นทางจะได้ยินเสียงหัวเราะจากนักท่องเที่ยว แทรกด้วยเสียงรัวเร็วของภาษาใต้ เขาทำในสิ่งที่รักหรือไม่นั้น เราไม่อาจทราบได้ แต่สิ่งที่แสดงออกมาคือ เขาทำ...มันอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง...



เกาะต่อไป เรามุ่งหน้าสู่เกาะปอดะ ที่นี่น้ำก็ยังสวย ใส สด เช่นเดิม บนพื้นมีหินก้อนขนาดกลาง แปะด้วยสีดำ ๆ ของเม่นทะเล กัปตันคอยส่งเสียงร้องเตือนอยู่ตลอดเวลา และแจ้งเวลาขึ้นเรือเพื่อมุ่งสู่เกาะสุดท้าย ที่อ่าวนาง ที่เกาะปอดะนี้คนเล่นน้ำน้อยกว่าที่ผ่านมาทั้งจากเจ้าเม่นฟูไปด้วยเข็มดำแหลมคม และอาหารที่เริ่มย่อยจากเกาะที่แล้ว สำหรับพวกเราเองก็ไม่ได้ลงเล่นน้ำแต่ใช้เวลานั่งคุยกันที่ริมหาด ใต้ต้นสน มองดูนักท่องเที่ยวทั้งที่ขาวจั๊วะ ตาสีฟ้า และขาวเหลืองแบบผ่านการผสมทางสายพันธุ์มาแล้ว แต่ละคนก็ต่างกันไป บ้างก็แต่งตัวเหมือนคนต่างชาติ ดูดีบ้าง ดูเว้าวิ่นบ้างตามกระแสธารของจิตใจผู้เป็นเจ้าของ ข้าพเจ้าเองก็ค่อยผ่อนคลายหลังจากกินผัดพริกไก่และไข่ดาว อากาศสดชื่น สายน้ำที่ตื่นตาแต่ไม่น่าตกใจช่วยปลอบประโลมให้เราสงบลง แต่..ความกังวลถึงระดับน้ำ และการยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวของบ้านน้อยที่จากมาก็ยังไม่หมดไป ยังโผล่แหลมขึ้นมาเสียดแทงเป็นครั้งคราว เหมือนยามคลื่นลดระดับต่ำลง สันทรายก็โผล่ขึ้นมา นี่ถ้าได้มาเยือนยามบ้านเมืองสงบ ปราศจากการถูกโจมตีด้วยน้ำเหนือ และความไม่สามารถ สามัคคีของผู้เป็นหลักทุกกลุ่มก้อนของบ้านเมือง ทริปนี้คงจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และเสียงชี้ชวนอย่างตื่นใจ



จุดสุดท้ายของเส้นทางเรือ คือ อ่าวนาง เป็นชายหาดที่มีทรายนุ่มละมุน ถึงแม้สีทรายจะไม่ขาวกระจ่างแต่การก้าวเดินก็ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวล ภูเขาหินปูนสูงใหญ่รายล้อม และทางเดินเชื่อมจากอ่าวไปที่ภูเขาหินปูนเบื้องหน้า ทำให้หลายคนต่างพาตัวเองเดินบ้าง ว่ายน้ำบ้างเพื่อไปให้ถึง... แม้ระหว่างทางจะมากด้วยหินก้อนเหลี่ยมแหลมก็ยังคงไปต่อ ที่สุดของอ่าวรูปโค้งผู้คนต่างพากันเดินมุ่งหน้าไป เพื่อสักการะ ศาลพระนาง ในถ้ำพระนางที่มีตำนานกล่าวขานเกี่ยวกับความรัก และพญานาค ซึ่งสุดท้าย รักสามเศร้ากับการวิงวอนก็เกิดโศกนาฏกรรมจนต้องคำสาปกลายเป็นภูเขาหินปูนที่อ่าวพระนางและหาดไร่เลย์...



อย่างไรเสีย...สายน้ำก็ไม่เคยจงใจที่จะทำให้ใคร...เจ็บปวด หรือสูญเสีย ความรักหรือความไม่รัก ทั้งตนเองและผู้อื่น กลับมีแรงขับดันที่สำคัญกว่าความแรงของกระแสน้ำ ไม่ว่าน้ำจะเค็ม หรือจืด มันก็ยังคงสถานะเป็นน้ำ ที่วันหนึ่งมันจะกลับกลาย...เปลี่ยนไป..อาจเป็นอากาศ ความชื้น มากับสายลม และวันหนึ่งมันจะได้กลับสู่ท้องทะเลอีกครั้ง และกลายเป็นอากาศ ความชื้น มากับสายลม...อีกครั้งและอีกครั้ง


ไม่ใช้สายน้ำหรอกที่ทำให้เราจำพราก เจ็บปวด หรือหัวเราะ


และก็ไม่ใช่เราผู้เดียวหรอกที่สูญเสีย


นี่อาจเป็นการเตือนให้ระลึกถึงความสูญเสียที่จะมีอยู่เสมอไป....เราไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแท้จริงเลย...แม้แต่จิตใจของเราที่ยังหวั่นไหวและเที่ยวไหลไปอยู่นั่นเอง

ตอน1:ตัดสินใจเดินทาง...คืนน้ำท่วม




Free TextEditor




 

Create Date : 16 มกราคม 2555   
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 16:21:18 น.   
Counter : 754 Pageviews.  
space
space
เก็บของหนีน้ำไปลงทะเลกระบี่-อ่าวนางกับสามเกาะ- 21-24 ตุลาคม 2554:1

น้ำทะเลสีครามหรือจะลบล้างน้ำหลากที่ไหลท่วมใจ


ตอน1: ตัดสินใจเดินทางก่อนกำหนด


กลางดึกของคืนวันที่ 21 ตุลาคม 2554 อันเป็นเวลาที่น้ำทุ่งปริมาณมหาศาล ไหลหลากพังประตูน้ำ และ คันดินที่รายล้อม รอบชุมชนเล็ก ๆ แต่หลากหลายแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี จังหวัดที่อยู่ติดเมืองหลวงของประเทศเพียงปลายเส้นขนจมูกกั้น และเป็นเวลาเดียวกันที่ข้าพเจ้า นั่งดูสายน้ำปริ่มตลิ่งท่ามกลางความมืดอยู่ในรถยนต์ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มุ่งหน้าจาก จังหวัดนครปฐม อันเป็นพื้นที่ติดกับแม่น้ำท่าจีน สู่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีชื่อเสียง...กระบี่ สายน้ำจากอันดามัน


การท่องเที่ยวในครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยบรรยากาศหม่นมัว ซึมเศร้า แม้ปราศจากน้ำตาหลั่งริน แต่หัวใจที่หวาดหวั่น เต็มไปด้วยภาพสายน้ำไหลบ่าเข้าหมู่บ้าน ผ่านถนน และเอ่อขึ้นมาจากทางระบายน้ำจนถึงประตูบ้านอย่างรวดเร็ว ก็แสดงออกมาบนสีหน้าเฉยชาที่ไม่พร้อมจะปิดบัง


ย้อนไปก่อนหน้านั้น เพียงวันเดียว 20 ตุลาคม... ข้าพเจ้าเก็บของจุกจิกที่เหลือจากการเก็บมาแล้วหนึ่งอาทิตย์ จากชั้นล่างขึ้นชั้นสอง ตามคำประกาศพื้นที่น้ำท่วมหนักของ ดร.เสรี (ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้) สองสามวันที่ผ่านมา ข่าวคันดินพัง ประตูน้ำเกิดรอยรั่วตามพื้นที่ต่างๆ มีอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากลาดหลุมแก้ว บางแม่นาง บางบัวทอง ดูจากแผนที่แล้ว บ้านของเราอยู่ตรงกลางระหว่างประตูกั้นน้ำเหล่านั้น แน่นอนว่าไม่เวลาใดเวลาหนึ่ง น้ำจากทุกสารทิศจะไหลบ่าเข้าสู่พื้นที่ราบต่ำแห่งนี้ โดยไม่อาจคาดเดาความแรงและเร็วของกระแสน้ำได้ เสมือนว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของสงครามโลก เสียงประกาศ เสียงเตือน ดังขึ้นวันละหลายครั้ง การกักตุนสินค้า อาหารและน้ำดื่ม ผู้คนเป็นกังวล พูดคุยกันแต่เรื่องน้ำท่วม... หรือไม่ท่วม


เวลาราวบ่ายโมงครึ่ง เสียงประกาศหมู่บ้านก็ดังขึ้น “ประตูน้ำที่ทุ่งกระโจมแตกแล้ว และไม่สามารถกู้ได้ อีกสามชั่วโมงน้ำจะมาถึงหมู่บ้านของเรา ขอให้ลูกบ้านทุกคนเก็บของขึ้นชั้นสองของบ้าน” เสียงประกาศซ้ำแล้วซ้ำเรา ความตื่นตระหนกก็ทับถมทวีคูณ


ข้าพเจ้ายังเก็บของต่อไป ขณะที่หัวใจยังเต้นระทึก หลังจากเดินไปเดินมาสักห้านาทีด้วยความงุนงง หวาดหวั่นจนไม่อาจทำอะไรลงไปได้สักอย่าง นอกจากโทรบอกพี่สาวที่ทำให้งานให้กลับบ้านมาเก็บของและอพยพออกจากบ้านก่อนกำหนดเดิม 1 วันคือวันศุกร์ที่ 21 เพื่อเดินทางไปพักที่บ้านพี่ชายที่นครปฐม


เวลาห้าโมงเย็นพี่สาวก็มาถึงและตัดสินใจร่วมกันอีกครั้ง ว่าจะออกเดินทางออกจากบ้านหลังน้อยที่เก็บเงินซื้อเป็นของตัวเอง และปล่อยให้มันผจญชะตากรรมด้วยตัวของมันเอง


ไม่น่าเชื่อว่า ระยะทางเพียง 4 กิโลเมตร จากบ้านมาถนนกาญจนาภิเษกจะใช้เวลาเดินทางถึงสามชั่วโมงครึ่ง ก่อนถึงถนนใหญ่ บนถนนในสองเลนส์ในซอยมีแต่คนมุ่งหน้าเข้าหมู่บ้าน ร้านค้าต่างๆทยอยกันปิดไฟ รถขาออกแทบจะไม่มีผ่านมา ผู้คนเดินสวนกับข้าพเจ้า เสียงพูดคุยทางโทรศัพท์แจ้งข่าวน้ำเข้าพื้นที่แล้ว เหมือนเสียงรหัสแจ้งการยกพลขึ้นบกทางทะเลก็ไม่ปาน รถจำนวนมากวิ่งเข้าหมู่บ้าน เราได้เห็นรถทหารวิ่งเข้ามาแล้วเป็นสัญญาณการถูกโจมตีที่แน่นอน อย่างไรก็ตามเรายังยืนรอที่กิโลเมตรที่สาม เหลืออีกเพียงกิโลเดียวหลังจากมอไซด์รับจ้างส่งเราแค่นี้ ข่าวน้ำท่วมหน้าปากซอยสูงห้าสิบเซนต์ถ้าเราได้ฟังทางทีวีมันอาจดูไม่สูงมากนัก แต่ถ้าเรายืนอยู่ริมถนนที่มีเสียงผู้คนโหวกเหวก แสงไฟสว่างบางช่วง แสงไฟรถยนต์ขาเข้าสาดมาตลอดเวลาที่สายน้ำที่ไหลเชี่ยวไหลผ่านใต้สะพานและเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ จนแตะขอบปูน สองไหล่ของเราแบกเป้เสื้อผ้าและเอกสารสำคัญ ไม่มีรถออกสักคันเลย มองออกไปที่ถนนใหญ่ไม่เห็นแสงไฟถนน ไม่เห็นรถวิ่งเข้าเมือง ความมืดเริ่มเข้าปกคลุม พร้อมๆกับความสับสนของผู้คน ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่าเราจะหารถได้ แต่ที่นี่ เวลานี้ไม่มีรถโดยสารออกจากซอย ไม่มีรถตู้ ไม่มีมอไซด์...(แต่ความหวังยังมี อย่างที่แกนดัลฟ์บอกไว้เสมอ)


และแล้วขณะที่สถานการณ์เข้าใกล้จุดเสี่ยงทั้งเวลาและความมืด สมองกำลังมึนงง ใคร่ครวญอย่างหนักต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การตัดสินใจเดินไปที่ถนนใหญ่ หรือเดินตัดซอยเล็กๆ หรือกลับเข้าหมู่บ้านไปออกด้านหลัง ก็พอดีกับรถกระบะคันหนึ่งวิ่งออกจากซอยอย่างรวดเร็วและเบรกห่างออกไปราวสิบเมตร พวกเรารีบวิ่งด้วยความดีใจ หลังจากสักถามเส้นทางกันแล้วข้าพเจ้าก็ขึ้นหลังรถท่ามกลางความมืด และรถที่วิ่งสวนเข้าหมู่บ้าน ขณะที่รถกระบะวิ่งอยู่บนถนนกาญจนาภิเษกที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยรถราทุกช่องจราจรทั้งขาเข้าและขาออก ถนนที่ไม่เคยจะหยุดรับใช้ดอกยางแต่ค่ำคืนนี้ถนนขาเข้าเปลี่ยวร้าง น้ำรุกคืบมาจากคลองพระพิมล จากแยกวงแหวนสุพรรณ 345 เอ่อท้นขึ้นมาบนถนนหลักแปดเลนส์จนถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้ว นานๆจะมีรถที่ไปทางเดียวกับข้าพเจ้า คลับคล้ายคลับคราเหมือนเวลานี้ บนถนนมุ่งลงใต้ยามดึก มืดและเปลี่ยวเหงา เช่นกับที่จากมา


เวลาเช้ามืดเราก็เดินทางมาถึงถนนสาย 44 เป็นเส้นทางตัดจากสุราษฎรธานีไปฝั่งอันดามัน ที่นี่...เรายังคงเห็นคราบน้ำบนซากต้นไม้ที่ตายอยู่ข้างทาง น้ำ...ธรรมชาติ...มีเส้นทางของมันเสมอ ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่เลือกเส้นทางของตัวเองได้


สาย ๆ เราก็มาถึงเมืองกระบี่จนได้ ภูเขาเขียวชอุ่ม สูงตระหง่าน และอยู่ใกล้เรากว่าที่คิด ยิ่งทำให้เรารับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ หนักแน่นและมั่นคง มนุษย์ไม่อาจหาญและเก่งกาจพอที่จะข่มขู่ หรือ บังคับบัญชา



เช้าวันถัดมา 22 ตุลาคม นักท่องเที่ยวต่างมารอเรือที่จะพาเราออกสู่ทะเลกว้าง เข้าไปอยู่ในระหว่างสายน้ำไหล แม้ไม่เชี่ยวเท่าน้ำเหนือ แต่กว้างใหญ่กว่ามากนัก



จากแรงผลักดันของสายน้ำแรงที่ไหลบ่าปะทะถนน สะพาน เมื่อไม่กี่คืนก่อนได้นำพาเรามาสู่สายน้ำที่ไกลออกมา มันช่างกว้างใหญ่กว่าและไม่อาจคาดเดา ไม่รู้ว่าคลื่นที่ซาดซัดกำลังรอคอยที่จะทักทายใครที่ชายหาด หรือมารอรับสายน้ำที่กำลังเร่งรีบแต่ก็เชื่องช้านัก....ซึ่งเราไม่อาจรู้ได้ว่าจะมาถึงเมื่อใด...



ตอน2:ล่องเรือชมน้ำทะเลสีคราม(จบ)






Free TextEditor




 

Create Date : 16 มกราคม 2555   
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 16:20:58 น.   
Counter : 322 Pageviews.  
space
space
27/12/2554สวัสดีปีใหม่ปีแรกในพิภพ

ฝากชื่อ ทักทายกันคะ
พูดคุยเรื่องหนังสือหรือท่องเที่ยว (ของดการเมืองเรื่องกวนใจนะคะ)


ไปเที่ยวใต้มา ผ่านปั้มน้ำมัน เขามีโรงแรม ร้านอาคาร ชื่อร้าน จิงโจ้ (ทุกกกอย่างเลย เท่ห์ซะ)






Free TextEditor




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2554   
Last Update : 25 ตุลาคม 2555 16:00:29 น.   
Counter : 608 Pageviews.  
space
space
หาดเจ้าหลาว-อ่าวคุ้งกระเบนพักใจไปจัน(ทบุรี):1~ป่าไม้ชายเลนของพ่อหลวง

เดินเล่นยามเช้า: ที่อ่าวคุ้งกระเบน


แม้เส้นทางเพียงสองเลนส์รถวิ่งสวนกันแต่ถนนกว้างขวางมีเลนส์จักรยานเป็นสัดส่วน ทำให้ถนนเส้นนี้ดูเป็นอิสระ ไม่แน่นขนัดเบียดเสียดด้วยร้านค้าที่ตั้งบนถนนหรือทางเท้า ระยะทางขับรถเพลิน ๆ ไม่เกินสิบนาที ค่อย ๆ ทิ้งหาดเจ้าหลาวไว้ที่เดิม ขณะที่เรามุ่งไกลออกไป ของที่อยู่ใกล้ คงง่ายเกินไปที่จะเชยชม ข้าพเจ้ากับอีกหลายคนก็ดั้นด้นค้นหาสิ่งที่อยู่ห่างไกล


เมื่อมาถึงป้ายอ่าวคุ้งกระเบน ยังมองไม่เห็นอ่าว เห็นเพียงท้องทะเลสงบไกลที่มีจุดสิ้นสุดที่ขอบฟ้า ทางซ้ายของถนนเป็นรั้วลวดหนามเล็ก ๆ คล้ายจะมีเป้าหมายแค่บอกขอบเขตแต่ไม่ได้กางกั้นการลุกล้ำจากภายนอก ภายในมีอาคารส่วนใหญ่เป็นชั้นเดียว เป็นสัดส่วนไม่หนาทึบ ส่วนด้านขวาเห็นป้ายว่า ศูนย์ศึกษาธรรมชาติอ่าวคุ้งกระเบน เรายังไม่แน่ใจยังคงขับรถต่อไปด้วยมุ่งหวังว่ามันจะถึงอ่าวคุ้งกระเบนที่เป็นอ่าวจริง ๆ แต่สุดท้าย...ถนนสิ้นสุดลงและวกลับเลียบชายหาด..ที่นี่ห่างเพียงราวห้าร้อยเมตร เส้นทางกลับกลายเป็น...หาดเสด็จ



เราจึงวกกลับไป เข้าสู่สถานศึกษาธรรมชาติอ่าวคุ้งกระเบน อากาศยามเช้ากำลังดี ลมเย็น ๆ ของทะเลไม่ถึงกับเย็นมาก มีเหล่าหมู่ไม้ปะทะความแรงไว้ ดูจากจำนวนรถที่จอดอยู่ราวสิบคัน กำลังดีไม่คันมาก ไม่ต้องเกาเยอะ ส่วนในความคิดของข้าพเจ้ายังคงมีภาพตามเส้นทางที่ผ่านมาก่อนจะถึงหาดเจ้าหลาว วงเวียนปลาพะยูนปูนที่ว่ายไปมา กับวงเวียนปลาโลมาจูบกัน หรือว่าที่นี่มันจะมี...ทั้งที่เรียกกันว่าปลาแต่ไม่ใช่ปลา และปลาที่หน้าตาเหมือนหมูกับนางเงือก


ทางเดินทำจากไม้ลากเรื่อยเข้าไปในไม้ป่าชายเลนระยะทาง ๑,๖๐๐ เมตร พอเดินได้เพลินดี ให้เราได้เริ่มเรียนรู้ และเรียนรู้ได้ตลอดทาง ทั้งจากธรรมชาติและจากพระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา ผู้ทรงพระปรีชาและมีพระเมตตาต่อลูกหลานของท่าน ที่แห่งนี้คือตัวอย่างที่พระองค์ได้ทรงงานให้ประชาชนได้เห็นจริง เรียนรู้ได้ง่าย ใช้ประโยชน์ได้จริง กับแผ่นดินที่เคยเสื่อมโทรม และวิถีชีวิตที่อิงเศรษฐกิจกับธรรมชาติเกิดขึ้นได้จริง ดั่งแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน ที่นี่ “ศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”


 




แผ่นดินที่เรายืนอยู่ใช้เวลาสร้างหลายร้อยล้านปี ผ่านกระบวนการทางธรรมชาติเร็วบ้างช้าบ้าง
จนบัดนี้ แผ่นหิน กระแสน้ำ สัตว์ทะเล และพืชพันธุ์ที่ปรับตัวก็กลายเป็นป่าชายเลนที่ให้ประโยชน์คณานับกับมนุษย์และสัตว์ที่ยังเด็ก อ่อนวัย


ทางเดินปูด้วยไม้ทอดยาวออกไป เป็นแบบเดินทางเดียวไม่มีสวนกัน แล้วกลับมาบรรจบตรงทางออกที่อยู่ใกล้ ๆ กับทางเข้ามีแดดบ้าง มีร่มเงาบ้างคละกันไป บางครั้งเส้นทางอาจดูตรงและมั่นคงดี บางครั้งมันก็วก วน และ มีทางแยกให้เลือกเดิน แต่เราก็ยังเดินกันต่อไปตราบใดที่ยังมีหนทาง ทางเลือกทางแยกและอุปสรรคกว้างกั้นมีไว้เพียงชะลอเท้าที่รุดหน้าเกินกว่าใจและสายตา ให้เราเดิน...ช้าลงเพื่อเชยชมสิ่งรอบตัว มิใช่เพียงเพื่อฉุดรั้งไม่ให้ถึงที่หมาย



บางครั้งเส้นทางอาจมีอุปสรรค จนต้องก้าวข้ามไป สะพานที่ใช้อาจมีทั้งที่อ่อน และ ไหว มีทั้งตั้งตรงแข็งแกร่ง
การก้าวย่างก็ต่างกัน


บางเวลาอุปสรรคอาจคอยอยู่ข้างหน้า และไม่มีสะพานใดให้ก้าวข้าม
เราก็เพียงแต่เดินผ่านอย่างระวัง โดยไม่ต้องห้ำหั่นอุปสรรคนั้นออกจากทางเดิน
บางทีแล้วอุปสรรคในทางเดินหนึ่งอาจมีประโยชน์มากในหนทางอื่น...



พืชพันธุ์ที่นี่ถูกน้ำท่วมบ้าง น้ำแห้งบ้าง ชั่วนาตาปี แต่พวกมันก็ยืนหยัดและหยัดยืน แต่กว่าที่พวกมันจะเรียนรู้และปรับตัว ปรับใบ ปรับระบบรากก็ใช้เวลานานโข กระแสน้ำก็ช่วยพวกมันเช่นกัน กระแสน้ำที่พัดมา จากไป ในระยะเวลายาวนานและสม่ำเสมอ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้นไม้น้อยใหญ่จึงปรับตัว ไม่เหมือนต้นไม้ที่หน้าบ้านเรายามถูกน้ำท่วมใหญ่ที่เพิ่งจะเคยหลากมาเป็นครั้งแรก แต่เราก็ภาวนาอย่าได้หลากมาจนเป็นนิสัยจนทำให้ต้นไม้ที่หน้าบ้านกางรากออก กลายเป็นโกงกางกันไปหมด...



เวลาที่เราผ่านไปจังหวัดชายทะเลต่าง ๆ ทิวไม้ไกล ๆ ที่เราเห็น เดิมทีเราเคยเรียกเหมารวมว่าต้นไม้ป่าชายเลน ด้วยความคล้ายความเหมือนไม่แตกต่าง ด้วยว่าเราไม่เคยเพ่งมองในระยะใกล้ หรือใส่ใจกับมันนัก บางเวลาเราก็ดูมันทีละต้นแต่ใกล้เกินไป จึงไม่แลเห็นข้อต่าง ที่บางทีต้องมองจากที่ไกลในหมู่มากความต่างจึงจะแตกแยกออกมา แต่ที่นี่ เขาติดป้ายให้เห็นชัดว่า ต้นไหนเป็นต้นไหน ดูผ่านๆ อาจไม่เห็นความงามและความต่าง แต่ธรรมชาติก็ให้แตกต่างที่งดงามแม้เผ่าพันธุ์เดียวกันก็ยังต่างกัน...ฉะนั้นแล้วความต่างไม่ใช่สิ่งน่าอับอาย ตราบเท่าที่ยังทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น




แสมทะเล ใบมันจะเล็ก มันจะคล้ายลำพูทะเลมาก




โกงกางใบใหญ่ ใบมันจะใหญ่กว่าแสม มีขาโก่งออกมาค้ำจุ้น
มีความเหมือนมากกับโกงกางใบเล็ก
ที่ใบมันจะเล็กกว่า


ตามทางเดินในครึ่งทางแรก เราจะได้พบกับ ทางเดินอ้อมเป็นวงกลมล้อมต้นไม้ยักษ์ไว้ต้นหนึ่ง มีอายุมายาวนาน เป็นปู่ของปู่ของปู่ ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่มาก่อน แต่จากไปทีหลัง ทำหน้าที่ให้...มาเนิ่นนาน จนลูกหลานมนุษย์ต่างหลงลืม เพราะว่ามันนานเกินไปจนไม่น่าจดใจ และความดีเหล่านั้นก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ดาษดื่น แต่ศูนย์การเรียนรู้นี้ไม่หลงลืม พิทักษ์ไว้ให้เราได้ตระหนักและระลึกถึงคุณงามความดีที่ยังทำอยู่...แม้ไม่มีใครชื่นชม



ที่ปลายแผ่นดินของป่าไม้ เราจะได้พบพะยูนหินตัวหนึ่ง.....โดดเดี่ยว และเฝ้าหวังว่าจะไม่เดียวดาย ตามป้ายประวัติบอกให้ทราบความเป็นมาที่เมื่อกาลก่อนมันถูกเรียกว่า “หมูดุด” หมูดุดฉุกชุมในสมัยก่อนที่หญ้าทะเลมีมาก แต่เมื่อมีการเลี้ยงกุ้งกุลาดำกันอย่างแพร่หลายได้ราคาดี ปริมาณการเลี้ยงก็เพิ่มขึ้น การตัดไม้ ลุกล้ำป่าก็ตามมา น้ำทิ้งจากบ่อกุ้งปริมาณมาก เหมือนน้ำจากบ่อเกรอะที่ถูกน้ำท่วมไหลเข้าบ้านเรา หญ้าทะเลตายจาก หมูดุดไม่มีหญ้าจะกินและถูกล่า...อันเป็นวิถี และวิบากกรรม หมูดุดตัวสุดท้ายจากไปในปี ๒๕๓๓ เหลือไว้เพียงเจ้าตัวนี้



แล้วศูนย์การศึกษาพัฒนาการเรียนรู้อ่าวคุ้งกระเบนก็เกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวในปี ๒๕๒๕ ซึ่งเป็น ๑ ใน ๖ ของศูนย์การเรียนรู้จาก ๔ ภาคทั่วประเทศ สำหรับที่นี่เพื่อแก้ปัญหาด้านป่าชายเลน และทรัพยากรอื่นที่เกี่ยวข้อง พวกกุ้งหอยปูปลา หญ้าทะเล และเจ้าหมูดุด ในท้ายที่สุดแล้วจากแนวพระราชดำริที่ทรงประทาน การคิดค้นและความเหนื่อยยากของพระองค์ ก่อให้เกิดผลงานการทดลอง การวิจัยและร่วมแรงร่วมใจกันของเจ้าหน้าที่ ประชาชน และอาสาสมัคร ก็ทำให้ได้พื้นที่ป่าชายเลน หญ้าทะเลกลับคืนมา หลังจากนั้นความอุดมสมบูรณ์จะค่อยๆ หวนกลับสู่แผ่นดินแผ่นน้ำนี้ตามครรลองของธรรมชาติ ได้พบเจ้าหมูดุดอีกครั้งในปี ๒๕๔๙ ประชาชนได้พื้นที่เสื่อมโทรมเพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงกุลาดำ มีการเลี้ยงกุ้งแบบปิด เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ชายฝั่งและประหยัดน้ำ จากเดิมที่เป็นแบบระบบเปิด หมุนเวียนน้ำออกสู่ทะเลกัน ให้เกษตรกรได้เลี้ยงหอยนางรมแบบแขวนจากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ดี เป็นต้น และที่นี่ ที่เรายืนอ่านป้าย ดูรูป ดูต้นไม้อยู่นี้ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ทั้งวิถีชีวิตของธรรมชาติ และชีวิตของเราเอง...


แม้แผ่นดินและท้องน้ำแห่งนี้จะเคยทรุดโทรม ถูกทำลายด้วยน้ำเสียปริมาณมากและต่อเนื่อง ต้นไม้เสียหาย ชีวิตสูญสิ้นแต่ด้วยแรงใจ แรงกาย ของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายที่มีประทีปส่องนำทางอันเป็นธงชัยที่จะถวายงานตามพระราชดำริ เวลาเพียงไม่กี่สิบปีเมื่อเทียบกับเวลาแห่งการทำลาย แผ่นดินและท้องน้ำก็กลับสู่ความอุดมดังเดิม



การปลูกป่าชายเลนนั้นไม่ควรจะปลูกให้ชิดกันเกินไปเพราะแสงอาทิตย์จะไม่ลงมาถึงพื้น... พระองค์บอกไว้เช่นนั้น


ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ถูกน้ำท่วมทั้งกายและใจ ปัญหาความวุ่นวายทางความคิดของสังคมและการเมือง ทั้งน้ำจริงและน้ำลาย ที่ได้ผ่านพบ การได้เข้ามาพักผ่อนอิงแอบกระไอทะเลที่นี่ ไม่ได้แค่เพียงสบายกาย หรือความสุขใจ จากสถานที่เงียบสงบ ที่มีลมโกรกเบา ๆ ลำแสงอ่อน ๆ เพียงเท่านั้น ขณะที่เราเหนื่อยยาก และลำบากจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา อาจทำให้เราหลงลืม...ว่ายังมีอีกพระองค์หนึ่งที่จะทรงเป็นห่วงประชาชนของพระองค์ และยังคงทรงงานเพื่อประชาชนของพระองค์ต่อไปแม้ว่าจะทรงพระประชวร การได้มาที่นี่ ได้ทำให้ข้าพเจ้าได้สำนึกและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัวให้ใส่เกล้าใส่กระหม่อม และไม่มีสิ่งใดจะมาลบล้างพระเจ้าอยู่หัวทรงเหนื่อยและลำบากกว่าเรา และทรงงานมากกว่าเราหลายล้านคนรวมกันเสียอีก พระองค์ทรงงานเพื่อประชาชนไม่ว่าประชาชนของพระองค์จะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ก็ตาม...เราจะรักพระเจ้าอยู่หัวตลอดไป....


***************************************************************************************************************************ตอน:เย็นก่อนพระอาทิตย์ตกที่หาดเจ้าหลาว://www.bloggang.com/viewblog.php?id=inthetime&date=26-12-2011&group=17&gblog=14
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก :


ศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ศูนย์ศึกษาพัฒนาเนื่องมาจากพระราชดำริ
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ



Free TextEditor




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2554   
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 16:21:40 น.   
Counter : 775 Pageviews.  
space
space
หาดเจ้าหลาว-อ่าวคุ้งกระเบนพักใจท่องไปจัน(ทบุรี):2~ก่อนพระอาทิตย์ตกที่หาดเจ้าหลาว

เดินเล่นยามบ่าย:


หาดเจ้าหลาว จังหวัดจันทบุรี ดินแดนที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของการกอบกู้กรุงศรีอยุธยา มาวันนี้ ข้าพเจ้าใช้มันเพื่อกอบกู้จิตใจ...


ตัวชายหาดเงียบสงบ ไม่ค่อยมีคนเล่นน้ำกัน ไม่ว่าจะด้วยทรายบนหาดที่สีออกจะคล้ำ บางว่าก็ออกแดง แต่ที่มองไกล ๆ มันค่อนไปทางดำ ซึ่งเป็นสีธรรมชาติของมันเอง ไม่ได้เกิดจากความสกปรก หรือด้วยอากาศที่ค่อนข้างจะหนาวเหน็บของปีลานินญ่าปีนี้ ผู้คนที่หนีน้ำมาพักใจที่นี่ ส่วนใหญ่ก็เดินเล่น กินลมชมหาดกันไป หรือไม่ก็เตรียมออกไปไดหมึก ดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น ตามอัธยาศัย ถ้าหวังความพลุกพล่าน หรือแสงสีจัดจ้านคงไม่เหมาะที่จะมาเสาะหา



เมื่อน้ำทะเลถอยร่นลงไป สันทรายก็โผล่ขึ้นมา เมื่อน้ำทะเลขึ้นมาสันทรายก็ลับหายไป ถ้าสันดอนขุดยากกว่าสันทราย และสันอะไร...ของใคร...ที่ขุดไม่ได้...จริง ๆ



ที่นี่ถ้าไม่ชอบดำน้ำ (ยามอากาศหนาวกระหน่ำ) ก็น่าจะเหมาะที่จะมาพักรบกับน้ำ หลังจากประกอบกิจการกอบกู้บ้านมาหลายวัน อาหารทะเลเยอะแยะ ถนนกว้าง รถวิ่งสะดวก ที่พักราคาถูก ปานกลาง และราคาแพง มีให้เลือกหลากสไตล์ ตามที่ได้จากสองข้างทาง


ออกจากหาดเจ้าหลาว ขับรถเลยไปที่แหลมเสด็จ (ราวสิบนาที) ทะเลระยับด้วยแสงอาทิตย์ส่อง ที่นี่หาดทรายขาว น้ำทะเลใส แต่หาดทรายแคบ และดูว่าช่วงมรสุม คลื่นจะแรง ถึงแรงมาก มีการแนวเขื่อนปูนกันคลื่นพร้อมป้ายเตือน




ใกล้ ๆ กันนั้นก็มีสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเฉลิมพระเกียติ ๖ รอบ พระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ สมเด็จพระเทพฯ ทรงเสด็จมาทรงเปิดงาน ภายในจัดเป็นห้องแสดงนิทรรศการสัตว์ทะเล และฝาผนังและบางมุมมีภาพพระกรณียะกิจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เราได้ศึกษาเรียนรู้






ผู้ใหญ่หลายท่านที่ไม่ได้มีภาระจับจูงหรือวิ่งตามลูกหลาน ต่างก็แหงนหน้าดูภาพของพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงงานตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ติดว่าที่ฝาหนังด้านบนสุด ด้วยความเคารพและเทิดทูนยิ่ง ส่วนเด็ก ๆ ที่เข้ามาภายในนี้ต่างก็ส่งเสียงดังกันสุด ๆ วิ่งจากตู้โน้นไปตู้นี้ให้วุ่นวายแต่ก็เสริมสร้างบรรยากาศครอบครัวที่อบอุ่น เสียงเด็กเล็ก ๆ ที่หัวเราะ ไต่ถาม และแสดงความคิดตามแบบของเขา ยามเมื่อได้พบเห็นปลาหน้าตาหลากสี โดยเฉพาะเมื่อมีบางตัวที่พวกเขารู้จักจากภาพยนตร์ต่างประเทศ เกือบตลอดเวลาที่เราจะได้ยินเสียงเรียกแม่เรียกพ่อให้มาดูปลาที่พวกเขารู้จักอย่างภาคภูมิใจ “แม่ ๆ นีโม ไม่ก็ พ่อ ปลาโม มีปลาโมด้วย”






วันที่ ๑๑ ธันวาคม ที่ข้าพเจ้าเข้าไปเยี่ยมชมไม่ได้มีการเก็บค่าเข้า แต่วันอื่น ๆ อาจจะมีการเก็บค่าเข้าชม เห็นที่หน้าประตูมีช่องเก็บค่าธรรมเนียม ซึ่งในวันนี้ฟรี ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ใส่ใจนัก ถ้าหากใครมีความประสงค์จะพาลูกหลานไปดูปลาแถวนี้อย่าลืมหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะจ๊ะ แต่อย่างไรเสีย ภายในก็สวยงามเหมาะที่จะพาเด็ก ๆ เข้ามาเที่ยวกัน มีปลาทะเลหลากหลายสีสัน มีตู้วางหอยจำนวนมาก ป้ายแสดงวิวัฒนาการของหอย ซึ่งก็น่าคิดว่า หอยที่เรากินมันอยู่บ่อย ๆ นี้ มันอยู่มาก่อนเรานานหลายปี แม้แต่หอยก็ยังมีลักษณะกลายพันธุ์ เช่น มีลายเวียนซ้าย หรือมีสีเผือก เป็นของสะสมที่หายาก ราคาแพง ไม่ใช่สิ่งของมีตำหนิ ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย ก็สามารถให้เขาได้ดูป้ายแสดงกฎเหล็กของการอยู่รอดของเหล่าสัตว์ได้ ซึ่งบางข้อนั้นมนุษย์ในยุคน้ำท่วมใหญ่ แล้งจัด หรืออากาศสุดขั้วเช่นนี้ควรจะตระหนักและเรียนรู้กันอย่างจริงจัง ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปเช่น ปลา มด นก แมลง หรือแม้แต่หอย “กฎเหล็กของการอยู่รอด” ได้แก่ การเปลี่ยนสี, พึ่งพาอาศัยกัน, อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม, เกาะติด, เหมือนธรรมชาติ, มีพิษ, มีเปลือกหุ้ม, ลายบนตัว, เป็นผู้ล่า, เปลี่ยนเพศ ก็ลองพิจารณาเลือกข้อที่ถูกใจตามใจท่านผู้ชมได้เลยนะ








ที่นี้เขาเขามีอุโมงค์ให้เดินลอดด้วยนะ เห็นปลาตัวใหญ่เท่าเด็กเล็ก ๆ เห็นกระเบนบินผ่านไปมา เหมือนอยู่ในโลกใต้น้ำที่เราสามารถเดินผ่านไปได้โดยไม่เปียกน้ำ เสื้อผ้า ข้าวของต่างๆ ไม่จมไปกับสายน้ำ สายน้ำกลับมามีชีวิตชีวา สวยงาม และ สดใส ลืมเลือนทะเลน้ำจืดที่ซัดเข้าบ้านเมื่อสองเดือนก่อนเสียสิ้น




ส่วนในตอนพลบค่ำ ท้องฟ้างามจับตา ที่หาดเจ้าหลาว บ้างว่าที่แหลมเสด็จก็สวยไม่แพ้กัน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้มีโอกาสไปเชยชม แค่เท่าที่ได้เห็นที่นี่ก็ตรึงใจไปอีกแสนนาน...








พรุ่งนี้เช้า:เส้นทางต่อไป...ก้าวไปในเส้นทางพระราชดำริ อ่าวคุ้งกระเบน







Free TextEditor




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2554   
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 16:22:03 น.   
Counter : 997 Pageviews.  
space
space
1  2  3  

normalization
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




"ขอทุกท่านจง ปกติสุข ในทุกวัน"
วันแรกสร้าง : 25 กุมภา.54

เป็นเพียงการบอกกล่าว เล่าเรื่อง ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ
หากว่ามีประโยชน์บ้างแม้เพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็ยินดียิ่ง
หากว่าส่วนใดผิดพลาด ฝากข้อความไว้ได้เสมอ
@comeback 18/1/18

free counters สำหรับธงขอขอบคุณ blog paradijs
space
space
space
space
[Add normalization's blog to your web]
space
space
space
space
space