น้ำทะเลสีครามหรือจะลบล้างน้ำหลากที่ไหลท่วมใจ ตอน1: ตัดสินใจเดินทางก่อนกำหนด กลางดึกของคืนวันที่ 21 ตุลาคม 2554 อันเป็นเวลาที่น้ำทุ่งปริมาณมหาศาล ไหลหลากพังประตูน้ำ และ คันดินที่รายล้อม รอบชุมชนเล็ก ๆ แต่หลากหลายแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนนทบุรี จังหวัดที่อยู่ติดเมืองหลวงของประเทศเพียงปลายเส้นขนจมูกกั้น และเป็นเวลาเดียวกันที่ข้าพเจ้า นั่งดูสายน้ำปริ่มตลิ่งท่ามกลางความมืดอยู่ในรถยนต์ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มุ่งหน้าจาก จังหวัดนครปฐม อันเป็นพื้นที่ติดกับแม่น้ำท่าจีน สู่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีชื่อเสียง...กระบี่ สายน้ำจากอันดามัน การท่องเที่ยวในครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยบรรยากาศหม่นมัว ซึมเศร้า แม้ปราศจากน้ำตาหลั่งริน แต่หัวใจที่หวาดหวั่น เต็มไปด้วยภาพสายน้ำไหลบ่าเข้าหมู่บ้าน ผ่านถนน และเอ่อขึ้นมาจากทางระบายน้ำจนถึงประตูบ้านอย่างรวดเร็ว ก็แสดงออกมาบนสีหน้าเฉยชาที่ไม่พร้อมจะปิดบัง ย้อนไปก่อนหน้านั้น เพียงวันเดียว 20 ตุลาคม... ข้าพเจ้าเก็บของจุกจิกที่เหลือจากการเก็บมาแล้วหนึ่งอาทิตย์ จากชั้นล่างขึ้นชั้นสอง ตามคำประกาศพื้นที่น้ำท่วมหนักของ ดร.เสรี (ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้) สองสามวันที่ผ่านมา ข่าวคันดินพัง ประตูน้ำเกิดรอยรั่วตามพื้นที่ต่างๆ มีอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากลาดหลุมแก้ว บางแม่นาง บางบัวทอง ดูจากแผนที่แล้ว บ้านของเราอยู่ตรงกลางระหว่างประตูกั้นน้ำเหล่านั้น แน่นอนว่าไม่เวลาใดเวลาหนึ่ง น้ำจากทุกสารทิศจะไหลบ่าเข้าสู่พื้นที่ราบต่ำแห่งนี้ โดยไม่อาจคาดเดาความแรงและเร็วของกระแสน้ำได้ เสมือนว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาของสงครามโลก เสียงประกาศ เสียงเตือน ดังขึ้นวันละหลายครั้ง การกักตุนสินค้า อาหารและน้ำดื่ม ผู้คนเป็นกังวล พูดคุยกันแต่เรื่องน้ำท่วม... หรือไม่ท่วม เวลาราวบ่ายโมงครึ่ง เสียงประกาศหมู่บ้านก็ดังขึ้น ประตูน้ำที่ทุ่งกระโจมแตกแล้ว และไม่สามารถกู้ได้ อีกสามชั่วโมงน้ำจะมาถึงหมู่บ้านของเรา ขอให้ลูกบ้านทุกคนเก็บของขึ้นชั้นสองของบ้าน เสียงประกาศซ้ำแล้วซ้ำเรา ความตื่นตระหนกก็ทับถมทวีคูณ ข้าพเจ้ายังเก็บของต่อไป ขณะที่หัวใจยังเต้นระทึก หลังจากเดินไปเดินมาสักห้านาทีด้วยความงุนงง หวาดหวั่นจนไม่อาจทำอะไรลงไปได้สักอย่าง นอกจากโทรบอกพี่สาวที่ทำให้งานให้กลับบ้านมาเก็บของและอพยพออกจากบ้านก่อนกำหนดเดิม 1 วันคือวันศุกร์ที่ 21 เพื่อเดินทางไปพักที่บ้านพี่ชายที่นครปฐม เวลาห้าโมงเย็นพี่สาวก็มาถึงและตัดสินใจร่วมกันอีกครั้ง ว่าจะออกเดินทางออกจากบ้านหลังน้อยที่เก็บเงินซื้อเป็นของตัวเอง และปล่อยให้มันผจญชะตากรรมด้วยตัวของมันเอง ไม่น่าเชื่อว่า ระยะทางเพียง 4 กิโลเมตร จากบ้านมาถนนกาญจนาภิเษกจะใช้เวลาเดินทางถึงสามชั่วโมงครึ่ง ก่อนถึงถนนใหญ่ บนถนนในสองเลนส์ในซอยมีแต่คนมุ่งหน้าเข้าหมู่บ้าน ร้านค้าต่างๆทยอยกันปิดไฟ รถขาออกแทบจะไม่มีผ่านมา ผู้คนเดินสวนกับข้าพเจ้า เสียงพูดคุยทางโทรศัพท์แจ้งข่าวน้ำเข้าพื้นที่แล้ว เหมือนเสียงรหัสแจ้งการยกพลขึ้นบกทางทะเลก็ไม่ปาน รถจำนวนมากวิ่งเข้าหมู่บ้าน เราได้เห็นรถทหารวิ่งเข้ามาแล้วเป็นสัญญาณการถูกโจมตีที่แน่นอน อย่างไรก็ตามเรายังยืนรอที่กิโลเมตรที่สาม เหลืออีกเพียงกิโลเดียวหลังจากมอไซด์รับจ้างส่งเราแค่นี้ ข่าวน้ำท่วมหน้าปากซอยสูงห้าสิบเซนต์ถ้าเราได้ฟังทางทีวีมันอาจดูไม่สูงมากนัก แต่ถ้าเรายืนอยู่ริมถนนที่มีเสียงผู้คนโหวกเหวก แสงไฟสว่างบางช่วง แสงไฟรถยนต์ขาเข้าสาดมาตลอดเวลาที่สายน้ำที่ไหลเชี่ยวไหลผ่านใต้สะพานและเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ จนแตะขอบปูน สองไหล่ของเราแบกเป้เสื้อผ้าและเอกสารสำคัญ ไม่มีรถออกสักคันเลย มองออกไปที่ถนนใหญ่ไม่เห็นแสงไฟถนน ไม่เห็นรถวิ่งเข้าเมือง ความมืดเริ่มเข้าปกคลุม พร้อมๆกับความสับสนของผู้คน ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่าเราจะหารถได้ แต่ที่นี่ เวลานี้ไม่มีรถโดยสารออกจากซอย ไม่มีรถตู้ ไม่มีมอไซด์...(แต่ความหวังยังมี อย่างที่แกนดัลฟ์บอกไว้เสมอ) และแล้วขณะที่สถานการณ์เข้าใกล้จุดเสี่ยงทั้งเวลาและความมืด สมองกำลังมึนงง ใคร่ครวญอย่างหนักต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การตัดสินใจเดินไปที่ถนนใหญ่ หรือเดินตัดซอยเล็กๆ หรือกลับเข้าหมู่บ้านไปออกด้านหลัง ก็พอดีกับรถกระบะคันหนึ่งวิ่งออกจากซอยอย่างรวดเร็วและเบรกห่างออกไปราวสิบเมตร พวกเรารีบวิ่งด้วยความดีใจ หลังจากสักถามเส้นทางกันแล้วข้าพเจ้าก็ขึ้นหลังรถท่ามกลางความมืด และรถที่วิ่งสวนเข้าหมู่บ้าน ขณะที่รถกระบะวิ่งอยู่บนถนนกาญจนาภิเษกที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยรถราทุกช่องจราจรทั้งขาเข้าและขาออก ถนนที่ไม่เคยจะหยุดรับใช้ดอกยางแต่ค่ำคืนนี้ถนนขาเข้าเปลี่ยวร้าง น้ำรุกคืบมาจากคลองพระพิมล จากแยกวงแหวนสุพรรณ 345 เอ่อท้นขึ้นมาบนถนนหลักแปดเลนส์จนถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้ว นานๆจะมีรถที่ไปทางเดียวกับข้าพเจ้า คลับคล้ายคลับคราเหมือนเวลานี้ บนถนนมุ่งลงใต้ยามดึก มืดและเปลี่ยวเหงา เช่นกับที่จากมา เวลาเช้ามืดเราก็เดินทางมาถึงถนนสาย 44 เป็นเส้นทางตัดจากสุราษฎรธานีไปฝั่งอันดามัน ที่นี่...เรายังคงเห็นคราบน้ำบนซากต้นไม้ที่ตายอยู่ข้างทาง น้ำ...ธรรมชาติ...มีเส้นทางของมันเสมอ ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่เลือกเส้นทางของตัวเองได้ สาย ๆ เราก็มาถึงเมืองกระบี่จนได้ ภูเขาเขียวชอุ่ม สูงตระหง่าน และอยู่ใกล้เรากว่าที่คิด ยิ่งทำให้เรารับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ หนักแน่นและมั่นคง มนุษย์ไม่อาจหาญและเก่งกาจพอที่จะข่มขู่ หรือ บังคับบัญชา
เช้าวันถัดมา 22 ตุลาคม นักท่องเที่ยวต่างมารอเรือที่จะพาเราออกสู่ทะเลกว้าง เข้าไปอยู่ในระหว่างสายน้ำไหล แม้ไม่เชี่ยวเท่าน้ำเหนือ แต่กว้างใหญ่กว่ามากนัก
จากแรงผลักดันของสายน้ำแรงที่ไหลบ่าปะทะถนน สะพาน เมื่อไม่กี่คืนก่อนได้นำพาเรามาสู่สายน้ำที่ไกลออกมา มันช่างกว้างใหญ่กว่าและไม่อาจคาดเดา ไม่รู้ว่าคลื่นที่ซาดซัดกำลังรอคอยที่จะทักทายใครที่ชายหาด หรือมารอรับสายน้ำที่กำลังเร่งรีบแต่ก็เชื่องช้านัก....ซึ่งเราไม่อาจรู้ได้ว่าจะมาถึงเมื่อใด...
ตอน2:ล่องเรือชมน้ำทะเลสีคราม(จบ)
Free TextEditor
Create Date : 16 มกราคม 2555 | | |
|
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 16:20:58 น. |
| |
Counter : 322 Pageviews. |
| |
|
|