นาน นาน ที บล๊อก - ยินดีที่ผ่านมาพบนะ ปล.ช่วงนี้ หนี้เยอะ งดเที่ยว พักหนังสือ มารับจ้างทำงานก่อนนนนน
space
space
space
space

ลูกผู้ชาย The Philadelphian ริชาร์ด เพาเวลล์ – อดีตคือสิ่งที่เราเป็นส่วนอนาคตเราต้องเลือกเอง

แปลโดย เทศภักด์ นิยมเหตุ อ่านจากฉบับของ แพรวสำนักพิมพ์

รูปปกจากเครืออัมรินทร์รูปปกจากเครืออัมรินทร์ //www.amarinpocketbook.com/Book_Detail.aspx?BID=2103//www.amarinpocketbook.com/Book_Detail.aspx?BID=2103

เป็นหนังสือที่สมควรอย่างยิ่งในการจัดทำเป็นภาพยนตร์

สลับซับซ้อนด้วยเรื่องราวของชีวิต..ทางเดิน...ทางเลือกในการกระทำของผู้คนในสังคม

ทำให้เราย้อนมองกลับไป เมื่อครั้งที่เราต้องเลือกทำในบางสิ่ง...และบางอย่างที่เราทำไม่ได้เมื่อโอกาสมาเยือน...

 

 

ดั่งที่หญิงสาวต้นตระกูล โอ’ดอนเนลล์ เมื่อ 99 ปีก่อน เชื่อและกล่าวตามนายจ้างผู้ที่มีชื่อเสียงยอมรับอยู่ในขณะนั้นของเธอ ทรรศนะของเธอต่อการเปลี่ยนจากกระโถนเป็นโถส้วมในสังคม ฟิลาเดลเฟีย

 

“เราจะตัดสินใจเรื่องการติดโถส้วมหลังจากที่กาลเวลาพิสูจน์แล้วว่ามันใช้การได้ดี”

จนถึงรุ่นเหลนของเธอ เกือบ หนึ่งร้อยปี ที่ไม่โดดเดี่ยวของคนในตระกูล โอ’ดอนเนลล์ กาลเวลาได้พิสูจน์บางอย่างแล้วว่ามันใช้การได้ดี

 

 

และก็เช่นเดียวกับแผ่นดินนี้เราจอง และเรื่องอื่นๆของผู้เขียนที่มีเนื้อเรื่องสนุก น่าติดตาม  แต่สำหรับเรื่องนี้มันไม่ตลกเสียดสีมากเท่าเรื่องอื่นๆ ...มีก็แต่เพียงรอยยิ้มปนเศร้าบ้างในบางครั้ง บ้างก็ยิ้มเยาะให้บางหน...อย่างไรก็ดี ลูกผู้ชาย และลูกผู้หญิง จากชนชั้นล่างที่ก้าวขึ้นสู่สังคมชั้นบนใน ฟิลาเดลเฟีย ก็ได้สอนให้เห็นสัจจะธรรมหลายอย่างในการดำรงชีวิต...มีทางเลือกและเรื่องบังเอิญอยู่มากมาย โชคชะตา หรือ ตัวเราเองที่กำหนดปลายทางของเรา

แต่...ด้วยความที่มันจบสวย และสมบูรณ์แบบลงในยุคของลูกชายคนแรกของตระกูล ข้าพเจ้าจึงค่อนข้างจะหมั่นไส้ในความสำเร็จของ แอนโทนี่ จัดสัน ลอร์เรนซ์

 

แอนโทนี่ จัดสัน ลอร์เรนซ์  ผู้มีแม่ชื่อ แคเธอรีน จัดสัน หญิงสาวที่แบกความมุ่งมั่นของครอบครัว เพื่อเข้าสู่ชนชั้นสูงในสังคม เธอเลือกเป้าหมายของครอบครัวก่อนความรัก...และความสุขของเธอเอง จนบางครั้งมันดูเหมือนกับว่าเธอเป็นคนรักชื่อเสียงมากกว่าความจริงใจ...แต่ถ้าเราลองใส่รองเท้าของเธอเดิน (จากเรื่องสองดวงจันทร์) เราอาจพบความปวดร้าวที่เธอทนรับไว้เพียงผู้เดียว

คำพูดบางตอน

ระหว่างที่ แอนโทนี่ ขอคำแนะนำกับ แม่ของเขา เกี่ยวกับคดีที่มีความเสี่ยงต่ออนาคตของเขา

“แอนโทนี่ แม่ให้คำแนะนำอะไรกับลูกไม่ได้...อย่างมากที่ทำได้ก็แค่เล่าอะไรบางอย่างให้ลูกฟัง เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่แม่เตรียมตัวจะไปอยู่กับคุณนายเดอวิตต์ ลอว์เรนซ์ ...คุณทวดของลูกพูดอะไรออกมาคำหนึ่งซึ่งแม่ไม่เคยลืม...อย่าสูญเสียความทระนงของตัวเอง แล้วพวกเขาก็จะต้องนับถือแกเอง”

 

 

แอนโทนี่ จัดสัน ลอร์เรนซ์  ผู้มียายชื่อ  แมรี่ โอ’ดอนเนลล์ ลูกสาวคนใช้ชาวไอริช กับพ่อจากตระกูลสูงของฟิลาเดลเฟีย หญิงสาวผู้ที่ได้ฟังนิยายรักของแม่ และพยายามต่อเติมนิยายนั้นให้สวยงามด้วยการแต่งงานและมีลูกที่ถูกต้องกับคนมีหน้ามีตาในสังคม...ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม...แต่ไม่น่าเชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้ว...ลมหายใจสุดท้ายของเธอกลับทำให้เราลืมไอ้วิธีการเหล่านั้นไปทันที

 

 

แอนโทนี่ จัดสัน ลอร์เรนซ์  ผู้มีทวดชื่อ  มาร์เกเร็ต โอ’ดอนเนลล์ ผู้เดินทางมาแสนไกลเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น ฟังดูก็คล้ายๆ กับหนุ่มสาวจากเมืองไทยที่มุ่งหน้าสู่อเมริกา ยุโรป หรือ สิงคโปร์ เธอฝากความหวัง ความฝันทั้งปวงไว้กับเหลนชายคนแรกและคนสุดท้ายในชีวิตของเธอ และคนเดียวกับประโยคที่ว่า “อย่าสูญเสียความทระนงของตัวเอง แล้วพวกเขาก็จะต้องนับถือแกเอง”

 

 

แต่ชีวิตของ แอนโทนี่ จัดสัน ลอร์เรนซ์  ก็ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบถึงแม้จะโรยด้วยความตั้งใจของแม่ ยาย และทวด จนล้นทะลัก ก็เหมือนกับผู้คนมากมายดาษดื่นในโลกใบนี้ ที่มีความหวัง ความฝันของคนรุ่นก่อน ฟูมฟักอยู่ในตัว จนกลายมาเป็นความหวังและความฝัน รวมทั้งกลายเป็นวิถีชีวิตของเขา

 

ชีวิตของเขาตั้งแต่เด็กวัยเรียน วัยรุ่น นักศึกษามหาวิทยาลัย การเป็นทหาร เป็นทนาย มีช่วงชีวิตที่น่ารัก น่าเห็นใจ น่าติดตาม และลุ้นระทึกในบางตอน เกือบพลั้งพลาดก็หลายหน อะไรเป็นสิ่งที่เขายึดถือ และทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต ประสบการณ์ของแม่ ยาย และทวด จะเพียงพอหรือไม่

และอะไรเป็นสิ่งที่เขาต้องแลกไปบ้างในระหว่างทาง...ซึ่งถ้าเป็นเรา...เราจะเลือกทำเช่นเดียวกับเขาหรือไม่...

 

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ขอนับถือ แอนโทนี่ จัดสัน ลอร์เรนซ์ และผู้เขียนที่ชี้ให้เห็นว่า เราไม่ควรหยุดนิ่ง ระหว่างโอกาสยังมาไม่ถึง แต่ก็ไม่ควรทำสิ่งที่ผิดต่อคนอื่น(ที่สำคัญต่อเรา) รวมทั้งผู้แปลที่ทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้ราบลื่นไม่ติดขัด อ่านสนุกจบในสองครั้ง (เพราะไม่มีเวลาอ่านต่อเนื่องให้จบ)

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แต่จะยังไงก็เถอะ ข้าพเจ้าก็ออกจะหมั่นไส้ แอนโทนี่ จัดสัน ลอร์เรนซ์  ลูกชายคนแรกที่ประสบความสำเร็จ จากความไม่สำเร็จของลูกสาวสองรุ่น แน่ละซี้ ก็มันเป็นเรื่อง “ลูกผู้ชาย” นี่นา

 

หรือว่าช่วงนี้ชีวิตของข้าพเจ้ามักจบไม่ค่อยสวย....ด้วยเรื่องของลูกผู้ชายคนแรกในตระกูล

และความทุกข์ของคนเราไม่ใช่อยู่ที่ปลายทางเสมอไป ไอ้ระหว่างทาง ระหว่างการตัดสินใจเลือกนี่แหละ

การเลือกทำหรือไม่ทำ จากความหวังของคนอื่น แม้จะเป็นคนในครอบครัวมันก็ไม่ได้จบสวยเสมอไป หรือถ้ามันจบสวย แต่ก่อนจบมันอาจโชกด้วยเลือดและน้ำตา

และเหลือแค่เพียงซากไปรับรางวัลในบั้นปลาย

 

จากลูกสาวคนสุดท้าย ผู้ไม่มีความหวังจากใคร




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2555   
Last Update : 7 พฤษภาคม 2555 10:49:19 น.   
Counter : 1537 Pageviews.  
space
space
พระจันทร์กระดาษ Addie Prayงานแปลเทศภักดิ์นิยมเหตุ-กับการเดินทางของข้าพเจ้ากับพ่อ

เขียนโดย โจ เดวิด บราวน์ แปลโดย เทศภักดิ์ นิยมเหตุ  แพรวสำนักพิมพ์ ส.ค. 52 (ขอบคุณภาพหนังสือจาก se-ed, ขอบคุณหนังสือจากร้าน พอ.กับนอ.)



ถึงแม้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้สูญเสียแม่ไปตอนที่ยังเป็นเด็กเช่นเดียวกับ เอ็ดดี เพรย์ แต่หนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าอดที่จะนึกเปรียบเทียบถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับพ่อบังเกิดเกล้าไม่ได้


หลังจากที่แม่ของเอ็ดดีเสียชีวิตไป โมเซส เพรย์ หรือ ลองบอย ก็เข้ามาในชีวิตของเอ็ดดี เมื่อเธอมีอายุได้เพียง สิบเอ็ดขวบ เอ็ดดีต้องเดินทางไปกลับลองบอย ในครั้งแรกนั้นเพียงเพื่อจะเดินทางไปหาญาติของแม่ แต่ทว่า การเดินทางของเด็กน้อยที่ขาดแม่ กับชายที่อาจจะเกี่ยวดองเป็นพ่อของเธอก็ยืดยาวไปกว่านั้น...มาก


และถึงแม้ว่าเอ็ดดีและลองบอย จะไม่มั่นใจในสายเลือดของกันและกัน แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะจืดจางหรือห่างเหินลงไป อย่างไม่น่าเชื่อ...หลายครั้งที่ข้าพเจ้าก็นึกอิจฉาเส้นทางเดินชีวิตของคนทั้งคู่ การหยอกล้อ การพูดคุยกันของทั้งสอง ที่ดูคล้ายกับว่าไม่ให้ความเคารพกันเลย แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความห่วงใย ที่ไม่มีการผูกมัด บังคับหรือยัดเยียดมากเกินไปนัก...จนหายใจไม่ออก...เหมือนกับพ่อลูกตามปกติ..ที่มีส่วนประกอบของครอบครัวที่ไม่ปกติ และมีความรักที่อาจจะมากกว่าปกติ...ด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป


ระหว่างทางที่ลองบอยขับรถให้เด็กน้อยนั่งไปด้วยนั้น เธอก็ได้เรียนรู้อาชีพของลองบอย ผู้ที่อาจจะเป็นพ่อของเธอ อาชีพที่เราเรียกมันไม่ได้ว่าเป็นสัมมาอาชีวะแต่อย่างใด เช่น การหลอกขายรูปภาพของคนที่ตายไปแล้ว การขายไบเบิ้ล การขายตั๋วยาสูบ แม้แต่การตกกระเป๋า ซึ่งก็คล้ายกับการตกทองในบ้านเรานั่นเอง


ลองบอยสอนให้เอ็ดดีได้เรียนรู้วิธีการเหล่านั้น ซึงดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักในสายตาของคนทั่วไป แต่นี้ก็อาจเป็นเรื่องราวที่พบเห็นได้ทั่ว ๆ ไป ในอเมริกาช่วงนั้น แต่ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องดีที่เอ็ดดียังเด็กเกินไปสำหรับสังคมมนุษย์ แกยังไม่มีความคิดแยกแยะในเรื่องดีชั่ว ขาวดำอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจและตัดสินกัน และก็เป็นเรื่องที่ยังนับได้ว่าไม่เลวร้ายเกินไปนักคือลองบอยไม่ได้หลอกลวงใครซะจะหมดตัว หรือ เอาเงินจากผู้ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว อย่างที่เรียกว่ารีดเลือดกับปู ลองบอยอาศัยการทำทีละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ ก็สามารถรวมเงินเป็นกอบเป็นกำขึ้นมาได้ โดยไม่ได้เอาทีละมาก ๆ กับคน ๆ เดียวซึ่งนั่นอาจจะทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นได้ เหมือนในบ้านเมืองเราในปัจจุบันนี้


ขณะที่เอ็ดดี เรียนรู้ธุรกิจของลองบอย แกก็ได้เรียนรู้การไว้เนื้อเชื่อใจ ความรัก และความผูกพันที่ลองบอยมีให้


ส่วนข้าพเจ้าเอง ก็ได้เรียนรู้ว่า ในสมัยนั้น อเมริกา ประเทศยิ่งใหญ่ในขณะนี้ ได้เคยผ่านช่วงย่ำแย่มาไม่แพ้ชนชาติใด และทำให้เข้าใจถึงหนังสือ เรื่อง “ถนนยาสูบ” ที่เขียนโดย ริชาร์ด พาเวลได้ดีขึ้นอีกด้วย ภาพบ้านเมืองที่ทุกข์ยาก เกษตรกรรมที่ไม่ได้ผลผลิต ผู้มีอิทธิพลที่มีอยู่ทั่วไปในแผ่นดินอเมริกาฉายชัดขึ้นมาจากตัวหนังสือของผู้เขียน


นอกเหนือไปจากนั้น ภาพที่เด็กน้อยนั่งรถไปกับพ่อ ณ ดินแดนต่าง ๆ ก็กลับมาทิ่มแทงข้าพเจ้า ผลักดันให้ข้าพเจ้านึกไปถึงเมื่อครั้งที่อายุ สิบกว่าขวบ ก็ได้นั่งรถไปกับ พ่อ(และแม่) ยามที่เราไปเร่ขายผลไม้ ในจังหวัดต่าง ๆ ด้วยกัน ส่วนในวันนี้ แม่ของข้าพเจ้าจากไปแล้ว ข้าพเจ้ากลายเป็นคนวัยใกล้สี่สับ ส่วนพ่อก็หกสิบกว่าปีแล้ว


วันนี้ ข้าพเจ้าขับรถ พ่อนั่งข้าง ๆ ตระเวนไปในที่ต่าง ๆ ที่มีข่าวเล่าลือว่า รักษาโรคร้ายได้ ระหว่างทางเราไม่ได้หยอกล้อกันเหมือนที่เอ็ดดีกับลองบอยทำ กลับมีแต่ความเงียบงัน และทุกข์ กังวล...


ท้ายที่สุดแล้ว เอ็ดดีเริ่มทำธุรกิจของตนเอง โดยมีลองบอย เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ


ส่วนข้าพเจ้า ก็ทำงานของตัวเอง โดยไม่ได้เร่ขายผลไม้เหมือนอย่างกับพ่อและแม่ ข้าพเจ้าได้ประกอบสัมมาอาชีพอย่างที่พ่อแม่ตั้งใจไว้ ด้วยเงินที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากการขายผลไม้ โดยมีพ่อ..เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ และแม่เฝ้ามองมาจากที่ไกล ๆ............


เมื่อเอ็ดดีทำธุรกิจของแกเอง..กับนักธุรกิจ ทนายความคนหนึ่ง กับยายของเขาเอง ซึ่งในระหว่างการวางแผนต้มเงินจากคุณยายจอมหนืด เรื่องราวกลับไม่ง่ายอย่างนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราเห็นหรือคิด มันมีความสลับซ้ำซ้อนในชีวิตของคน ๆ หนึ่งเสมอ เราอาจมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในแท้ที่จริงแล้ว เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคนอื่นต่างหาก การทำธุรกิจของเอ็ดดีครั้งนี้ มีเรื่องพลิกผันที่ทำให้เอ็ดดีได้พบทั้งความสุขและความเศร้า และก็ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เช่นกันว่า เราไม่ควรตัดสินใคร ในเมื่อเราก็ไม่ได้รู้จักเขาเหล่านั้นอย่างแท้จริง


 เอ็ดดีกลับมาขึ้นรถของลองบอยอีกครั้งเมื่อธุรกิจจบลงด้วยร้อยยิ้มและคราบน้ำตา การเดินทางของทั้งสองเกิดขึ้นอีกแต่ด้วยหัวใจดวงใหม่ที่ผ่านการเรียนรู้ และเติบโตด้วยความทุกข์และความสุขมาแล้ว หัวใจที่ได้รับและเลือกหนทางของมันเอง หัวใจที่ไม่ได้มีจุดหมายปลายทางที่บ้านญาติของเธออีกต่อไป...


ส่วนข้าพเจ้ากับพ่อ..ยังคงนั่งรถ และค้นหาเส้นทางด้วยกันต่อไป โดยข้าพเจ้ามุ่งหวังว่า เราจะกลับมาพูดคุย สนุกสนาน เล่นหัวกันได้อีกครั้ง...และพยายามที่จะมีความสุขด้วยกัน..อย่างที่เอ็ดดี เพรย์ และ โมเซส เพรย์ ปฏิบัติต่อกัน


ปล. เป็นหนังสือที่เคยนำมาสร้างมาเป็นภาพยนตร์ในปี 1973 ใช้ชื่อว่า Paper Moon รับบท เอ็ดดี เพรย์  โดย ตาตั้ม ได้รางวัลตุ๊กตาทองออสการ์สาขาผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม


ปล.ล. การอ่านหนังสือเล่มนี้ เหมือนกับได้อ่านบทบรรยายภาพ เราสามารถเห็นภาพที่ผู้เขียนบอกได้ชัดเจนเหมือนกับการดูภาพยนตร์เลยทีเดียว


ปล.ล.ล. ตัวอย่างบทสนทนา หลังจากที่เอ็ดดีช่วยเหลือธุรกิจของลองบอยเกี่ยวกับรถคันหนึ่งได้สำเร็จ เป็นธุรกิจแรกที่เอ็ดดีมีส่วนช่วยเหลือโดยการแสดงตัวเป็นลูกของลองบอย และลองบอยกำลังหว่านล้อมในการพาเอ็ดดีไปหาป้าที่เมืองแอนนิสตัน
“ฉันไม่ไป” เอ็ดดีบอก
“หมายความว่ายังไงไม่ไป” ลองบอย
“ก็หมายความว่าฉันจะไม่ไปไอ้เมืองแอนนิสตันบ้าบอนั่น”
“แต่ว่าตุ๊กตาน้อย” “เธอจะต้องมีผู้ใหญ่เป็นคนคอยดูแลให้”
“ก็คุณเป็นพ่อของฉัน คุณก็ควรจะเป็นคนคอยดูแล”
“แต่ว่าตุ๊กตาน้อย” “ไอ้นั่นนะเราเพียงแต่ทำเป็นว่าติ๊งต่าง”
ฉันหันไปมองหน้าเขา
“คุณไม่ใช่พ่อฉันหรอกเหรอ”
หน้าของลองบอยเปลี่ยนเป็นสีแดง
“เอ้อ...แล้วกัน...ฉัน” เขาเริ่มอ้าและหุบปากโดยไม่มีเสียงอะไรออกมา
ฉันห่อตัวลงในที่นั่งและเบือนหน้าออกไปทางด้านหน้าต่าง จากนั้นฉันก็แกล้งร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ
“ไม่เอาน่าตุ๊กตาน้อย” ลองบอยพูดเสียงอ่อน “แอดดี้ยอดรัก...” “เอางี้ดีมั้ยตุ๊กตาน้อย เราขับรถเที่ยวกันไปเรื่อยๆ สักสองสามวัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องรีบร้อนไปแอนนิสตันอย่างปุบปับตั้งแต่วันนี้ บางทีอีกสักสองสามวันเธอก็คงจะ...”
ฉันไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรที่เขาพูดหลังจากนั้น เพราะว่ารู้สึกง่วงเต็มที และก็รู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าฉันจะไม่ต้องไปแอนนิสตัน ไม่ว่าลองบอยจะเก่งกับใครแค่ไหนก็เถอะ แต่กับฉันแล้ว เขาไม่มีวันที่จะต่อกรได้


**************************************************************************************************************************


...ถ้าคุณยังมีแม่อยู่...โปรดรักษาท่านไว้ให้ดี


และถ้าท่านยังมีพ่ออยู่...โปรดแสดงออกว่ารักท่าน...ให้ได้เช่นเดียวกับที่เป็นมา..


(ข้าพเจ้าก็พยายามอยู่..)



Free TextEditor

ฝากชื่อ ทักทายกันคะ







Free TextEditor




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2554   
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 11:26:41 น.   
Counter : 902 Pageviews.  
space
space
แผ่นดินนี้เราจอง-โดยริชาร์ด เพาเวลล์-PIONEER GO HOME-เสียดาย...ถ้าไม่ได้อ่านเรื่องนี้

แปลโดย เทศภักดิ์ นิยมเหตุ, ฉบับที่อ่านจากสำนักพิมพ์บุญชัย (พิมพ์ครั้งที่ 5/2528)


เป็นเรื่องที่สนุก เพลิดเพลิน ฮากระจาย...และกวนอารมณ์เป็นที่สุด
จะว่าเป็นการอำก็ไม่ใช่ หรือว่าตั้งใจจะกวน...ทีนก็ไม่เชิง
การมองโลกและมองคนอื่นเป็นคนดี...ก็มีส่วนดี...ได้สิ่งดี ๆ กลับมา...รวมทั้งได้บ้านทั้งหลัง..กลับมาด้วยซิ


เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นเนื่องจากการขับรถออกนอกเส้นทางของครอบครัวควิมเปอร์
ขากลับจากการไปตากอากาศทางภาคใต้ของสหรัฐเพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดที่นิวเจอร์ซี ครอบครัวที่ค่อนข้างจะขัดสนนี้
(ตามเนื้อหาที่เราได้อ่านแต่ผู้เล่ากับครอบครัวของเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย)
 ได้พบแผ่นดินว่างเปล่าเข้าโดยบังเอิญและมีเรื่องราวหลาย
อย่างเกิดขึ้นจนทำให้พวกเขาได้ครอบครองแผ่นดินผืนนี้ ซึ่งกว่าจะได้มา..ก็ต้องผ่านเรื่องร้าย ๆ มากมาย...ทว่าตระกูลควิปเปอร์หาได้
รู้สึกทุกข์ร้อนมากเท่าคนอ่านอย่างเราเลย เราจะไม่ได้พบการร่ำร้อง การขอความเห็นใจในความยากลำบากของพวกเขา การต้องเสี่ยง
ชีวิตกับคนร้าย หรือการถูกข่มเหงจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างที่คนทั่วไปจะรู้สึกได้...จะด้วยความรู้น้อย(หรืออาจจะรู้มาก)หรือ หัวใจที่
บริสุทธ์ของพวกเขาก็ไม่อาจทราบได้แน่ชัด..หลายเดือนที่ฟันฝ่าอุปสรรค...สุดท้ายพวกเขาก็ได้ครอบครองบ้าน...ที่มีความสุข....อย่างแท้จริง


ครอบครัวที่น่ารักนี้ประกอบไปด้วย
คุณพ่อเอลเลียส (ซึ่งข้าพเจ้าชอบมากเป็นพิเศษ) เป็นคนแก่ที่ตกงาน อ่านหนังสือไม่แตกฉาน แต่แกมีประสบการณ์การรับเงินชดเชยจาก
รัฐบาลมามาก แกว่าแกมีความผูกพันธ์อย่างแน่นแฟ้น

โทบี้ ลูกชายวัย
22 ขวบของแกที่เป็นผู้เล่าเรื่องนี้ และน่าจะเป็นพระเองของเรื่อง เคยถูกเรียกว่า “ไอ้ลิงยักษ์” ซึ่งต้องลองไปอ่านว่า ผู้ชายตัว
ใหญ่ แต่ค่อนข้างซื่อและซอกแซกนะเป็นยังไง มันก็น่ารักดีหรอก แต่ข้าพเจ้าชอบเจ้าคุณพ่อมากกว่า

ฮอลลี่ เด็กสาววัย
19 ที่มารับจ้างเลี้ยงดูเด็กแฝดกำพร้าพ่อแม่ซึ่งเป็นญาติของโทบี้ เป็นเด็กสาวที่อ่านหนังสือมากมีความรู้รอบตัว แต่โทบี้ไม่เคย
เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงเลย (ผู้ชายก็งี้แหละ มีของดีใกล้ตัวไม่เคยรู้ แล้วยิ่งเป็นลิงยักษ์ด้วย มันจะไปรู้อะไร...)

เด็กชายฝาแฝด วัย
7 ขวบ ที่มีความซุกซนและส่อเค้าว่าจะชอบแกล้งคนและซื่อไปพร้อม ๆ กัน เช่นเดียวกับคุณพ่อตระกูลควิมเปอร์นี้


ตัวอย่างความฮาแบบมึน ๆ


เมื่อโทบี้ถามผู้เป็นพ่อว่าทำไมถึงขับรถเข้าไปในถนนที่ตั้งป้ายไว้ว่า “ห้ามเข้า” ตาพ่อแกก็ตอบมาแบบสบายอารมณ์ว่า
“แกจะเอายังไงกับฉันอีก ฉันขับอ้อมมันเข้ามาไม่ได้รี่เข้าไปชนมันนี่นะ”
โทบี้ก็แสดงความเห็นด้วยความห่วงใยด้วยเกรงว่าถนนมันอาจยังตัดไม่เสร็จ อาจจะไปเจอบึงหรือทางขาด
“พ่อไว้ใจรัฐบาลในเรื่องนั้น ว่าจะไม่ส่งเราไปตกบึงที่ไหน พ่อไว้ใจรัฐบาลมานานแล้วและรัฐบาลก็ยังไม่เคยทำให้ผิดหวัง”
(คือแกเชื่อของแกมากว่า รัฐบาลที่ส่งเงินช่วยเหลือผู้ตกงานอย่างแก กับจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูทหารพิการหลังอย่างโทบี้กับจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูเด็ก
แฝดให้แก เป็นรัฐบาลที่ดี และแกก็จำเป็นที่จะยอมรับ เพื่อให้รัฐบาลไม่ลำบากใจ และมีงานทำ แกว่าของแกอย่างงั้น...จริง ๆ)


เด็กแฝดอายุเจ็ดขวบ คนหนึ่งตกปลาได้ อีกคนกระโดดลงไปจับปลา(ตัวนั้นนั่นแหละ) แต่เขาว่ายน้ำไม่เป็น แต่โทบี้กระโดดลงไปช่วยไว้ทัน
โทบี้บ่นเด็กแฝดที่โดดลงน้ำไปด้วยความเป็นห่วงเพราะว่าเด็กว่ายน้ำไม่เป็น เด็กแฝดตอบกลับมาว่า
“
รู้ได้ไงว่าผมว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าผมไม่ลองดูก่อน” (แป่ว...)


หลังจากที่น้ำมันหมดและครอบครัวนี้ต้องหาปูหาปลากินกันประทังชีวิต (ด้วยความผาสุกอีกตะหาก) ในวันที่ห้า ของการผจญภัยนี้ ก็มีเจ้าหน้าที่
รัฐผ่านมา แล้วก็ตามเดิม ต้องเข้ามาวางก้าม พ่นคำพูดกดขี่ อ้างกฎหมายโน่นนี่ให้ออกจากที่ที่รัฐอ้างกรรมสิทธิ์ไว้แล้ว ด้วยที่คุณพ่อที่ช่วยเหลือ
รัฐมาตลอดก็พอจะรู้จักรัฐบาลอยู่บ้าง ถึงแม้แกจะอ่านหนังสือไม่แตกฉาน ไม่ได้รับการศึกษาที่ดี แต่เมื่อได้ทราบว่ามีการเวนคืนที่ดินแค่พอใช้
สร้างถนนเท่านั้น ส่วนที่ดินที่งอก ออกมาจากถมที่ของรัฐนั้นไมได้มีการออกเอกสารเวนคืนแต่อย่างใด ด้วยความฉุนรัฐบาลคุณพ่อจึงขับรถกลับ
มาที่ที่ดินที่ได้สร้างเพิงพักไว้แล้วและเข้ายึดครองต่อเติมรั้ว ห้องน้ำ (อันพิสดาร...ลองไปอ่านดูนะตรงนี้ขอย้ำ) 
มิสเตอร์คิง ที่เป็นเจ้าหน้าที่โครงการพัฒนาที่ดินแถวนั้นพยายามที่ข่มขู่ด้วยกฎหมายของรัฐให้ครอบครัวนี้ออกไป..แต่คุณพ่อก็ยกกฎหมาย
การครอบครองดินเกิน
6 เดือนในที่ดินที่ยังไม่ถูกอ้างสิทธ์มาอ้าง ทำให้มิสเตอร์คิงต้องยอมแพ้และกลับไปหากฎหมายฉบับนั้นก่อน...
ซึ่งตาคุณพ่อแกไม่ได้รู้กฎหมายจริงหรอก..แกบอกว่าเป็นกฎหมายที่ออกปี
1802 อันนี้แกมั่วไป ซึ่งเมื่อโทบี้ลูกว่าพ่อแกมั่วไปแบบเนียน
เขาก็ทึ่งพ่อเขามาก ข้าพเจ้าก็ทึ่งเหมือนกันเพราะว่าเวลาชาวบ้านชาวเราเจอกับ จนท.รัฐเราก็จะไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วย แต่พ่อแกนิ่งเนียน
แกมั่นใจว่ามันต้องมีกฎหมายแบบนี้ที่รัฐนี้ด้วย เพราะที่บ้านแกมันมีกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินเหมือนกัน


มิสเตอร์คิง “เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง หวังว่าคุณจะบอกถูก” ระหว่างนี้ให้รักษาที่ดินไว้เป็นอย่างดี
คุณพ่อ
“ผมต้องบำรุงรักษาให้สะอาดแน่ๆ คุณไม่ต้องกลัว ด้วยว่าแผ่นดินนี้เป็นของผม” (ชอบประโยคนี้ มันหนักแน่นดี)


ครั้นเมื่อมิสเตอร์คิงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะมันมีกฎหมายนี้จริง ๆ ในปี 1820 แกก็พยายามทุกหลาย ๆอย่างเพื่อขับไล่ครอบครัวนี้ออกจากที่ดินที่แกวางแผนไว้ว่าจะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีแค้มป์ มีสวนอะไรของแกเอง แต่ต้องไม่ใช่เป็นชาวบ้านทำกัน แกคิดของแกงั้น เพราะแกเป็นรัฐนี่นา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แกสั่งรถบรรทุกเปลือกหอยให้เอามาทิ้งบนถนนหน้ากระท่อมควิปเปอร์ เพื่อกลั่นแกล้ง แต่โทบี้พบเขาก่อน โทบี้ไม่ได้คิดมาก่อนว่ามิสเตอร์คิงจะกลั่นแกล้ง โทบี้กลับคิดไปว่ามิสเตอร์คิงคงจะรู้สึกผิดที่พูดไม่ดีไว้กับพวกเขาก็เลยขนเปลือกหอยมาถมที่ดินเพิ่มให้ และความเป็นคนมีน้ำใจของโทบี้ คนขับรถก็เลยเชื่อตามโทบี้ว่ามิสเตอร์คิงคงจะให้มาถมที่ด้านหลัง เรื่องก็กลับกลายไปว่า ควิปเปอร์ได้ที่ดินเพิ่มขึ้นไปอีก แน่นอนเลยว่าคนที่เจ็บปวด จี๊ดใจก็คือมิสเตอร์คิงนั่นเอง


เมื่อครั้งที่อัธพาลอยากได้ที่ดินของพวกเขาเพื่อนำไปสร้างอาคารการพนันต่าง ๆ โทบี้ก็ไปผูกสัมพันธไมตรซะอย่างงั้น เอาขนม กาแฟไปให้เขา เรื่อยเปื่อยไป อัธพาลก็เลยว่าจ้างให้คนขว้างปาสิ่งของ ตอนกลางคืน ทำลายข้าวของต่างๆ เพื่อให้ ครอบครัวควิปเปอร์หวาดกลัว แล้วขายที่ดินให้ก่อนครบกำหนดยื่นขอโฉนด โทบี้กลับตอบไปว่า “ถ้าเราขายให้คุณทั้งที่ปัญหาก่อกวนยังมีอยู่ พวกคุณก็จะเดือดร้อนลำบากไปด้วย” ฮาเลย ถ้าเราเป็นคนจ้างคนไปทำลายเขา แล้วเขาตอบมางี้ เฮ้อ...อัธพาลก็เลยเครียด จนถึงเกิดอาการหน้ามืด ปวดก..กันเลยทีเดียว เมื่อมาเจอคนแบบโทบี้กับครอบครัวควิปเปอร์


เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้งกับครอบครัวควิปเปอร์ แต่ด้วยความซื่อ และไม่คิดร้ายกับใคร ทำให้พวกเขายืนหยัดอยู่บนแผ่นดินนี้มาได้เกือบ หก เดือน พวกเขามีอาชีพที่ทำด้วยใจ มีเพื่อนบ้านที่รักกันจริง ๆ วันสองวันก่อนที่จะครบกำหนดยื่นขอโฉนด ก็มีพายุเฮอริเคนพัดเขามาในอ่าว...ทว่าสิ่งใดก็ไม่อาจกั้นขวางการมีบ้านของคนจิตใจบริสุทธิ์ไปไม่ได้...ถึงแม้ว่าตัวคุณพ่อเองจะเข้าใจไปว่ารัฐบาลนั้นใช้อาวุธบางอย่างส่งมาเพื่อทำให้เกิดพายุ..ตัวคุณพ่อแกคิดอย่างนั้น พ่อยืนตัวตรงพร้อมประกาศว่า “ไม่มีทางทาง ฝ่ายเขาพยายามมาแล้วร้อยสีพันอย่างที่จะเสือกไสไล่ส่งเราไปจากที่นี่ ใช้ทั้งวิธีปลอดวิธีขู่ พยายามใช้วิธีจะพรากเจ้าแฝดไปจากเรา ครั้นพอไม่สำเร็จก็ถึงกับลงทุนส่งพายุเฮอร์ริเคน ซึ่งพ่อเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยว่าเกิดจากระเบิดปรมาณูของเขาไม่ลูกไหนก็ลูกหนึ่งให้เข้ามารังควานบ้านเรา แล้วมาหลังสุดนี่ จะหันเอาเรื่องภาษีมาเล่นงานเราอีก.....เราจะอยู่มันที่นี่แหละแล้วก็จ่ายภาษีมันตะบันไป ฮอลลี่เขาก็เห็นด้วยกับพ่อว่าแต่แกเถอโทบี้ แกเห็นด้วยกับพ่อหรือเปล่า"


ในช่วงการขึ้นโรงขึ้นศาล ซึ่งเป็นธรรมดาของการมีเรื่องผิดใจกับคนของทางการ แต่พอดีว่า ผู้พิพากษาท่านเป็นคนฉลาดและเป็นคนดีด้วย ดังนั้น ถึงแม้ว่า ครอบครัวควิปเปอร์ จะไม่มีทนาย ท่านผู้พิพากษาก็เลยเป็นทนายให้เอง ท่านว่าท่านอยากซ้อมมือลองวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา ข้าพเจ้าก็เลยได้คิดว่า คนดี “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราเจอข้าราชการชอบข่มเหงเรา เราก็ควรจะฮึดสู้ขึ้นมาบ้างอย่าให้แพ้ ครอบครัวควิปเปอร์เขาหล่ะ...


ปล. ถ้าคุณอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับผู้หญิง ในเรื่องการจูบผู้หญิงคุณไม่ควรเลือกช่วงที่อีกมือหนึ่งจับคันเบ็ดตกปลาอยู่ ถึงแม้คุณจะคิดว่ามือทั้ง
สองข้างมันสามารถทำงานต่างกันได้ เพราะว่า...
ปลาทั้งสองตัว..จากทั้งสองมือ...จะหลุดมือไปทั้งหมด นี่คืออีกสิ่งที่โทบี้ได้เรียนรู้...
จากจูบแรกของเขา(เราขอเตือนท่านเช่นกัน)






ฝากชื่อ ทักทายกันคะ








 

Create Date : 07 ตุลาคม 2554   
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 11:25:58 น.   
Counter : 1172 Pageviews.  
space
space
ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส-โดยพอล กาลลิโค-ปลุกรอยยิ้ม-สร้างมิตรภาพ-คนดีๆยังมีอยู่

ฉบับที่อ่าน : พิมพ์ครั้งที่ 7 (2545)
พอล กาลลิโค เขียน, บัญชา แปลเรียบเรียง, สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊คส์


หนังสือเล่มเล็ก
เรื่องสั้น ๆ 
บางกระจ้อยร่อย
หนาเพียง
137 หน้าเล่มนี้


ไหงพิมพ์มามากมายหลายครั้งกันหนอ


หนังสือเล่มนี้ พิมพ์ออกมาอีกครั้งในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมแห่งความฟุ้งเฟ้อและเห่อเหิม
กำลังทะยานเข้าครอบงำจิตใจของผู้คน กับสังคมที่แข่งขัน แก่งแย่ง และเป็นสังคมแห่งเปลือกของยศฐาบรรณาศักดิ์
สังคมของความเครียดขึง และไม่ไยดี...
hey ทำไมมีแต่คนแย่ๆ อยู่รอบตัวฉัน


ป้าแฮรีส ผู้แข่งแกร่ง กล้าหาญ โอบอ้อมอารี จะแสดงให้เราดูว่า แม้ผ่านมาเนิ่นนาน คนร้ายๆ ก็มีอยู่ทั่วไป เช่นเดียวกับ การมองเข้าไปในจิตใจให้ลึก จนถึง จิตใจที่ดี ของผู้คนที่แกเชื่อว่ามันมีอยู่ แล้วเราพบสิ่งดี ๆ ในที่สุด..หรือเราอาจพบตัวตนของเรา..เวลาที่ความบ้าคลั่ง ทะยานยากเข้าสิงสู่ดังเช่นผู้คนในปารีส หรืออังกฤษก็เป็นได้


“รอยยิ้ม และมิตรภาพ” มีค่ามากกว่า “ชุดหรูจาก ดิออร์”


เรื่องราวของ หญิงแม่บ้านวัยกลางคน รับจ้างทำความสะอาดบ้านในเกาะอังกฤษ ผู้กระเปิ๊บกระป๊าบคนหนึ่ง
เฝ้าเก็บหอมรอบริบหลายปี (ต้องดูวิธีที่แกทำ) เพียงเพื่อเก็บเงินให้ได้ สี่ร้อยห้าสิบปอนด์
สำหรับชุดดิออร์หนึ่งชุดที่ได้เห็นในตู้เสื้อผ้าของบ้านนายจ้าง
แกตัดสินใจแน่วแน่ เหมือนเวลาที่เราประกาศกร้าว ว่าจะยังงั้นยังงี้แต่ไม่เคยได้ทำเลย...ป้าแฮรีสไม่เป็นอย่างนั้น
แกเดินทางจากอังกฤษ สู่ปารีส ต่อสู้กับความตื่นกลัว หวั่นเกรง คนเลวร้ายและคนที่ไม่รู้ตัวว่าเลวร้าย
ผู้อ่านอย่างเราอาจลืมตัวและคอยร่วมลุ้นเป็นกำลังใจให้ ป้าแฮรีส ผู้น่ารัก
ฟันฝ่าอุปสรรคการเดินทาง วัฒนธรรม ภาษาที่แตกต่าง จนไปให้ถึงความฝันของแกให้จงได้
บางครั้งน้ำตาแห่งความชื่นใจจะเอ่อล้นออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว
สิ่งดี ๆ คนดี ๆ ยังมีอยู่....จริง ๆ


ระหว่างการอ่าน ผู้เขียนใช้ถ้อยคำง่ายๆ แสดงความเป็นคุณป้าฐานะยากจน แต่จิตใจสูงยิ่ง ยิ่งทำให้แกน่าเคารพ
ผู้ไม่หวาดหวั่นแม้ถูกดูถูกและให้อภัยได้อย่างง่ายดาย
ทำให้เราเกิดร้อยยิ้ม และยินดีไปกับสิ่งดีๆ ที่แกทำ และสิ่งดีๆ ที่แกได้รับ
และเกิดความหวังในที่สุด…คนดี ๆ ต้องได้พบกับคนดี ๆ ในสักวัน...คนดี ๆ เหล่านั้น อาจพบกันอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัว


ลองมองหา ป้าแฮรีส ในคนที่เดินชนเราแล้วไม่ขอโทษ
ป้าแฮรีสที่กวาดถนน น้ำกระเด็นมาถูกเรา
ป้าแฮรีสแม่บ้านที่ออฟฟิส บ่นตลอดเวลาที่เราวางแก้วกาแฟลงในอ่างน้ำ
ป้าแฮริสหัวหน้าผู้บ้าคลั่งงาน และไม่ยอมให้เราโงหัวขึ้นมาจากโต๊ะ


และลองมองหาป้าแฮรีส ที่แอบซ่อนอยู่ในตัวเรา แกคงอยากออกมาเผชิญโลกดูบ้างแล้ว..อย่าให้แกคอยนานเกินไป

SmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmiley







Free TextEditor

ฝากชื่อ ทักทายกันคะ







Free TextEditor




 

Create Date : 07 กันยายน 2554   
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 11:27:05 น.   
Counter : 1089 Pageviews.  
space
space
โจนาทาน ลิฟวิงสตัน นางนวล : บินเพื่อบรรลุถึงอิสรเสรีภาพด้วยจิตใจแห่งนางนวล

ริชาร์ด บาก เขียน
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ แปล
รัสเซลล์ มันสัน ภาพประกอบ


พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารเพื่อน ปี 2516 อันเป็นปีที่ความกระหายใคร่บินในเมืองไทย มีสูง


 “ทำไมนะจอน ทำไม” แม่ถามขึ้น “ทำไมมันยากนักรึที่จะทำตัวให้เหมือนนกอื่น ๆ ในฝูง หือ จอน ทำไมแกไม่ปล่อยให้การบินระดับต่ำเป็นเรื่องของนกเพลิแกน หรือนกอัลบาทรอส...”


                      หนังสือเล่มบาง บอกเล่าเรื่องราวยิ่งใหญ่ของนางนวลตัวหนึ่ง โจนาทาน ลิฟวิงสตัน คือชื่อของมัน นางนวลที่มีความคิดแตกต่าง และปฏิบัติแตกต่าง  แหกคอก นอกกฎ และเป็นเพียงนกหัวเน่าตัวหนึ่ง ที่ถูกขับออกจากหมู่นก เพียงเพราะว่ามันแตกต่าง มันไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตด้วยการบินแบบเดิม จากผืนทราย ไปสู่ท่าเรือ ใช้ปีกไปเพื่อแย่งกันกินปลาเน่า หรือเศษขนมปัง ความกระหายในการบินด้วยความเร็วเหนือขีดจำกัด บินผาดโผน และบินเร็วเท่าความคิด เป็นการบิน ที่ไม่เคยมีนางนวลตัวใดในฝูงของมัน เคยทำมาก่อน มันเป็นสิ่งผิด และน่าอับอาย แล้วทำไมนะ โจนาทาน จึงอยากแหกกฎที่นับเนื่องกันมาเป็นหมื่นปี แล้วมันค้นหาอะไร สุดท้าย สิ่งที่มันค้นพบ จากเป้าหมายการบิน ของตัวมันเอง คืออะไร หลังจากที่ค้นพบแล้ว ผู้คนพบในสิ่งที่หวังจะทำอย่างไรต่อไป....นั่นสินะ


                     หนังสือเล่มเล็ก ไม่ได้บอกเล่าอะไรมากมาย เป็นแค่ตัวอย่างชีวิตหนึ่งที่กล้าหาญ มุ่งมั่นในสิ่งที่มุ่งหวัง แต่ทว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้คนอีกนับล้าน ที่มีความฝัน ความหวัง หลายคนฟันฝ่า หลายคนทิ้งไป หลายคนที่ไม่อยากกลายเป็นคนหัวเน่า  เป็นหนังสือที่แอบพกพาความวิจิตรแห่งจินตนาการ บนเรื่องราวเรียบ ๆ  ความฝันของใครก็เป็นของคนนั้น การบินของใคร ก็เป็นการบินของคนคนนั้น หนังสือที่อ่านแล้ว ซาบซึ้ง และแอบทำให้ขนตาชุ่มน้ำได้ในบางขณะ


                      ก่อนที่จะเขียนหนังสือเล่มนี้แล้วเสร็จในปี 2510 ริชาร์ด บาก ได้ผ่านการทำงานหลายอย่างด้วยกัน เช่น นักบิน บุรุษไปรษณีย์ บรรณาธิการ เป็นผู้ที่เปลี่ยนงานบ่อย ทำอะไรได้ไม่นานก็เปลี่ยนงานอีก เคยแม้กระทั่งการเป็นนักเทศน์ในโบสถ์ แต่สิ่งที่รักมากที่สุด คือการบิน งานเขียนก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ จนกระทั่ง เมื่อถึงเวลาอันสมควร ที่ประสบการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง รวมกัน จนก่อเกิด นางนวล ที่มุ่งมั่น ในการบิน โจนาทาน ลิฟวิงสตัน ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังขึ้นมาในทันที อย่างน่าแปลกใจ ในปี 2515 


                       อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ได้รับการกล่าวถึงในทั้งในด้านดีและด้านร้าย  ทั้งในแง่ของหนังสือขายดีในชั่วข้ามคืน และเป็นที่นิยมในหมู่พิราบ หรือนกชนิดอื่นที่มุ่งหาเสรีภาพในประเทศเทศไทยขณะนั้น บางก็กล่าวถึงว่าเป็นเรื่องราวของปรัชญาทางศาสนา ทั้งคริสต์ ฮินดู และพุทธศาสนา แม้กระทั่งว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นและไม่มีสาระอะไรที่มากไปกว่า การบิน ที่ไม่มีวันเป็นจริง ของนกที่ถูกแต่งขึ้นตัวหนึ่งเท่านั้น


                       ในความเห็นของข้าพเจ้า เรื่องของนางนวล โจนาทาน เป็นเรื่องการฝึกบิน คล้ายกับนกนางนวลอีกตัว เจ้าโชคดี ใน เรื่องนางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน ต่างกันที่ว่า โจนาทาน นกหนุ่มผู้ใฝ่รู้ และใฝ่หาการบินที่เหนือการบินทั่วไป การบินที่พิชิตข้อจำกัด การบินให้เร็วเท่าความคิด ส่วนการฝึกบินของลูกนกน้อยที่ไม่มีแม่ การบินได้ครั้งแรกขึ้นกับความกล้าหาญในการบิน บินเพื่อมีชีวิต ส่วนการแหกกฎกลับกลายเป็นของแมวท่าเรือ ซอร์บาส ที่ไม่กิน ลูกนก และเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูนางนวล ทั้งสองเรื่อง ก็เป็นการทำอะไร ๆ ที่แหกกฎ ไม่ยึดถือกับสิ่งที่ผูกติดไว้ แต่มุ่งหวังทำในสิ่งที่เขาคิดว่าถูก และไม่ก่อให้เกิดพิษภัยกับใคร แล้วมุ่งมั่นทำในสิ่งนั้น อีกเรื่องที่คล้ายคลึงกันและประทับใจข้าฯ มากก็คือ การถ่ายทอดความรู้ การที่ผู้รู้แล้ว เฝ้าอดทน ใจเย็น สั่งสอน ผู้ที่ยังไม่รู้ ให้ได้รู้ และสัมผัสกับ อิสรเสรี แห่งการบิน ความสุขที่ได้อยู่บน ท้องฟ้า โดยไร้ข้อผูกมัด ความสุขของการเป็นผู้ให้ ที่ซึ้งและกินใจยิ่งนัก เหนืออื่นใดที่สุด  การได้ลองทำอะไรที่อยากทำ แล้วทำให้ถึงที่สุด บินให้ไกลที่สุด เพราะการบินของใคร ก็เป็นการบินของคนคนนั้น นั่นเอง!!!


ริชาร์ด บาก เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "จงค้นหาว่าเธอจะทำอะไร แล้วก็ทำสุดความสามารถให้บรรลุผลสำเร็จ"


สุชาติ สวัสดิ์ศรี จากบางตอน "คำนำ" ในการพิมพ์ครั้งที่ห้า
"การตีความต่าง ๆ ที่ปรากฏจากนิยายเชิงปรัชญาเล่มนี้ ย่อมเป็นสิทธิโดยเต็มที่ จากผู้อ่านทุกสมัย นางนวลตัวเก่าบินผ่านไป นางนวลตัวใหม่ก็จะบินมาแทน ซึ่งเปรียบได้กับการแสวงหาที่มีเหตุผล และมีทางออกมากขึ้น สำหรับผู้เยาว์ที่เพิ่งเรียนรู้บทเรียนใหม่ ๆ จากผู้ที่มีประสบการณ์เก่าในฐานะ
'จิตใจแห่งนางนวล' ที่ทัดเทียมเสมอกัน เพื่อจะได้ 'บินได้ด้วยความนึกคิด' ให้เร็วที่สุดและรอบคอบที่สุด"






ฝากชื่อ ทักทายกันคะ








 

Create Date : 11 มีนาคม 2554   
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 11:28:19 น.   
Counter : 1384 Pageviews.  
space
space

normalization
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




"ขอทุกท่านจง ปกติสุข ในทุกวัน"
วันแรกสร้าง : 25 กุมภา.54

เป็นเพียงการบอกกล่าว เล่าเรื่อง ตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจ
หากว่ามีประโยชน์บ้างแม้เพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็ยินดียิ่ง
หากว่าส่วนใดผิดพลาด ฝากข้อความไว้ได้เสมอ
@comeback 18/1/18

free counters สำหรับธงขอขอบคุณ blog paradijs
space
space
space
space
[Add normalization's blog to your web]
space
space
space
space
space