ถึงแม้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้สูญเสียแม่ไปตอนที่ยังเป็นเด็กเช่นเดียวกับ เอ็ดดี เพรย์ แต่หนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าอดที่จะนึกเปรียบเทียบถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับพ่อบังเกิดเกล้าไม่ได้
หลังจากที่แม่ของเอ็ดดีเสียชีวิตไป โมเซส เพรย์ หรือ ลองบอย ก็เข้ามาในชีวิตของเอ็ดดี เมื่อเธอมีอายุได้เพียง สิบเอ็ดขวบ เอ็ดดีต้องเดินทางไปกลับลองบอย ในครั้งแรกนั้นเพียงเพื่อจะเดินทางไปหาญาติของแม่ แต่ทว่า การเดินทางของเด็กน้อยที่ขาดแม่ กับชายที่อาจจะเกี่ยวดองเป็นพ่อของเธอก็ยืดยาวไปกว่านั้น...มาก
และถึงแม้ว่าเอ็ดดีและลองบอย จะไม่มั่นใจในสายเลือดของกันและกัน แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะจืดจางหรือห่างเหินลงไป อย่างไม่น่าเชื่อ...หลายครั้งที่ข้าพเจ้าก็นึกอิจฉาเส้นทางเดินชีวิตของคนทั้งคู่ การหยอกล้อ การพูดคุยกันของทั้งสอง ที่ดูคล้ายกับว่าไม่ให้ความเคารพกันเลย แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความห่วงใย ที่ไม่มีการผูกมัด บังคับหรือยัดเยียดมากเกินไปนัก...จนหายใจไม่ออก...เหมือนกับพ่อลูกตามปกติ..ที่มีส่วนประกอบของครอบครัวที่ไม่ปกติ และมีความรักที่อาจจะมากกว่าปกติ...ด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป
ระหว่างทางที่ลองบอยขับรถให้เด็กน้อยนั่งไปด้วยนั้น เธอก็ได้เรียนรู้อาชีพของลองบอย ผู้ที่อาจจะเป็นพ่อของเธอ อาชีพที่เราเรียกมันไม่ได้ว่าเป็นสัมมาอาชีวะแต่อย่างใด เช่น การหลอกขายรูปภาพของคนที่ตายไปแล้ว การขายไบเบิ้ล การขายตั๋วยาสูบ แม้แต่การตกกระเป๋า ซึ่งก็คล้ายกับการตกทองในบ้านเรานั่นเอง
ลองบอยสอนให้เอ็ดดีได้เรียนรู้วิธีการเหล่านั้น ซึงดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักในสายตาของคนทั่วไป แต่นี้ก็อาจเป็นเรื่องราวที่พบเห็นได้ทั่ว ๆ ไป ในอเมริกาช่วงนั้น แต่ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องดีที่เอ็ดดียังเด็กเกินไปสำหรับสังคมมนุษย์ แกยังไม่มีความคิดแยกแยะในเรื่องดีชั่ว ขาวดำอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจและตัดสินกัน และก็เป็นเรื่องที่ยังนับได้ว่าไม่เลวร้ายเกินไปนักคือลองบอยไม่ได้หลอกลวงใครซะจะหมดตัว หรือ เอาเงินจากผู้ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว อย่างที่เรียกว่ารีดเลือดกับปู ลองบอยอาศัยการทำทีละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ ก็สามารถรวมเงินเป็นกอบเป็นกำขึ้นมาได้ โดยไม่ได้เอาทีละมาก ๆ กับคน ๆ เดียวซึ่งนั่นอาจจะทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นได้ เหมือนในบ้านเมืองเราในปัจจุบันนี้
ขณะที่เอ็ดดี เรียนรู้ธุรกิจของลองบอย แกก็ได้เรียนรู้การไว้เนื้อเชื่อใจ ความรัก และความผูกพันที่ลองบอยมีให้
ส่วนข้าพเจ้าเอง ก็ได้เรียนรู้ว่า ในสมัยนั้น อเมริกา ประเทศยิ่งใหญ่ในขณะนี้ ได้เคยผ่านช่วงย่ำแย่มาไม่แพ้ชนชาติใด และทำให้เข้าใจถึงหนังสือ เรื่อง ถนนยาสูบ ที่เขียนโดย ริชาร์ด พาเวลได้ดีขึ้นอีกด้วย ภาพบ้านเมืองที่ทุกข์ยาก เกษตรกรรมที่ไม่ได้ผลผลิต ผู้มีอิทธิพลที่มีอยู่ทั่วไปในแผ่นดินอเมริกาฉายชัดขึ้นมาจากตัวหนังสือของผู้เขียน
นอกเหนือไปจากนั้น ภาพที่เด็กน้อยนั่งรถไปกับพ่อ ณ ดินแดนต่าง ๆ ก็กลับมาทิ่มแทงข้าพเจ้า ผลักดันให้ข้าพเจ้านึกไปถึงเมื่อครั้งที่อายุ สิบกว่าขวบ ก็ได้นั่งรถไปกับ พ่อ(และแม่) ยามที่เราไปเร่ขายผลไม้ ในจังหวัดต่าง ๆ ด้วยกัน ส่วนในวันนี้ แม่ของข้าพเจ้าจากไปแล้ว ข้าพเจ้ากลายเป็นคนวัยใกล้สี่สับ ส่วนพ่อก็หกสิบกว่าปีแล้ว
วันนี้ ข้าพเจ้าขับรถ พ่อนั่งข้าง ๆ ตระเวนไปในที่ต่าง ๆ ที่มีข่าวเล่าลือว่า รักษาโรคร้ายได้ ระหว่างทางเราไม่ได้หยอกล้อกันเหมือนที่เอ็ดดีกับลองบอยทำ กลับมีแต่ความเงียบงัน และทุกข์ กังวล...
ท้ายที่สุดแล้ว เอ็ดดีเริ่มทำธุรกิจของตนเอง โดยมีลองบอย เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ
ส่วนข้าพเจ้า ก็ทำงานของตัวเอง โดยไม่ได้เร่ขายผลไม้เหมือนอย่างกับพ่อและแม่ ข้าพเจ้าได้ประกอบสัมมาอาชีพอย่างที่พ่อแม่ตั้งใจไว้ ด้วยเงินที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากการขายผลไม้ โดยมีพ่อ..เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ และแม่เฝ้ามองมาจากที่ไกล ๆ............
เมื่อเอ็ดดีทำธุรกิจของแกเอง..กับนักธุรกิจ ทนายความคนหนึ่ง กับยายของเขาเอง ซึ่งในระหว่างการวางแผนต้มเงินจากคุณยายจอมหนืด เรื่องราวกลับไม่ง่ายอย่างนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราเห็นหรือคิด มันมีความสลับซ้ำซ้อนในชีวิตของคน ๆ หนึ่งเสมอ เราอาจมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในแท้ที่จริงแล้ว เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคนอื่นต่างหาก การทำธุรกิจของเอ็ดดีครั้งนี้ มีเรื่องพลิกผันที่ทำให้เอ็ดดีได้พบทั้งความสุขและความเศร้า และก็ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เช่นกันว่า เราไม่ควรตัดสินใคร ในเมื่อเราก็ไม่ได้รู้จักเขาเหล่านั้นอย่างแท้จริง
เอ็ดดีกลับมาขึ้นรถของลองบอยอีกครั้งเมื่อธุรกิจจบลงด้วยร้อยยิ้มและคราบน้ำตา การเดินทางของทั้งสองเกิดขึ้นอีกแต่ด้วยหัวใจดวงใหม่ที่ผ่านการเรียนรู้ และเติบโตด้วยความทุกข์และความสุขมาแล้ว หัวใจที่ได้รับและเลือกหนทางของมันเอง หัวใจที่ไม่ได้มีจุดหมายปลายทางที่บ้านญาติของเธออีกต่อไป...
ส่วนข้าพเจ้ากับพ่อ..ยังคงนั่งรถ และค้นหาเส้นทางด้วยกันต่อไป โดยข้าพเจ้ามุ่งหวังว่า เราจะกลับมาพูดคุย สนุกสนาน เล่นหัวกันได้อีกครั้ง...และพยายามที่จะมีความสุขด้วยกัน..อย่างที่เอ็ดดี เพรย์ และ โมเซส เพรย์ ปฏิบัติต่อกัน
ปล. เป็นหนังสือที่เคยนำมาสร้างมาเป็นภาพยนตร์ในปี 1973 ใช้ชื่อว่า Paper Moon รับบท เอ็ดดี เพรย์ โดย ตาตั้ม ได้รางวัลตุ๊กตาทองออสการ์สาขาผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ปล.ล. การอ่านหนังสือเล่มนี้ เหมือนกับได้อ่านบทบรรยายภาพ เราสามารถเห็นภาพที่ผู้เขียนบอกได้ชัดเจนเหมือนกับการดูภาพยนตร์เลยทีเดียว
ปล.ล.ล. ตัวอย่างบทสนทนา หลังจากที่เอ็ดดีช่วยเหลือธุรกิจของลองบอยเกี่ยวกับรถคันหนึ่งได้สำเร็จ เป็นธุรกิจแรกที่เอ็ดดีมีส่วนช่วยเหลือโดยการแสดงตัวเป็นลูกของลองบอย และลองบอยกำลังหว่านล้อมในการพาเอ็ดดีไปหาป้าที่เมืองแอนนิสตัน
ฉันไม่ไป เอ็ดดีบอก
หมายความว่ายังไงไม่ไป ลองบอย
ก็หมายความว่าฉันจะไม่ไปไอ้เมืองแอนนิสตันบ้าบอนั่น
แต่ว่าตุ๊กตาน้อย เธอจะต้องมีผู้ใหญ่เป็นคนคอยดูแลให้
ก็คุณเป็นพ่อของฉัน คุณก็ควรจะเป็นคนคอยดูแล
แต่ว่าตุ๊กตาน้อย ไอ้นั่นนะเราเพียงแต่ทำเป็นว่าติ๊งต่าง
ฉันหันไปมองหน้าเขา คุณไม่ใช่พ่อฉันหรอกเหรอ
หน้าของลองบอยเปลี่ยนเป็นสีแดง เอ้อ...แล้วกัน...ฉัน เขาเริ่มอ้าและหุบปากโดยไม่มีเสียงอะไรออกมา
ฉันห่อตัวลงในที่นั่งและเบือนหน้าออกไปทางด้านหน้าต่าง จากนั้นฉันก็แกล้งร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ
ไม่เอาน่าตุ๊กตาน้อย ลองบอยพูดเสียงอ่อน แอดดี้ยอดรัก... เอางี้ดีมั้ยตุ๊กตาน้อย เราขับรถเที่ยวกันไปเรื่อยๆ สักสองสามวัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องรีบร้อนไปแอนนิสตันอย่างปุบปับตั้งแต่วันนี้ บางทีอีกสักสองสามวันเธอก็คงจะ...
ฉันไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรที่เขาพูดหลังจากนั้น เพราะว่ารู้สึกง่วงเต็มที และก็รู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าฉันจะไม่ต้องไปแอนนิสตัน ไม่ว่าลองบอยจะเก่งกับใครแค่ไหนก็เถอะ แต่กับฉันแล้ว เขาไม่มีวันที่จะต่อกรได้
**************************************************************************************************************************
...ถ้าคุณยังมีแม่อยู่...โปรดรักษาท่านไว้ให้ดี
และถ้าท่านยังมีพ่ออยู่...โปรดแสดงออกว่ารักท่าน...ให้ได้เช่นเดียวกับที่เป็นมา..
(ข้าพเจ้าก็พยายามอยู่..)
ตอนนี้อยู่ในกองดองค่ะ แต่ไม่รู้น้ำท่วมไปหรือยัง คิดแล้วเศร้า