แต่งโดย รูต้า เซอเพทตี้ส , แปลโดย ณวรา , สำนักพิมพ์ สันสกฤต เป็นหนังสือเล่มหนา ที่เปิดเผยหน้าประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งที่ถูกลบเลือนและปิดบัง โดยสังคมนิยมโซเวียต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ฮิตเลอร์ ผู้นำกางเขนเหล็ก นำรถถังเข้าบดขยี้ชาวยิว ในโปแลนด์ สตาลิน ผู้นำโซเวียต ผู้นำร่วมในฝ่ายสัมพันธมิตร ได้เข้าปกครองและจับกุมแจ้งข้อหา อาชญากร ให้กับประชาชน 3 รัฐ ดินแดนใกล้เคียงกับโปแลนด์ได้แก่ ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ประชาชนนับล้านถูกเนรเทศออกจากบ้าน และมาตุภูมิของเขาเอง ไปใช้แรงงานในถิ่นกันดารในโซเวียต รวมทั้ง ไซบีเรีย มีการประมาณการว่าอิยอซิฟ สตาลินฆ่าคนไปมากกว่ายี่สิบล้านคนในช่วงเวลาที่เขาปกครองด้วยความหวาดกลัว รัฐแถบทะเลบอติก ซึ่งได้แก่ ลิทัวเนีย ลัตเวย และเอสโตเนีย ต้องสูญเสียประชากรไปมากกว่า เศษหนึ่งส่วนสามของจำนวนทั้งหมดในระหว่างที่โซเวียตดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์/หมายเหตุจากผู้เขียน บันทึกสีเทา วรรณกรรมสะท้อนความบ้าคลั่งของสงคราม อำนาจ และการต่อสู้อย่างสงบด้วยความเป็นมนุษย์อันเข็มแข็ง และแข็งแกร่ง
ไม่ได้มีแค่ความหม่นมัวเพียงเท่านั้น มิตรภาพ ความหวังและความรักที่ยิ่งใหญ่นั้นกลับเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในเนื้อหาและถ้อยคำอันหม่นเศร้า ความผูกพันของครอบครัวที่ยึดโยงกลุ่มคนเล็กๆไว้ด้วยกัน และค่อยๆ แพร่ออกสู่สังคมที่ใหญ่ขึ้น ความรักที่สวยงามและบริสุทธ์ได้ฟูมฟักและก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ละมุนละไม สดใสอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว หนังสือเล่มนี้ และชนชาติลิทัวเนีย แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่สงครามก็ไม่อาจกำจัด ความรัก ออกไปจากมนุษย์ได้ เผ่าพันธุ์และเชื้อชาติที่ต่างกัน ก็ไม่อาจปิดกั้น ความเป็นมนุษย์ ที่ดีต่อกันได้ และ ความหวัง จะยังมีอยู่ในคืนอันมืดมิดและช่วงเวลาที่ไม่แสงสว่างไม่อาจกล้ำกราย แล้วคุณจะพบว่าชาวลิทัวเนียนั้นไม่ควรถูกลืมเลือน ทั้งในแง่ของมนุษย์ทั่วไป และในแง่มนุษย์ผู้อ่อนโยน เข้มแข็ง อดทน และเปี่ยมไปด้วยความรักและความหวัง ดั่งที่ผู้เขียนบันทึกไว้ในหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ ห้าสิบปีหลังจากการรุกรานยึดครองที่โหดเหี้ยม ชาวบอติกได้รับอิสรภาพโดยสินติวิธีและอย่างมีเกียรติ พวกเขาเลือกความหวังมากกว่าความเกลียดชัง และแสดงให้ชาวโลกได้เห็นว่า แม้ในค่ำคืนที่มืดมิด ก็ยังมีแสงสว่าง...ความรักเผยให้เราได้เห็นธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ยิ่งของจิตใจมนุษย์ *************************************************************************************************************************ผู้เขียนดำเนินเรื่องผ่านตัวละคร ลีนา และความนึกคิดของลีนาในสถานการณ์เลวร้ายในปัจจุบัน กับสถานการณ์สุขสันต์ในอดีตโดยมีเหตุการณ์ คำพูด สถานที่ สิ่งของบางอย่าง ที่เชื่อมโยงอดีตในแผ่นดินเกิดยามเป็นไท กับปัจจุบันที่ไม่มีแผ่นดินของตัวเอง ลีนา เด็กสาวที่จิตใจแข็งแกร่งวัย 15 ปีพร้อมแม่ที่เอื้ออารีผู้เต็มเปี่ยมด้วยความหวังและน้องชายวัย 10 ปี ผู้ถูกกระชากวัยเด็กไป ตั้งแต่วันแรกที่ถูกจับโยนขึ้นรถบรรทุก เดินทางรอนแรมภายในตู้รถไฟที่แออัดจน 12 ปีต่อมาในไซบีเรีย ดินแดนห่างไกลและถูกทอดทิ้งจากโลก ลีนา คือผู้ชักนำให้เราได้รู้จักกับผู้คนในลิทัวเนีย ความสุข ความรื่นรมย์ของประชาชนเหล่านั้น ถูกเล่าแทรกไปในแต่เรื่องราวอันเลวร้ายที่ลีนาได้รับ เป็นการตอกย้ำถึงความแตกต่างระหว่างการมีอิสรภาพและการถูกจองจับ อย่างเจ็บปวด จนถึงขั้นร้าวราว เราได้รู้จักความทุกข์โศกของคนที่พลัดพราก คนที่ตายจาก คนที่ตัดสินใจไม่ได้ คนที่สับสน คนที่เกลียดตัวเองมากกว่าเกลียดผู้อื่น คนที่เป็นอะไรได้มากมาย เมื่อมีความเชื่อเรื่องชนชาติที่ผิด หรือ ความหิวเข้าครอบงำ
- ลีนา ผู้อดทน และไขว่คว้าการมีชีวิตอยู่ ผู้ไม่เคยถอยหรืออ่อนข้อให้กับความยากลำบาก ลีนาผู้มีพรสวรรค์ทางศิลปะในการวาดรูป เป็นพี่สาวที่ดูแลน้องชาย - เอเลนา แม่ของลีนา ผู้มั่นคงหนักแน่นต่อการดำเนินชีวิต ต่อความรักในทุกสิ่ง แม้กับศัตรูก็ตาม ผู้ไม่ยอม ลงนามในเอกสารรับผิด คืนแล้วคืนเล่า จนสุดท้าย พวกเขาต้องโทษไปทำงานที่ไซบีเรีย พร้อมกับครอบครัวอื่น สัญญากับแม่นะจ๊ะว่า ถ้ามีใครพยายามจะช่วยหนู หนูต้องไม่สนใจ เราจะแก้ไขเรื่องนี้กันเอง เราต้องไม่ถึงใคร ๆ ในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ หนูเข้าใจใช่ไหม ถึงจะมีคนเรียกชื่อหนู หนูก็ต้องไม่ขานตอบ...สัญญากับแม่สิ! - คอสตาส วิลคัส พ่อของลีนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผู้สูญหายจากครอบครัว สิ่งยึดเหนี่ยวและความหวังทั้งมวลของครอบครัว คำสอนของพ่อ และความรักของพ่อ ที่ลีนาระลึกถึงในแต่ละเหตุการณ์ที่ข่มขืนเป็นทั้งกำลังใจแก่ลีนา และเป็นสิ่งสะท้อนใจแก่ผู้อ่าน พ่อผู้ปรากฏกายอย่างแท้จริงเพียงหนึ่งครั้ง ในตู้รถไฟ และหลังจากนั้น ลีนาและครอบครัวก็ไม่ได้พบกับอ้อมแขนที่อบอุ่นนั้นอีกเลย... - อันดรีอุสกับแม่ที่ค้นหาพ่อที่เป็นทหารไม่พบ, แม่ที่เคยสวยสดและร่ำรวยต้องแลกบางสิ่งเพื่อรักษาชีวิตลูกชายไว้ กับลูกชายที่เงียบเหงาเฝ้าทนดูแม่ที่เสียสละอย่างน่าอดสู - โอนา และลูกสาวแรกคลอด ถูกนำขึ้นรถในขณะที่พยาบาลยังไม่ได้เช็ดเลือดที่หว่างขา หลังตัดสายสะดือแล้ว จนกระทั่งวาระสุดท้ายของเด็กน้อยมาถึง พร้อมกับลมหายใจสุดท้ายของโอนา และศพที่ถูกโยนทิ้งไว้ตามทางที่รถไฟแล่นผ่าน - ชายหัวล้าน ที่เป็นยิว ตลอดเวลาที่รู้สึกผิดในการให้รายชื่อ แต่เขาก็ได้ยอมให้มีการจัดงานคริสต์มาสขึ้นในกระท่อมของเขา ในศูนย์กักกันไซบีเรีย ชั่วขณะแห่งทุกข์ยากแร้นแค้นและอากาศเลวร้ายในไซบีเรีย พวกเขาร้องเพลงคริสต์มาสด้วยความรื่นเริง เบื้องหน้าคือขนมปังปันส่วน 300 กรัมต่อคน - อูลีอุชก้า หญิงแก่เจ้าของกระท่อมจอมงก ที่สุดท้ายมอบไส้กรอกให้กับลีนาและครอบครัว ก่อนเดินทางออกจาก นารวม แถบเทือกเขาอัลไตสู่ไซบีเรีย - ทหารโซเวียตผู้โหดร้ายคนหนึ่ง ท้ายที่สุดได้แจ้งข่าวการกักขังและทำทารุณกรรมกับ คุณหมอซาโมดูรอฟ ผู้มาทันเวลาพอดีก่อนที่ครอบครัวอันเป็นที่รักของลีนา คนสุดท้าย จะพ่ายแพ้ต่อความโหดเหี้ยมของชะตากรรม (เช่นเดียวกับ คุณพ่อของลีนาในครั้งอดีตเดินทางมาถึงบ้านพร้อมคำพูด พ่อไม่ได้มาสาย,พ่อมาตรงเวลาต่างหาก แต่ในความเป็นจริง หลังโซเวียตบุกเข้าลิทัวเนีย พ่อ...ไม่เคยมาอีกเลย) ฯลฯ ฉันหันตัว ศอกกระแทกอันดรีอุสโดยไม่ตั้งใจ ขอโทษ ฉันพูด และเขาผงกหัวรับ........... ฉันถูกดันจนตัวแนบชิดกับด้านหน้าเสื้อโค้ตของอันดรีอุส...คางของฉันแทบจะติดกับอกเขา ฉันแอบมองอันดรีอุส โครงหน้าและนัยน์ตาของเขาดูเด่นชัดได้สัดส่วน...ผมหยิกสีน้ำตาลดูสะอาดเมื่อเทียบกับผมของฉัน เขาก้มลงมอง ฉันหันไปทางอื่น นึกไม่ออกว่าตัวเองดูสกปรกมากแค่ไหน หรือเขาเห็นอะไรในเส้นผมของฉัน" อันดรีอุส..ฉันกลัว อย่ากลัว ลีนา อย่าให้พวกเขาได้อะไรจากคุณไปทั้งนั้น แม้แต่ความกลัว อันดรีอุส เราต้องกลับบ้านกันให้ได้นะ ผมรู้ เราต้องกลับจนได้ *************************************************************************************************************************หมายเหตุ1 : จขบ. ขอความงดงามแข็งแกร่งจงเกิดกับทุกท่านที่ร่อนเร่จากแผ่นดินเกิด ณ ถิ่นแดนไกล คราซีวาย่า คำภาษารัสเซียที่อันดรีอุส สอนให้ลีนาเข้าใจความหมายด้วยตัวเอง 12 ปี แห่งความแร้นแค้นและถูกเหยียบย่ำ 50 ปี ของการสูญเสียเอกราช ความอดทนและการต่อสู้อย่างสงบ ย่อมไม่สูญเปล่า หมายเหตุ2 : การนำหนังสือเล่มนี้มาแสดงไว้ ข้าพเจ้าไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการต่อต้านรัสเซีย หรือประเทศมหาอำนาจ หรือประเทศที่ดิ้นรนอยาก...จะมีอำนาจ แต่อย่างใด เพียงแต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อในเรื่องที่ว่า คนเราทุกเชื้อชาติอยู่ร่วมกันได้ และอยู่ได้โดยไม่ต้องต่อสู้ห้ำหั่นเข่นฆ่าผู้ที่มีกลุ่มดีเอ็นเอที่ต่างจากเรา หรือมีลักษณะร่างกายที่ต่างจากเชื้อชาติของเรา ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นความแปลกสิ้นดี และหนังสือเล่มนี้ อาจมีเนื้อหาเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับ การขับไล่ชนกลุ่มน้อยออกจากตะเข็บชายแดนของไทย อาจเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับการตัดสิทธิ์รักษาพยาบาลชนกลุ่มน้อยบนภูเขาสูงของไทย อาจเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับการขับไล่ชาวไทยพุทธ หรือมุสลิมออกจากพื้นที่ภาคใต้ของไทย และหนังสือเล่มนี้ อาจมีเนื้อหาเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับการต่อสู้แย่งดินแดน แย่งการครอบครอง พื้นที่ แผ่นดินที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป ในโลกอันแสนหฤหรรษ์และโหดเหี้ยมใบนี้
ฝากชื่อ ทักทายกันคะ
Free TextEditor
Create Date : 15 สิงหาคม 2554 | | |
|
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 11:37:16 น. |
| |
Counter : 2075 Pageviews. |
| |
|
|