ออกจากน้ำตกก็ไปไหว้พระธาตุอูคอ ท้องฟ้างามกระจ่างใจอีกแล้ว สายลมอ่อน ๆ ผู้คนประมาณหนึ่งเดินไม่เบียดเสียด อีกเช่นเดิม ปีล่าสุดที่ไปมา ผู้คนมากมาย เกิดการจราจรจลาจลติดขัดข้างวัดที่มีที่ดินเพียงหยิบมือในการจอดรถ และยังเสียพื้นที่ให้กับร้านค้าที่ตกแต่งพยามยามให้เป็นศิลปะ เหมือนในภาพยนตร์ประดับข้างฝาร้านกาแฟด้วยภาพวาดติสต์ๆที่นักท่องเที่ยวมาเข้าคิวถ่ายรูป อันเป็นที่เดียวกับที่กลับรถเพื่อเข้าจอด หลังจากเฝ้ารอจนได้ที่จอดรถ ก็ต่างเร่งรีบไปสักการะพระธาตุ ซึ่งเราไม่อาจดื่มด่ำ ใส่ใจ มีสมาธิกับการเดินวนรอบพระเจดีย์เช่นที่เคยทำมา
ระหว่างทางเราแวะไปดูโรงศพไม้กันที่ถ้ำน้ำลอด ด้วยวัยและจิตใจที่ยังไม่ฝักใฝ่ในเรื่องโบร่ำโบราณหรืออดีตกาลของมวลมนุษย์ชาติทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเห็นในถ้ำ หรือที่ตั้งของโรงไม้ครั้นบรรพกาลได้ สิ่งที่ยังติดตรึงกลับกลายเป็นน่องสีเข้มที่มีหยดน้ำเกาะพราวเดินลุยไปในสายน้ำเย็น ระดับตื้นพอที่จะเดินเองได้ แต่เหตุไฉนเราจึงต้องนั่งแพ แม้มันเป็นการดีต่อการท่องเที่ยว ต่อชีวิตของผู้คนลากแพ หรือลูกหลานของเขา พวกเราก็คงจะต้องนั่งแพกันต่อไป ในครั้งหน้าถ้าได้มีโอกาสไปอีกข้าพเจ้าจะไม่มัวแต่นั่งซึมมองดูสายน้ำใส ที่ตื้นจนเห็นกรวดทราย เหม่อมองออกไปไม่เห็นแม้แต่ภูเขาเบื้องหน้าที่มีแสงอาทิตย์ทอดลงมา ข้าพเจ้าคงต้องลองเดินดูเองสักนิด (นิดนึงพอ) และพูดคุยทักทายกับคนลากแพให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เอาแต่นั่งคิดและจมอยู่ในความเอื้ออาทรที่ถูกบิดเกลียวด้วยเศร้า
คืนสุดท้ายที่เราต้องไปให้ถึงก่อนค่ำมืด อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง เหลือระยะทางอีกหลายสิบกิโลเมตร น้าวัติบอกว่าขับอีกไกลต้องรีบขึ้นเขาก่อนมืด สุดท้ายเราก็มาถึงห้วยน้ำดังจนได้ตอนหกโมงครึ่งไม่สายและไม่เร็วเกินไปนักตราบเท่าที่ใจเรากำหนดไว้เช่นนั้น สถานที่ท่องเที่ยวที่ยังเงียบสงัด ผู้คนไม่น่าจะเกินสองร้อยคน มีลานกางเต็นท์เพียงสองลาน ซึ่งลานที่พวกเรานอนกันนั้น มาบัดนี้ได้มีหญ้าขึ้นรกและถูกปล่อยล้าง โดยข้าพเจ้ามิได้ต้องการจะสืบหาสาเหตุการทิ้งล้าง ลานกางเต็นท์ใหม่มีอยู่สามหรือสี่ลานเท่าที่เห็น (อาจมากกว่านั้น) ผู้คนในวันนี้น่าจะเกินหนึ่งพันคน คืนสุดท้ายของปี2001 คืนสุดท้ายบนห้วยน้ำดัง ลานกางเต็นท์ขนาดราวสนามฟุตซอส เป็นรูปครึ่งวงกลม ที่นี้เราได้นอนดูดาว บนลานสูงครึ่งวงกลมมีธงชาติไทยโบกสะบัด กินมันอบในเตาฝืน แลกส้มหวานฉ่ำกับบทเพลงเบา ๆ ของสองชายหนุ่ม ที่อยู่เต็นท์ข้าง ๆ เราไม่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเขา หรือว่าจะเห็นแต่ไม่อยู่ในความทรงจำ ...ที่ผุดขึ้นมาคืออารมณ์เบาสบาย ใต้ฟ้ากว้าง เสียงดนตรีประสานกับเสียงพงไพร เต็นท์สองเต็นท์หันหน้าชนกันมีสมุดเพลงอยู่ตรงกลาง กีตาร์หนึ่งตัว เสียงเพลงเพื่อชีวิต เพลงจากภาษาเหนือเบาๆ ผู้คนบนลานแห่งนี้ ซึ่งหมายรวมถึงพวกเราลิงทโมนห้าตัว ต่างนิ่งฟังไป กินไป คละหมู่ดาวเดือน บรรยากาศแสนอัศจรรย์ใจ น่าเสียดาย...ที่อดีตไม่อาจหวนคืน
ราวเที่ยงคืนที่นี่ก็มีเสียงเฮ...รับปีใหม่ แต่ไม่มีเสียงพลุ..แล้วทุกคนก็เข้านอนหลังเที่ยงคืน ซึ่งโดยปกติจากที่รอนแรมมาตามอุทยานต้องเข้านอนกันตอนสี่ทุ่ม...ส่วนในกาลปัจจุบันนี้ เคาท์ดาวที่ห้วยน้ำดัง ผู้คนนับพัน ทั้งไทยและเทศน์ ลูกเด็กเล็กแดง วัยหนุ่มสาว แก่เฒ่าต่างมุ่งมั่นมาห้วยน้ำดังแห่งนี้ เสียงพลุ ประทัด เสียงเมาเหล้าเคล้านารี ที่นี่อีกเช่นกันที่ไม่อาจบรรยาย...ความเสื่อมทรามของสังคม...ที่อยู่ในเต็นท์ยักษ์ที่แออัดด้วยหนุ่มสาวเกือบสิบคน พวกเขาคงนั่งเล่นนับนิ้วโป้งกัน ใต้เต็นท์สูง ที่มีดวงไฟตรงกลางอยู่ภายในเอาไว้ให้เราดูผ่านผ้าเต็นท์ การเดินทางออกจากเชียงใหม่ปีนี้จึง เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า และโหยหา ด้วยสังขารรถรา และผู้คนที่มากมาย ต่างแนวทางและวิถีชีวิต ข้าพเจ้าคงผิดเองที่มาเชียงใหม่ ตอนปีใหม่ เพราะเชียงใหม่ ใหม่เสมอสำหรับผู้คน คนที่ชอบความเก่า หลงใหลธรรมชาติธรรมดา คนอื่นๆ ก็คงหลีกเลี่ยงช่วงหฤหรรษ์ของปัจจุบันนี้ อย่างไรเสีย เชียงใหม่ ก็ยังมีมนต์ด้วยตัวของมันเอง แต่อาจถูกแต่งเติมสีสันด้วยผู้คน และกราฟการการเจริญเติบโตด้านการท่องเที่ยวในบางช่วงเวลา หาใช่ผืนแผ่นดินและต้นไม้ที่โอบอุ้มจุนเจือ และอัตราการดำเนินชีวิตของผู้คนที่เรียบง่ายที่เป็นอยู่ตามปกตินั่นเอง
ส่วนเช้าวันใหม่ของปีใหม่ที่เชียงใหม่ปีโน้น....ตระการตาด้วยแสงสีฟ้าที่ขอบฟ้าไกล ผู้คนราวห้าสิบคนต่างยืนนิ่งพิงกันด้วยความหนาวรอดูพระอาทิตย์ที่กำลังผลัดผ้าเตรียมออกมาให้โลกได้ยล หลังจากสีฟ้า สีเหลืองระเรื่อก็ตามมา สีม่วงมีบ้างบ่างแห่ง แล้วสีส้มก็เริ่มมีมากขึ้น น้าวัติว่าโชคดีที่ฟ้าเปิด นั่นสินะ พวกเรามากับโชคที่ดีจริง ๆ การได้เห็นพระอาทิตย์ในวันที่ฟ้าเปิดมันไม่ได้มีทุกครั้งไป สุดท้ายการได้เห็นเม็ดกลมของดวงอาทิตย์โผล่พ้นเส้นทิวเขาออกมาไกล ๆ ในวันแรกของปี 2001 ส่วนในปี 2009 ฟ้าไม่เข้าข้างเราซะเลย...
การออกบินกับกองพลน้อยของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ออกเดินทางจากโรงงานด้วยจิตใจที่ร้อนเร่า แต่เดินทางกลับจากเมืองเหนือด้วยหัวใจที่ฉ่ำเย็น...เต็มล้น...ด้วยแสงระยับระยับของหมู่ดาว น้ำค้างพราวพราวบนยอดหญ้า ไอหมอกหนา ๆ ที่ลอยผ่านตัวไป ผู้คนพื้นถิ่น รอยยิ้มและความงดงามของภาษา วัฒนธรรม กลิ่นหอมของมันอบ ความหวานของส้มในไร่สูง การทำงานในเมืองใต้ ดูเป็นสิ่งห่างไกลและไม่คุ้นเคย แม้ขึ้นนั่งบนรถทัวร์รอบดึก เมื่อเม็ดถั่วหล่นบนรถ เพื่อนคนหนึ่งยังเผลอเก็บขึ้นมากิน ด้วยคิดว่ายังอยู่บนแผ่นดินป่าเขาเมืองเชียงใหม่
ปล.ปีก่อนโน้น ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ ยังไม่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับปาย ซึ่งตอนนี้ใครๆ ก็ได้รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดีตามแบบของแต่ละคน
เวลาผ่าน ย่อมเปลี่ยนไป
อาจจะเล็กน้อยจนไม่ทันเห็นด้วยตา หรือ รวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว
แต่ทุกสิ่ง...มันก็เปลี่ยนไปเสมอ
ไม่มีสิ่งใดอยู่ ชั่วนิรันดร์
ที่เราทำได้เพียงจดจำสิ่งดีๆและปรับตัวให้พอดีกับสิ่งที่เป็น แต่อย่าให้มากเกินความจำเป็นจนกลายเป็นสิ่งไม่ธรรมดาในหมู่ธรรมชาติที่ยังธรรมดาอยู่ ซึ่งธรรมชาติอาจเหน็ดเหนื่อยเกินไปในการปรับตัวตามเรา