แต่แกจะไปทางไหนก็เถอะ มันมีแต่ความไม่ราบรื่นจนกว่าแกจะไปถึงฝั่ง ประโยคจากหนังสือเรื่องชายเฒ่ากลางทะเลลึก หรือ เฒ่าผจญทะเลของ เฮ็มมิงเวย์ ผุดเข้ามาในกะโหลกเล็กๆ ของข้าพเจ้า เดิมทีข้าพเจ้าเป็นนักเดินทางอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีครั้งไหนเลยเป็นการเดินทางท่องเที่ยวแต่เพียงลำพัง จึงให้นึกหวาดหวั่นต่ออุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า ดังเช่นที่ ชายเฒ่าคุยกับนกทะเลตัวหนึ่งที่คงจะบินมาแสนนานก่อนลงจอดที่เรือน้อยของแก ในวันที่ข้าพเจ้าเดินทางมาตามเส้นทางของชีวิตด้วยวัยที่เลยช่วงฉกรรจ์มาแล้ว หลักกิโลใกล้ถึงสี่สิบเข้ามาทุกที ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งในช่วงวัยต้องวิ่งให้ทันกับโลกสมัยใหม่นี้ ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวของน้ำเหนือ และกระแสสังคมเชี่ยวกราก ณ ศูนย์อพยพแห่งหนึ่ง ใจกลางกรุงเทพ หนทางแต่เก่าก่อนเรื่อยมานั้นมีแต่อุปสรรค ความไม่ราบเรียบจริงแท้ดั่งเช่นเฮ็มมิงเวย์กล่าวไว้ ข้าพเจ้าไม่อาจจะปรับตัวปรับใจให้รับกับความตึงเครียดได้อีกต่อไป ความเครียดเนื่องจากน้ำท่วมบ้านนั้นน้อยนัก เมื่อเทียบกับความเครียดในการอยู่ร่วมอาศัยในสังคมเมืองของศูนย์อพยพแห่งนี้ ความเป็นเมืองที่กระท่อนกระแท่น และสังคมแห่งเปลือกของแมลง หรือผนังทาบ้านในความคิดของข้าพเจ้า สังคมโก้หรู ฉาบเรียบ มันวาว ได้เข้ามาจับจอง ณ พื้นที่เล็ก ๆ เพียงแค่ ห้องประชุมห้องหนึ่งของศูนย์ฯ แห่งนี้ด้วย ข้าพเจ้าไม่อาจกล่าวโทษผู้ใด ผู้ที่มีความเป็นเมือง และ เข้ากับสังคมเปลือกแข็งได้ดีกว่าข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าทำได้ก็เพียงแต่ขอเวลา....ตั้งตัว
(หน้าต่างรถไฟ) หลังจากตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแต่ไม่ค่อยจะเด็ดขาดนัก ด้วยการออกเดินทางโดยไม่มีเป้าหมายที่ปลายทาง แต่มีเป้าหมายคือการออกเดินทาง ด้วยคาดหวังว่าการไม่คาดหวังความสุขที่ปลายทาง หรือจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้ไปจะทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับความสุขอย่างที่เคยอ่านจากงานของคุณเสกสรร ว่าชีวิตที่ไม่กดทับด้วยจุดหมายหรือเป้าหมายเป็นชีวิตที่มีความสุข ดังนั้นข้าพเจ้าก็จะลองเดินทางโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เหมือนการท่องเที่ยวแต่เก่าก่อนมาของข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาถึงหัวลำโพงเมื่อเวลาล่วงไปราว ตีห้าครึ่ง เวลานี้ของกรุงเทพช่างเงียบเหงา และซึมเซาต่างกับเดือนก่อนหน้าที่น้ำเหนือยังไม่ไหลบ่าสู่ราชธานีมหานครแห่งนี้ ภาพผู้คนควักไขว่ ยื้อแย่งกันขึ้นรถ เรียกแท็กซี่ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง เสียงจอแจอึกทึกหายไป มองอีกแง่มุมหนึ่ง นี่เป็นกรุงเทพที่ข้าพเจ้าฝันถึง เงียบสงบ แสงไฟวิบวับ บนถนนลางเลือน ที่ช่องขายตั๋วด้วยความเงอะงะของข้าพเจ้าที่ไม่เคยจองตั๋วรถไฟมาก่อน พนักงานขายตัวก็เลยเรียกข้าพเจ้าเข้าไปแล้วสอบถามที่หมายและความต้องการต่าง ๆ แล้วให้ข้าพเจ้ารอเรียกอยู่แถว ๆ นั้นก่อนเพื่อจ่ายเงินและรับตั๋ว อืม..ว่าแล้วทำไมมีคนยืนรอกันอยู่มากมายแถว ๆ ช่องขายตั๋ว ข้าพเจ้าเดาเอาว่า เขาคงจะเช็คที่นั่งก่อน แล้วรอเรียกรับตั๋วอีกทีหนึ่ง.... 5:40 ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในชานชาลาต่าง ๆ มันมีรถไฟอยู่เยอะแยะ พนักงานคนหนึ่งเดินมาหาและอีกเช่นเดิม หน้าตาสุนัขงงของข้าพเจ้าทำให้เขาขอดูตั๋วและอธิบายว่าเดินไปที่ตู้ที่ 2 ด้วยสีหน้าการุณ.....สำหรับการขึ้นบินของข้าพเจ้าถือว่าไม่เลวนัก ความงงงวยของข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอุปสรรอย่างไรต่อการเดินทาง 5:45 รถด่วนพิเศษ เลขที่ 21 ก็พาข้าพเจ้าค่อย ๆ ไกลห่างออกจาก ปัญหาน้ำท่วมเมือง น้ำลายท่วมศูนย์อพยพ ปัญหาการแย่งและแยกสี ด้วยใจหวังว่า การไป ของข้าพเจ้าจะช่วยให้จิตใจสงบลง ด้วยข้าพเจ้ามีความหวังเพียงน้อยนิด ขอความสงบ และความเป็นธรรมชาติของผู้คนให้รับข้าพเจ้าไว้ในอ้อมกอดด้วยสักคน เป้าหมายในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยว กำหนดเวลาไปให้ถึงสถานที่มีชื่อต่าง ๆ ในเมืองอุบล ข้าพเจ้าขอเพียงแต่ การได้เดินทางไป นั่นก็คือเป้าหมายที่พอเพียงแล้ว ถ้าเราไม่ได้คาดหวังความสำเร็จที่จุดหมายปลายทาง เราจะได้รับความสำเร็จตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง สิ่งนี้คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อย่างแท้จริง ในการเดินทางครั้งนี้
เสียงรถไฟดังสม่ำเสมอบ้าง หยุดบ้าง เร็วบ้าง เวลาใกล้เช้า แต่ทำให้ข้าพเจ้าใกล้จะหลับเข้าไปทุกที ความดังของเสียงต่างๆ กลับทำให้ใจที่สับสับค่อยๆ สงบลง และดำดิ่งสู่ความพร่าเลือน....ไม่นาน..ข้าพเจ้าก็หลับไปอย่างเป็นสุข... หลังจากที่ไม่ได้หลับสนิทมาหลายคืนในห้องประชุมพื้นปูพรมอุณหภูมิไม่ถึง20องศา รับชา กาแฟ โค้ก น้ำส้ม ..น้ำเปล่าดีคะ เสียงพนักงานบนรถไฟปลุกอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ได้พบกับสายตาพนักงานหญิงที่บ่งบอกว่าเข้าใจดีว่าข้าพเจ้าหลับมานิ่งสนิท ข้าพเจ้าได้กาแฟขม ๆ แต่เปี่ยมน้ำใจของพนักงานหนึ่งแก้วกระดาษ เมื่อมองออกไปภายนอกหน้าต่าง ภาพทุ่งหน้าเขียวขจี ต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ ทำให้กาแฟกลมกล่อมขึ้นอีกมากโข 7:20 ขบวนรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือก็เดินทางมาถึง จ.ฉะเชิงเทรา พนักงานขับรถเดินถือโทรโข่งแจ้งให้เราทราบว่าเนื่องจากเส้นทางที่อยุธยาน้ำท่วมทางรถไฟ จึงต้องอ้อมมาทางฉะเชิงเทรา และเข้าสู่สระบุรี ก่อนมุ่งเข้าสู่เส้นทางเดิมที่นครราชสีมา ซึ่งจะทำให้รถไฟมีเวลาช้าราวหนึ่งชั่วโมง และจะกำหนดเวลาช้า (Delay) ได้ใกล้เคียงขึ้นเมื่อถึงสถานีแก่งคอย ก่อนหน้านี้การล่าช้าของการเดินทางเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อหน้าที่การงานของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ภาคใต้ หรือ อีสานตอนบน เมื่อได้ยินการประกาศว่าเที่ยวบินดีเลย์ ความยุ่งเหยิงในการทำงานจะก่อตัวขึ้น การติดต่อลูกค้า และต่อรถ ปัญหาอุปสรรคจะตามมาเช่นทะเลที่ไม่ราบเรียบของนกทะเลตัวหนึ่ง แต่ไม่ใช่กับการเดินทางในครั้งนี้ และหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดในทุกเส้นทาง.... แถวฉะเชิงเทรานี้เรายังได้เห็นภาพบาดตาของท้องน้ำที่ปกคลุมผืนนาได้เป็นบางแห่ง บ้านเรือนผู้คนตามริมคลองต่าง ๆ ยังอยู่ในน้ำ ข้าพเจ้ารีบละสายตาออกมา ด้วยต้องยอมรับว่า มันบีบคั้นหัวใจอ่อนล้าของข้าพเจ้า เวลาราว 9 นาฬิกาเราก็มาถึงอุโมงค์แห่งหนึ่ง น่าจะเป็นแถวสระบุรีต่อกับโคราช คงเป็นคนละที่กับอุโมงค์ผาเมืองที่โด่งดัง เมื่อความมืดมิดเข้าครอบคลุมเส้นทางเดิน เราต่างมุ่งหวังแสงสว่างแม้เพียงน้อยนิด แต่ความมืดที่เงียบสงบและคาดการณ์ได้ก็ช่วยให้เราไม่หวั่นเกรงด้วยรู้แน่ว่าไม่นานแสงสว่างที่รออยู่ที่ปลายอุโมงค์จะมาถึง
เมื่อหลุดจากปากของความมืดที่ปลายอุโมงค์มาได้ รถไฟก็พาเราตัดเข้าป่าเขาลำเนาไพร มวลหมู่ต้นไม้ต่างแหวกทางให้เราเข้าไปในอาณาจักรลี้ลับของมัน ลำแสงก่อนสี่โมงเช้าตัดกับต้นไม้ ทิวเขา เป็นภาพธรรมดาที่ตรึงตราข้าพเจ้าให้หลุดออกจากภาพกระแสน้ำและการสาดโคลน สถานีแก่งคอย (แต่ไม่มีใครคอยข้าพเจ้าที่แก่งนี้) พนักงานเดินรถแจ้งว่าเราช้าไปแล้ว สอง ชั่วโมง นี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับข้าพเจ้าอีกเช่นกัน ในเมื่อความสงบท่ามกลางเสียงรถจักร และธรรมชาติได้โอบอุ้มคนหลงทางเช่นข้าพเจ้าเอาไว้แล้ว เมื่อนานมาแล้วมีโฆษณาของเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งที่มีฉากบนรถไฟและอุโมงค์ที่ค่อย ๆ ปล่อยรถไฟออกมา ข้าพเจ้าหวนนึกถึงในยามนี้ ภาพหนุ่มสาววัยรุ่นในสมัยนั้นรวมตัวกันเดินทางด้วยรถไฟ ไปสู่สถานที่กันดารพร้อมอุปกรณ์ซ่อมสร้าง ปรับปรุงอาคาร โรงเรียนตามหมู่บ้านต่าง ๆ เสียงเพลงของพี่แอ้ดคาราบาวที่กระตุ้นให้หนุ่มสาวออกเดินทางเพื่อแสวงหาการเติมเต็มของจิตใจ หากคืนวันที่ผันผ่าน เป็นตำนานเรื่องราวสายลมแสงแดดขุนเขา ณ ลุ่มน้ำของความเป็นไทยไปอย่างที่เราไป เป็นอย่างที่เราเป็น ไม่เลยไม่เคยยกเว้น ถ้าไม่ลองย่อมไม่รู้สึก ภาพเหล่านี้ค่อย ๆ เลื่อนหายไปในกระแสโลก ต้นไม้น้อยใหญ่บนเขาเข้ามาอยู่ใกล้บ้าง ไกลบ้าง เกิดภาพงดงามดั่งรูปภาพที่เคลื่อนไหว ต้นไม้หลากสี เขียว แดง ส้ม เหลือง ม่วง ยืนเบียดแนบชิดกันอยู่บนแผ่นดินเดียว ไฉนหนอผู้คนในแผ่นดินไทยที่ต่างสี ต่างอุดมการณ์จึงไม่อาจยืนและอยู่ร่วมกันได้เฉกเช่นต้นไม้เหล่านี้ พวกมันเฝ้ายืนหยัดทำหน้าที่ขับปล่อย ออกซิเจน ให้กับมวลหมู่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในพื้นพิภพ ต่างล่วงลงสู่ดินยามแก่ชราเป็นอาหาร และแหล่งพักพิงอาศัยแก่สัตว์บนพื้นดิน เหตุใดเลยผู้คนบนแผ่นเดียวกันที่ต่างความเชื่อ ต่างความคิดต่างสีเสื้อจะไม่ทำหน้าที่ยังประโยชน์แก่ผู้คนอื่น ลูกหลาน และเผ่าพันธุ์อื่นบ้าง เมื่อรถไฟค่อย ๆ จอดนิ่งสนิท ณ สถานีแห่งหนึ่ง ดอกไม้ริมทางที่ชูกิ่งก้านขึ้นสูงเท่า ๆ กับ หน้าต่างรถ ค่อย ๆ เอนกลับสู่แนวทางปกติของภาพ ดอกหญ้า...ดอกไม้ริมทางที่มองเห็นได้ในต่างจังหวัด เราได้เห็นมันอีกครั้งขึ้นอยู่ตามแนวทางรถไฟ ล้อล่ม ปลิวอ่อนไหว ไปกับแรงลมจากรถไฟบ้าง ลมจากธรรมชาติบ้าง ดูงดงามและเอิบอิ่ม ต่างจากดอกไม้ริมทางรถไฟในเมืองกรุงที่เห็นได้เพียง ดอกเจ้าชู้ หรือดอกไม้พลาสติกปักเสียบไว้กับขวดเหล้าเก่า ๆ ที่ชุมชนริมทางรถไฟ....
11:00 ประมาณนี้ พนักงานคนเดิมก็นำข้าวกล่องมาบริการ ประกอบด้วยผัดหน่อไม้ไก่ กับ ไก่จ้อ ได้ยินแว่ว ๆ ว่าอิสลามอะไรเนี้ยแหละ น่าจะเป็นขบวนรถที่บริการอาหารอิสลามอะไรประมาณนี้ รสชาติออกเผ็ด และข้าวแข็ง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง ถึงแม้จะต่างกับอาหารกล่องบนสายการบินหนึ่ง แต่สุดท้ายอาหารกล่องบนเครื่องบินที่ไม่เคยกินได้และต้องถือมาฝากที่บ้านก็อร่อยสู่ผัดเผ็ดไก่ไม่ได้ เสียงรถไฟฉึกฉัก ไก่ผัดเผ็ด กับความสงบ ทำให้ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่กระดิกเท้าไปพร้อม ๆ กับการกินข้าวมื้อเที่ยง ยามที่รถไฟกระตุก น้ำในแก้วก็ขยับ แต่ด้วยฝีมือของใครก็ตาม ถึงแม้ว่าคนขับจะได้ขับรถแข่ง แต่รถก็นิ่มนิ่งพอจนทำให้น้ำไม่หกออกจากแก้ว...ถึงแม้จะล่าช้าไปสองชั่วโมง ด้วยน้ำท่วมทางและ การรอหลีกขบวนแบบรถไฟไทย ที่ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ก็ยังคงมีเสน่แบบของมันอยู่เช่นเดิม ถ้าใครต้องการความเร่งรีบ การหมุนเวียนของวันอย่างรวดเร็วและไม่มีเวลาพอให้คุยกับตัวเอง เฝ้ามองสองข้างทาง ก็อย่าขึ้นรถไฟเลย...เพราะหนทางมันไม่ราบเรียบจนกว่าจะถึงปลายทาง หลังจากอิ่มหนำดีแล้ว ก็หันกลับไปสนใจภาพสองข้างทาง แถวนี้เริ่มมีทุ่งนามากขึ้น ป่าไม้เริ่มบางตา สีเหลืองของทุ่งนาเข้ามาแทนที่ นาแถบนี้แต่ละผืนมีขนาดเล็ก ท่ามกลางต้นข้าวในนามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาตาเมื่อเทียบทุ่งนาทางภาคกลางที่นาผืนใหญ่ มีต้นไม้เฉพาะที่ หรือบนคันนาเท่านั้น ภาพทุ่งนา ผืนแล้วผืนเล่า อาหารเริ่มย่อย รถไฟยังคงวิ่งเรียบ ข้าพเจ้าก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป.....
ราวบ่ายสี่โมงโดยประมาณ ข้าพเจ้าก็ก้าวเท้าลงบนรถไฟ บนแผ่นดินอุบลราชธานี เมืองที่มีชื่อเป็นดอกบัวเช่นเดียวกับปทุมธานี ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำเหนือ น้ำทุ่ง และน้ำตา ส่วนอุบลราชธานีนั้นกลับมีที่มาอันเกี่ยวข้องกับดอกบัวจากอุดรธานี ที่แต่เดิมได้รวมเอาผู้คนจากหนองบัวลำภูไว้เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดได้อพยพหนีภัยสงครามลงมาตั้งหลักแหล่ง ณ แผ่นดินอุบลราชธานี จึงได้ทำตราประจำจังหวัดเป็นรูปดอกบัวเพื่อระลึกถึงผู้คนจากหนองบัวลำภูนั่นเอง ถึงแม้ว่าอุบลราชธานีจะไม่เกี่ยวข้องกับปทุมธานีแต่อย่างใดในทางภูมิศาสตร์หรือการโยกย้ายถิ่นฐาน แต่ ณ เวลานี้ ทั้งอุบลและปทุมต่างก็ต้องผจญกับอุบัติภัยจากน้ำท่วมใหญ่จากลำน้ำมูลและน้ำเหนือมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธา
สถานที่อพยพและแหล่งพักพิงของอุบลราชธานีนี้อยู่ตามริมแม่น้ำมูล ตามที่สูงก่อนขึ้นสะพานคล้าย ๆ กับในภาคกลางแต่ทว่าบนที่สูงหรือสะพานในภาคกลางเต็มไปด้วยรถยนต์ที่นำมาจอดหนีน้ำไว้ก่อนที่พวกเขาจะอพยพตัวเอง รถยนต์อันเป็นเครื่องมือทำมาหากิน หรือสิ่งจำเป็นในการเดินทาง สำหรับบางคนรถก็เป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งที่สำคัญในชีวิตของเขาด้วยซ้ำไป ส่วนผู้คนจากที่ต่าง ๆ ก็ไปรวมตัวกัน ณ สถานพักพิงอันคิดว่าปลอดจากน้ำแล้ว ส่วนอุบลราชธานี แถววารินชำราบที่ข้าพเจ้าเห็นไม่ค่อยมีรถที่จอดทิ้งบนสะพาน แต่สถานพักพิงผู้อพยพก็คือที่สูงก่อนขึ้นสะพานนั่นเอง พวกเขาหนีขึ้นมาจากที่ต่ำใต้สะพานข้ามแม่น้ำแล้วขึ้นมาอยู่รวมกันบนถนน ถึงแม้สถานพักพิงของเขาจะทำขึ้นจากสังกะสี ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีเกมส์ กิจกรรมสันทนาการจากหน่วยงานต่าง ๆ แต่พวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกัน...ในสังคมเดิม อย่างพี่อย่างน้อง เป็นเพื่อนบ้านที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา เมื่อใดที่เราต้องละทิ้งจากบ้านมาโดยไม่สมัครใจ เมื่อนั้นแหละเราจะรู้ซึ้งถึงความผูกพันที่เรามีต่อบ้าน...ของเรา...อย่างแท้จริง คำว่าไม่มีที่ใดสุขใจเท่าบ้านเรา ข้าพเจ้าเพิ่งจะรู้ซึ้งแก่ใจก็คราวนี้เอง
หลังจากเช็คอินเข้าพักในโรงแรมเล็ก ๆ เรียบง่ายแห่งหนึ่งก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็น ลมเย็น ๆ เริ่มพัดมา บ้านเมืองสงบและสะอาดตา ราบเรียบแต่มีชีวิตชีวา เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่เคยทำงานด้วยกันมานานแล้ว มารับข้าพเจ้าที่โรงแรมเพื่อเดินทางต่อไปที่บ้านพ่อ เขากับแม่อพยพจากนนท์มาอยู่บ้านพ่อที่นี่ได้พักหนึ่งแล้วตั้งแต่ช่วงที่น้ำเริ่มเข้านนทบุรีใหม่ ๆ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้สนิทสนมกับน้องเขามากนัก แต่ข้าพเจ้ากลับได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น และซาบซึ้งใจ คำชวนง่าย ๆ ไปกินข้าวกันก่อน มาเหนื่อย ๆ ที่ไม่เปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าปฎิเสธ หรือลังเล ซึ่งในครั้งแรกข้าพเจ้าก็อดที่จะรู้สึกเกรงใจไม่ได้ แต่อีกทางหนึ่งข้าพเจ้าก็รู้สึกอบอุ่นใจ และมักคุ้นกับคำพูดเก่า ๆ เมื่อครั้งยังเด็ก การชวนไปกินข้าว คำง่าย ๆ ที่เปล่งออกจากใจที่เปิดเผย ไม่ได้ถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกหรือเครื่องประทินโฉมใด ๆ บ่งบอกสิ่งที่เราหลงลืม สิ่งซึ่งเป็นรากฐานอย่างหนึ่งของคนไทยเรา ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ ซึ่งก็คงจะใช้ได้กรณีเรือนจังหวัดนี้ด้วย รวมทั้งการหนีร้อนมาพึ่งเย็น ที่กลายเป็นหนีน้ำมากมาหาน้ำน้อยกว่า พ่อแกบอกกับข้าพเจ้าว่า ไม่ต้องเกรงใจ ที่บ้านมีคนเยอะ กินข้าวด้วยกันหลาย ๆ คน สนุกดี
เมื่อข้าพเจ้าไปถึงหน้าร้านซ่อมเบาะแห่งนี้ ซึ่งด้านในเป็นบ้านของเขานั่นเอง ข้าพเจ้าได้พบกับครอบครัวอันแสนกว้างใหญ่ด้วยมิตรไมตรี ข้าพเจ้าต้องไหว้พ่อถึง สองคน แม่ถึงสองคน และรับไหว้เด็ก ๆในบ้านอีกสองคน โดยที่ข้าพเจ้ายังงง จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าใครเป็นพ่อใคร และใครเป็นแม่ใคร... ..... ขอได้โปรดอย่าคิดไปในทางอื่น สองครอบครัวนี้อาศัยอยู่ร่วมกันยามชีวิตไม่ราบเรียบและยากลำบาก คลื่นน้ำซาดซัดพัดมาไกล พวกเขายังได้รับข้าพเจ้าไว้บนเรือนแพให้พักพิงก่อนที่ข้าพเจ้าจะบินต่อไป สองครอบครัวที่รวมเป็นหนึ่งด้วยเส้นใยที่แน่นหนาและแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าสามีภรรยาจะแยกจากกันไปแต่ความเป็นพ่อและแม่ของลูกๆ ไม่อาจแยกให้ขาดออกจากกันได้ ไม่ว่าจะด้วยความพิศวาสอื่นใด หรือแรกกระชากจากสายน้ำ พ่อและแม่กลับมาอยู่ร่วมบ้านรวมเรือนชานเดียวกันอีกครั้ง พร้อมกับนำภรรยา-สามีปัจจุบันพร้อมกับลูก ๆ เข้ามาพักพิงอาศัยบนแผ่นดิน อุบลราชธานี เมืองที่ครั้งหนึ่งคนจากหนองบัวลำภูได้เดินทางมาถึง เมืองที่ปัจจุบันนี้ ยังมีน้ำมูลเอ่อท้นตลิ่ง และน้ำใจ...ยังไม่สิ้นจากถิ่นอีสาน....แห่งนี้ เวลาเกือบจะสามทุ่ม ในโรงแรมเงียบ ๆ สุขกายสบายใจกับการเดินทางท่องเที่ยวโดยไม่มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ปลายทาง ทำให้อุปสรรคที่เกรงกลัวไม่ได้ร้ายแรงจนอาจเรียกได้ว่ายังไม่พบอุปสรรคใด ๆ ที่ขัดขวางจุดหมายที่ปลายทางของข้าพเจ้า ด้วยเพราะข้าพเจ้ายังไม่มีจุดหมายที่ปลายทางนั่นเอง.. แต่ข้าพเจ้ากลับได้พบ...ความสุขที่แท้จริง...จากการเดินทางที่กายและใจ...ก้าวเดินไปพร้อม ๆ กัน.... สิ่งสำคัญอาจไม่ใช่ปลายทางเสมอไป..... *************************************************************************************************************************
ร้านสินค้าที่ระลึก ชื่อร้านว่า "ระหว่างทาง" ตอนจบ:พรุ่งนี้...เช้าที่อุบล
ปล.โรงแรมที่พักชื่อ : เดอะราชธานี (อุบล) เล็ก ๆ สะอาด น่ารัก เก๋ไก๋
Free TextEditor(-->)
Free TextEditor
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2554 | | |
|
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2559 16:20:40 น. |
| |
Counter : 707 Pageviews. |
| |
|
|