Jack-A-Little-Monster

เขาสอยดาวใต้ สูงสุดภาคตะวันออก

หมายเหตุ: เจ้าของบล็อก หายหน้าหายตาไปนานเกือบปีนึงทีเดียว เวลาที่ผ่านมาผ่านร้อนผ่านหนาว สั่งสมประสบการณ์ชีวิตทั้งดี ทั้งร้าย ปะปนกันไป บางครั้งท้อแท้ บางครั้งผิดหวัง บางครั้งหมดกำลังใจจะทำอะไร แต่แล้วก็ได้กำลังใจที่ดีจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทำให้จะพยายามกลับมาเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวให้ทุกท่านได้ชมอีก สมความตั้งใจที่ต้องการจะเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่น่าสนใจให้กับทุกคนได้รับรู้
..........................

เดือนสิงหาคม ปี 2011 ช่วงวันแม่ได้มีโอกาสไปเยือนยอดเขาสูงสุดของภาคตะวันออก นั่นคือ ยอดเขาสอยดาวใต้ ที่มีความสูงถึง 1631 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ.จันทบุรี

เส้นทางของป่านี้ยังสมบูรณ์อยู่มาก ผ่านน้ำตกสวยๆ ระหว่างทาง





..

ฝนตกระหว่างเดินเป็นเรื่องปกติของที่นี่ คนรักป่าจะชอบมากเวลามองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวสดๆ ของต้นไม้ใบไม้





วันนี้เดินกันไปประมาณ 5-6 ชั่วโมง ผ่านผา 1-2-3 แล้วก็ถึงจุดพักแรม ปักเตนท์ ผูกเปลกัน ระยะทางยังอีกไกลนัก





ฝนตกตลอดทาง ลูกหาบมากันช้า ทำให้บางคนต้องยอมหนาวยืนเบียดกันในฟลายชีทเดียวกันไปก่อน ตัวริ้นบินกันให้ว่อน ยืนหนาวสั่นไปพลาง ไล่ปัดแมลงกันไปพลาง

แต่แล้วตอนเย็นก็มีสิ่งสวยๆ งามๆ ให้พวกเราได้เห็น เมื่อฟ้าเปิดเล็กน้อย เผยโฉมพระอาทิตย์ดวงโต





แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ทุกคนสุขใจอย่างล้นปรี่





ยามเช้า มีหมอกเรี่ยๆ แม้ไม่หนาเป็นทะเลหมอก แต่ก็สร้างความสดชื่นให้พวกเราได้เป็นอย่างดี





มองไปไกลๆ เห็นทิวเขาสลับซับซ้อน





คืนนี้เราออกเดินทางกันต่อ โดยจุดหมายอยู่ที่ยอดเขาสอยดาวใต้ หลังจากนั้นก็ไปนอนกันที่บึงซีโต้ ซึ่งขณะนี้เป็นบึงที่ชุ่มน้ำไปหมด
การมาเยือนเขาสอยดาวใต้ครั้งนี้ พวกเราไม่เห็นวิวใดๆ บนยอดสูงสุด เพราะเป็นต้นไม้ปกคลุมทั่วไปหมด
พอมาถึงบึงซีโต้ ผมก็จัดแจงกางเปลที่ทำเลเหมาะๆ ด้านหลังเป็นน้ำตกเล็กๆ ที่เราใช้อาบ ใช้กินกัน

บึงแห่งนี้มีเรื่องราวต่างๆ มากมาย ซึ่งบางคนได้ยินแล้วก็อยากรู้อยากเห็น ขณะที่บางคนไม่อยากจะรับรู้ในขณะที่ต้องนอนแถวบึงแห่งนี้





ซึมซับบรรยากาศกันให้เต็มที่ ก่อนวันรุ่งขึ้นจะเดินทางกลับบ้านด้วยความสุขใจ







 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2555 20:14:33 น.
Counter : 2214 Pageviews.  

ขึ้นเขาไปหาพ่อตา...-- เขาพ่อตาโชงโดง --




วอร์มขาก่อนไป EBC ทริปสั้นๆ เดินชิวๆ วิวสวยๆ กับเพื่อนร่วมทางคนคุ้นตา

..

รถพาพวกเรามาถึงหน่วยจัดการต้นน้ำพะโต๊ะตอนเช้ามืด มีเวลานอนเอาแรงกันอีกนิดหน่อย

ตอนเช้าทานอาหารปักษ์ใต้รสเด็ด ก่อนจะนั่งรถต่อไปยังจุดเริ่มเดิน

ออกสตาร์ทจากหมู่บ้านหินกลม บริเวณตีนเขา เวลาประมาณสิบโมงครึ่ง ถึงยอดประมาณบ่ายสองโมง อากาศด้านบนเย็นสบาย แต่หมอกลงจัดช่วงเย็น

วิวด้านบนมองเห็นทะเลฝั่งอันดามัน ไกลไปถึงพม่าเลย





เสียดายช่วงเย็น พระอาทิตย์ถูกคลุม แต่ก็ไม่อาจบังความงดงามบนยอดพ่อตานี้ได้





ยามเช้าอากาศดี มีทะเลหมอกให้เห็นปลอบใจจากเมื่อวาน





ชิลๆ ดี





อีกฝั่งฟากยังมีเงาความมืดปกคลุมอยู่เล็กน้อย





จันทร์เจ้ากำลังจะลับตาไป





ทะเลหมอกเล็กๆ ยามแสงต้อง





พื้นที่ไม่ค่อยมี ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวกันไป





ต้มน้ำชงกาแฟมาจิบเคล้าวิว





เส้นทางนี้อุดมสมบูรณ์ดี ทากเยอะพอประมาณ โดนกัดกันไปคนละตัวสองตัว





ต้นไม้ ดอกไม้เยอะ





เอื้องสิงโตสยามมีให้เห็นมากมาย





กลับสู่หน่วยจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ อาบน้ำอาบท่า





สบายตัว สบาย teen ก่อนกลับกรุงเทพด้วยพลังใจที่เติมเต็มอีกครั้ง





 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2554 23:04:05 น.
Counter : 1272 Pageviews.  

เดินเท้าสู่ดอยภูคา..ยิ่งเดิน ยิ่งไหลลง

ทริปสั้นๆ มันๆ กับการไต่ดิ่งขึ้นยอดพันเจ็ด จากจุดเริ่มต้นที่ระดับความสูงสามร้อยเมตร

ระยะกระจัด: 1,400 เมตร

..

เริ่มเดินจากระยะความสูงสามร้อยกว่าเมตร ทางน้ำตกศิลาเพชร

เส้นทางชันตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว ถึงน้ำตกก็ล้างหน้าล้างตา ล้างความเหน็ดเหนื่อยออกไปก่อ





จากนั้นก็ยังเดินกันแบบชันๆ กันต่อไป เส้นทางจะเต็มไปด้วยใบไม้แห้งๆ ทับถมกันบนดินร่วนๆ ทำให้เดินกันค่อนข้างยากลำบาก หลายๆ ครั้งก้าวไปแล้วก็จะไหลลงมาครึ่งก้าว มือต้องคอยหากิ่งไม้คว้าไว้ไม่ให้ไหลลง ขณะที่ขาก็ต้องเกร็งสุดๆ บางช่วงชันเกือบ 70 องศา





เส้นทางนี้เต็มไปด้วยกล้วยไม้งามๆ อย่างเช่น สามปอยสวยๆ





เริ่มออกเดินประมาณ 8.45 น. ถึงยอดพันเจ็ดประมาณ 16.00 น.

อากาศเย็น กับแดดอุ่นๆ มารู้ตัวอีกทีหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้





จุดตั้งแคมป์คืนนี้อยู่ในหุบ ใกล้ๆ ยอดพันเจ็ด สะดวกในการชมวิวมาก แถมลมไม่แรง ไม่หนาวดี





ด้านบนไม่มีน้ำ ต้องตุนน้ำกันจากข้างล่างขึ้นมา มีอีกทีตอนหลังเที่ยงวันพรุ่งนี้





หากยืนบนยอดพันเจ็ด มองไปทางตะวันตกเฉียงค่อนไปทางใต้จะเห็นยอดนี้ตั้งตระหง่าน แลดูคล้ายๆ เขาช้างเผือก





ยอดนี้ด้านซ้ายโล่งเตียนเป็นเหวลึก ดูน่าเกรงขาม มารู้อีกทีว่า พรุ่งนี้เราจะเดินบนสันเขาลูกนี้ตอนขากลับ

ดาวบนดิน อ. ปัว





ตอนเช้า หมอกลงจัด ลมแรง ความหวังเห็นดวงอาทิตย์ริบหรี่ เลยขอมาชมเขาลูกนี้แทน





วันนี้จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวคงได้รู้กัน





หมอกปกคลุมยอดพันเก้า ทริปนี้ไม่ได้ขึ้นไปชม ก็ขอยลอยู่ไกลๆ แล้วกัน





มาดูเส้นทางของวันนี้ดีกว่า ใครบางคนในทริปเห็นเส้นทางนี้แล้ว อดรีนาลีนพลุ่งพล่านครับ





ออกเดินทางกันต่อครับ...ไปกับ..เนวิเกเตอร์





หมอกลงจัดเลยทีเดียว ผิดหวังเล็กน้อย แต่ได้เส้นทางเดินเย็นๆ มาแทน

ช่วงแรกลงดิ่งชัน ก่อนจะเริ่มไต่ระดับ เส้นทางเดินเป็นหินก้อนใหญ่ๆ ขรุขระ ระเกะระกะ เดินยากเอาการ แถมด้านซ้ายเป็นเหว ต้องระวังกันได้ดี คว้าต้นหญ้าเหนี่ยวต้นไม้กันให้เต็มที่

ถึงช่วงหนึ่งของสันคมมีด ทางแคบๆ แต่มีทางจะปีนขึ้นไปได้





ลองขึ้นไปดูเสียหน่อย ทางเสียวๆ ทีเดียว ดูแล้วพอจะเดินไปได้ ค่อยๆ เดินก่อนจะปีนขึ้นไปบนยอดนั้น





สรุป..ไม่มีใครไปครับ เดินอ้อมไปปลอดภัยกว่าเยอะ

ถอยๆ..ช่วงลงยังยากเลย





เดินอ้อมช่องเขาขาดมาไม่ไกลนัก ก็กลับมาบนสันเขาเหมือนเดิม ลองไปสำรวจดูหน่อยครับ มันขาดยังไง





ลูกหลังคือยอดเมื่อตะกี๊ที่เราเดินย้อนกลับ

ยังไม่เห็นคำตอบของชื่อนัก เลยขอวางเป้ ไปสำรวจหน่อย





คือด้านนู้นพอจะปีนได้นะครับ แต่ขาลงนี่เอาเรื่องเลย ไม่รู้จะเกาะอะไร ได้ยินว่าเคยทำสะพานไม้เอาไว้ แต่ตอนนี้ผุหมดแล้ว

ถ้าลงมาจากยอดตะกี๊ก็จะเดินมาตามสันเขาเล็กๆ ชันๆ ตรงนี้





แล้วก็มาขาดตรงนี้ครับ





ดูแบบมุมสูงบ้าง (bird eye view) จริงๆ ก็ไม่ขาดทีเดียว พอจะเดินได้ แต่ดูสองข้างทางแล้วเสียววูบครับ เหวลึกเลย





ดูแล้ว สันคมมีดที่ผาแง่มน่ากลัวกว่ามาก แต่ที่นี่ก็ได้ยินพี่เค้าว่า ตายมาหลายคนแล้ว

..

เดินกันต่อดีกว่า..ก้มหน้าก้มตาเดิน ต้องเดินอย่างระมัดระวังบนสันคมมีดยาวๆ นี้

นานๆ ทีสายหมอกจะจาง ให้เราได้เห็นวิวเบื้องล่างบ้าง





เกือบจะถึงจุดสุดสันคมมีดแล้วครับ





เส้นทางต่อจากนี้ ก็เดินดิ่งลงแบบชันๆ ใครเหนี่ยวอะไร คว้าอะไรได้ก็ต้องทำ เพื่อไม่ให้ตัวเองไถลลงไป ช่วงนี้ไม่ได้ถ่ายอะไร ไปหยุดอีกทีตอนที่พบต้นชมพูภูคาที่อยู่บนต้นสูงๆ

ของผมถ่ายได้แค่แบบโรยๆ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว





ธรรมชาติบนเส้นทาง





เส้นทางนี้โรยไปด้วยใบไม้แห้ง





และดอกเสี้ยวงามๆ





ทางลงช่วงสุดท้าย เป็นทางดินแข็งๆ ลงอย่างเดียวไม่มีทางราบให้ผ่อนคลายขาบ้าง ลงมาถึงหมู่บ้านข้างล่างบริเวณทางเข้าน้ำตกต้นตองเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่า





อาบน้ำอาบท่าเสร็จแวะไหว้พระธาตุแช่แห้งก่อนกลับกทม.





จบทริปสั้นๆ มันๆ ของอาทิตย์นี้โดยสวัสดิภาพครับ

ขอบคุณที่รับชมครับ






 

Create Date : 27 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2554 9:40:19 น.
Counter : 1826 Pageviews.  

เดินขึ้นดอยอินทนนท์ ลัดเลาะผาแง่ม ชมสันคมมีด

เดินเท้าจากสถานีเกษตรขุนวางที่ระดับความสูง 1,400 เมตร ไต่ระดับไปเรื่อยๆ จนถึงสันคมมีด ลัดเลาะผาแง่มใหญ่ จนปิดทริปที่จุดสูงสุดของประเทศ 2565.3341 เมตร

..




จำไม่ได้แล้วว่ามายอดดอยอินทนนท์กี่ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้แตกต่างจากวันเก่าๆ

เพราะพวกเราจะเดินขึ้นยอด แทนที่จะนั่งรถ

บางคนคงคิดว่าไอ้พวกนี้ไม่โง่ก็บ้า ถนนมีดีๆ ดัน..เดินขึ้น

เป็นความมันอีกแบบ อารมณ์บ้าๆ แบบพวกปั่นจักรยานขึ้นนั่นแหละ

..





วันแรก พวกเราไปเยือนกิ่วแม่ปานกันก่อน แตกต่างกันในช่วงเวลา ณ ยามนี้สายหมอกลงจัดเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผืนป่า





น้ำตกกิ่วแม่ปาน





ที่ระดับความสูงเหนือดอยฟ้าห่มปก สมาชิกยังไม่ปรากฎอาการแพ้ความสูงให้เห็น





เดินกันครบรอบแล้วก็ได้เวลาอาหารกลางวัน





ช่วงนี้ถนนสีชมพูพอดี





พญาเสือโคร่งกำลังแข่งกันบานทั่วสารทิศ





คืนนี้พวกเราลงไปนอนกันที่สถานีเกษตรขุนวางกับระดับความสูง 1,400 เมตร





นั่นหมายความว่า พรุ่งนี้เราจะต้องเดินจากจุดนี้ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของประเทศ ระยะกระจัดก็พันกว่าเมตร

..





เส้นทางเดินสวยงามไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ที่ยังค่อนข้างสมบูรณ์





ผมเดินไปก็เช็คความสูงไป หนักเอาเรื่องเหมือนกันกว่าจะผ่านมาได้แต่ละร้อยเมตร

ด้วยสมาชิกที่มีจำนวนมาก ทำให้ความเร็วในการเดินแตกต่างกันมาก

มาถึงจุดๆ หนึ่งก็ต้องรอสมาชิกมาสมทบให้ครบก่อนจะเดินกันต่อ

..





ระหว่างทางจะเห็นกล้วยไม้ เห็นกุหลาบสวยๆ ตลอดทาง เป็นการพักเหนื่อยถ่ายรูปไปในตัว





เดินมาได้พักใหญ่ๆ ก็ถึงผาแง่มซึ่งด้านบนมีพระบรมธาตุขุนวางประดิษฐานอยู่ ความสูงเทียบชั้นดอยหลวงเชียงดาวได้ (2,225 เมตร)

บรรยากาศรอบข้างปกคลุมไปด้วยหมอก มองไปข้างหน้าก็เห็นทางขาดอยู่

ไหว้พระธาตุเสร็จ ก็รอคนนำทางมา เพราะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหนต่อ

ใช่แล้ว..นี่คือสันคมมีดที่พวกเราอยากจะเห็น

แต่เป็นสันคมมีดที่ต่างกับที่เขาช้างเผือกลิบลับบ

จุดนี้เหมือนมีดจริงๆ ที่บางเฉียบ แถมเดินบนนั้นไม่ได้ ต้องนั่งคร่อมเอา คร่อมไม่พอ ต้องไต่ขึ้นในสภาพคร่อมอีก

ทำได้ยังไง!?

..

รอป๋ามาสมทบ แล้วแกก็นำทัพไปดูความหวาดเสียว





ขนาดเดินไปดู ยังเสียวไม่หาย นี่ไม่รวมถึงวิวถ้าไม่มีหมอกมาปกคลุม จะดูน่าหัวใจวายแค่ไหนอีก

สรุปลงความเห็นกันแล้วว่าไปไม่ได้แน่นอน ถ้าไม่มีเชือก เพราะช่วงที่หย่อนตัวลงไป ความสูงราว 5 เมตร หากพลาดเบี่ยงซ้ายหรือขวาไปนิด ก็เป็นอันจบชีวิต

คนนำทางพาพวกเราเดินเลาะข้างไปทางขวา ทางชันดิ่งลงไป ต้องคอยเอามือรั้งต้นไม้ ต้นหญ้าระหว่างทาง ก่อนที่จะเถลไถลไปมากกว่านี้





เมื่อเดินย้อนกลับขึ้นมา มองไปด้านหลังจะเห็นผาสองฤดู ซึ่งก็คือผาแง่มใหญ่นั่นเอง





ทางขวามีหมอกจัดปกคลุมตลอดเวลา ขณะที่ทางซ้ายพอจะเห็นวิวได้บ้างเล็กน้อย

หากพวกเราเลือกเดินบนสันคมมีด จะมาโผล่ที่ด้านนี้ ซึ่งดูแล้ว มันเกินกว่าที่ใครจะเดินได้





แต่ป๋าบอกว่า คราวก่อนที่แกมา แกใช้เส้นสันคมมีดนี่แหละ

ผมได้แต่ทึ่ง อึ้ง และเสียว

..





หลังจากนั่งพักกินข้าวกลางวันระหว่างทางเสร็จ ก็เริ่มเดินกันต่อ

ดูจากนาฬิกาพวกเราเดินมาเกือบ 6 ชั่วโมงแล้ว ขณะที่ความสูงก็เข้าใกล้จุดสูงสุดของประเทศทุกทีๆ

และแล้ว พวกเราก็หลุดออกจากป่า มาโผล่ที่ข้างๆ สถานีเรดาร์บนยอดดอยอินทนนท์

โดยไม่รอช้ารีบเข้าไปถ่ายรูปกับหมุดอย่างอ่อนล้า

นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นคงจะมองกลุ่มพวกเราแปลกๆ เพราะดูโทรมกันเหลือเกิน

จุดหมายเดียวกัน แต่เรื่องราวระหว่างทางไม่ซ้ำใคร

ประทับใจไม่รู้ลืม




..




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 8 มิถุนายน 2554 2:25:01 น.
Counter : 2514 Pageviews.  

ลังกาน้อย - ลังกาหลวง: อลังการขุนเขา

ทริปชิวๆ เดินมันๆ กับสมาชิกสองคันรถตู้

เริ่มต้นเรื่องราวกันที่เชียงใหม่ สมาชิกครบทีมแล้วก็เพิ่มพลังกันที่โจ๊กร้านดัง

ก่อนจะไปช็อปปิ้งกันที่ตลาดต้นพยอม แค่เห็นวัตถุดิบก็หิวแล้ว





จากนั้นนั่งรถต่อไปด่านตรวจแม่โถ รอรถปิคอัพกันนานมาก กว่าจะมา ที่แท้นัดกันผิดที่นี่เอง

มุ่งหน้าสู่บ้านแม่ตอน





ชาวบ้านแถวนี้ปลูกกาแฟกันเยอะ ลุงหว่างบอก กาแฟยี่ห้ออินทรีรสชาติไม่แพ้ดอยช้างเลยล่ะ





เริ่มเดินกับเส้นทางที่ยังราบเรียบอยู่ มีข้ามน้ำบางช่วง ยังไม่ยากอะไรนัก





หลังจากน้ำตก ทางเริ่มชันขึ้น ก็ก้มหน้าก้มตาเดินกันไป

นั่น.. เห็นยอดลังกาน้อยแล้ว





สู้ๆ พวกเรา

ถึงจุดกางเตนท์ ก็ตั้งเตนท์ ตั้งเปลกันไป จากนั้นก็เดินขึ้นไปชมยอดลังกาน้อย





สูงประมาณ 1,7xx เมตร ครับ

..

ชมวิวบนยอดดอย อาบแสงแดดอุ่นๆ





เส้นทางจากแคมป์สู่ยอดดอย





มีพระธาตุภูลังกาตั้งเด่นเป็นสง่า





แสงทองอุ่นๆ





เฝ้ารอชมดวงอาทิตย์คล้อยอย่างใจจดใจจ่อ





ไม่นานเกินรอ ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยลง พร้อมกับความมืดที่คืบคลานเข้ามาแทนที่





คืนนี้จะเป็นอย่างไร จะหนาวแค่ไหนคงได้รู้กัน





ดวงตะวันลับ พร้อมกับทิ้งแสงสุดท้ายของวันไว้เพียงแค่นี้





ตื่นมาประมาณตี 5 ครึ่ง อากาศหนาวเหน็บ รวมพลสมาชิกที่ต้องการจะขึ้นยอดได้แล้ว ก็เดินกันในความมืดฝ่าสายลมแรงขึ้นมาชมวิวกันอีกครั้ง

ฟ้ายังมืดอยู่ มีเพียงแสงจันทร์ที่ยังส่องสว่างอยู่





ความสว่างเริ่มปรากฎ เช่นเดียวกับสมาชิกที่ตามขึ้นมาสมทบกันมากขึ้นเรื่อยๆ





แม้เมฆจะเยอะ แต่ดวงอาทิตย์ก็สามารถแทรกตัวโผล่มาอวดโฉมผู้ชมได้ ถึงจะเป็นเวลาเพียงน้อยนิด ก็คุ้มค่าที่ได้เฝ้ารอ





เดินทางกันต่อ วันนี้เดินสบายๆ ไปตั้งแคมป์กันที่ลังกาหลวง เส้นทางชันบ้าง แต่ไม่ไกล





เริ่มเห็นยอดแล้ว ลูกหลังนั่นไงครับ





ระหว่างทางมีกล้วยไม้สวยๆ ให้ชมกันเต็มอิ่ม





แค่บ่ายโมงกว่าก็ถึงจุดกางเตนท์กันแล้ว หาที่นอน กางเตนท์ กางเปลกันตามใจชอบ

กินข้าวกินปลาเสร็จ ก็พักผ่อนฟื้นพลังกันเสียหน่อย วันนี้เวลาเหลือเยอะทีเดียว

ผมงีบไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง ดูนาฬิกาแล้ว ก็เริ่มได้เวลาขึ้นไปชมยอดกัน

งานนี้ป๋านำทัพด้วยตัวเอง





จากแคมป์ขึ้นไปยอดนี่ไกลเอาเรื่องนะ เดินไปหอบไป

แต่พวกเราก็ทำได้ครับ





ที่ระดับความสูง 2,031 เมตร ลมพัดแรงจัด





ราตรีนี้ ยังอีกยาวไกล





อาหารเย็นวันนี้ อร่อยไปเสียหมด ยังไม่รวมถึงของหวานเต็มพิกัด กินเสร็จเล่นเอาต้องคว้าพลั่วไปหามุมมืดทำการเกษตร

ช่วงหัวค่ำ วงสนทนาออกรส ได้ฟังเรื่องราวมันๆ ฮาๆ จากพี่กุ๊งกิ๊ง กับพี่เกียรติ เคล้าดาวลอยแล้ว ช่วยสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต..ใหม่ๆ อีกเยอะเลย

ก่อนนอนแวะไปชมดาวกันเล็กน้อย





คืนนี้หนาวเหน็บ..เปลที่กางไว้ คลุมด้วยฟลายชีทที่คาดว่าจะเอาอยู่ ขนาดพกถุงนอนหนาเตอะไปก็ยังนอนไม่ค่อยหลับ ดูนาฬิกาแทบจะทุกชั่วโมง เมื่อไหร่จะเช้าเสียที...

..

ดูนาฬิกาอีกที ตีห้าแล้ว นอนต่อไปไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นรีบแต่งตัวให้รัดกุมที่สุด มีเสื้อกี่ตัวก็ใส่เข้าไปให้หมด รวบรวมสมาชิกใจกล้า บ้าพลังได้แล้ว ก็เดินฝ่าลมหนาวขึ้นไปยังยอดดอยหลวงอีกรอบ

ดูจากเทอร์โมมิเตอร์ บอกไว้ประมาณ สิบองศา ลมยังกระหน่ำไม่หยุด เดินๆ แล้วตัวจะปลิวเอา

ฟ้ายังไม่สว่างดี ผมหามุมถ่ายรูปเล่น ขณะที่บางคน หาทำเลเหมาะๆ ปลดทุกข์





ไม่นานนักก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายขอบฟ้าแล้ว





แต่ละคนเฝ้ารอแสงสีทองอย่างใจจดใจจ่อ





พระเอกของเช้าวันนี้โผล่มาพร้อมแสงทองส่องอร่าม





ยามเห็นภูเขาอาบแสงนี่มันงามอบอุ่นหัวใจยังไงบอกไม่ถูก





ถึงจะหนาว ก็หนาวแต่กาย





ซึมซับบรรยากาศกันให้เต็มที่ ก่อนจะลาจาก





วันนี้ยังต้องเดินกันอีกไกล





กินอาหารเช้า แพ็คของทุกอย่างเสร็จ เวลาประมาณ 9.15 ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ วันสุดท้ายของทริปต้องเดินจากแคมป์ลังกาหลวง ไปยังผาโง้ม ต่อด้วยดอยสันยาว ก่อนจะไปจบทริปที่สถานีเรดาห์ เหนื่อยแน่ๆ





น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นกุหลาบพันปี อย่างที่ตั้งใจไว้ (จริงๆ เห็นอยู่สองดอก ไม่รู้ใครมือบอนเด็ดออกมาจากต้น) แต่ก็ได้ชมกุหลาบหินแทน งามไม่แพ้กัน





เส้นทางวันนี้สวยตลอดเส้นทาง วิวเขาน้อยใหญ่ สุดอลังการ แถมลมพัดเย็นสบาย แม้แสงแดดจะแรง แต่ก็ไม่เหนื่อยกันมาก

จุดหมายแรกผาโง้ม อยู่ไม่ไกลแล้ว





อดทนอีกหน่อย ขึ้นไปอีกนิดเดียว





พักชมวิวแก้เหนื่อยกันสักพัก





กลั้นใจเดินอีกหน่อยเดียว ก็ถึงยอดผาโง้ม





ด้านบนพื้นที่ไม่เยอะมาก รับลมชมวิวกันพอใจแล้วก็ต้องเดินกันต่อ มุ่งหน้าสู่ยอดเขาเบื้องหน้าสูงราว 1,6xx เมตร เป็นส่วนหนึ่งของดอยสันยาว





จากนั้นก็ลงดิ่งลดระดับกัน ผมลื่นไถลอยู่หลายรอบ เส้นทางยังมีขึ้นมีลง แต่ไม่ชันนัก จนในที่สุดก็ทะลุออกมายังสถานีทวนสัญญาณดอยสันยาว อ.ดอยสะเก็ด





ป้ายบอกระยะทาง 17 กม. แต่เดินจริงๆ รู้สึกว่ามันไกลจังแฮะ

งานนี้ขอขอบคุณป๋า ลุงหว่าง พี่ลูกหาบ และพี่ๆ น้องๆ เพื่อนร่วมทริปทุกท่านครับ มีโอกาสไว้เจอกันทริปต่อไปครับ





 

Create Date : 01 มิถุนายน 2554    
Last Update : 1 มิถุนายน 2554 1:00:42 น.
Counter : 2030 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

เม่าดอยตุง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




นับๆ ดูแล้วยังเหลืออีกหลายอุทยานเลยที่ยังไม่ได้ไป ว่าแล้วก็กางแผนที่ ออกเดินทางพิชิตอุทยานกันต่อไป..
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เม่าดอยตุง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.