|
คนอันธพาล
สวัสดีทุกท่านครับ
คนอันธพาล หลักฐานทางศาสนาแสดงว่า คนประเภทนี้มีมาในโลกนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนตั้งศาสนาไหน ๆ ครั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และเสด็จจาริกประกาศศาสนา ก็ได้ทรงสนพระทัยกับเรื่องคนพาลนี้อยู่เป็นอันมาก จะสังเกตได้จากพระพุทธภาษิตที่ตรัสถึงคนพาล มีมากจนพระอรรถกถาจารย์ผู้ร้อยกรองพระธรรมวินัย ต้องจัดไว้เป็นวรรคหนึ่งต่างหากจากเรื่องอื่น เรียกว่าพาลวรรค เท่าที่สังเกตดูความที่ตรัสถึงคนพาลนั้น ส่อให้เห็นน้ำพระทัยของพระพุทธองค์ใน ๓ ทาง คือ
๑. ทรงหวังดีต่อคนพาลที่จะช่วยให้กลับตัวเป็นคนดี ๒. ทรงเป็นห่วงคนดี ๆ จะถูกคนพาลรังแก ๓. ทรงเป็นห่วงคนที่ยังไม่เป็นพาลจะกลายเป็นคนพาล
ซึ่งเมื่อรวมความแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาต่อคนทุกฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายคนพาลทั้งฝ่ายคนที่ไม่ใช่พาล
การไม่คบคนพาล เป็นมงคลชีวิตข้อหนึ่ง วันนี้เป็นวันพระ วันธรรมสวนะ วันฟังธรรม นำปาฐกถาธรรมเรื่องคนอันธพาล มาฝากครับ
คนอย่างไรเรียกว่า อันธพาล ! ตอบได้ยากเพราะศัพท์ทางศาสนาที่พบเห็นส่วนมาก มีแต่คำว่าพาละ หรือพาล มีบางแห่งใช้คำว่า อติพาล เห็นจะแปลว่ายอดพาล คำว่า อันธพาลหาพบในอรรถกถาธรรมบท เป็นคำของคนโรคเรื้อนด่าพระอินทร์ความในเรื่องนั้นว่า มีคนฐานะยากจนคนหนึ่ง แกเป็นโรคเรื้อนกุฏฐัง ต่อมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา ได้ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พระอินทร์เกิดอยากจะลองใจดูว่า คนจน ๆ อย่างนั้นจะเห็นเงินดีกว่าพระ (ศาสนา) หรือเห็นพระดีกว่าเงิน จึงได้ไปบอกให้สินบนแก่ชายผู้นั้นว่า ให้เลิกนับถือพระเสียแล้วจะได้เงินทองเท่านั้นเท่านี้ พอว่าเท่านั้นก็ถูกนายคนนั้นตอกหน้าเอาว่า อันธพาโลสิ ! แปลว่า อ้ายคนอันธพาล
ลักษณะปัญญาที่ทำให้คนพ้นจากความเป็นพาลนั้นคือปัญญาเครื่องรู้จักตน ปัญญาชนิดนี้มีแล้วดูตัวออกตัวทำผิดก็รู้ว่าผิด ตัวทำถูกก็รู้ว่าถูก ใครมีความรู้ชนิดนี้อยู่ เรียกว่ามีปัญญาเครื่องรู้ตัว ไม่เป็นพาล แต่ถ้าปัญญาที่ว่านี้ดับลงเมื่อไรเราก็เป็นพาลขอให้สังเกตดูว่า คนพาลนั้นจะขาดความรู้อยู่อย่างหนึ่งคือความรู้จักตัวเอง ตัวผิดก็ไม่รู้ว่าผิด ปะเหมาะยังคิดว่าตัวถูกเสียด้วยซ้ำ เหตุใดปัญญาที่ว่านี้จึงดับลง ? เป็นปัญหาที่ตอบง่าย เพราะปัญญาของคนเรานี้มีสิ่งที่เป็นข้าศึกกันอยู่อย่างหนึ่งคือ กิเลส ในใจของใครยังมีกิเลส ปัญญาของผู้นั้นก็ย่อมมีโอกาสที่จะดับได้ เพราะถ้ากิเลสกำเริบขึ้น ปัญญาก็อับแสงลง ถ้ากิเลสโหมหนักปัญญาก็ดับไป
วิธีสังเกตคนพาล คือเราจงสังเกตดูว่าเราเป็นพาลหรือไม่ และคนอื่นใครบ้างเป็นพาล ทางศาสนาท่านว่าไว้สองวิธี เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเองวิธีหนึ่ง กับอีกวิธีหนึ่งท่านเล่าถึงวิธีสังเกตของคนอื่นผมอยากจะเรียนสั้น ๆ ว่า วิธีของพระกับวิธีของชาวบ้าน
สังเกตแบบชาวบ้าน คือแบบของท่านอกิตติดาบส ท่านผู้นี้เดิมเป็นคนมั่งคั่งอยู่ในเมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย ต่อมาภายหลังได้ออกบวชเป็นดาบส เหตุที่ออกบวชนั้นท่านไม่บอกไว้ แต่ลองสังเกตดูจากคำสนทนาของท่านกับท้าวสักกะแล้ว จะทราบตามเรื่องนั้นว่า เมื่อท่านออกบวช แล้วได้เดินทางหนีจากเมืองพาราณสีข้ามไปอยู่อีกแคว้นหนึ่ง คือแคว้นกปีฬะ เมื่อไปทำความเพียรอยู่ที่นั้นนานพอสมควร บ้านเมืองเกิดข้าวยากหมากแพงเพราะฝนแล้ง ประชาชนขาดแคลนจนกระทั่งไม่มีใครทำบุญ ท่านดาบสต้องฉันหัวเผือกหัวมัน เมื่อเผือกมันขาดแคลนลง ก็ฉันใบไม้และเปลือกไม้ ไม่ยอมอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น ความเรื่องนี้ทราบไปถึงพระอินทร์ ๆ จึงเสด็จลงมาหาพระดาบส โดยมีพระประสงค์จะถวายความอุปถัมภ์ ในเรื่องเกี่ยวกับความอดอยากของท่าน แต่ครั้นพระอินทร์แจ้งเรื่องให้พระดาบสทราบ ว่าพระองค์ขอปวารณาด้วยปัจจัย เมื่อท่านพระดาบสมีประสงค์สิ่งใดก็ให้บอก พระดาบสกลับปฏิเสธว่า ท่านไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น เวลานี้เปลือกไม้ใบไม้ในป่าก็ยังมีพอฉันอยู่ พระอินทร์ทรงแปลกพระทัยอย่างยิ่ง แม้จะปวารณาซ้ำแล้วซ้ำอีกให้พระดาบสบอกความประสงค์ พระดาบสก็ยืนยันอยู่อย่างเดิมว่า ท่านไม่ต้องการอะไร
แต่เมื่อถูกพระอินทร์อ้อนวอนให้บอกความประสงค์หนักเข้า พระดาบสจึงแย้มออกมาว่า อาหารเครื่องขบฉันใด ๆ อาตมาไม่ต้องการ ถ้าหากบพิตรจะโปรดประทานพรแล้ว อาตมามีสิ่งอื่นที่ต้องการมากกว่า พระอินทร์ตรัสว่า ไม่เป็นไรพระคุณเจ้า บอกโยมมาเถอะ พระคุณเจ้าต้องประสงค์สิ่งใด เภสัชสำหรับบำบัดโรครึ ? หรือขัดข้องด้วยบริขารสิ่งใด ? เภสัชก็ดี บริขารอื่น ๆ ก็ดี อาตมาภาพจะได้ต้องการก็หาไม่ มหาบพิตร ถ้าเช่นนั้น พระคุณเจ้าต้องประสงค์สิ่งใด ? มหาบพิตร อาตมาภาพใคร่ขอพรเกี่ยวกับคนพาล พระคุณเจ้า จะขอสิ่งใดโปรดบอกโยมได้ ประการแรก ขอให้อาตมภาพ อย่าได้พบเห็นคนพาลเลย ประการที่สอง ขออย่าให้อาตมภาพได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับคนพาลด้วย ประการที่สาม ขออย่าให้อาตมภาพได้อยู่ร่วมกับคนพาล ประการที่สี่ ขออย่าให้อาตมภาพได้ทำงานเกี่ยวข้องกับคนพาล ประการที่ห้า ขออย่าให้จิตใจของอาตมภาพไปหลงใหลใยดีกับคนพาลเลย
ท่านผู้ฟังพอจะทายได้แล้วใช่ไหมว่า ท่านเศรษฐีอกิตติออกบวชเพราะเหตุไร ? แน่นอน ท่านคงจะถูกคนพาลรบกวนจนเบื่อหน่ายเต็มทน นึกดูว่าท่านเองขัดสนจนต้องฉันเปลือกไม้อยู่แล้ว ยังถือว่าความตายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องหนีอันธพาลสำคัญกว่า ท่านผู้นี้ได้ให้ข้อสังเกตคนพาลไว้อย่างเหมาะเจาะ ที่ผมเรียกว่าข้อสังเกตแบบชาวบ้าน มี ๕ ข้อ คือ
๑. อนยํ นยติ คนพาลชอบชักนำในทางผิด ๒. อธุรายํ นิยุญฺชติ คนพาลธุระไม่ใช่ ๓. ทุนฺนโย เสยฺยโส โหติ คนพาลเห็นผิดเป็นชอบ ๔. สมฺมาวุตฺโตปิ กุปฺปติ คนพาลแม้เราพูดดี ๆ ก็โกรธ ๕. วินยํ โส น ชาชาติ คนพาลไม่รับรู้วินัย
ส่วนวิธีสังเกตแบบพระคือจากพระไตรปิฎก พาลปัณฑิตสูตรในอุปริปัณณาสกะ มีใจความว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระภิกษุสงฆ์ว่า ลักษณะอันเป็นเครื่องสังเกต คนพาลมี ๓ อย่าง คือ ๑. ทุจฺจินฺติตจินฺตี มีความคิดชั่ว ๒. ทุพฺภาสิตภาสี พูดจาชั่ว ๓. ทุกฺกฏกมฺมการี ชอบทำชั่ว
สรุปแล้ว จุดสังเกตคนพาลตามพระพุทธวจนะนี้มีสามจุด คือ ความคิด คำพูด และการกระทำ หรือถ้าจะชี้เข้ามาที่ตัวคนก็ ได้แก่ กาย วาจา ใจ เพียงแต่ในพระบาลีท่านเรียงใจไว้ต้น แล้วจึงเรียงวาจาและกายไปตามลำดับ
ความคิด คำพูด และการกระทำ ที่เรียกว่าชั่วนั้น คืออย่างไร ? พระอรรถกถาจารย์ (คือพระอาจารย์ผู้อธิบายพุทธวจนะ) ได้ขยายความไว้ชัดเจนแล้วว่า ได้แก่อกุศลกรรมบถ ๑๐ หรือ ทุจริต ๑๐ (คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ เรียกว่าทุจริต ๑๐ ก็ได้ เพราะเป็นอันเดียวกัน)
ย่อจากปาฐกถาธรรมของ พันเอกปิ่น มุทุกันต์ แสดง ณ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย พระนคร เมื่อ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๒ ภาพประกอบอินเตอร์เน็ต
หลวงปู่เทศก์สอนว่า "อันธพาลและบัณฑิตตัวจริงนั้นไม่ใช่อยู่ที่มิตรภายนอกอย่างนั้น มันอยู่ที่ใจของเราต่างหาก มันเกิดขึ้นที่ใจของเราเอง ใครๆ ก็รู้จักใจของตนกันทุกคนว่ามันคิดชั่วก็ได้คิดดีก็ได้ เมื่อใดคิดทางชั่วทางไม่ดีแล้วเราไปสนับสนุนมันเข้าก็คือ ไปคบค้ากับ คนพาล ไม่ต้องไปคบใครที่อื่นหรอก มันมีอยู่ในตัวของเรานั่นเองถ้ามันคิดดี คิดชอบ ประกอบสุจริตแล้วเราสนับสนุน ได้ชื่อว่าเราคบ บัณฑิต การสนับสนุนเกิดขึ้นที่ตัวเรานั่นเองไม่ต้องโทษคนอื่น จะไปโทษเขาทำไม เขาก็มี บาปมิตร และ กัลยาณมิตร ของเขาอยู่แล้วเหมือนกัน ต่างคนต่างมีของตน เมื่อเรารู้แล้วว่า อันธพาล เกิดขึ้นที่ตัวของเรา บัณฑิต ก็เกิดขึ้นที่ตัวของเรา ดังนั้นเมื่อต้องการจะเป็น บัณฑิต ก็สร้างขึ้นมา สนับสนุนส่งเสริม บัณฑิต ให้เจริญขึ้นมา อย่าไปคบ พาล สนับสนุน พาล ก็แล้วกัน ถึงคนอื่นจะเป็นพาลกันทั้งโลก หากเราไม่คบพาลในตัวของเราแล้ว เราก็ไม่เป็นพาลไปได้"
บุคคลที่มีปัญญาเปลี่ยนแปลงโดยชอบย่อมดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง และถึงความสิ้นกิเลสโดยลำดับครับ
Create Date : 19 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2551 9:22:04 น. |
|
4 comments
|
Counter : 621 Pageviews. |
|
|
|
โดย: หลงเข้ามา (yoja ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:44:42 น. |
|
|
|
โดย: หลงเข้ามา (yoja ) วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:02:26 น. |
|
|
|
โดย: bow_relax วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:06:49 น. |
|
|
|
โดย: อัสติสะ วันที่: 3 ธันวาคม 2551 เวลา:13:32:22 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
|
|
|
|
|
|
|
๙
๙๙
๙๙๙
๙๙๙๙
๙๙๙๙๙
๙๙๙๙๙๙
๙๙๙๙๙๙๙
๙๙๙๙๙๙๙๙
๙๙๙๙๙๙๙๙๙
เจิมค่ะ