Group Blog All Blog
|
เส้นไหมแห่งจันทรา ลงมาจุติ ..... "เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วฮ่องกง"
ผัดซีอิ๊วทุกวันนี้กลายเป็นอาหารดาดดื่น หากินกันได้ทั่วไปตามร้านอาหารตามสั่ง รสเค็มๆมันๆของซีอิ๊วเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีกับเส้นใหญ่ที่ผัดคู่กับเนื้อสัตว์จนหอมเกรียม มิหนำซ้ำยังสามารถนำมาปรุงรสเพิ่มเติมได้เองอีกต่างหากทั้งพริกป่น น้ำปลา น้ำตาล หรือน้ำส้มสายชู วันนี้เสือตะหลิวจะมาทำผัดซีอิ๊ว แต่ไม่ใช่ผัดซีอิ๊วแบบไทยๆ แต่จะเป็นผัดซีอิ๊วสไตล์ฮ่องกง สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ แบบไทยจะใส่ไข่ลงไปผัดกับเส้น ส่วนแบบฮ่องกงจะไม่ใส่ไข่ลงไปผัด หรือถ้าหากอยากจะกินไข่ ก็จะใส่ไข่ดาวหรือไข่ต้มแยกไปต่างหาก ว่าด้วยเรื่องตำนานของเส้นใหญ่ ตำนานจีนโบราณกล่าวว่า ในสมัยจีนโบราณ มีพ่อลูกชาวนาคู่หนึ่งเป็นคนขยันแต่ฐานะยากจน ทุกๆเดือนพ่อลูกคู่นี้จะบูชาไหว้พระจันทร์อยู่ไม่ขาดและภาวนาด้วยความศรัทธาให้ชีวิตตัวเองพ้นจากความยากลำบาก จนในที่สุด คำภาวนาก็ส่งไปถึงนางฟ้าผู้สถิตอยู่บนดวงจันทร์ นางจึงตัดสินใจส่งผ้าแพรที่ทอจากแสงจันทร์ลงมาให้พ่อลูกคู่นี้ทุกครั้งที่พ่อลูกคู่นี้ทำการไหว้พระจันทร์ หลังจากที่พ่อลูกคู่นี้ได้ผ้าแพรจึงนำผ้าแพรแสงจันทร์ไปขายและสร้างฐานะให้ครอบครัวตัวเองขึ้นมา เศรษฐีในหมู่บ้านเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านพ่อลูกคู่นี้ จึงได้พยายามส่งคนมาขโมยผ้าแพรทุกครั้งที่พ่อลูกคู่นี้ไหว้พระจันทร์ พ่อลูกคู่นี้ด้วยความโกรธแค้นจึงตัดสินใจทำการสร้างผ้าแพรแสงจันทร์ขึ้นมาเองโดยการนำแป้งมาผสมกับน้ำแล้วนำไปนึ่งเป็นแผ่นๆจนมีลักษณะคล้ายผ้าแพรที่มีสีคล้ายกับแสงของพระจันทร์ ผ้าแพรทำเองของพ่อลูกไม่สามารถนำมาห่มได้แต่สามารถทานได้แถมรสอร่อยนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย พ่อลูกตัดสินใจเปิดร้านขายอาหารจนท้ายที่สุดก็มีชื่อเสียง ชื่อเสียงดังกล่าวโด่งดังไปถึงวังหลวง พ่อลูกจึงถูกเชิญไปเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เพื่อถวายอาหาร ฮ่องเต้รู้สึกโปรดปรานอาหารเส้นของพ่อลูกคู่นี้มากจึงพระราชทานบำเหน็จให้อย่างงาม พ่อลูกคู่นี้จึงกลายเป็นจอมเศรษฐีที่มั่งคั่งในที่สุด วันนี้เสือตะหลิวจะมาทำผัดซีอิ๊วฮ่องกงกับเนื้อหมัก หมักเนื้อง่ายๆแค่ เนื้อวัวหั่น 2 ขีด ไข่ขาว 1/2 ฟอง ผงฟู 1/2 ช้อนชา แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1 ชั่วโมง หมักได้ที่ก็เอาไปรวนน้ำมันไฟอ่อนๆประมาณ 3-5 นาทีจึงพักสะเด็ดน้ำมันไว้ เส้นใหญ่วันนี้ใช้ประมาณ 2 ขีด เอามาคลุกกับซีอิ๊วดำประมาณ 1 ช้อนชาให้ทั่วๆเส้น จากนั้นจึงนำเส้นลงคั่วแห้งๆในกระทะไฟแรง จนเส้นเริ่มมีความแห้งและเกรียม ตั้งกระทะไฟแรงผัด หอมใหญ่สับ กระเทียมสับ แครอทสับ ก้านขึ้นฉ่ายสับ อย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ ใส่พริกไทยประมาณ 1 ช้อนชา ผัดให้เข้ากันจนส่งกลิ่นหอม ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ เหล้าจีน 2-3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 2 ช้อนชา ผัดให้เข้ากันจนซีอิ๊วเริ่มส่งกลิ่นหอม ถ้าชอบเค็มหวานเพิ่ม ก็ใส่ซีอิ๊วขาวกับน้ำตาลเพิ่มได้ตามชอบ ใส่เส้นใหญ่ เนื้อหมัก ที่เตรียมไว้ลงไปผัดเร็วๆให้เข้ากันประมาณ 1-2 นาที โรยใบขึ้นฉ่ายกำเล็กๆปิดท้ายสักหน่อยแล้วปิดไฟคลุกเร็วๆให้เข้ากันอีกรอบก็เป็นอันเสร็จ ถ้าอยากกินไข่ก็เอาไข่ดาวโปะหน้าสักฟองพอเป็นพิธีก็เป็นอันเสร็จพิธี เรียบร้อยแล้วครับกับเมนูผัดซีอิ๊วเนื้อฮ่องกงสไตล์เสือตะหลิว เส้นใหญ่เนื้อเหนียวหนึบหอมเกรียมกำลัง ผัดกับซีอิ๊วจนหอมเค็มอมหวานนิดๆ กินคู่กับเนื้อหมักนุ่มๆแถมไข่ดาวไข่แดงเยิ้มๆสักฟอง นี่แหละคือผัดเส้นใหญ่ซีอิ๊วตัวแทนแห่งดวงจันทร์ จะมาลงทัณฑ์แกเอง 55555 facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี " มะระ มาละจ๊ะ .... "ไข่เจียวมะระ"
มะระเป็นพืชพื้นเมืองของทางแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียอาคเนย์ มีสรรพคุณทางโภชนาการและทางยาค่อนข้างสูง คนพื้นเมืองนิยมนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายโดยการนำมาสกัดความขมอันเป็นธรรมชาติของตัวมะระออกไป ผลมะระช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ต่อต้านเซลล์มะเร็ง มีแคลเซียมสูงช่วยบำรุงกระดูกและฟัน อีกทั้งยังช่วยบำรุงระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการอยากอาหาร แต่ด้วยสรรพคุณที่มากล้นกลับมีรสชาติขมอันเป็นเอกลักษณ์ จึงมักกลายเป็นพืชที่ถูกมองข้าม การสกัดรสขมที่นิยมทำกันก็คือการนำผลมะระไปหั่นแล้วควักไส้ในออก คลุกกับเกลือให้ทั่วๆ แล้วล้างออก และอาจมีการนำไปลวกกับน้ำเกลือเพื่อล้างรสขมอีกที ส่วนใหญ่มักจะนำมะระไปรับประทานคู่กับของมันๆเพื่อกลบรสขม เช่นการนำไปผัดกับไข่ หรือการนำไปนึ่งกับหมูสับ แต่มักจะไม่นิยมทานกันสดๆ วันนี้เสือตะหลิวจะนำมะระมาทำเป็นไข่เจียว เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะนำมาผัดไข่กันจนเกร่อแล้ว หันมาทำอะไรแหวกๆบ้าง แต่รับรองว่าความอร่อยไม่หนีหายไปไหนแน่นอน เริ่มต้นเตรียมมะระกันก่อนเลย วันนี้ใช้มะระประมาณครึ่งลูก แค่นำมามะระมาผ่าเป็นท่อนๆ ใช้ช้อนหรือมีดควักไส้ในขาวๆออกให้เยอะที่สุด จากนั้นก็ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเกลือให้ทั่วๆ หมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง พอครบชั่วโมงจึงล้างน้ำเปล่าออกจนเกลือหมด ตั้งน้ำเดือดๆ ใส่เกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ นำมะระลงไปลวกประมาณ 3-5 นาที แล้วตักมะระขึ้นมาล้างน้ำเปล่าอีกรอบ ถ้ากลัวว่ามะระยังจะขมอยู่ ก็เอาไปลวกซ้ำแล้วล้างน้ำเปล่าซ้ำสลับไปเรื่อยๆอีกประมาณ 2-3 รอบก็ได้ ตีไข่ประมาณ 3 ฟอง น้ำปลาเล็กน้อย ตีผสมคนให้เข้ากันแล้วใส่มะระลงคลุก ตั้งกระทะไฟปานกลาง น้ำมันพอประมาณ พอร้อนก็ใส่กระเทียมกับพริกไทยลงผัดจนส่งกลิ่นหอม เทไข่ลงทอดในกระทะได้เลย พยายามเกลี่ยมะระให้ทั่วๆไข่ แอบพลิกดูว่าอีกด้านเริ่มสุกเหลืองหรือยังแล้วค่อยกลับไข่ กลับไข่แล้วก็รอให้อีกด้านสุกเหลืองอีกสักพักก็ตักขึ้นเตรียมเสิร์ฟได้เลย ตัดแบ่งจัดเสิร์ฟให้สวยงามตามชอบ กินคู่กับซอสพริก ซอสมะเขือเทศ หรือน้ำพริกต่างๆได้ตามแต่ใจจะปรารถนา เนื้อมะระหวานอมขมนิดๆเคลือบไปด้วยอนูของเนื้อไข่เจียวมันๆสีเหลืองทอง ทั้งอร่อย ทั้งทานง่าย แถมอุดมไปด้วยสรรพคุณ มีเวลาก็ลองทำดูนะครับ มะระไม่ได้ทำยากอย่างที่คิด แต่รับรองว่าถ้าทำเป็นก็จะอร่อยกว่าที่คิดอย่างแน่นอน 55555 Facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี " ใบบ้านมีอะไรเหลือๆก็เอามาผัดรวมๆกัน "ไก่ใต้เท้ากัง"(Kung Pao Chicken)
หนึ่งในอาหารชื่อดังแห่งแคว้นเสฉวน ใครแวะเวียนผ่านไปแถวนั้นก็ยากจะที่หลีกพ้นเมนู "ไก่กังเป่า" หรือ "ไก่ใต้เท้ากัง" นิยามง่ายว่าคือเมนูไก่ผัดพริกกับถั่วลิสง รสนุ่มของไก่ รสกรอบมันของถั่ว รสเผ็ดจัดจ้านของพริก คือผลรวมของสมการความอร่อยของอาหารจานนี้ ตำนานดั้งเดิมของเมนูนี้ เชื่อว่ามาจาก ขุนนางผู้หนึ่งในสมัยตอนปลายของราชวงศ์ชิง ผู้ที่ชาวบ้านมักเรียกขานว่า "ใต้เท้ากัง" มียศเป็นถึงผู้ว่าราชการของเมืองเสฉวน โดยมีอยู่วันหนึ่ง เกิดมีการประชุมด่วนของเหล่าขุนนางที่บ้านของใต้เท้ากัง หลังการประชุมระดมสมองของเหล่าขุนนางตลอดช่วงเช้า ความหิวกระหายก็ได้มาเยือน ใต้เท้ากังจึงรีบสั่งให้คนครัวเอาทำอาหารมาเสิร์ฟเหล่าบรรดาขุนนาง แต่เนื่องจากไม่ได้มีการตระเตรียมอาหารเอาไว้ล่วงหน้า คนครัวจึงเอาของเหลือๆที่มีอยู่ติดบ้านมาผัดรวมๆกัน จนกลายเป็นเมนู "ไก่กังเป่า" หรือ "ไก่ใต้เท้ากัง" ขึ้นมา เมนู "ไก่กังเป่า" นั้นรสชาติดีเป็นอย่างมาก เหล่าขุนนางต่างยกย่อง ใต้เท้ากังจึงหัวใสเปิดร้านอาหารอันมีเมนู "ไก่กังเป่า" หรือ "ไก่ใต้เท้ากัง" เป็นเมนูขึ้นชื่อ เหล่าบรรดาร้านอาหารอื่นๆในเมืองเสฉวนจึงต่างพากันพยายามลอกเลียนแบบ จนในที่สุดเมนู "ไก่ใต้เท้ากัง" จึงกลายเป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองเสฉวนไปโดยปริยาย เริ่มแรกก็มาหมักไก่กันก่อน หมักง่ายๆแค่ใช้เนื้อไก่ประมาณ 3-4 ขีด หั่นชิ้นเล็กๆ หมักกับแป้งมัน ไข่ขาว น้ำมันพืช อย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าให้เข้ากันทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1 ชั่วโมง ตั้งกระทะไฟอ่อน ทอดถั่วลิสงกับพริกแห้งจนหอมกรอบ ทอดเสร็จก็พักสะเด็ดน้ำมันรอไว้ น้ำมันจากที่เหลือจากทอดถั่วกับพริกแห้งเมื่อกี้ ก็เอามาทอดไก่ที่หมักไว้ต่อ ทอดไฟอ่อนๆประมาณ 3-5 นาที แล้วจึงเอาไก่ออกมาสะเด็ดน้ำมัน ไก่พร้อม ถั่วพร้อม พริกพร้อม ทีนี้เราจะมาเริ่มผัดเผ็ดกันเลย น้ำมันที่เหลือจากทอดของเมื่อกี้ เอามาใช้ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ผัดไฟปานกลางกับกระทียมและน้ำพริกเผาอย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ และพริกไทยบดอีกประมาณ 1 ช้อนชา ผัดจนเครื่องส่งกลิ่นหอม ปรุงรสง่ายๆด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว เหล้าจีน อย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วเดาะน้ำตาลใส่ลงไปอีกสักเล็กน้อย เติมน้ำเปล่ากับน้ำละลายแป้งมันลงไปเล็กน้อย แล้วผัดจนน้ำเริ่มมีความข้นหนืด ใส่ส่วนผสมที่ทอดเตรียมไว้ลงไปผัดไฟแรงเร็วๆประมาณ 1-2 นาที ปิดท้ายด้วยต้นหอมซอยสักหน่อย แล้วปิดไฟพร้อมเสิร์ฟ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วกับเมนู "ไก่ใต้เท้ากัง" หรือ "ไก่กังเป่า" เนื้อไก่นุ่ม ถั่วลิสงรสกรอบมัน และพริกผัดรสจัดจ้าน รสชาติโดยรวมเผ็ดๆ เค็มๆ มันๆ อมหวานเล็กน้อย กินคู่กับข้าวสวยเพลินๆหรือจะกินเป็นกับแกล้มก็อร่อยไม่แพ้กัน ถึงแม้จะเป็นเมนูจากของเหลือในบ้านๆ แต่ก็สามารถนำมารังสรรค์จนเกิดเป็นตำนานแห่งความอร่อย ของทุกอย่างมีค่าเพียงแค่อย่ามองข้าม ลองใช้จินตนาการดู เราอาจจะค้นพบสมการแห่งความอร่อยของเราเองก็เป็นได้ facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี " โอ้สวรรค์ส่งมาโปรด "ซุปไข่สวรรค์"
เวลาไปเที่ยวเมืองนอกแล้วบริษัททัวร์พาไปแวะร้านอาหารจีน เมนูซุปไข่มันจะต้องมาเสิร์ฟเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยทุกทีไป เนื้อซุปจะมันๆข้นๆแต่มีความคล่องคอมีเนื้อไข่บางๆราวกับใยไหมปกคลุมอยู่แทบจะทั่วทุกอณู บางร้านก็อาจจะใส่เนื้อไก่ชิ้นเล็กๆลงไปหรือบางร้านก็จะมีการใส่สาหร่ายแกงจืดเพิ่มลงไปด้วยอีกต่างหาก พอกลับมาเมืองไทย กลับหาร้านที่จะทำซุปไข่แบบนี้ได้ยาก ส่วนใหญ่จะกลายเป็นแกงจืดไข่น้ำไปเสียฉิบ ซึ่งเนื้อสัมผัสมันก็คนละเรื่องกับซุปไข่ที่เคยไปกินที่ต่างแดน วันนี้เสือตะหลิวก็เลยจะมาทำเมนูซุปไข่สวรรค์ หรืออาจจะเรียกแบบฝรั่งๆอินเตอร์หน่อยๆว่า 'egg droped soup' สาเหตุที่เรียกว่า 'ซุปไข่สวรรค์' ก็เพราะเทคนิคการเทไข่ลงในซุปที่ราวกับพรจากสวรรค์ที่ถูกประทานมายังดินแดนของเหล่ามนุษย์ เราไปดูวิธีทำกันเลยดีกว่าก่อนที่จะหลุดโลกกันไปมากกว่านี้ 55555 เตรียมทำน้ำซุปกันก่อนเลย แค่ผัดกระเทียมสับ หอมใหญ่สับ แครอทสับ ขึ้นฉ่ายสับ ผัดจนหอมใหญ่เริ่มสุกใส อัตราส่วนก็เอาเป็นอย่างละเท่าๆกันไปเลย แต่ปริมาณกระเทียมก็ลดปริมาณลงสักครึ่งหนึ่งของส่วนผสมๆอื่นๆ เติมน้ำเปล่าลงไปรอจนน้ำเดือด แล้วใส่ซุปก้อนลงไปคนจนละลาย ต้มไปเรื่อยๆจนแครอทเริ่มเปื่อยนิ่ม ถ้าน้ำลดลงเร็วเกิน ก็เติมน้ำเปล่าลงไปเพิ่มได้ กรองพวกเศษผักออกให้เหลือแต่น้ำซุปเปล่าๆ เอาน้ำซุปที่กรองมาตั้งน้ำจนเดือดอีกรอบ ทีก็ลองชิมแล้วปรุงรสดู ถ้าหากจะเอาเค็มเพิ่มก็เติมเกลือหรือซีอิ๊วขาวลงไป ถ้าจะเอาหวานหน่อยๆก็เติมน้ำตาลลงไปสักนิด จากนั้นก็ค่อยๆเติมน้ำละลายแป้งมันลงไป ค่อยๆเติมค่อยๆคนไปเรื่อยๆจนได้ระดับความข้นที่ต้องการ กะเอาว่าให้พอมีความเหนียวข้นหน่อยๆแต่ไม่ต้องถึงขนาดระดับน้ำราดหน้า ทีนี้ก็ยกซุปลงจากเตาก่อน แล้วค่อยๆเทไข่ไก่ที่ตีไว้ลงไปในน้ำซุป ระหว่างเทก็คนซุปเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ และนี่แหละคือที่มาของชื่อ'ซุปไข่สวรรค์' เพราะไข่จะค่อยๆถุกเทลงมาที่ซุปเป็นสายๆแล้วค่อยๆกระจายตัวเป็นใยไหมบางๆ อัตราส่วนก็ไข่หนึ่งฟอง ต่อน้ำซุปประมาณ 3-4 ถ้วยตวง หลังจากเทไข่เสร็จ ก็เอาซุปไปตั้งไฟให้เดือดอีกรอบ วันนี้เสือตะหลิวใส่มะเขือเทศหั่นเพิ่มลงไปเพื่อให้มีรสเปรี้ยวหวานตัดอ่อนๆ ถ้าใครอยากใส่เห็ด หรือผักอะไรเพิ่ม หรือแม้กระทั่งเนื้อสัตว์ก็ใส่ลงไปตอนนี้ได้เลย รอจนมะเขือเทศสุกก็ยกลงได้เลย จากนั้นก็ตักใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ เรียบร้อยแล้วครับกับเมนู 'egg droped soup' หรือ 'ซุปไข่สวรรค์' น้ำซุปรสเค็มๆมันๆมีความข้นจางๆแต่ก็มียังสามารถซดได้คล่องคอชื่นใจ เนื้อไข่ที่ลอยอยู่ในน้ำซุปลักษณะคล้ายใยไหมบางๆเป็นเนื้อวุ้นละลายในปาก มีรสเปรี้ยวหวานอ่อนๆของมะเขือเทศมาช่วยตัดรสให้ดูกลมกลืน เมนูนี้ทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด วัตถุดิบมีไม่มาก แต่ผลลัพธ์ออกมาดีจนน่าประหลาดใจ ว่างๆอยากลองชิมก็สามารถไปลองทำกันดูได้เลย ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไปกินที่เมืองนอกให้เปลืองตังค์ 55555 facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี " กะหล่ำปลี มีดีกว่าที่เห็น "กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา"
เวลาไปโรงเบียร์หรือร้านเหล้า ถ้าหากเบื่อพวกกับแกล้มมันๆ ก็จะสั่งพวกเมนูผักๆมากินแก้เลี่ยนบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีกจะหนีไม่พ้น 'กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา' หรือ 'กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา' หรือบ้างร้านก็จะเรียกกันห้วนๆไปเลยว่า 'กะหล่ำน้ำปลา' ด้วยรสชาติหวานอ่อนๆของผักอันเป็นธรรมชาติ ความหอมเกรียมของกระทะ และความเค็มปะแล่มอมหวานนิดๆของน้ำปลา เมนูกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาจึงเป็นหนึ่งในเมนูประจำโต๊ะของใครหลายๆคน วัตถุดิบก็น้อย วิธีปรุงก็ไม่ยุ่งยาก เมนูกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาจึงกลายเป็นที่นิยมของร้านอาหารหลายๆร้านไปโดยปริยาย กะหล่ำปลีดูเหมือนเป็นผักที่ธรรมดาๆ แต่กลับมีสรรพคุณมากกว่าที่คิด ทั้งช่วยลดคอเลสตอรอลควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน บำรุงเซลล์ร่างกายทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งรวมถึงลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง ช่วยทำให้สมองปลอดโปร่งบรรเทาอาการปวดหัวรวมถึงล้างพวกสารพิษในร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยลดอาการเมาค้างได้อีกด้วย แต่ด้วยความนิยมของเมนูกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาที่มีอยู่อย่างดาดดื่น ร้านอาหารหลายๆร้านกลับไม่ค่อยมีความปราณีตและพิถีพิถันในการปรุงเมนูนี้ กลายเป็นเมนูผัดน้ำปลาง่ายๆที่แลดูจืดชืดไร้รสชาติ วันนี้เสือตะหลิวเลยจะมาแนะนำเทคนิคการผัดน้ำปลาว่า ผัดยังไงถึงจะออกมาเหลาที่สุด หอมที่สุด อร่อยที่สุด เตรียมของกันก่อน 1. กะหล่ำปลีเด็ดมาเป็นใบๆใหญ่ๆไปเลย อย่าฉีกเป็นใบเล็กๆ ส่วนแกนกะหล่ำแข็งๆเราก็จะตัดทิ้งไปเลย 2. ตั้งกระทะไฟอ่อนเจียวกระเทียมกับพริกแห้งจนเหลืองกรอบ ถ้าไม่ชอบพริกก็สามารถทอดกุ้งแห้งแทนก็ได้ ส่วนน้ำมันเจียวก็เก็บไว้ก่อน ใช้น้ำมันเจียวกระเทียมเมื่อกี้เล็กน้อย เอามาผัดกับกะหล่ำปลีด้วยไฟค่อนข้างแรง ผัดจนใบกะหล่ำเริ่มมีความเกรียม วิธีผัดก็คือรีบๆผัดเร็วๆ ตลบให้ใบผักคลุกเคล้าน้ำมันให้ทั่วๆ จากนั้นก็ทิ้งให้กระทะเผาไว้เฉยๆประมาณ 15 วินาที จากนั้นก็ตลบผักแล้วทิ้งให้กระทะเผาต่ออีก 15 วินาที ผักจะมีความเกรียมหอม จากนั้นจึงเอาผักออกมาพักไว้ก่อน ตั้งกระทะไฟแรงเติมน้ำมันเจียวอีกนิด ผัดน้ำปลาผสมน้ำตาลในอัตราส่วน น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 1 ช้อนชา เทน้ำปลาลงผัดไฟแรงประมาณ 5 วินาที รีบนำกะหล่ำปลีที่เตรียมไว้ลงไปผัดเร็วๆประมาณ 1-2 นาที ก็เป็นอันเสร็จ จัดใส่จานตามชอบ โรยกระเทียมเจียวกับพริกแห้งหรือกุ้งแห้ง ก็พร้อมรับประทาน ใบกะหล่ำเนื้อหวานผัดออกมาจนผิวเกรียม ผสานกับรสชาติของน้ำปลาผัดกลิ่นหอมเกรียมกำลังดี อร่อยแบบเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยเทคนิค วัตถุดิบน้อย ปรุงไม่ยาก มากสรรพคุณ อย่าลืมลองไปทำกันดูนะครับ facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี " |
เสือตะหลิว
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] ผู้ชายธรรมดาๆที่รสชาติไม่ธรรมดา just a man with a nice taste
Link |