All Blog
เส้นไหมแห่งจันทรา ลงมาจุติ ..... "เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วฮ่องกง"
ผัดซีอิ๊วทุกวันนี้กลายเป็นอาหารดาดดื่น หากินกันได้ทั่วไปตามร้านอาหารตามสั่ง รสเค็มๆมันๆของซีอิ๊วเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีกับเส้นใหญ่ที่ผัดคู่กับเนื้อสัตว์จนหอมเกรียม มิหนำซ้ำยังสามารถนำมาปรุงรสเพิ่มเติมได้เองอีกต่างหากทั้งพริกป่น น้ำปลา น้ำตาล หรือน้ำส้มสายชู

วันนี้เสือตะหลิวจะมาทำผัดซีอิ๊ว แต่ไม่ใช่ผัดซีอิ๊วแบบไทยๆ แต่จะเป็นผัดซีอิ๊วสไตล์ฮ่องกง สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ แบบไทยจะใส่ไข่ลงไปผัดกับเส้น ส่วนแบบฮ่องกงจะไม่ใส่ไข่ลงไปผัด หรือถ้าหากอยากจะกินไข่ ก็จะใส่ไข่ดาวหรือไข่ต้มแยกไปต่างหาก

ว่าด้วยเรื่องตำนานของเส้นใหญ่ ตำนานจีนโบราณกล่าวว่า ในสมัยจีนโบราณ มีพ่อลูกชาวนาคู่หนึ่งเป็นคนขยันแต่ฐานะยากจน ทุกๆเดือนพ่อลูกคู่นี้จะบูชาไหว้พระจันทร์อยู่ไม่ขาดและภาวนาด้วยความศรัทธาให้ชีวิตตัวเองพ้นจากความยากลำบาก 

จนในที่สุด คำภาวนาก็ส่งไปถึงนางฟ้าผู้สถิตอยู่บนดวงจันทร์ นางจึงตัดสินใจส่งผ้าแพรที่ทอจากแสงจันทร์ลงมาให้พ่อลูกคู่นี้ทุกครั้งที่พ่อลูกคู่นี้ทำการไหว้พระจันทร์ หลังจากที่พ่อลูกคู่นี้ได้ผ้าแพรจึงนำผ้าแพรแสงจันทร์ไปขายและสร้างฐานะให้ครอบครัวตัวเองขึ้นมา 

เศรษฐีในหมู่บ้านเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านพ่อลูกคู่นี้ จึงได้พยายามส่งคนมาขโมยผ้าแพรทุกครั้งที่พ่อลูกคู่นี้ไหว้พระจันทร์ พ่อลูกคู่นี้ด้วยความโกรธแค้นจึงตัดสินใจทำการสร้างผ้าแพรแสงจันทร์ขึ้นมาเองโดยการนำแป้งมาผสมกับน้ำแล้วนำไปนึ่งเป็นแผ่นๆจนมีลักษณะคล้ายผ้าแพรที่มีสีคล้ายกับแสงของพระจันทร์

ผ้าแพรทำเองของพ่อลูกไม่สามารถนำมาห่มได้แต่สามารถทานได้แถมรสอร่อยนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย พ่อลูกตัดสินใจเปิดร้านขายอาหารจนท้ายที่สุดก็มีชื่อเสียง ชื่อเสียงดังกล่าวโด่งดังไปถึงวังหลวง พ่อลูกจึงถูกเชิญไปเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เพื่อถวายอาหาร ฮ่องเต้รู้สึกโปรดปรานอาหารเส้นของพ่อลูกคู่นี้มากจึงพระราชทานบำเหน็จให้อย่างงาม พ่อลูกคู่นี้จึงกลายเป็นจอมเศรษฐีที่มั่งคั่งในที่สุด


วันนี้เสือตะหลิวจะมาทำผัดซีอิ๊วฮ่องกงกับเนื้อหมัก 
หมักเนื้อง่ายๆแค่ เนื้อวัวหั่น 2 ขีด
ไข่ขาว 1/2 ฟอง
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
คลุกให้เข้ากัน ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1 ชั่วโมง
หมักได้ที่ก็เอาไปรวนน้ำมันไฟอ่อนๆประมาณ 3-5 นาทีจึงพักสะเด็ดน้ำมันไว้ 


เส้นใหญ่วันนี้ใช้ประมาณ 2 ขีด เอามาคลุกกับซีอิ๊วดำประมาณ 1 ช้อนชาให้ทั่วๆเส้น จากนั้นจึงนำเส้นลงคั่วแห้งๆในกระทะไฟแรง จนเส้นเริ่มมีความแห้งและเกรียม 


ตั้งกระทะไฟแรงผัด หอมใหญ่สับ กระเทียมสับ แครอทสับ ก้านขึ้นฉ่ายสับ อย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ ใส่พริกไทยประมาณ 1 ช้อนชา ผัดให้เข้ากันจนส่งกลิ่นหอม 


ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ
เหล้าจีน 2-3 ช้อนโต๊ะ 
น้ำตาล 2 ช้อนชา 
ผัดให้เข้ากันจนซีอิ๊วเริ่มส่งกลิ่นหอม
ถ้าชอบเค็มหวานเพิ่ม ก็ใส่ซีอิ๊วขาวกับน้ำตาลเพิ่มได้ตามชอบ 


ใส่เส้นใหญ่ เนื้อหมัก ที่เตรียมไว้ลงไปผัดเร็วๆให้เข้ากันประมาณ 1-2 นาที โรยใบขึ้นฉ่ายกำเล็กๆปิดท้ายสักหน่อยแล้วปิดไฟคลุกเร็วๆให้เข้ากันอีกรอบก็เป็นอันเสร็จ 


ถ้าอยากกินไข่ก็เอาไข่ดาวโปะหน้าสักฟองพอเป็นพิธีก็เป็นอันเสร็จพิธี เรียบร้อยแล้วครับกับเมนูผัดซีอิ๊วเนื้อฮ่องกงสไตล์เสือตะหลิว 


เส้นใหญ่เนื้อเหนียวหนึบหอมเกรียมกำลัง ผัดกับซีอิ๊วจนหอมเค็มอมหวานนิดๆ กินคู่กับเนื้อหมักนุ่มๆแถมไข่ดาวไข่แดงเยิ้มๆสักฟอง 
นี่แหละคือผัดเส้นใหญ่ซีอิ๊วตัวแทนแห่งดวงจันทร์ จะมาลงทัณฑ์แกเอง 55555 


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 05 มกราคม 2564
Last Update : 5 มกราคม 2564 11:33:32 น.
Counter : 1129 Pageviews.

1 comment
มะระ มาละจ๊ะ .... "ไข่เจียวมะระ"
มะระเป็นพืชพื้นเมืองของทางแถบเอเชียตะวันออกและเอเชียอาคเนย์ มีสรรพคุณทางโภชนาการและทางยาค่อนข้างสูง คนพื้นเมืองนิยมนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายโดยการนำมาสกัดความขมอันเป็นธรรมชาติของตัวมะระออกไป

ผลมะระช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ต่อต้านเซลล์มะเร็ง มีแคลเซียมสูงช่วยบำรุงกระดูกและฟัน อีกทั้งยังช่วยบำรุงระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดอาการอยากอาหาร แต่ด้วยสรรพคุณที่มากล้นกลับมีรสชาติขมอันเป็นเอกลักษณ์ จึงมักกลายเป็นพืชที่ถูกมองข้าม

การสกัดรสขมที่นิยมทำกันก็คือการนำผลมะระไปหั่นแล้วควักไส้ในออก คลุกกับเกลือให้ทั่วๆ แล้วล้างออก และอาจมีการนำไปลวกกับน้ำเกลือเพื่อล้างรสขมอีกที ส่วนใหญ่มักจะนำมะระไปรับประทานคู่กับของมันๆเพื่อกลบรสขม เช่นการนำไปผัดกับไข่ หรือการนำไปนึ่งกับหมูสับ แต่มักจะไม่นิยมทานกันสดๆ 

วันนี้เสือตะหลิวจะนำมะระมาทำเป็นไข่เจียว เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะนำมาผัดไข่กันจนเกร่อแล้ว หันมาทำอะไรแหวกๆบ้าง แต่รับรองว่าความอร่อยไม่หนีหายไปไหนแน่นอน


เริ่มต้นเตรียมมะระกันก่อนเลย วันนี้ใช้มะระประมาณครึ่งลูก แค่นำมามะระมาผ่าเป็นท่อนๆ ใช้ช้อนหรือมีดควักไส้ในขาวๆออกให้เยอะที่สุด จากนั้นก็ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเกลือให้ทั่วๆ หมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง พอครบชั่วโมงจึงล้างน้ำเปล่าออกจนเกลือหมด


ตั้งน้ำเดือดๆ ใส่เกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ นำมะระลงไปลวกประมาณ 3-5 นาที แล้วตักมะระขึ้นมาล้างน้ำเปล่าอีกรอบ 
ถ้ากลัวว่ามะระยังจะขมอยู่ ก็เอาไปลวกซ้ำแล้วล้างน้ำเปล่าซ้ำสลับไปเรื่อยๆอีกประมาณ 2-3 รอบก็ได้


ตีไข่ประมาณ 3 ฟอง น้ำปลาเล็กน้อย ตีผสมคนให้เข้ากันแล้วใส่มะระลงคลุก


ตั้งกระทะไฟปานกลาง น้ำมันพอประมาณ พอร้อนก็ใส่กระเทียมกับพริกไทยลงผัดจนส่งกลิ่นหอม


เทไข่ลงทอดในกระทะได้เลย พยายามเกลี่ยมะระให้ทั่วๆไข่ แอบพลิกดูว่าอีกด้านเริ่มสุกเหลืองหรือยังแล้วค่อยกลับไข่


กลับไข่แล้วก็รอให้อีกด้านสุกเหลืองอีกสักพักก็ตักขึ้นเตรียมเสิร์ฟได้เลย


ตัดแบ่งจัดเสิร์ฟให้สวยงามตามชอบ กินคู่กับซอสพริก ซอสมะเขือเทศ หรือน้ำพริกต่างๆได้ตามแต่ใจจะปรารถนา 
เนื้อมะระหวานอมขมนิดๆเคลือบไปด้วยอนูของเนื้อไข่เจียวมันๆสีเหลืองทอง ทั้งอร่อย ทั้งทานง่าย แถมอุดมไปด้วยสรรพคุณ มีเวลาก็ลองทำดูนะครับ มะระไม่ได้ทำยากอย่างที่คิด แต่รับรองว่าถ้าทำเป็นก็จะอร่อยกว่าที่คิดอย่างแน่นอน 55555


Facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 23 ธันวาคม 2563
Last Update : 23 ธันวาคม 2563 8:46:35 น.
Counter : 1628 Pageviews.

2 comment
ใบบ้านมีอะไรเหลือๆก็เอามาผัดรวมๆกัน "ไก่ใต้เท้ากัง"(Kung Pao Chicken)
หนึ่งในอาหารชื่อดังแห่งแคว้นเสฉวน ใครแวะเวียนผ่านไปแถวนั้นก็ยากจะที่หลีกพ้นเมนู "ไก่กังเป่า" หรือ "ไก่ใต้เท้ากัง" นิยามง่ายว่าคือเมนูไก่ผัดพริกกับถั่วลิสง รสนุ่มของไก่ รสกรอบมันของถั่ว รสเผ็ดจัดจ้านของพริก คือผลรวมของสมการความอร่อยของอาหารจานนี้ 

ตำนานดั้งเดิมของเมนูนี้ เชื่อว่ามาจาก ขุนนางผู้หนึ่งในสมัยตอนปลายของราชวงศ์ชิง ผู้ที่ชาวบ้านมักเรียกขานว่า "ใต้เท้ากัง" มียศเป็นถึงผู้ว่าราชการของเมืองเสฉวน โดยมีอยู่วันหนึ่ง เกิดมีการประชุมด่วนของเหล่าขุนนางที่บ้านของใต้เท้ากัง หลังการประชุมระดมสมองของเหล่าขุนนางตลอดช่วงเช้า ความหิวกระหายก็ได้มาเยือน ใต้เท้ากังจึงรีบสั่งให้คนครัวเอาทำอาหารมาเสิร์ฟเหล่าบรรดาขุนนาง แต่เนื่องจากไม่ได้มีการตระเตรียมอาหารเอาไว้ล่วงหน้า คนครัวจึงเอาของเหลือๆที่มีอยู่ติดบ้านมาผัดรวมๆกัน จนกลายเป็นเมนู "ไก่กังเป่า" หรือ "ไก่ใต้เท้ากัง" ขึ้นมา 

เมนู "ไก่กังเป่า" นั้นรสชาติดีเป็นอย่างมาก เหล่าขุนนางต่างยกย่อง ใต้เท้ากังจึงหัวใสเปิดร้านอาหารอันมีเมนู "ไก่กังเป่า" หรือ "ไก่ใต้เท้ากัง" เป็นเมนูขึ้นชื่อ เหล่าบรรดาร้านอาหารอื่นๆในเมืองเสฉวนจึงต่างพากันพยายามลอกเลียนแบบ จนในที่สุดเมนู "ไก่ใต้เท้ากัง" จึงกลายเป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองเสฉวนไปโดยปริยาย


เริ่มแรกก็มาหมักไก่กันก่อน หมักง่ายๆแค่ใช้เนื้อไก่ประมาณ 3-4 ขีด หั่นชิ้นเล็กๆ หมักกับแป้งมัน ไข่ขาว น้ำมันพืช อย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ 
คลุกเคล้าให้เข้ากันทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1 ชั่วโมง


ตั้งกระทะไฟอ่อน ทอดถั่วลิสงกับพริกแห้งจนหอมกรอบ
ทอดเสร็จก็พักสะเด็ดน้ำมันรอไว้


น้ำมันจากที่เหลือจากทอดถั่วกับพริกแห้งเมื่อกี้ ก็เอามาทอดไก่ที่หมักไว้ต่อ ทอดไฟอ่อนๆประมาณ 3-5 นาที แล้วจึงเอาไก่ออกมาสะเด็ดน้ำมัน


ไก่พร้อม ถั่วพร้อม พริกพร้อม ทีนี้เราจะมาเริ่มผัดเผ็ดกันเลย


น้ำมันที่เหลือจากทอดของเมื่อกี้ เอามาใช้ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ผัดไฟปานกลางกับกระทียมและน้ำพริกเผาอย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ และพริกไทยบดอีกประมาณ 1 ช้อนชา ผัดจนเครื่องส่งกลิ่นหอม


ปรุงรสง่ายๆด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว เหล้าจีน อย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วเดาะน้ำตาลใส่ลงไปอีกสักเล็กน้อย
เติมน้ำเปล่ากับน้ำละลายแป้งมันลงไปเล็กน้อย แล้วผัดจนน้ำเริ่มมีความข้นหนืด


ใส่ส่วนผสมที่ทอดเตรียมไว้ลงไปผัดไฟแรงเร็วๆประมาณ 1-2 นาที


ปิดท้ายด้วยต้นหอมซอยสักหน่อย แล้วปิดไฟพร้อมเสิร์ฟ
เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วกับเมนู "ไก่ใต้เท้ากัง" หรือ "ไก่กังเป่า" เนื้อไก่นุ่ม ถั่วลิสงรสกรอบมัน และพริกผัดรสจัดจ้าน รสชาติโดยรวมเผ็ดๆ เค็มๆ มันๆ อมหวานเล็กน้อย กินคู่กับข้าวสวยเพลินๆหรือจะกินเป็นกับแกล้มก็อร่อยไม่แพ้กัน 
ถึงแม้จะเป็นเมนูจากของเหลือในบ้านๆ แต่ก็สามารถนำมารังสรรค์จนเกิดเป็นตำนานแห่งความอร่อย ของทุกอย่างมีค่าเพียงแค่อย่ามองข้าม ลองใช้จินตนาการดู เราอาจจะค้นพบสมการแห่งความอร่อยของเราเองก็เป็นได้


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 15 ธันวาคม 2563
Last Update : 15 ธันวาคม 2563 7:07:08 น.
Counter : 2234 Pageviews.

3 comment
โอ้สวรรค์ส่งมาโปรด "ซุปไข่สวรรค์"
เวลาไปเที่ยวเมืองนอกแล้วบริษัททัวร์พาไปแวะร้านอาหารจีน เมนูซุปไข่มันจะต้องมาเสิร์ฟเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยทุกทีไป เนื้อซุปจะมันๆข้นๆแต่มีความคล่องคอมีเนื้อไข่บางๆราวกับใยไหมปกคลุมอยู่แทบจะทั่วทุกอณู บางร้านก็อาจจะใส่เนื้อไก่ชิ้นเล็กๆลงไปหรือบางร้านก็จะมีการใส่สาหร่ายแกงจืดเพิ่มลงไปด้วยอีกต่างหาก

พอกลับมาเมืองไทย กลับหาร้านที่จะทำซุปไข่แบบนี้ได้ยาก ส่วนใหญ่จะกลายเป็นแกงจืดไข่น้ำไปเสียฉิบ ซึ่งเนื้อสัมผัสมันก็คนละเรื่องกับซุปไข่ที่เคยไปกินที่ต่างแดน 

วันนี้เสือตะหลิวก็เลยจะมาทำเมนูซุปไข่สวรรค์ หรืออาจจะเรียกแบบฝรั่งๆอินเตอร์หน่อยๆว่า 'egg droped soup' สาเหตุที่เรียกว่า 'ซุปไข่สวรรค์' ก็เพราะเทคนิคการเทไข่ลงในซุปที่ราวกับพรจากสวรรค์ที่ถูกประทานมายังดินแดนของเหล่ามนุษย์ เราไปดูวิธีทำกันเลยดีกว่าก่อนที่จะหลุดโลกกันไปมากกว่านี้ 55555


เตรียมทำน้ำซุปกันก่อนเลย แค่ผัดกระเทียมสับ หอมใหญ่สับ แครอทสับ ขึ้นฉ่ายสับ ผัดจนหอมใหญ่เริ่มสุกใส 
อัตราส่วนก็เอาเป็นอย่างละเท่าๆกันไปเลย แต่ปริมาณกระเทียมก็ลดปริมาณลงสักครึ่งหนึ่งของส่วนผสมๆอื่นๆ


เติมน้ำเปล่าลงไปรอจนน้ำเดือด แล้วใส่ซุปก้อนลงไปคนจนละลาย ต้มไปเรื่อยๆจนแครอทเริ่มเปื่อยนิ่ม 
ถ้าน้ำลดลงเร็วเกิน ก็เติมน้ำเปล่าลงไปเพิ่มได้


กรองพวกเศษผักออกให้เหลือแต่น้ำซุปเปล่าๆ


เอาน้ำซุปที่กรองมาตั้งน้ำจนเดือดอีกรอบ ทีก็ลองชิมแล้วปรุงรสดู ถ้าหากจะเอาเค็มเพิ่มก็เติมเกลือหรือซีอิ๊วขาวลงไป ถ้าจะเอาหวานหน่อยๆก็เติมน้ำตาลลงไปสักนิด จากนั้นก็ค่อยๆเติมน้ำละลายแป้งมันลงไป ค่อยๆเติมค่อยๆคนไปเรื่อยๆจนได้ระดับความข้นที่ต้องการ กะเอาว่าให้พอมีความเหนียวข้นหน่อยๆแต่ไม่ต้องถึงขนาดระดับน้ำราดหน้า


ทีนี้ก็ยกซุปลงจากเตาก่อน แล้วค่อยๆเทไข่ไก่ที่ตีไว้ลงไปในน้ำซุป ระหว่างเทก็คนซุปเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ และนี่แหละคือที่มาของชื่อ'ซุปไข่สวรรค์' เพราะไข่จะค่อยๆถุกเทลงมาที่ซุปเป็นสายๆแล้วค่อยๆกระจายตัวเป็นใยไหมบางๆ
อัตราส่วนก็ไข่หนึ่งฟอง ต่อน้ำซุปประมาณ 3-4 ถ้วยตวง


หลังจากเทไข่เสร็จ ก็เอาซุปไปตั้งไฟให้เดือดอีกรอบ วันนี้เสือตะหลิวใส่มะเขือเทศหั่นเพิ่มลงไปเพื่อให้มีรสเปรี้ยวหวานตัดอ่อนๆ ถ้าใครอยากใส่เห็ด หรือผักอะไรเพิ่ม หรือแม้กระทั่งเนื้อสัตว์ก็ใส่ลงไปตอนนี้ได้เลย 
รอจนมะเขือเทศสุกก็ยกลงได้เลย จากนั้นก็ตักใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ


เรียบร้อยแล้วครับกับเมนู 'egg droped soup' หรือ 'ซุปไข่สวรรค์' น้ำซุปรสเค็มๆมันๆมีความข้นจางๆแต่ก็มียังสามารถซดได้คล่องคอชื่นใจ เนื้อไข่ที่ลอยอยู่ในน้ำซุปลักษณะคล้ายใยไหมบางๆเป็นเนื้อวุ้นละลายในปาก มีรสเปรี้ยวหวานอ่อนๆของมะเขือเทศมาช่วยตัดรสให้ดูกลมกลืน 
เมนูนี้ทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด วัตถุดิบมีไม่มาก แต่ผลลัพธ์ออกมาดีจนน่าประหลาดใจ ว่างๆอยากลองชิมก็สามารถไปลองทำกันดูได้เลย ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไปกินที่เมืองนอกให้เปลืองตังค์ 55555


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 01 ธันวาคม 2563
Last Update : 1 ธันวาคม 2563 7:27:39 น.
Counter : 1437 Pageviews.

2 comment
กะหล่ำปลี มีดีกว่าที่เห็น "กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา"
เวลาไปโรงเบียร์หรือร้านเหล้า ถ้าหากเบื่อพวกกับแกล้มมันๆ ก็จะสั่งพวกเมนูผักๆมากินแก้เลี่ยนบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีกจะหนีไม่พ้น 'กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา' หรือ 'กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา' หรือบ้างร้านก็จะเรียกกันห้วนๆไปเลยว่า 'กะหล่ำน้ำปลา'

ด้วยรสชาติหวานอ่อนๆของผักอันเป็นธรรมชาติ ความหอมเกรียมของกระทะ และความเค็มปะแล่มอมหวานนิดๆของน้ำปลา เมนูกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาจึงเป็นหนึ่งในเมนูประจำโต๊ะของใครหลายๆคน วัตถุดิบก็น้อย วิธีปรุงก็ไม่ยุ่งยาก เมนูกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาจึงกลายเป็นที่นิยมของร้านอาหารหลายๆร้านไปโดยปริยาย

กะหล่ำปลีดูเหมือนเป็นผักที่ธรรมดาๆ แต่กลับมีสรรพคุณมากกว่าที่คิด ทั้งช่วยลดคอเลสตอรอลควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน บำรุงเซลล์ร่างกายทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งรวมถึงลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง ช่วยทำให้สมองปลอดโปร่งบรรเทาอาการปวดหัวรวมถึงล้างพวกสารพิษในร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยลดอาการเมาค้างได้อีกด้วย 

แต่ด้วยความนิยมของเมนูกะหล่ำปลีทอดน้ำปลาที่มีอยู่อย่างดาดดื่น ร้านอาหารหลายๆร้านกลับไม่ค่อยมีความปราณีตและพิถีพิถันในการปรุงเมนูนี้ กลายเป็นเมนูผัดน้ำปลาง่ายๆที่แลดูจืดชืดไร้รสชาติ วันนี้เสือตะหลิวเลยจะมาแนะนำเทคนิคการผัดน้ำปลาว่า ผัดยังไงถึงจะออกมาเหลาที่สุด หอมที่สุด อร่อยที่สุด


เตรียมของกันก่อน 
1. กะหล่ำปลีเด็ดมาเป็นใบๆใหญ่ๆไปเลย อย่าฉีกเป็นใบเล็กๆ ส่วนแกนกะหล่ำแข็งๆเราก็จะตัดทิ้งไปเลย
2. ตั้งกระทะไฟอ่อนเจียวกระเทียมกับพริกแห้งจนเหลืองกรอบ ถ้าไม่ชอบพริกก็สามารถทอดกุ้งแห้งแทนก็ได้ ส่วนน้ำมันเจียวก็เก็บไว้ก่อน


ใช้น้ำมันเจียวกระเทียมเมื่อกี้เล็กน้อย เอามาผัดกับกะหล่ำปลีด้วยไฟค่อนข้างแรง
ผัดจนใบกะหล่ำเริ่มมีความเกรียม 
วิธีผัดก็คือรีบๆผัดเร็วๆ ตลบให้ใบผักคลุกเคล้าน้ำมันให้ทั่วๆ จากนั้นก็ทิ้งให้กระทะเผาไว้เฉยๆประมาณ 15 วินาที จากนั้นก็ตลบผักแล้วทิ้งให้กระทะเผาต่ออีก 15 วินาที ผักจะมีความเกรียมหอม 
จากนั้นจึงเอาผักออกมาพักไว้ก่อน


ตั้งกระทะไฟแรงเติมน้ำมันเจียวอีกนิด ผัดน้ำปลาผสมน้ำตาลในอัตราส่วน น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 1 ช้อนชา
เทน้ำปลาลงผัดไฟแรงประมาณ 5 วินาที


รีบนำกะหล่ำปลีที่เตรียมไว้ลงไปผัดเร็วๆประมาณ 1-2 นาที ก็เป็นอันเสร็จ


จัดใส่จานตามชอบ โรยกระเทียมเจียวกับพริกแห้งหรือกุ้งแห้ง ก็พร้อมรับประทาน
ใบกะหล่ำเนื้อหวานผัดออกมาจนผิวเกรียม ผสานกับรสชาติของน้ำปลาผัดกลิ่นหอมเกรียมกำลังดี อร่อยแบบเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยเทคนิค 
วัตถุดิบน้อย ปรุงไม่ยาก มากสรรพคุณ อย่าลืมลองไปทำกันดูนะครับ


facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 25 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2563 8:54:50 น.
Counter : 2435 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

เสือตะหลิว
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ผู้ชายธรรมดาๆที่รสชาติไม่ธรรมดา
just a man with a nice taste
New Comments