All Blog
เขียวเหมือนพระอินทร์...แต่น่ากินอร่อยลิ้น "ข้าวแกงเขียวหวานไก่สไตล์โลกาภิวัฒน์"
สวัสดีครับ ทุกคนในประเทศไทยต้องรู้จักแกงเขียวหวานกันอย่างแน่นอน 
แต่รู้หรือไม่ว่า แกงเขียวหวานนั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร น่าจะมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักแกงเขียวหวาน โดยมาดูข้อสันนิษฐานของเสือตะหลิวกันก่อนเลยนะครับ

ถึงแม้ว่าแกงเขียวหวานจะเป็นเมนูอาหารที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์หลายๆอย่าง ทำให้เชื่อว่าเมนูแกงต่างๆรวมถึงแกงเขียวหวานนั้น น่าจะมีมาตั้งแต่หลังช่วงสมัยพระนารายณ์มหาราช ประมาณ พ.ศ. 2200 หรือแค่เมื่อ 400 ปีก่อน 

สาเหตุก็เพราะก่อนหน้านั้น ในอาณาจักรไทยโบราณยังไม่มีวัตถุดิบที่เรียกว่า "พริกเทศ" คำว่า "พริกเทศ" ในที่นี้จะหมายถึง พริกขี้หนูกับพริกชี้ฟ้า โดยในสมัยก่อน ถ้าหากกล่าวถึง "พริก" คนในสมัยโบราณจะหมายถึง "พริกไทย" 

ดังนั้นจึงสามารถสันนิษฐานได้ว่า เมนูแกงและอาหารทั้งหลายแหล่ที่ใส่ "พริกเทศ" จะต้องมีต้นกำเนิดมาภายหลังยุคสมัยพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2200) อย่างแน่นอน เพราะในสมัยดังกล่าว อาณาจักรอยุธยาได้ทำสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศขึ้น โดย ณ เวลานี้นั่นเองที่วัตุดิบ "พริกเทศ" ได้มีโอกาสเข้ามาทำความรู้จักกับผืนแผ่นดินไทยผ่านมือของคนผิวขาวที่เข้ามาติดต่อค้าขาย 

โดยแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบ "พริกเทศ" จริงๆนั้น จะมีต้นกำเนิดอยู่ทางแถบทวีปอเมริกาโดยเฉพาะทางแถบอเมริกาใต้ คนผิวขาวหลังจากที่ได้ไปสำรวจทวีปดังกล่าว จึงได้นำพันธุ์พืชเหล่านั้นมาทดลองปลูกและเผบแพร่ไปยังดินแดนต่างๆสืบมา

เมนูแกงเขียวหวานเองก็จึงเกิดมาในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่เมนูแกงเขียวหวานที่เสือตะหลิวจะนำมาเสนอในวันนี้ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า จะเป็นสไตล์โลกาภิวัฒน์ มีการปรับปรุงและประยุกต์สูตรให้เข้ากับยุคสมัย รับรองว่าถ้าบรรพชนคืนชีพขึ้นมาเห็นแล้วคงจะต้องตกใจตายไปอีกรอบ 55555
แต่ถึงกระนั้นเสือตะหลิวขอรับรองในความอร่อยและความแปลกใหม่ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ


เริ่มต้นง่ายๆจากการเตรียมไก่กันก่อนนะครับ 
วันนี้เราจะใช้อกไก่ทั้งชิ้นประมาณ 2 ขีดหมักง่ายๆแค่
แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
ไข่ขาว 1/2 ฟอง
ผงฟู 1/2 ช้อนชา
หาอะไรแหลมๆจิ้มให้ทั่วๆแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นประมาณ 3 ชั่วโมง


หมักเสร็จก็เอามาคลุกเกล็ดขนมปังต่อครับ ตามสูตรเลยแค่
คลุกแป้งสาลีให้ทั่วๆ ชุบไข่ไก่ให้ชุ่มๆ สุดท้ายก็เอามาคลุกเกล็ดขนมปัง
หลังจากนั้นก็เอาไปแช่ช่องแข็งประมาณ 1/2 ชั่วโมง แล้วจึงนำออกมาทอด 


ทอดไฟปานกลางน้ำมันท่วมๆ ให้ผิวเหลืองกรอบทั่วๆ ทอดเสร็จก็เอาไก่มาพักสะเด็ดน้ำมันรอได้เลยครับ 


ต่อมาเราจะมาเตรียมพระเอกของงานกันต่อเลยนะครับ ซอสแกงเขียวหวานเริ่มต้นง่ายๆแค่ ผัดพริกแกงเขียวหวานประมาณ 3 ช้อนโต๊ะให้หอม ถ้าใครชอบรสจัดๆก็เติมกระเทียมสับกับพริกขี้หนูเขียวสับลงไปตามชอบได้เลย 


หลังจากผัดเครื่องแกงจนหอมแล้ว เราจะใส่แป้งสาลีลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผัดให้เข้ากันจนส่วนผสมจับตัวเป็นก้อนๆ เพื่อทำให้เครื่องแกงเขียวหวานของเรากลายเป็นหัวเชื้อของซอส(ROUX)นะครับ
จากนั้นก็เอาหัวเชื้อออกมาพักไว้ก่อนนะครับ 


ใส่กะทิลงไปประมาณ 1 ถ้วยตวง แล้วเคี่ยวจนกะทิแตกมันนะครับ 


จากนั้นก็ใส่หัวเชื้อซอสแกงเขียวหวานที่เตรียมไว้ลงไปเคี่ยวให้เข้ากันไปเลยครับ ใช้ไฟอ่อนๆเคี่ยวประมาณ 10-15 นาทีจนข้น ถ้าระหว่างนี้ซอสกะทิงวดเร็วไปก็เติมน้ำเปล่าลงไปสักหน่อยก็ได้ครับ 


จากนั้นเรามาปรุงรสกับเติมเครื่องสมุนไพรกันเลยครับ 
ปรุงรสง่ายๆแค่ น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ ใครชอบเค็มชอบหวานแบบไหนก็ปรุงเพิ่มได้ตามสบายเลยนะครับ
ส่วนเครื่องสมุนไพรที่เราจะใส่ ก็จะมี 
ใบโหระพากำเล็กๆ 1 กำ
ใบมะกรูดฉีก 1/2 กำ
มะขือพวงทุบแค่พอแตกประมาณ 5-10 เม็ด
จากนั้นก็เคี่ยวให้เข้ากันประมาณ 3-5 นาทีก็เป็นอันเสร็จครับ 


ขาดไม่ได้กับข้าวสวยหุงใหม่ๆร้อนๆเนื้อนุ่มๆหนึบๆ 


ไก่พร้อม ซอสพร้อม ข้าวพร้อม ประกอบร่างตามชอบได้เลย วันนี้เสือตะหลิวใช้ช่อโหระพากับพริกชี้ฟ้าแดงซอยมาประดับจานเพิ่มบารมีอีกสักหน่อย จะได้ดูแพง55555
เรียบร้อยพร้อมรับประทานกับเมนูข้าวแกงเขียวหวานไก่สไตล์โลกาภิวัฒน์ 


ดูกันใกล้ๆให้ชัดๆ เห็นชั้นอกไก่ไหมครับ เนื้ออกไก่นุ่มๆชุ่มๆ คลุกเกล็ดขนมปังทอดกรอบๆ เห็นแล้วเสียวฟันอยากจะขบลงไปให้ชุ่มเหงือก 


พระเอกของงานคือซอสแกงเขียวหวานเนื้อสัมผัสแบบครีมซอส(ฺBECHAMEL) เนื้อเนียนเข้มข้นรสกลมกล่อมแต่แฝงไปด้วยความจัดจ้านของเครื่องแกง ถ้าหากยิ่งได้ผสานร่างเข้ากับข้าวสวยร้อนๆนุ่มๆก็ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์55555
"เพราะคนต้องกินอาหาร อาหารจึงคือคน คนเราย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย อาหารก็เช่นเดียวกัน" 


โดย facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 08 ตุลาคม 2562
Last Update : 8 ตุลาคม 2562 10:27:05 น.
Counter : 1278 Pageviews.

1 comment
你好 หนี่ห่าวอเมริกา ... อาหารจีนสัญชาติอเมริกัน "ไก่แม่ทัพโซ (General Tso Chicken)"
สวัสดีครับ ถ้าใครที่เคยเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศฝรั่งอเมริกาและยุโรป เมนู ไก่แม่ทัพโซ (General Tso Chicken) จะต้องเป็นหนึ่งในเมนูเด็ดของเหล่าบรรดาร้านอาหารจีนทั้งหลาย

ด้วยเนื้อไก่ที่กรอบนอกนุ่มใน ชุ่มฉ่ำไปด้วยซอสรสเปรี้ยวๆหวานๆ ถ้าได้ทานคู่กันกับข้าวสวย รับรองว่าต้องติดใจไปตามๆกัน
แต่รู้หรือไม่ครับว่า เมนู "ไก่แม่ทัพโซ" นั้น ถ้าไปที่เมืองจีนกลับไม่มีชาวจีนคนไหนรู้จักเลย ทั้งๆที่เป็นเมนูที่สามารถหาทานได้ทั่วไปตามร้านอาหารจีนในประเทศทางฝั่งตะวันตกแท้ๆ แต่ทำไมชาวจีนดั้งเดิมถึงได้ไม่ยักกะรู้จักเมนูนี้ เสือตะหลิวมีคำตอบในเรื่องนี้ครับ

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าแม่ทัพโซ นั้นคือใคร 
แม่ทัพโซเป็นแม่ทัพที่มีชีวิตอยู่จริงในสมัยราชวงศ์ชิงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ท่านเป็นชาวหูหนานแต่กำเนิด และได้ปกครองดูแลเมืองของชาวหูหนานเป็นอย่างดีมาเป็นเวลาช้านาน แต่ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ได้เป็นคนคิดค้นเมนูนี้ขึ้นมาแต่อย่างใด แต่การนำชื่อของแม่ทัพโซมาใช้นั้น เป็นการสื่อว่าเมนูไก่แม่ทัพโซนั้น เป็นเมนูที่มีรากเหง้าต้นกำเนิดมาจากมณฑลหูหนาน โดยแต่ก่อนนั้นในมณฑลหูหนาน จะมีเมนูไก่ผัดพริกแห้งที่ใส่น้ำมันหอยและน้ำส้มสายชู 

ต่อมาหลังจากที่ประเทศจีนเกิดการปฏิวัติประเทศครั้งใหญ่ มีชาวจีนจำนวนมากที่อพยพหนีออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึงชาวหูหนานด้วย ส่วนหนึ่งก็ไปอยู่ที่อเมริกา แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ไปตัวเปล่า แต่กลับนำเอาเมนูอาหารของบ้านเกิดติดสมองตามไปด้วย

หลังจากที่ตั้งถิ่นฐานใหม่เรียบร้อย การปรับตัวและประยุกต์ใช้ส่วนผสมต่างๆเพื่อนำมาทำเมนูอาหารของบ้านเกิดจึงเกิดขึ้น เมนูไก่ผัดสไตล์หูหนาน ก็เริ่มมีการประยุกต์สูตรต่างๆมากมายจนท้ายที่สุด จึงได้กลายมาเป็นเมนูไก่แม่ทัพโซในปัจจุบัน

แต่ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเมนูไก่แม่ทัพโซที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลหูหนาน แต่ไก่ผัดสไตล์หูหนานกับไก่จอมพลโซในปัจจุบันนั้นก็กลับต่างกันทั้งรูปร่างหน้าตาและรสชาติ จนมองแทบจะไม่ออกว่าเคยมีรากเหง้าเดียวกันมาก่อน ทุกวันนี้หลายๆร้านอาหารจีนชื่อดังในประเทศอเมริกาต่างก็พยายามเคลมว่าร้านตัวเองเป็นสูตรต้นตำหรับของเมนูไก่แม่ทัพโซในอเมริกา แต่สุดท้ายก็ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้และความจริงก็ยังคงถูกปิดเป็นความลับต่อไป 
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูไก่แม่ทัพโซสไตล์ของเสือตะหลิวกันเลยครับ


เริ่มต้นง่ายๆจากการหมักไก่ก่อนนะครับ
วันนี้เสือตะหลิวใช้อกไก่ประมาณ 2 ขีด 
เอามาหั่นเป็นชิ้นๆพอดีคำ จากนั้นหมักง่ายๆด้วย
ไข่ขาว 1/2 ฟอง
แป้งมันหรือแป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
ผงฟู 1/2 ช้อนชา (ถ้ามี)
คลุกให้เข้ากันแช่ตู้เย็นทั้งไว้สัก 3 ชั่วโมงก็พร้อมปรุงแล้วครับ 

 
หลังจากหมักเสร็จ ก็เอาไก่มาคลุกกับแป้งมันหรือแป้งข้าวโพดให้ทั่วๆเลยนะครับ เดี๋ยวเราจะเอาไก่ไปทอด 
 
 
น้ำมันท่วมๆกระทะไฟปานกลาง พอร้อนก็เอาไก่ที่คลุกแป้งมันไว้เมื่อกี้ลงทอดจนสุกเหลืองนะครับ 
ไม่ต้องทอดให้เหลืองกรอบมากนะครับ เอาแค่ให้ผิวเหลืองๆก็พอ 
 

ทอดเสร็จก็เอามาพักสะเด็ดน้ำมันไว้ก่อน 
 

ทีนี้เราจะเตรียมซอสกันต่อเลยนะครับ
ผสมซอสกันก่อน ง่ายๆเลยแค่
ซอสมะเขือเทศหรือน้ำส้มสายชูหมัก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลหรือน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
เหล้า 1 ช้อนโต๊ะ
คนให้เข้ากันรอไว้เลยครับ


ตั้งกระทะไฟปานกลาง ผัดกระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ 
ผัดให้เข้ากันจนส่งกลิ่นหอมไปเลยครับ
ส่วนถ้าใครชอบรสจัดจ้าน ก็สามารถใส่เม็ดพริกแห้งลงไปผัดตามชอบได้เลยครับ
(พอดีเมื่อเย็นวานไปซื้อขิงกับพริกแห้งแล้วของดันหมด ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ55555)


จากนั้นเทซอสที่เตรียมไว้ลงไปเลยครับ ผัดให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน จากนั้นก็เติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อยแค่พอให้ท่วมๆก้นกระทะ แล้วชิมรสดู ถ้าอยากให้เปรี้ยวหรือหวานเพิ่มก็ปรุงรสเพิ่มลงไปได้เลย 
หลังจากปรุงรสได้ที่ก็เทน้ำละลายแป้งมันหรือแป้งข้าวโพดลงไปสักประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ แล้วคนจนน้ำเริ่มงวดข้น 


หลังจากนั้น ไม่รอช้า...เทไก่ที่ทอดเตรียมไว้ลงไปรีบๆผัดคลุกเคล้าให้เข้าไปเลยครับ 
 

ปิดท้ายด้วยต้นหอมซอยลงไปสักกำเล็กๆ ผัดตลบอีกสักสองสามทีก็ตักใส่จานเตรียมใส่ปากได้เลยครับ
(แต่เสือตะหลิวแอบเสียดายนิดๆ เพราะถ้าจะเอาให้สุดต้องโรยงาขาวคั่วลงไปหลังจัดใส่จานด้วย แต่ร้านแถวบ้านดันไม่มีงาขายซะงั้น 55555) 


ขาดไม่ได้จริงๆกับข้าวสวยร้อนๆหุงสุกใหม่ๆ มันเป็นอะไรที่แยกจากกันไม่ได้ 
 

ไก่พร้อม...ข้าวพร้อม เอามาประกอบร่างรวมกันได้เลย เรียบร้อยแล้วครับกับเมนูไก่แม่ทัพโซ 
แค่มองเฉยๆก็รู้แล้วว่าทั้งกรอบนอกนุ่มใน ฉ่ำซอสรสเข้มข้น เหมาะมากๆกับข้าวสวยร้อนๆนุ่มๆหนึบๆ 


ดูกันใกล้ๆให้ชัดๆ สวยฉ่ำกว่านี้มีอีกไหม อยากจะเอาฟันขบลงไปแบบเน้นๆ แล้วค่อยๆเอาลิ้นเล้าโลมให้ทั่วทุกอณูของช่องปาก 
 
 
ไก่ทอดกรอบนอกนุ่มใน เคลือบด้วยซอสเปรี้ยวหวานรสฉ่ำ ผสานกับข้าวสวยหุงนุ่มๆ 
ไม่แปลกใจที่เมนูนี้จะกลายเป็นเมนูอาหารจีนยอดฮิตติดตลาดของประเทศฝั่งตะวันตก ทั้งๆที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่กลับไม่รู้จัก
ถึงแม้ว่าเมนูนี้จะมีเปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่และกาลเวลาจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิม แต่ด้วยการประยุกต์และผสานวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศมหาอำนาจเข้าด้วยกัน จึงบังเกิดเป็นเมนูอาหารจีนเมนูใหม่ที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมของชาวโลกฝั่งตะวันตก จนกลายเป็นวัตนธรรมอาหารเมนูใหม่สืบต่อกันมา
"หนี่ห่าวอเมริกา...ถึงฉันจะเป็นจีนแต่ฉันก็เกิดในอเมริกา" 


โดย facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 02 ตุลาคม 2562
Last Update : 2 ตุลาคม 2562 9:03:12 น.
Counter : 2495 Pageviews.

2 comment
จากสยามสู่ไทย ... ปฏิวัติหัวใจสู่ไทยยุคใหม่ "ผัดกะเพราเนื้อ สูตรจอมพล ป. พิบูลสงคราม"
เสือตะหลิวเชื่อว่าคนไทยทั้ง 70 ล้านคน ล้วนต้องรู้จักและเคยลิ้มลองเมนู "ผัดกะเพรา" กันอย่างแน่นอน และคนไทยส่วนใหญ่ส่วนใหญ่มักคิดเสมอว่า เมนู "ผัดกะเพรา" นั้น เป็นเมนูที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ย้อนหลังไปได้หลายร้อยหลายพันปี 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว รู้หรือไม่ว่า เมนู "ผัดกะเพรา" นั้น เป็นเมนูที่พึ่งจะถูกคิดค้นมาในช่วงประมาณ พ.ศ. 2490 สมัยของจอมพลรัฐบุรุษชื่อดังผู้หนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ล้วนรู้จักกันดี ซึ่งผู้นั้นก็คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม 

ช่วงสมัยนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ออกนโยบายในเรื่องของการปฏิวัติวัฒนธรรม ท่านได้ทำการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการแต่งกายการใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งอาหารการกิน

และในสมัยนั้นเอง ได้มีการจัดงานประกวดอาหารและขนมประจำชาติขึ้น แน่นอนว่าอันดับหนึ่งก็คือ "ผัดไทย" แต่เมนู "ผัดกะเพรา" เองก็ตามมาติดๆ ต่อมาหลังจากจบงานประกวด เหล่าบรรดาอาหารและขนมที่ได้รางวัล ก็มีการปรับปรุงสูตรโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อให้เข้ากับความเป็นไทยมากขึ้น

แต่ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่า "ผัดกะเพรา" แต่เมนู "ผัดกะเพรา" สูตรของ จอมพล ป. พิบูลสงครามในยุคเริ่มแรกนั้น กลับมีความแตกต่างไปจาก "ผัดกะเพรา" ในยุคปัจจุบัน แตกต่างอย่างไร ใครสงสัย เสือตะหลิวมีคำตอบ เรามาดูกันเลยดีกว่าครับ


ก่อนอื่นเรามาทอดใบกะเพรากันก่อนนะครับ 
เอาใบกะเพรามาทอดในน้ำมันท่วมๆไฟปานกลาง 
พอใบกะเพราหายฟู่น้ำมัน ก็ตักออกมาพักสะเด็ดน้ำมันเอาไว้ก่อน

อันนี้ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้นะครับ แต่เสือตะหลิวแค่อยากทำใบกะเพรากรอบกับน้ำมันกะเพราก่อนเท่านั้น 

 
น้ำมันอันเดิมเลยครับ ไหนๆจะทำผัดกะเพรา เอาไข่ดาวมาเสริมบารมีสักฟอง ตอกไข่ใส่กระทะน้ำมันท่วมๆลงทอด ใครชอบสุกระดับไหนก็ตามใจเลยครับ 
 

น้ำมันอันเดิมเลยครับ กะให้เหลือประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ
ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่กระเทียมสับ 3-4 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูแดงสับ 3-4 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูเขียวสับ 3-4 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกเผา 3-4 ช้อนชา
ผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเลยนะครับ

ผัดกะเพราสูตรแรกเริ่มของจอมพล ป. พิบูลสงครามจะมีการแอบใส่น้ำพริกเผาลงไปเล็กน้อยเพื่อสร้างรสชาติแฝง แต่ถ้าหากไม่มีน้ำพริกเผาก็ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดแทนก็ได้ครับ

 
 
ใส่เนื้อวัวบดลงไปต่อได้เลยครับ 
เสือตะหลิวใช้เนื้อวัวบดประมาณครึ่งกิโล หรือ 5 ขีด
ผัดให้เข้ากันจนเนื้อเกือบสุกนะครับ 

 
ทีนี้ถึงคราวปรุงรสแล้ว 
ผัดกะเพราสูตรของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะปรุงรสเค็มด้วย เต้าเจี้ยว และ ปรุงรสหวานด้วย น้ำตาลปี๊บ
เต้าเจี้ยวประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ 
น้ำตาลปี๊บประมาณ 3-4 ช้อนชา 
อาจจะใส่มากใส่น้อยกว่านี้ก็ได้นะครับ 
ลองค่อยๆใส่ค่อยๆชิมไปจนได้รสที่ต้องการ

มันอาจจะดูแปลกๆสำหรับยุคปัจจุบันที่นิยมใส่น้ำปลาและไม่นิยมเติมน้ำตาล แต่สำหรับ "ผัดกะเพรา" ในยุคแรกของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้น ผัดกะเพราจะใส่เต้าเจี้ยวกับน้ำตาลปี๊บ แต่สาเหตุก็เพราะ ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม อิงสูตร "ผัดกะเพรา" ของท่านจากเมนู "เนื้อผัดเต้าซี่" หรือ "เนื้อผัดเต้าเจี้ยว" แต่เนื่องด้วยในสมัยนั้น เต้าเจี้ยวหรือเต้าซี่ เป็นเครื่องปรุงที่หายากในครัวเรือนไทย ชาวไทยส่วนใหญ่จึงมักใช้น้ำปลาในการปรุงรสแทน
นอกจากนี้ตัวของจอมพล ป. พิบูลสงครามเองก็เป็นคนชอบรสหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรสหวานจากน้ำตาลมะพร้าว ท่านจึงใส่น้ำตาลปี๊บลงไปใน "ผัดกะเพรา" สูตรของท่านด้วย ผัดกะเพราสูตรของท่านจึงมีรสหวาน


หลังจากปรุงรสเสร็จก็ผัดไปเรื่อยๆจนเนื้อเข้ากันดี
ต้องผัดจนกว่าเนื้อจะเริ่มแห้งนะครับ 
เอาให้น้ำของเนื้อไม่ไหลออกมา 
คล้ายๆกับการคั่ว
โดยหลังจากที่คั่วเสร็จก็โรยใบกะเพราลงไปประมาณ 3 กำ (มือใครเล็กมือใครใหญ่ก็กะๆกันเอาเองนะครับ 55555) 
จากนั้นจึงปิดไฟแล้วคลุกให้เข้ากันเร็วๆไปเลยครับ 


เรียบร้อยแล้วครับกับ "ผัดกะเพราเนื้อ สูตรจอมพล ป. พิบูลสงคราม"
ตักกะเพราใส่จาน กะเพรากรอบโรยหน้าอีกสักหน่อย อร่อยเหาะ
รสชาติ ผัดกะเพรา สูตร จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะมีรสเค็มๆมันๆมากกว่าผัดกะเพราแบบปกติ เพราะใช้เต้าเจี้ยวในการปรุงรส 
อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมและรสชาติจากน้ำพริกเผาแอบแฝงอยู่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับประทาน 
รวมถึงยังมีความหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำตาลปี๊บที่ช่วยสร้างสรรค์รสชาติอันหลากหลายให้กับเมนูอาหารบ้านๆจานนี้ให้พิเศษยิ่งๆขึ้นไปอีก
 

ผัดกะเพรา ไม่ว่าจะยังไงก็จะขาดข้าวสวยร้อนๆไปไม่ได้โดยเด็ดขาด 
หุงเสร็จใหม่ๆตักใส่รอจานได้เลย
ข้าวสวยหุงสุกใหม่ๆร้อนๆเนื้อนุ่มๆหนึบๆ 


ตักข้าวใส่จาน อย่าพึ่งลืมไข่ดาวที่ทอดเตรียมไว้
เอาไข่ดาวไปวางโป๊ะบนข้าว
ไข่แดงลาวาเยิ้มๆกับไข่ขาววุ้นๆลื่นๆ 
การผสมผสานที่เรียบง่ายอย่างลงตัว 


กะเพราพร้อม ไข่พร้อม ข้าวพร้อม แล้วจะมัวรอะไรอยู่อีก เชิญรับประทานได้เลย
เมนู "ผัดกะเพรา สูตรจอมพล ป. พิบูลสงคราม" คือเมนูผัดกะเพราในยุคแรกเริ่มปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงจากสยามไปเป็นไทย นำมาซึ่งการพัฒนาประเทศจนนำมาสู่ความเจริญของประเทศไทยยุคใหม่ 
"เพราะอาหารคือเรื่องของปากท้อง และปากท้องคือเรื่องของประเทศชาติ ... เหล่าผู้นำทั้งหลายจึงควรคิดถึงเรื่องปากท้องของคนในชาติเป็นสำคัญ เพราะถ้าหากปากท้องของคนในชาติมีปัญหา ความเจริญของประเทศชาติย่อมไม่ปรากฎ" 


โดย facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 24 กันยายน 2562
Last Update : 24 กันยายน 2562 10:31:29 น.
Counter : 2031 Pageviews.

2 comment
ครั้นประพาสอยู่แดนไกล...และทรงคิดถึงบ้าน "ข้าวคลุกกะปิทรงเครื่อง"
สวัสดีครับ เสือตะหลิวเชื่อว่าคนไทยเกือบทุกคนย่อมต้องเคยกินข้าวคลุกกะปิ

ข้าวคลุกกะปิเป็นหนึ่งในอาหารไทยที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยรสชาติหอมอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ ไหนจะเครื่องเคียงทั้งหลายแหล่ที่ใส่มากันจนล้นจาน เมนูข้าวคลุกกะปิจึงเป็นเมนูอาหารไทยที่ใครหลายคนยากที่จะปฏิเสธเพราะอุดมไปด้วยรสชาติ เปรี้ยว เค็ม หวาน จัดมาเต็มๆ

แต่ก่อนอื่น เรามาคุยถึงที่มาของเมนูข้าวคลุกกะปิกันก่อนนะครับ

รู้หรือไม่ว่า เมนูข้าวคลุกกะปินั้น เดิมทีเป็นเมนูชาววังมาก่อน มีอยู่ตำนานหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในสมัยก่อนตอนสมัยที่ รัชกาลที่ 5 ทรงประพาสอยู่ที่ประเทศอิตาลี เนื่องจากในสมัยนั้นการเดินเรือจำเป็นต้องใช้เวลานานในการเดินทาง หลังจากผ่านไปนานนับหลายเดือน ทำให้ทรงเกิดอาการเบื่ออาหารฝรั่งที่ทำขึ้นบนเรือ และไม่อยากอาหาร สิ่งที่ตามมาก็คือ จากการที่เสวยได้น้อย ร่างกายจึงเริ่มอ่อนแอ กลายเป็นที่เป็นห่วงของคณะผู้ติดตาม

จนมีอยู่คืนหนึ่ง รัชกาลที่ 5 ได้ทรงฝันถึงเสด็จย่า ฝันว่าสเด็จย่าได้ทำเมนูอาหารเมนูหนึ่งให้เสวย เป็นการเอาข้าวสวยร้อนๆกับกะปิร้อนๆมาคลุกรวมกัน
หลังจากที่ทรงตื่น จึงได้ทรงรับสั่งให้ผู้ติดตามหุงข้าวสวยร้อนๆ เอากะปิมาห่อใบตองแล้วนำไปเผาไฟให้หอม จากนั้นจึงนำมาคลุกรวมกัน กินแกล้มกับผักและเนื้อสัตว์อะไรก็ตามแต่ที่พอจะหาได้บนเรือ

ผลปรากฎออกมาว่าการนำข้าวมาคลุกกับกะปิแล้วกินกับเครื่องเคียงนั้นอร่อยอย่างมาก ถึงกับทรงกล่าวขึ้นมาอย่างติดตลกว่า "ข้าว่ามันก็อร่อยดีนะ ... เป็นถึงกษัตริย์แต่ต้องมานั่งกินกะปิคลุกข้าวสวยเหมือนยาจก 55555"

ภายหลังจากนั้น เมื่อทรงกลับมาถึงสยามประเทศ จึงได้ทรงบรรจุเมนูข้าวคลุกกะปิ เป็นหนึ่งในเมนูอาหารชาววังที่ทรงโปรด และกลายเป็นที่แพร่หลายจวบจนถึงปัจจุบัน

ตำนานที่กล่าวมาข้างต้น ก็เป็นหนึ่งในความเชื่อเรื่องที่มาของเมนูข้าวคลุกกะปิ โปรดใช้วิจารณญานให้การรับชม และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาดูวิธีทำข้าวคลุกกะปิทรงเครื่องกันเลยครับ

แรกสุด ข้าวคลุกกะปิต้องมีหมูหวานเป็นเครื่องเคียง แต่วิธีทำหมูหวานของเสือตะหลิวนั้นอาจจะดูแหกคอกไปสักหน่อย แต่รับรองว่าออกมาว้าวและอร่อยอย่างแน่นอน

วันนี้เสือตะหลิวใช้สามชั้นประมาณ 4 ขีดนะครับ
ก่อนอื่นก็เอาหมูสามชั้นทั้งเส้นลงไปต้มไล่เลือดสัก 2-3 นาที

จากนั้นก็เอาหมูสามชั้นมาย่างหรือจี้กับกระทะจนผิวแห้งเหลืองทุกด้านแบบในรูปเลยนะครับ ส่วนหนึ่งก็เป็นการเรียกน้ำมันหมูออกมาจากสามชั้นด้วย

ใส่หอมแดงสับละเอียดลงไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ปรุงรสด้วย
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 4-6 ช้อนโต๊ะ
จากนั้นจึงผัดให้เข้ากันไปเลยนะครับ

เติมน้ำเปล่าให้พอท่วมชิ้นหมู จากนั้นรอจนน้ำเดือดไปประมาณสัก 5 นาที แล้วค่อยลดไฟเป็นไฟเดือดอ่อนๆ แล้วปล่อยให้เคี่ยวไปเรื่อยประมาณ 1-2 ชั่วโมง

ผ่านไป 2 ชั่วโมงนี่คือสิ่งที่ได้ น้ำงวดซึมเข้าเนื้อหมู
หนังและเนื้อเปื่อยนุ่มแต่ตึงสวยกำลังดี

ถ้าน้ำยังไม่ค่อยงวดก็เร่งไฟเป็นน้ำเดือดๆได้นะครับ เพื่อไล่ให้น้ำงวด

เอาชิ้นหมูมาแล่เป็นแผ่นๆเล็กๆบางๆ รอกินเคียงกับข้าวได้เลย เห็นแล้วต้องขอแอบกินก่อนสัก 2-3 ชิ้น 55555

ขาดไม่ได้กับอีกหนึ่งเครื่องเคียง ก็คือ กุ้งแห้งทอดหอมๆกรอบๆ
ก่อนอื่นก็ต้มกุ้งแห้งไล่กลิ่นสาบกันสักหน่อย ต้มน้ำเดือดๆประมาณ 5 นาที จนตัวกุ้งเริ่มนิ่มและไม่ค่อยมีกลิ่น ก็เอามาสะเด็ดน้ำพักไว้ก่อน

จากนั้นไม่รอช้า นำกุ้งแห้งที่เตรียมไว้ไปทอดไฟกลางให้เหลืองกรอบ

เคล็ดลับวิธีทอดกุ้งแห้งให้กรอบ ก็แค่ต้องใจเย็นใช้ไฟกลางทอดไปเรื่อยจนฟองน้ำมันเริ่มเงียบ จากนั้นเร่งเป็นไฟเร่งจัดๆ แล้วทอดต่ออีกประมาณ 1 นาที รับรองว่ากรอบยันชาติหน้า 55555

เครื่องเคียงต่อมา ง่ายๆไม่ยากกับไข่ฝอย แค่ตีไข่ให้เข้ากันแล้วเกลี่ยให้ทั่วด้วยไฟอ่อนในกระทะ ค่อยๆดูให้สุกทีละด้านแล้วค่อยๆพลิกด้าน รับรองไม่ยากเกินความสามารถ

เสร็จแล้วก็นำมาพับแล้วตัดลงไปเป็นเส้นๆเล็กๆ ไข่ฝอยก็พร้อมใช้งาน

ทีนี้เรามาดูที่พระเอกของงานกับบ้าง ข้าวสวยที่เราจะใช้ในวันนี้เป็นข้าวสวยหุงแล้วทิ้งไว้ค้างคืน เม็ดข้าวจะแห้งเป็นเม็ดกำลังดี เหมาะมากๆที่จะนำมาผัด
วันนี้เสือตะหลิวจะใช้ข้าวประมาณ 4 ขีด

ตั้งกระทะเลย น้ำมันประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผัดกับหอมแดงสับ 2 ช้อนโต๊ะ และกะปิประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ค่อยๆใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อนผัดให้เครื่องกะปิละลายเข้ากันกับน้ำมันนะครับ

ไม่รอช้า ใส่ข้าวลงไปผัดแล้วรีบๆคลุกให้เข้ากันจนทั่วๆไปเลยครับ
พอเห็นว่าเข้ากันดีแล้ว ก็ตักใส่จานเตรียมพร้อมรับประทานได้เลย

เอาเครื่องทั้งหมดที่เตรียมไว้ เอามาจัดลงจานอย่างสวยงาม เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อยกับเมนู "ข้าวคลุกกะปิทรงเครื่อง" แค่ดูจากรูปก็รู้แล้วว่า ทรงเครื่องสมชื่อจริงๆ

*****เสือตะหลิวพึ่งมานึกได้หลังจากที่โพสต์เสร็จแล้ว ..... เสือตะหลิวดันลืมใส่หอมแดงซอยด้วยนี่หว่า 55555 ทรงเครื่องเกินจนลืม ใส่เครื่องมาไม่หมดซะงั้น*****

แต่รับรองว่ายังอร่อยอยู่แน่นอน เพราะเสือตะหลิวใส่หอมแดงสับลงไปทั้งในข้าวคลุกกะปิและในหมูหวาน รับรองว่ารสชาติของหอมแดงมาเต็มๆแน่นอน

นี่แหละคืออีกหนึ่งสูตรสำเร็จของความอร่อยแบบไทยๆ ความอร่อยแบบชาววังที่ถือกำเนิดมาจากต่างแดนอันเนื่องมาจากความรู้สึกคิดถึงบ้านของรัชกาลที่ 5 จนก่อกำเนิดเป็นอีกหนึ่งในเอกลักษณ์ของเมนูอาหารไทยที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

เมืองจีนอาจจะมีข้าวผัด เมืองฝรั่งอาจจะมีข้าวซุป เมืองแขกอาจจะมีข้าวหมก แต่เราชาวไทยก็ขอพูดได้อย่างภูมิใจว่า เมืองไทยเราก็มี "ข้าวคลุกกะปิทรงเครื่อง" เหมือนกัน


โดย facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "



Create Date : 17 กันยายน 2562
Last Update : 17 กันยายน 2562 10:05:17 น.
Counter : 1763 Pageviews.

1 comment
"Our Floating Dreams" ความฝันอันลอยละล่องของสองเรา "ข้าวผัดสับปะรด"
สวัสดีครับ เสือตะหลิวของถามก่อนว่าได้ดู ซีรีย์การ์ตูนของ Walt Disney ตอน Our Floating Dreams กันหรือยังครับ ถ้ายังไม่ได้ดูเสือตะหลิวก็ขอแนะนำว่าห้ามพลาดนะครับ แค่การ์ตูนตอนสั้นๆไม่ถึง 5 นาที ดูได้เพลินๆ ว่าด้วยเรื่องของตลาดน้ำของประเทศไทยและต้นกำเนิดของ "ข้าวผัดสับปะรด" ตามแบบฉบับของ Walt Disney 55555

เนื่องจากหลังจากที่เสือตะหลิวได้ดูการ์ตูนเรื่องดังกล่าว ก็เกิดแรงบันดาลใจให้ทำอาหารจากการ์ตูนเรื่องดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งคือเมนู "ข้าวผัดสับปะรด" เป็นเมนูที่ดูเหมือนอลังการแถมเต็มไปด้วยรสชาติแต่สามารถทำได้ง่ายๆ เรียกได้ว่า อร่อยล้นปากแค่เพียงปลายนิ้ว 55555

แต่ก่อนอื่นเสือตะหลิวขอเกริ่นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมนู "ข้าวผัดสับปะรด" กันก่อนนะครับ

ถึงแม้ว่าเมนู "ข้าวผัดสับปะรด" จะเป็นเมนูยุคใหม่ มีต้นกำเนิดมาในประเทศไทยได้ไม่ถึงร้อยปี แต่วัฒนธรรมการกินข้าวสวยกับสับปะรดหรือผลไม้อื่นๆอย่างเช่นมะม่วงหรือแตงโม กลับเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลของสังคมไทย คนไทยสมัยก่อนมักจะกินข้าวกับผลไม้ในช่วงหน้าร้อน เพราะข้าวคืออาหารหลักของคนในสังคม การกินข้าวกับผลไม้จึงช่วยให้อิ่มท้องและช่วยคลายร้อนไปกับสภาพอากาศอันร้อนชื้นของประเทศไทยได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งวัฒนธรรมการกินแบบดังกล่าวก็สืบเนื่องมาถึงปัจจุบันและสามารถเห็นได้โดยเฉพาะตามเขตชนบทของประเทศไทย

สำหรับเมนู "ข้าวผัดสับปะรด" สันนิษฐานว่ามาจากการที่ชาวจีนในประเทศไทย ได้เห็นวัฒนธรรมการกินผลไม้กับข้าวของชาวไทย จึงได้เกิดการผสานวัฒนธรรมและประยุกต์สูตรจนกลายเป็นเมนู "ข้าวผัดสับปะรด" และต่อมาเมื่อชาวตะวันตกที่ได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายและท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้เกิดเห็นเมนูนี้เข้า จึงเกิดความสนใจแล้วลองชิม จนติดใจในรสชาติและความเป็นเอกลักษณ์ในเมนูจานนี้ จนในที่สุด อาหารจานนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตของประเทศไทยที่ชาวต่างชาติมักจะเข้ามาลิ้มลองจวบจนถึงปัจจุบัน

มาดูกันที่ข้าวกันก่อนะครับ วันนี้เสือตะหลิวจะใช้ข้าวสวยค้างคืน แค่หุงเหมือนข้าวสวยทั่วๆไปเลยครับ แต่พอหุงเสร็จก็แค่ใส่ตู้เย็นทิ้งไว้ วันรุ่งขึ้นก็เอามาเตรียมผัดได้เลย

สาเหตุที่เสือตะหลิวใช้ข้าวสวยค้างคืนก็เพราะ ข้าวจะมีความแห้งและเป็นเม็ดๆไม่แฉะ เวลาผัดจะออกมาสวยไม่เละและเม็ดข้าวก็จะมีความมันเด้งเป็นเอกลักษณ์

ข้าวสวยที่เสือตะหลิวจะใช้ผัดก็ประมาณ 400 กรัมนะครับ

เตรียมภาชนะกันต่อ ง่ายๆเลย ซื้อสับปะรดมาหนึ่งลูก เลือกลูกที่สุกๆ เนื้อจะได้หวานๆเปรี้ยวๆเต็มที่ จากนั้นก็เอามาล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่งออกมาให้สวยๆแล้วควักไส้เลยครับ

เพลงยังคงตามมาหลอกหลอน
###ชิพกับเดลมีสองพี่น้องขายของในคลอง
วันนี้มีแต่ถั่วดีๆ เพิ่งเด็ดสดๆ น่ากินไปหมด###

ใช้ถั่วหิมพานนะครับหรือถ้าไม่มีก็ถั่วลิสงธรรมดาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อถั่วถุงใหญ่มานะครับ เอาแค่ถั่วอบเกลือตามร้านสะดวกซื้อถุงเล็กๆประมาณ 50 กรัม ก็พอแล้ว

ก่อนอื่นก็เอาถั่วไปล้างน้ำเอาเกลือออกสักหน่อยจากนั้นก็สะเด็ดน้ำให้แห้งแล้วเอามาคั่วกับน้ำมันถั่วเหลืองประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ คั่วให้เหลืองหอมนะครับ จากนั้นก็ตักถั่วออกมาพักไว้ก่อน

กระทะใบเดิมเลย ใส่ไข่ขาว เน้นว่าเฉพาะไข่ขาว ลงไปประมาณ 2 ฟอง รีบๆคนให้จับตัวกันเป็นวุ้นๆนะครับ ไม่ต้องสุกมาก จากนั้นก็ตักออกมาพักไว้กับถั่วนั่นแหละ

แต่เดี๋ยวก่อน ไข่แดงอย่าเพิ่งทิ้งนะครับ เราจะเอามาใช้ผัดข้าวทีหลัง

วันนี้เราจะใช้เนื้อกุ้งเด้งๆกัน ง่ายๆเลยครับเสือตะหลิวใช้กุ้งแช่แข็งแบบแพ็คประมาณ 1 ขีด

ทิ้งไว้ให้น้ำแข็งละลาย แล้วคลุกด้วยเกลือพริกไทยและน้ำมันถั่วเหลืองเล็กน้อย

จากนั้นก็นำไปย่างในกระทะไฟแรงๆด้านละไม่เกินหนึ่งนาที ก็รีบตักไปพักรวมไว้กับถั่วกับไข่ขาวได้เลยครับ



ในที่สุด เวลาสำคัญก็มาถึง จะเริ่มผัดข้าวกันแล้วนะครับ

ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมันพืชลงไปสัก 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใส่กระเทียมสับกับหอมแดงสับอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะลงไปผัดให้หอม ปรุงรสเพิ่มด้วยผงกะหรี่ประมาณ 2 ช้อนชา ผัดให้เข้ากันจนหอมฉุยไปเลย



ยังจำได้ไหม ตอนแรกที่บอกว่าอย่าเพิ่งทิ้งไข่แดง
ใส่ไข่แดงลงไป 2 ฟอง แล้วรีบๆคลุกให้เข้ากันกับเครื่องผงกะหรี่เลยครับ แค่แป็บเดียวนะครับ เผลอๆไม่ถึง 10 วินาที

พอเข้ากันเดี๋ยวเราจะใส่ข้าวกันต่อ



ใส่ข้าวลงไปผัดเลยครับ คลุกเคล้าให้ข้าวกับเครื่องผงกะหรี่เข้ากันจนเหลืองอร่ามไปเลย

พอเข้ากันจนสวยแล้ว ก็ปรุงรสง่ายๆแค่ น้ำปลาประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 2-4 ช้อนชา รีบๆผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันไปเลย

เสือตะหลิวขอแนะนำว่าเวลาใส่น้ำปลา อย่าเทลงบนส่วนผสมด้วยตรง ให้เทลงไปที่ขอบกระทะร้อนๆก่อน ความร้อนของกระทะจะช่วยขับกลิ่นน้ำปลาให้หอมฉุยมากขึ้น



สุดท้ายแล้วครับ ยังจำพวกเครื่องต่างๆที่เราเตรียมไว้แต่แรกได้ไหม

ไม่ว่าจะเป็น ถั่วคั่ว ไข่ขาวคั่ว กุ้งย่าง สับปะรดหั่น ต้นหอมซอย ..... ถึงเวลารวมญาติแล้วครับ เทลงไปผัดรวมกันให้หมดไปเลย 55555

รีบผัดเร็วๆคลุกเคล้าให้เข้ากัน ไม่ต้องนานเลยครับ แค่นาทีสองนาทีก็เหลือแหล่ จากนั้นก็รีบตักใส่ชามที่เตรียมไว้ได้เลยครับ



จัดใส่ชามสับปะรด ตกแต่งให้สวยงามตามชอบ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีแล้วครับ

ข้าวผัดอะไรอลังการงานสร้างเหลือเกิน ล้นๆชามสับปะรดกันไปเลยกับเมนู "ข้าวผัดสับปะรด"

หลายคนที่ตามมาถึงจุดนี้อาจจะสงสัยว่า ทำไมเสือตะหลิวถึงแยกปรุงไข่แดงกับไข่ขาว ???

การแยกปรุงไข่แดงกับไข่ขาว เป็นเทคนิคการรผัดข้าวแบบจีนโบราณ ทำให้ในไข่ฟองเดียว สามารถแบ่งเนื้อสัมผัสไข่ออกมาได้สองแบบ แบบแรกคือไข่ขาวเนื้อวุ้นๆนิ่มๆ กับแบบที่สองคือไข่แดงเนื้อด้านๆมันๆ

การแยกปรุงไข่แดงกับไข่ขาวจึงช่วยทำให้ข้าวผัดจานนั้นดูมีมิติมากขึ้นทั้งทางรสชาติและทางเนื้อสัมผัส



เม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วมันๆ กับ เนื้อกุ้งย่างเด้งๆ


สับปะรดเนื้อหวานฉ่ำ กับ ข้าวผัดร่วนๆมันๆหอมกลิ่นเครื่องผงกะหรี่


สูตรสำเร็จอันลงตัว ตักกินทีเดียวพร้อมกันไปเลย รสชาติราวกับระเบิดที่กำลังระเบิดที่อยู่ในปาก

ข้าวผัดเข้มข้น สับปะรดหวานฉ่ำ กุ้งเด้งเนื้อหวาน กับถั่วคั่วหอมมัน ความอร่อยที่ผสานรวมกันอยู่ในปากอย่างลงตัว ไม่แปลกใจเลยที่เมนูนี้ จะได้เป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตที่ชาวต่างชาตินิยมลิ้มลองเมื่อก้าวย่างเข้าสู่เมืองไทย

"Our Floating Dreams" ความฝันอันลอยละล่องของสองเรา ... มันช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติจริงๆ



โดย Facebook page : เสือตะหลิว " อาหาร กับ ชายชาตรี "
 



Create Date : 10 กันยายน 2562
Last Update : 10 กันยายน 2562 9:33:13 น.
Counter : 4951 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

เสือตะหลิว
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ผู้ชายธรรมดาๆที่รสชาติไม่ธรรมดา
just a man with a nice taste
New Comments