A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

"วิกฤต" สร้างขึ้นจากคนไม่เห็นโอกาส



เคยเจอเรื่องของวิกฤตซ้อนวิกฤตไหมครับ?

วิกฤตอันเกิดจากเรื่องของวิกฤตจากการทับซ้อนของกับอีกวิกฤตหนึ่ง
จนกลายเป็นการครอบงำของผลพ่วงปัญหาอันเกิดจากวิกฤต ทำให้ชีวิตที่กำลัง
วิกฤต กลับมาวิกฤตจากนอกปัญหาของวิกฤต.....................

อ่านเท่านี้ หลายคนคงน่าจะฟันธงว่า "ผู้เขียนกำลังถูกกระทบวิกฤตให้จิตวิปริตไปแล้ว"
อันนี้ก็เป็นปัญหาอีกส่วนหนึ่ง ที่หลายคนคงประสบแม้ไม่ทางตรงก็อาจจะทางอ้อม
วิกฤตเศรษฐกิจที่แพร่ล่าม เสียจนประธานาธิบดีของสหรัฐไม่กล้าจะเสนอหน้า ในที่ประชุม
เศรษฐกิจที่เมืองดาวอส เพราะคงรู้ตัวดีว่า เป็นโจทย์ที่หลายๆประเทศเตรียมรุมชี้หน้าด่า
อันผลมาจากประเทศต้นตอทางวิกฤตเศรษฐกิจ
เผลอๆ งานนี้ อาจมีการริบรองเท้าของผู้ร่วมเข้าชุมนุม จากค่านิยมอันระบาดที่เขวี้ยงใส่
ผู้นำประเทศ แสดงออกถึงการไม่ชอบขี้หน้า จนทำให้รองเท้ายี่ห้อนั้นขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ปกติทุกเช้าของวันเสาร์ ถ้าไม่ติดการ์ตูน อันเป็นนิสัยดีที่เหลืออยู่ จากพัฒนาการในวัยเด็ก
ถ้าให้ตื่นมาโรงเรียน อันนี้อาจมีทดเวลานอนเจ็บอีกสักห้าถึงสิบนาที
แต่ถ้าเช้าของวันเสาร์-อาทิตย์ด้วยแล้ว อันนี้ เต็มใจให้ก้นกระดกลุกออกจากเตียง
ล้างหน้า แปรงฟัน เป็นสุขอนามัยที่จำเป็น แต่อาจจะไม่ใช่เรือ่งใหญ่เรื่องโต
ขอได้มากดทีวีตอนเช้า เปิดช่อง ๙ แล้วจองเวลาแช่ยาวไปจนเที่ยง
จากนั้นระบบสุขอนามัย จึงค่อยเป็นเรื่องที่ตามมา.....................
แต่บัดนี้ หาใช่เช่นนั้นอีกแล้ว..............ผมหันมาสนใจสิ่งบันเทิงทาง "วิทยุ" แทน
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมรู้สึก ใช้สายตามากเกินไปในการอ่านหนังสือ ชมภาพยนตร์
ส่วนหนึ่งรายการวิทยุสมัยนี้ มีเรื่องที่น่าสนใจกว่าแต่ก่อนเยอะ
ไม่ใช่ เอะอะก็จะเปิดเพลง ขายโฆษณา เหมือนอย่างแต่ก่อน.........
เพราะเดี๋ยวนี้ มีรายการที่เปิดรูปแบบสนทนาที่หลากหลาย ตั้งแต่คุยสัพเพเหระ
ไปจนถึงเรื่องเคร่งเครียดทางการบ้านการเมือง บางคลื่นลงลึกไปถึง "กลางมุ้ง" ก็ยังมี.....

แต่ที่รู้สึกแย่! ตรงที่ ประเด็นในรอบสัปดาห์ ทุกคลื่นที่นำเสนอรายการแบบ "ทอล์กวิว"
ต่างเล่นประเด็นเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น บรรษัทยักษ์เจ้าโน่นปลดพนักงานหมื่นตำแหน่ง
ฟังแล้วไม่สบายใจ ตามประสาหัวอกมนุษย์เงินเดือน ก็เลยหมุนไปหาอีกคลื่นนึง
ก็ยังไม่พ้นที่จะคงเจอข่าวประเภทเดียวกัน แต่อาจหนักกว่าหน่อย เพราะพี่แกเล่นเกทับว่า
บรรษัทยักษ์นี้ จริงๆแล้ว ปลดพนักงานไปหมื่นกับอีกหนึ่งพันตำแหน่งต่างหาก!!!!!!!..................
นอกจากนี้ ก็ยังจะมีข่าว ฝรั่งไม่หันมารักษาโรงพยาบาลไทย ลดค่าโอที ประท้วงโบนัส
ฟ้องร้องสินไหมทดแทนจากการเลิกจ้าง ฯลฯ
กลายเป็นว่า บางทีการที่เราเคยรังเกียจ การใช้วิทยุแบบคนสมัยเพื่อ "เล่นเพลง ขายโฆษณา"
อาจเป็นอะไรที่ดี ในท่ามกลาง "ข่าวร้าย" ที่กลับเป็นข่าวที่ "ขายดี" ในตลาดของผู้เสพ.....

แต่แล้วกลับมีรายการหนึ่ง ที่จุดไฟในความท้อแท้ให้ลุกโชกในการออกไปสู้กับวิกฤต
แม้อาจจะไม่ปลุกเร้าชนิดให้ออกรับจับศึกให้ได้เอกราชไทยกลับคืน
แต่การหยิบคำคมบางท่อน อุธาหรณ์ชีวิตบางคน
กลับปลุกเร้าให้เรามองเห็นทางออกของวิกฤต............อย่างที่ผู้จัดพูดเกริ่นขึ้นว่า

""ทุกครั้งที่เจอวิกฤต เขาจะมองมันถึงโอกาส เพราะเขาเชื่อว่า คนส่วนใหญ่
ได้ยอมแพ้ต่อวิกฤตนี้ด้วยความกลัว แต่เขารู้สึกถึงชัยชนะ เพียงเพราะเขาไม่มี
ความกลัว"

เเค่ต้นมาก็เท่ห์แล้ว............แต่ประทานโทษ ผู้จัดรายการคนนี้ไม่ได้คิดเองหรอก
แต่ไปหยิบเอาคำพูดบางตอน ที่ผู้ปลุกปั้นแบบโออิชิจนผงาดในวงการอาหารและชาเขียว
ชนิดที่ว่า ตั้งใจซื้อเพื่อลุ้นฝามากกว่าสารอาหารที่ได้จากชาเขียว
คำพูดอย่างอหังการของ "ตัน ภาสกรณที" ที่เคยเขียนไว้ในหนังสือ "ชีวิตนี้ไม่มีตัน"
ใครจะเคยคิดว่า อาหารปุพเฟห์แบบญี่ปุ่นที่ตกราคาหัวละ ๔๙๙ บาท
กิจการที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี ๔๐ ที่หลายคน ตกหมอนนอนเสื่อ
กินข้าวตคลุกเกลือ จะมีใครหาญกล้าที่จะคิด
แต่ชายคนนี้ "ไม่" เพียงแต่คิด กลับลงมือ "ทำ" ทั้งๆที่การศึกษาในโรงเรียนก็ไม่จบมหาลัยใดใด
ซ้ำยังมีหนี้จากอสังหริมทรัพย์ที่ชลบุรีอีกหลายร้อยล้าน
แต่ประสบการณ์ในมหาลัยชีวิตนี้แน่นปึก อีกทั้งมีสายตาในมุมมองที่เห็นวิกฤตที่ใหญ่กว้าง
ยังมีจุดโอกาสเล็กๆ นั่นซ่อนอยู่..................................
อีกคนที่กล้าเล่นกับโอกาส และจบมหาลัยดว้ย ที่ชื่อ เสถียร เศรษฐสิทธิ์ หรือ หมอคง
ถ้าใครเป็นนักดื่ม คงไม่ปฏิเสธว่าไม่รู้จัก "โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง"
ธุรกิจที่พรุดขึ้นท่ามกลางวิกฤตหลังต้มยำกุ้งอีกราย ชายที่คิดทำอะไรมากกว่า "ลานเบียร์"
ท่ามกลางที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจที่ชี้นำให้ "สะสมเงินออม ชะลอการลงทุน"
ว่าแล้ว โรงเบียร์ที่มีความจุขนาด ๓,๐๐๐ กว่าที่นั่ง มีชั้นหมักเบียร์ขนาดใหญ่เป็นของตัวเอง
หลายคนได้ฟังตอนนั้น คงหาว่า เจ้าหมอนี้มัน "บ้า"
แต่ปัจจุบัน เขากำลังจะขยายธุรกิจโรงเบียร์ยังในประเทศสิงคโปร์และชานเมือง ขนาดที่ในตัวเมืองมีสาขาถึง ๓ แห่ง
เวลาที่คนอื่น "แย่ๆ" พี่คนนี้กลับ "ขยาย" ธุรกิจ
ในเวลาที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาการลงทุนจากต่างประเทศจากพิษปัญหาเศรษฐกิจโลก
เพียงเพราะเขาเชื่อว่า เขาเห็นอะไรบางอย่างที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้



เรื่องบางเรื่อง เราสามารถผ่านพ้นวิกฤตได้ จาก "การเห็นอกเห็นใจ"
มีนักธุรกิจท่านหนึ่ง มีปัญหาในเรื่องของสภาพคล่องทางการเงิน
เนื่องจากไม่มีบุคคลที่คอยช่วยค้ำประกันเครดิต บังเอิญว่า เขาไปได้สัมปทานรัฐ
รายการหนึ่งที่ยื่นประมูล จำเป็นต้องมีธนาคารเซ็นเพื่อค้ำประกัน
แต่ปรากฎว่า ไม่มีที่ไหนกล้าจะที่จรดปากกา แต่นิสัยทีดีอย่างหนึ่งของเขา
คือ ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เขาเคยเป็นเจ้าหนี้มาก่อน มีลูกหนี้หลายคนที่เขา
สามารถฟ้องร้องได้ เพียงแต่ว่า เขาไม่ทำ เพราะเขาเชื่อว่าเป็นการซ้ำเติมในฐานะ
มนุษย์ด้วยกันมากเกินไป แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เขาก็ได้รับการติดต่อจากคนที่ชื่อ
"สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" ชายที่เคยเป็นลูกหนี้ของเขามาก่อน โดยยินยอมที่จะ
เซ็นค้ำประกันในเอกสารให้ สวัสดิ์ได้บอกกับเขาว่า
"มีเขาเพียงคนเดียวในเจ้าหนี้ ที่ไม่ฟ้องร้องเขาท่ามกลางเจ้าหนี้อื่นๆที่ประทังกันเข้ามา"

บางเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
เป็นไปได้พอที่จะทำให้คนบางคนพลิกจาก "จุดตกต่ำ" ไปสู่ "ความเชื่อมั่น"
เพียงเพราะ การเล่น "อำ"
เหมือนกับการให้คนไข้ทาน "เม็ดวิตามินซี" แล้วบอกว่าเป็น "ยามหาสรรพคุณ"
เพียงเท่านี้ อาการที่เจ็บป่วยออดๆแอดๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าเพื่อนของพวกเราคนหนึ่งไปทำธุรกิจ
แต่ประสบปัญหาเพียงอย่างเดียว ตรงที่มัน "เจ๊ง"
"เจ๊ง" พอที่ทำให้ เพื่อนคนนี้เตรียมชิงหนีหนี้ กลายเป็นคน "เครียด" จัด
ด้วยความคิดพิเรนสนุกๆ จึงนัดทานข้าว แต่มีการเตี๊ยมกับเพื่อนของเพื่อนคนหนึ่ง
ให้สวมบท "หมอดู" บอกมันว่า "อีกหกเดือน ธุรกิจคุณจะฟื้นแน่"
แต่ไม่รู้ว่าจัดเตรียมบทอีกท่าไหน เวลาเล่นจริง ดันไปบอกว่า "ไม่เกินสามเดือน รุ่งแน่!(คอนเฟิร์ม)"
เพียงเท่านั้น นายคนนี้ก็มีกำลังใจดีขึ้น ยิ่งได้คำยุ (แก้มเตี๊ยม) จากเพื่อนในกลุ่มที่ว่า
"ตาหมอคนนี้แม่นจริง" ว่าแล้ว ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เพื่อนคนนั้นไปได้สิทธิ์ในการจัดบูธในงาน
"มอเตอร์โชว์" ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามตั้งแต่ครั้งแรกที่จัด
เพื่อนคนนั้นมีชื่อว่า "ปราจีน เอียมลำเนา" เจ้าพ่อบูธอีเวนท์มอเตอร์โชว์ในปัจจุบัน..........

วิกฤตไม่น้อยจึงมักเกิดขึ้น จากวิกฤตที่เราสร้างขึ้นในจิตใจของตัวเราเอง
มีเศรษฐีบางคนจากที่เคยมีสินทรัพย์นับพันล้านแต่ปัจจุบันลดมาเหลือร้อยล้านก็เป็น "ทุกข์"
แต่พอมีโอกาสมาได้คุยกับเพื่อนเศรษฐีด้วยกัน เมื่ออีกฝ่ายบอกว่า ปัจจุบันตัวเองมีหนี้กว่า
ร้อยล้าน ก็สามารถความรุ้สึก "สุข" ขึ้นภายในกลายๆ เพียงเพราะอย่างน้อยเขาก็ยังมี
ทรัพย์กว่าร้อยล้านนอนกอดให้อุ่นใจ
เรื่องบางเรื่อง เพียงแค่เรารู้สึกว่า "มีคนที่แย่กว่า" ก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น
โดยที่เราไม่ต้องไปขวนขวายสิ่งใดให้เพิ่มเติม ขอเพียงสังเกตผู้คนรอบข้างให้มากขึ้นอย่างใส่ใจ

อย่างที่มีคำคมเคยบอกว่า

"ผุ้ชนะเห็นทุกโอกาสในยามที่มีปัญหา แต่ผู้เเพ้เห็นปัญหาทุกครั้งที่มีโอกาส" ........




ย่อยมาจากรายการวิทยุทางคลื่นความคิด fm96.5 ใน "คุยเล่นเป็นข่าว" ดำเนินรายการ โดย
หนุ่มเมืองจันท์ และสายสวรรค ขยันยิ่ง




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 16:02:32 น.
Counter : 744 Pageviews.  

คิดต่าง ต่างกันที่ความคิด





โดยปกติแล้ว ผมมักจะทำงานอย่างไม่คอ่ยมีปัญหากับใครมากนัก
ส่วนหนึ่ง เพราะตัวผมเอง ไม่ค่อยสร้างปัญหา
(เพราะมันรู้สึกยากเวลาออกแบบตัวปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาเสียเหลือเกิน)
อีกส่วน ก็คือ แยกปัญหากับหน้าที่การงานกับเรื่องส่วนตัว เป็นคนละประเภท
งานยังคงต่อเดิน แต่เรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องส่วนตัวไป สุดท้ายค่อยมาปรับความเข้าใจ
ลงกับที่ "วงสุรา"
แต่เพิ่งมาทราบในระยะหลัง ว่าอุปนิสัยส่วนตั๊ว....ส่วนตัว
เป็นสิ่งที่สร้างปัญหาให้กับเพื่อนร่วมงานอยู่ไม่น้อย
ประมาณว่า อยากจะเข้าใจแต่เข้าไม่ถึง เพราะก่อนหน้านี้ทางหัวหน้าของผมก็นำ
เด็กฝึกงานคนใหม่ ให้ผมช่วยสอนทักษะการทำงานในลักษณะโดยคร่าว
แต่สุดท้าย เด็กใหม่ท่านนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว บ่นกับคนรอบข้างอยู่เพียงประโยคเดียว
ว่าพี่คนนี้ ผมตามระบบความคิดของพี่ท่านนี้ไม่ทัน
เพียงเพราะเขามี "ความคิดต่าง" จากบุคคลอื่นทั่วไป

เรื่องของ "ความคิดต่าง" หากจะให้กำหนดชัดเจน ตายตัวด้วยแล้ว
ความคิดต่าง ก็เป็นหนึ่งทางเลือกในการคิด เท่าที่จะมีหนทางร้อยแปดพันประการ
อาจจะเป็นความคิดที่น้อยคนจะคิดได้ หรือต้องมีจิตวิปลาสชนิดพิเศษที่เห็น
ต่างจากการดำเนินของกลุ่มกระแสหลักทางความคิด
ในวิชาการตลาด การคิดต่างเท่ากับการเปิดตลาดกลุ่มใหม่
ที่กลุ่มเจ้าตลาดก่อนหน้าไม่ทันจะคาดคิด โดยมีฐานของกลุ่มบริโภคเดิมเป็นตัวตั้ง
แต่ปรับหาแนวคิด รูปแบบใหม่ ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเฉพาะ หรือบางทีเป็นช่องทาง
ให้การเข้าถึงหนทางที่ยังไม่มีนักการตลาดคนใดเข้าถึง
บางที "ความคิดต่าง" อาจจะไม่จำเป็นต้องอาศัยจินตนาการเลิศเลอหรือภูมิปัญญาญาณ
ในระดับทีต้องอาศัยการศึกษาสูงๆ อ่านหนังสือเป็นตั้งๆ
เพียงแต่มองอะไรในปัจจัยพื้นฐานที่เรามี แต่ผู้อื่นคิดไม่ถึง หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่า
"กึ๋น" มีตัวอย่างจากหนังสือ ทีชื่อ "คุยกับประภาส" ตอนหนึ่งว่า ............................

เมื่อองค์การนาซา โดยปกติคือหาเรื่องส่งคนไปทำงานในอวกาศ
แต่องค์กรระดับมีงบลงทุนปล่อยจรวดทีละหลายหมื่นล้านเหรียญ ไปพบว่ามีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง
คือ ปากกามันเขียนในในอวกาศนั้นไม่ได้
เพราะปากกาที่เราใช้กันทุกวันนี้ มันอาศัยแรงโน้มถ่วงโลกดึงดูดให้หมึกไหลลง
มาสู่กระดาษ แต่ทว่าในอวกาศมันไม่มีแรงโน้มถ่วงนี้หว่า
นาซาเลยทุ่มทุนและระดมมันสมองวิศวกรกันขนานใหญ่ว่า
จะทำยังไงให้ปากกาสามารถใช้ได้ในอวกาศ จนวันหนึ่งมีแม่บ้านคนหนึ่งรู้เรื่องนี้เข้าก็เลยยื่น
จดหมายถึงท่านผู้บริหารนาซา ว่า .......................

“ทำไมท่านไม่ใช้ดินสอกันล่ะคะ”

ความคิดต่าง อาจไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก
เพียงอาศัยความเรียบง่าย และเท้าติดดินมาสักนิดหนึ่ง เข้าใจพื้นฐานของปัจจัย
ในธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ ผมจึงชอบรายการวิทยุที่ อ.วีระ ธีรภัทธ ชอบจัดในช่วงบ่าย
ทางคลื่นความคิด ตอนหนึ่งมีผู้ฟังถามเรื่องเกี่ยวกับพอร์ตลงทุนของกองทุนหลักทรัพย์ตัวหนึ่ง
ว่าควรจะซื้อมากน้อยเท่าไร ซื้อแล้วผลตอบแทน ถ้าคำนวนช่วงปีนี้จะเท่านี้ แล้วเอาเงินบางส่วน
ไปกระจายความเสี่ยงในพันธบัตรเกาหลีเท่านี้ๆ ไปซื้อที่ดินแปลงนี้เท่านี้ๆ ซื้อทองคำเท่านี้ๆ
ไปซื้อตลาดฟิวเจอร์เท่านี้ๆ...............................แต่เศรษฐกิจช่วงนี้แย่ อีฉันควรทำอะไรดีเจ้าคะ?
จะแลดูมั่นคงเป็นที่สุด
แล้วอาจารย์แกก็ถามผู้ฟัง ประโยคสั้นๆว่า "แล้วตอนนี้เจ๊อายุเท่าไรแล้วละ?"
ผู้ฟังท่านนั้นตอบ "เจ็ดสิบกว่าแล้วละ"
อาจารย์ก็ตอบแบบเบื่อๆ ว่า "เอางี้ละกัน ทำบุญ!"
เออ! ทำอะไรตั้งโน่น ตั้งนี้ มาตั้งเยอะ............ยังไม่รู้สึกถึงความพอ
ถ้าเปลี่ยนมาทำบุญ บำเพ็ญกุศลซะ จะได้ลดความอยากเห็นอยากได้มีสัมมาทิฏฐิที่ดี
ยิ่งวิกฤต ยิ่งน่าต้องทำบุญ .............จะได้ลดอัตตา เงินทองเป็นสิ่งอุปโลกขึ้นของสังคม
ตายไป หากเกิดชาติหน้าจะได้มีอานิสงส์ผลบุญตามมาด้วย.................!!




แต่บางอย่าง "ความคิดต่าง" สามารถเปลี่ยนแปลงกฎ กติกาเดิมให้กลายเป็นสิ่งล้าสมัย
กลับกลายเป็นมาตราฐานทางสังคมใหม่ ให้ปฏิบัตินิยมตามกันมา
ในหนังสือ Whatever you think, Think the opposite โดย
Paul Arden ได้ การเล่าเรื่องของ นักกีฬากระโดดสูงในการแข่งกีฬาโอลิมปิคในปี 1968
ที่กำลังจะกระโดดข้ามคานที่มีความสูง 7 ฟุต 4 ¼ นิ้ว
แทนที่เค้าจะใช้วิธีโดดแบบพุ่งเข้าที่ทุกคนทำกันมาตลอด
เค้ากลับกระโดดโดยหันหลังเข้าคาน โดยที่ท่านี้ได้รับการตั้งชื่อว่า Fosbury Flop
ตามนักกีฬาคนนี้นี่เอง ซึ่งท่านี้ก็ยังเป็นท่าที่ใช้กระโดดสูงมาจนทุกวันนี้
และที่สำคัญ ยังเป็นการทำลายสถิติโลกอีกด้วย

ทำให้ผมนึกถึงนักกีฬาชาวไทยอีกคนที่ชื่อ "สืบศักดิ์ ผันสืบ"
เขามาโด่งดังจริงๆก็คือตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 13 และในซีเกมส์ ครั้งที่ 19
ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยการเสิร์ฟ "หลังเท้า" ที่ทำให้ลูกปั่นและหมุดลง
จากเดิมที่นักตะกร้อมักจะใช้ "หน้าเท้า" ที่เน้นตำแหน่งและความรุนแรง
ทำให้ทีมไทยคว้าเหรียญทองมาได้ทั้งทีมชุดและทีมเดี่ยว
เล่นเอาทีมเสือเหลืองมาเลเซีย หัวมึนกันเป็นแถว เล่นตะกร้อมาจนโต ไม่เคยเจอะเจอ

และอีกอุทาหรณ์หนึ่ง ผมได้รับเกียรติให้ไปชำระหนี้คงค้างค่าโทรศัพท์
ในส่วนที่ผมเองไม่ได้ใช้บริการ (คาดว่าโดนแอ้บสำเนาบัตรประชาชนโดยคนดีที่ผมไม่คาดหวัง)
"จ่ายก็โง่-โมโหก็บ้า" ผมจึงเดินทางไปร้องเรียนถึงสำนักงานใหญ่แถวรัชดาฯ
ในฐานะผู้บริโภค (ที่ไม่ใช้บริการของแกนะเฟ้ย!)
แม้จะมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับเครือข่ายเจ้านี้ืั้ที่ให้เกียรติผมเป็นส่วนหนึ่งของแก
แต่อยากน้อย ก็เห็นป้ายที่แปะหลา กระตุ้นความกระตือรือล้นของพนักงาน
โดยมีสำนวนภาษาอังกฤษตอนหนึ่งที่ว่า "Out of the Box"
แม้ตอนแรกจะคิดไปว่า "ให้กรุณาช่วยเปิดเช็คพัสดุภัณฑ์ เวลาที่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำส่ง"
แต่เมื่อได้มาหาคำแปล จากนิตยสารการตลาดเล่มหนึ่ง ก็ทำให้รู้ว่า
การคิดต่าง เป็นเครื่องสร้างมูลค่าในการขับเคลื่อนองค์การให้ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งหวังไว้
แต่กอ่นอื่นใด............ช่วยเอาผมออกจากกองหนี้ในกล่องลูกหนี้ของแกสักทีเถอะ!


"คิดต่าง" อาจต่างกันที่ความคิด
แต่ความคิดที่ไม่ได้ลงมือกระทำ ยอ่มไม่อาจสร้างความแตกต่างอื่นใด
ระบบความคิดของมนุษย์จึงเป็นเรื่องอัศจรรย์ แม้แต่คนที่เป็นฝาแฝด
ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน ก็ยังมีวิธีคิดและความชอบไปคนละอย่าง
ดังนั้นสังคมที่มีความหลากหลาย ธรรมชาติของความคิดต่างจึงมักมีให้เห็นต่างกันอยู่เสมอ
การขับเคลื่อนภายใต้กรอบสังคมอย่างมีพลวัตร ความคิดต่างจึงเป็นมูลเหตุสำคัญประการหนึ่ง
ที่ควรเปิดโอกาสให้ทุกคนมีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดแปลกใหม่และแตกต่าง
ในกรอบความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและแก่สังคม .............................

ลองคิดดู? ถ้าสังคมที่ทุกคนคิดอะไรได้เหมือนกันหมด เราจะมีความคิดกันไปเพื่ออะไรกัน ........









 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 15:57:15 น.
Counter : 772 Pageviews.  

แหล่งที่นิยมที่สุด อาจไม่ใช่แหล่งที่ดีที่สุด




สี่ถึงห้าวันก่อนโดยประมาณ ได้ไปอ่านข่าวผ่านทางเว็บผู้จัดการ
อ่านได้ก็สะดุ้งโหย่งกับตัวเองขึ้นนิดหน่อย
ไม่ได้เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรของเครื่องคอมพิวเตอร์เจ้ากรรม แต่เป็นเนื้อหาภายในข่าว
ในหัวข้อหมวดทางข่าวสารด้านคอมพิวเตอร์ ว่าด้วยเรื่อง ...................

"การอ้างอิงฐานข้อมูลในเว็บไซด์ชื่อดังวิกิพีเดีย (Wikipedia)"

เรื่องโอ้ละพ่อ! กล่าวแบบโดยย่อ (เพราะไม่กล้าอ้างอิงจากเว็บไซด์ดังกล่าว แม้ปรากฎอยู่ก็ตาม)
คือ มีนักเขียนข่าวท่านหนึ่ง ไปอ้างอิงประโยคอมตะของนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่ง
โดยเชื่อเป็นคุ้งเป็นแควว่า เจ้าหมอนี้มันต้องพูดอย่างนี้ขึ้นมาจริงๆ แน่
(ซึ่งรูปประโยคที่เอามาอ้าง ก็อ่านดูน่าเชื่อถืออยู่หรอก แบบมนุษย์มนาปถุชนอ่านแล้วก็ยังงงๆ)
หารู้ไม่ว่า มันเป็นแผนการฮาๆของนักศึกษานายหนึ่ง ที่อยากจะลองงานวิจัยทางภาคสนาม
แทนที่จะไปแจกกระดาษแบบสอบถาม ไปตามโรงเรียนหรือไม่ก็หน้าห้าง ไม่ก็สุ่มโทรศัพท์มั่วๆ
ไปตามคูหาบ้านเรือนแบบเอ็กซิสโพลล์
ไอ้หมอนี้กลับเลือกช่องทางของภาคสนาม คือ การจงใจเขียนบันทึกข้อมูลเท็จ (เนียนเกือบจริง)
ลงในชีวประวัติของนักเขียนชื่อดังท่านนั้นในวิกีพีเดีย เรื่องก็เลยยุ่ง เมื่อมีผู้อื่นหลงเชื่อตาม
พยายามคัดลอก โดยการ copy และ paste กระจายไปตามที่ต่างๆ
(ซึ่งก็ไม่รู้มีใครนำส่งอาจารย์จนได้ A เกรดกันกี่คน) แต่ที่หนักไปกว่านั้น คือ
ไปมีบทความลงในวารสารเล่มหนึ่ง อ้างอิงเอาข้อมูลประโยคอมตะแบบเท็จจากวิกิพีเดย
แล้วลงเผยแพร่สู่สาธารณะภายใต้แบนด์ของวารสารเล่มดังกล่าว
งานนี้สร้างความเสื่อมเสียให้กับตัววารสารฉบับนั้น ไปพร้อมๆกับหูที่ชา
อันเกิดจากมีผู้รู้จริง โทรไปต่อว่าตัวบรรณาธิการเจ้าของผู้รับชอบวารสารฉบับนั้น
ด้วยข้อหาการไม่คัดกรองและตรวจสอบข้อมูล ก่อนที่จะนำไปตีพิมพ์เผยแพร่

ส่วนนักศึกษาท่านที่เอาประโยคเท็จมาเผยแพร่ ก็ไม่รู้จะยังคงงามหน้า-ฮาต่ออีกรึไม่
หรือในอีกทางหนึ่ง อาจได้ทรัพยากรอันล้ำเลิศในงานวิจัยของตัวเองไปในบัดดล
ด้วยความโด่งดัง ที่สามารถทำให้วารสารฉบับหนึ่ง ที่น่าจะเป็นแหล่งข้อมูลอันน่าเชื่อถือ
ที่ผ่านการไตร่ตรองและพิสูจน์คัดแยก ความจริง-ความเท็จของเนื้อหาข้อมูลจากหลายภาคส่วน
จนเรียบเรียงและเผยแพร่ในสู่กลุ่มผู้อ่าน จนพอที่จะเชื่อได้อย่างสนิทใจ

อ่านจบเนื้อความของข่าวดังกล่าว ก็ต้องกลืนน้ำลายลงเล็กน้อย
ด้วยอาการของความร้อนตัว ในอุณหภูมิที่ผิดปกติ
เพราะเมื่อกลับไปสำรวจบทความที่นำเสนอในส่วนของตนเอง ถ้าไม่ไร้สาระกับเรื่อง
วาดภาพเพื่อแก้กลุ้ม (เพราะไม่ต้องไปรับผิดชอบฐานความน่าเชื่อในข้อมูล จะไปเชื่อถืออะไร
ในเมื่อมันเป็นการ์ตูน) ก็ต้องบอกว่า มีอยู่ไม่น้อยเลย ที่ผมจำต้องเลือกใช้โดยการเคาะ
ประตูบ้านของวิกิพีเดีย เกือบจะทุกครั้งในยามที่ต้องพึ่งแหล่งข้อมูลสำคัญ
เหมือนดั่ง "ประตูวิเศษ" ในการ์ตูนโดเรมอน ที่เปิดตามใจปรารถนา
ปิดปุบก็เจอปับ (แม้การ์ตูนจะเน้นห้องน้ำของชิซูกะนักก็ตาม)
ผมมักจะเลือกใช้ ตัววิกิพีเดียทั้งภาคภาษาไทยและภาคต่างประเทศ
กล้าพูดเลยว่า ใช้มากเสียยิ่งกว่า การเลือกเปิดทีวีที่มีระบบดิจิตอลไนเคม ที่มีให้เลือกถึง ๒ ภาษา
เพราะจะมีผู้รู้ ที่มั่นคอยอับเดทข้อมูลในหมวดของหัวข้อนั้นๆ ในฐานะของแฟนพันธ์แท้และแฟนพันธ์ทาง
ที่หวังจะแชร์ข้อมูลที่ตนเองพอรู้ และบางส่วนก็เติมแต่งเพื่อความสมบูรณ์ลงตัว
หลายคนไปพบกับข้อมูลล่าสุดผ่านทางนิตยสารหรือช่องทีวี ก็ไม่รีรอที่จะเพิ่มเติมลงโดยฉับพลัน
เพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้กำหนดนิยามของฐานศัพท์ในหัวเรื่องนั้นๆ
โพสต์สำเร็จ ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ตนเองนอนหลับฝันดีราตรีสวัสดิ์
แต่ปัญหาที่ทุกคนต่างกังวลกันนัก ก็คือ แล้วจะมีความน่าเชื่อแค่ไหนสำหรับเรื่องราวที่ใครก็ได้
สามารถที่จะแต่งเติมเรื่องราวลงในวิกิพีเดียกันเล่าละพี่น้อง?


<*marquee><*img src=//mblog.manager.co.th/uploads/1027/images/wikipedia.jpg> <*/marquee>


ปัญหานี้ เคยมีกล่าวในหนังสือ ชื่อ "Long Tail" ของเฮียคริส อันเดอร์สัน
ที่เล่าถึงกระทาชายนายหนึ่ง อดีตนักค้าอนุพันธ์การเงิน นาม จิมมี เวลล์
มีความใฝ่ฝันอยากจะทำสารานุกรม มาแข่งกับพวกสารานุกรมรุ่นพ่อ อย่าง Britannica หรือ
พวก Oxford ที่กว่าจะอับเดทแต่ละคำ บางคำอาจต้องใช้เวลาเป็นสิบปี
ไหนจะต้องระดมผู้เชี่ยวชาญแต่ละสำนักวิชา มานั่งเกาศัพท์คำหนึ่ง กรองแล้วกรองอีก
โดยไม่เปิดให้สาธารณชนร่วมกันเข้ามามีส่วนรวม จะ
ยกเว้นเฉพาะตอนที่เซลล์ขายสารานุกรมชุดมาเคาะประตูขายหน้าบ้านเท่านั้น
เขาก็เลยสร้างเว็บไซด์สำหรับเปิดให้มือสมัครเล่นที่มีใจรักที่จะรังสรรค์องค์ความรู้
ให้ใช้กันฟรีๆ (ถึงสร้างคำมาก็ไม่ได้ตังค์อยู่ดี)
โดยเริ่มต้นจากเพียงไม่กี่บทความ กับโปรแกรมซอฟแวร์ที่ชื่อโบราณว่า "วิกิ"
แต่พอนานไปๆ ศัพท์ต่างๆก็ถาโถมเข้าใส่ จนไปไกลเกินความฝันที่ตั้งใจไว้
ชนิดที่สามารถคว่ำคลังข้อมูลของห้องสมุดอเล็กซานเดรียตอนที่เจริญๆ อีกหลายภพหลายชาติเลยทีเดียว

เอาเป็นว่า ขนาดที่ Brintannica ที่ว่ากันว่าเป็นสารานุกรมที่ดีที่สุด ก็มีคำเพียงแค่ ๘๐,๐๐๐ ชิ้น
ส่วนเจ้า สารานุกรม Encarta ที่ว่าดีพอ ก็มีเพียง ๔,๕๐๐ ชิ้น แต่เจ้าวิกิพิเดียเพียงเว็บเดียว
กลับมีคำอับเดทไปแล้วกว่า ๓.๕ ล้านชิ้น และจะเพิ่มขึ้นในแต่ละวันอย่างไม่หยุดยั้ง
แต่ในหนังสือเล่มนี้ ก็พยายามคอยเตือนอยู่เสมอว่า ...................................
วิกิเพียเดีย คือ สารานุกรมอย่างไม่เป็นทางการ (และไม่เป็นทางการไปตลอดชีวิตของมัน)
โดยเฉพาะหัวข้อที่หมิ่นเหม่ต่อความรู้สึกการแยกแยะ โดยใช้อารมณ์ ความรู้สึกและความเชื่อ
จะด้วยส่วนบุคคลหรือทางสังคมก็ตามที
แต่ความดีของเจ้าวิกีพีเดีย ก็คือ การเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกัน
จนมาสู่ของสรุปล่าสุดอยู่ตลอดเวลา มันจึงทำให้วิกีพีเดียมีการนิยามศัพท์ต่างๆที่สด ใหม่
และมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
ขณะที่ศัพท์จากทางสารานุกรมโดยทั่วไป มีความเชื่องช้า ล่าสมัยและจะได้รับการแก้ไขอีกที
ก็ต้องมีการตีพิมพ์ในครั้งหน้า (ซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไร?) อีกทั้งหลายคำก็ได้รับการละเลยในเนื้อหา
มีตื้นเขินและขาดมิติที่หลากหลาย
เราจึงจะไม่เจอหนังซีรีย์ใหม่ๆ หรือนักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยมผ่านทางสารานุกรมปกติ

ขณะที่กระบวนการตรวจสอบข้อมูลของทางวิกิพีเดีย หาได้ผ่านทางเว็บมาสเตอร์หรือเจ้าของเว็บไซด์ไม่
แต่เกิดจากมือสมัครแต่ละคน มาช่วยกันมีส่วนร่วมและแก้ไข คัดเกลาเนื้อหาของกันและกัน
ผ่านการปรับปรุงได้ตลอดเวลา ยี่สิบสี่ชั่วโมง และจากคนทั่วโลก
ด้วยระบบ Internet Connection มาสู่กระบวนการ Peer Production ในที่สุด
ดังนั้น วันนี้เราอาจจะเจอศัพท์คำนี้ ในรูปแบบความหมายอย่างหนึ่ง
แต่พอมาอีกวัน เราก็อาจจะเจอศัพท์คำเดียวกัน ในอีกรูปแบบความหมายอื่นไป
และยังมีความหมายยาวจากเดิมมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด
การจะเลือกเชื่อข้อมูลใดใด จึงจำต้องมีการตรวจสอบและเทียบเคียงข้อมูล
กับฐานข้อมูลแหล่งอื่นอยู่ตลอดเวลา ว่าแล้ว......ก็หันมาวาดการ์ตูนติ๊งต๊องในตอนหน้า
จะได้ไม่ต้องมาลำบากตรวจสอบข้อมูลเสียให้วุ่นวาย........




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 15:33:14 น.
Counter : 691 Pageviews.  

ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง : ทลายกองดอง


ผมมีภารกิจบางอย่างที่ต้องอาศัยกิริยาการ "แทะเล็ม" ในชีวิตประจำวัน
ไม่เน้นให้อิ่มแปล้บ แต่คอ่ยๆซึมซับอรรถรสไปทีละเล็กละน้อย
หลังจากที่แต่ละวัน เราได้ให้อัตราความเร่งรีบและเร่งด่วน โดยอาศัยความรู้สึกส่วนตัว
วัดว่ามีอัตราความเร่งไม่ต่างกับความเร็วแสง ซึ่งก็ไม่รู้จักเร่งอะไรนัก-อะไรหนา
เร่งให้เร็ว หรือ เร่งให้ช้า ผลบรรลุสุดท้าย ก็คือ "สำเร็จเหมือนกัน"
เผลอๆ ทำทีละช้าๆ ค่อยๆเก็บรายละเอียด การเสร็จช้า จะให้ผลงานที่แลดูสมบูรณ์ดี
ซะยิ่งกว่า ถูกใจทั้งคนให้และคนรับ ไปในคราวเดียวกัน

"แทะเล็ม" ซึ่งนอกจากที่ครั้งหนึ่ง จะนั่งผิวปากหวีดหวิวกับสาวๆ ที่หน้าคณะ
อันเป็นเครื่องผ่อนคลายความอ่อนล้า จากศึกวิชาที่จำต้องเข้าเรียนอย่างต่อเนื่อง
ชั่วโมงต่อชั่วโมง แม้บางทีไม่ติดเรียน ก็ขอให้ได้แทะเล็มสาวๆ เพื่อไม่ให้เรตติ้งเจ้าที่คณะตก
มิให้ห่างหายจากสายตาพี่ๆน้องๆ ตามประสาถูกสาวด่า ก็เหมือนได้ "พร"
แต่ถูกอาจารย์ด่าเพราะไม่เข้าเรียน จนไม่เหลือโค้วต้าจากการเช็คชื่อ
อันนี้ "พร" ใดใด ก็ไม่ดีเท่ากับ "ดร้อป" แล้วค่อยไปขยันเรียนเอาภาคหน้า
ส่วน "แทะเล็ม" ที่สอง ที่ยังทำประจำ คือ "บรรจงอ่านหนังสือเล่มหนาขื่อ"
โดยเฉพาะหนังสือที่สามารถเอาไปกั้นประตู ไม่ให้ลมตีจนปิดประตูได้
ผมจะใช้ศัพท์นี้ว่าเป็นหนังสือ "หมวดเเทะเล็ม" อันเหมาะสำหรับข่มตาให้หลับใหล
ไม่เน้นเนื้อหา ขอแค่บริหารสายตาให้อ่อนล้า แต่ถ้าได้เนื้อหาหนักๆ เข้าด้วยแล้ว
แต่ตัวหนังสือดันอ่านแล้วสนุกจนเลยเวลานอน ซึ่งอันนี้ไม่ดี
แต่สุดท้ายหนังสือเหล่านี้ก็ไปบรรจุอยู่ใน "กองดอง" อยู่ดี...............................

และแล้ว จากการค่อยๆ "แทะเล็ม" กว่า ๖ เดือน
หนังสือที่ชื่อ "ประวัติย่นย่อของเกือบทุกสิ่ง : จากจักรวาลถึงเซลล์ โดย ผู้แต่ง
นาม Bill Bryson ของสำนักพิมพ์วงกลม " ก็จบลงในหน้าสุดท้าย ที่ ๖๐๕
ตามประสาคนไม่รีบร้อน แต่ร้อนวิชาในความสำเร็จของนักอ่านพเนจรคนหนึ่ง
แบบที่ยังรู้สึกเสียดาย ความเป็นเพื่อนหนังสือสักเล่ม ที่อุตสาห์ทำความรู้จักกับมันเสียนาน
จนวันหนึ่งต้องถึงวันบอกลา ทำให้หน้าสุดท้าย อาจเป็นหน้าที่เปิดอ่านนานกว่าหน้าไหนๆ
ในเล่มเดียวกัน แม้ความจริงแล้ว จะเคยรู้จักชื่อเสียงของนักเขียนท่านนี้อยู่ก่อนแล้วก็ตามที

ชื่อของ Bill Bryson ถือเป็นนามนักเขียนอันศักดิ์สิทธิ์ของร้านหนังสือต่างประเทศที่ควรมี
ความที่แกมั่นสร้างงานเขียนอย่างต่อเนื่องทุกปี จนมีแฟนประจำไม่ใช่น้อยที่ติดใจสำนวนชวนหัว
สัพยอกและเป็นนายรอบรู้เสียทุกเรื่อง ความที่คลุกคลีกับแหล่งข้อมูลในปริมาณมหาศาล
แต่กลับสามารถย่อยเนื้อหาให้เหลือเพียงไม่กี่หน้า เข้าใจง่าย อ่านสนุก
และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (science in ordinary language) ยากที่ใครจะเลียนแบบได้
สมัยที่เคยทำงานร้านหนังสือ บรรดาหนังสือเล่มต่างๆ ที่เป็นงานเขียนของพี่แก
จะต้องไม่ให้ขาดสต๊อกเป็นสรณะ ถ้าหากเห็นใครที่เคยซื้องานเล่มหนึ่ง-เล่มใดที่เป็นงาน
เขียนของแก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการผจญภัยท่องเที่ยว อย่าง A Walk in the Woods
ระลึกความทรงจำร่วมสมัย อย่าง The Life and Times of the Thunderbolt Kid
หรือ งานภาษาศาสตร์ในศัพท์แปลกๆ อย่าง Bryson's Dictionary of Troublesome Words
จะเป็นงานวิจัยอัตชีวประวัติแหวกแนว อย่าง Shakespeare: The World as Stage เป็นต้น
นับวันได้เลยว่าไม่หน้าเกินอาทิตย์ จะต้องกลับมาตามซื้องานเขียนเล่มที่เหลือของแกอีกเป็นแน่
แต่งานที่ได้รับการตอบรับมากที่สุดของแก หนีไม่พ้น งานในหมวดวิทยาศาสตร์ ที่ชื่อ ......
A Short History of Nearly Everything ที่ออกจำหน่าย ปี 2003 (และปัจจุบันยังเป็นหนังสือที่
ขายดิบขายดี ทำให้งานชิ้นอื่นของแกต้องอิจฉา อันเป็นงานที่ผมเพิ่งแทะเล็มเสร็จเมื่อไม่กี่วันนี้เอง )






เห็นตั้งชื่อว่า "ประวัติย่อ" อย่านึกว่าเนื้อหาจะย่นย่อตามชื่อไปก็หาไม่
เพราะเอาเข้าจริง เป็นเพียงการย่อของนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบงานวิจัย
ที่สั่นปฐพี-สะเทือนถึงดวงดาว ให้ไม่เกินห้าหน้า-เจ็ดหน้า
ในหัวข้อหมวดที่แบ่งยอ่ยในบรรณานุกรม กว่าจะจบสักหัวข้อ
ก็ถือว่าเล่นไล่อ่านเอากันจนเหนื่อย ยิ่งบางหัวข้อหมวด
ต้องใช้เวลาอ่านร่วมเดือน มันถึงจะมีจุดจบของมัน ต้องนับถือความวิริยะ-อุตสาหะ
ในการแปล ในระดับที่ต้องมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างเหมาะสม
จึงได้คู่แท็กทีมที่ยังกับมวยปล้ำ แบ่งกันคนละครึ่งเล่ม
ได้อ่านในคำนำของสำนักพิมพ์ เขาก็เล็งคุณพี่ "โตมร ศุขปรีชา" ไว้แต่แรก
ด้วยความที่มีฝีมือและแปลเร็วติดจรวด ยังมีดีกรีวิทยาศาสตร์บัณฑิตพ่วงมาด้วย
ส่วนคนแปลครึ่งหลังได้ "วิลาวัณย์ ฤดีศานต์" ที่บอกเกริ่นไว้แต่ไก่โห่เลยว่า
ไม่ถนัดเลยสำหรับช่วงครึ่งแรก
ดังนั้นการซื้อหนังสือเล่มนี้เท่ากับว่า ผมได้ทำบุญเสริมรายได้นักแปลถึงสองท่าน
ถือเป็นการทำบุญทางปัญญาแบบทบทวี อันนี้ยังไม่บวกพวกทีมงานตรวจปรู้ฟ แต่งปก
จัดพิมพ์อีกยกกำลัง แต่ถึงไม่ซื้อหนังสือเขาก็ขายดี ล่าสุดที่แลเอียงตามร้านหนังสือ
ก็เห็นพิมพ์เป็นครั้งที่สี่เข้าไปแล้ว
ซึ่งน้อยเล่มนักในพิภพของวงการหนังสือไทย ที่เนื้อหาอัดแน่น ประกอบกับรูปทรงหนาปึก
ข่มขู่นักอ่านตั้งแต่ยามแรกเห็น จะมีการพิมพ์ซ้ำเพียงไม่ถึงขวบปีเช่นนี้
ไม่รู้ว่างานเขียนเล่มอื่นๆของพี่ Bill จะมีการถูกนำมาแปลไล่เรียงให้อ่านกันอีกรึเปล่า?

หนังสือเล่มนี้ ฉลาดที่จะเริ่มต้นจากสิ่งไกลตัว ชนิดที่ต้องกระโดดถีบเสริมให้ไกลจากจุดเดิม
เพราะว่ากันด้วยเรื่องของ "จักรวาล" ตั้งแต่บทแรก จากนั้นก็ค่อยๆ วกเข้ามาใกล้อีกสักหน่อย
อย่าง โลก อะตอม ธาตุ การเกิดโลก ดิน น้ำ ลม ไฟ นำมาสู่ เซลล์ ชีวิต วิวัฒนาการ
และความเป็นมนุษย์ในที่สุด แต่การจะเขียนนำเสนออย่างเป็นองค์รวมได้ขนาดนี้
ต้องอาศัยฐานพื้นที่การค้นคว้าข้อมูลเอาอย่างมาก ผู้เขียนไม่ได้ทำตัวเกียจคร้านเหมือนกับ
ผู้เช่าบล็อกอย่างผม ที่จะหาข้อมูลก็ไป search ผ่านทางอินเตอร์เน็ตท่าเดียว
แต่เขาเล่นค้นหาข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งศึกษาทุกที ที่จะมีคำตอบให้กับเขาได้
ไม่เว้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ
ในคำปรารภของผู้เขียน จึงแทบไม่มีพื้นที่ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนัก
มากไปกว่าการขอบคุณคนนั้นคนนี้ จากมหาวิทยาลัยนั้น อุทยานแห่งโน่น พิพิธภัณฑ์ตรงนี้
ใช้เวลากว่าสามปี เที่ยวสืบเสาะความรู้จริงจากที่ต่างๆ ให้ความสำคัญกับกระบวนการค้นหา
คำตอบมากเสียยิ่งกว่าตัวคำตอบที่สำเร็จรูป โดยที่พื้นฐานตั้งต้นเกิดจากความไม่พอใจ
ในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเขา (แม้ที่จริงแล้วเขาจะรู้มากก็ตาม) มองว่าวิธีการสอนปัจจุบัน
ไม่ได้สร้างความกระตือรือล้นในความกระหายทางความรู้ วิธีการแสวงหาความรู้ของเขาก็
ไม่ยาก มีเพียงไตรปุจฉาเท่านั้น อันประกอบด้วย ทำไม (whys)
อย่างไร (hows) และ เมื่อไร (whens).

ด้วยความที่พี่ Bill เป็นนักเล่าเรือ่งในการลำดับความทางวิทยาศาสตร์ (ผมว่าอันนี้จำกัดใจความ
ของเล่มได้ดีเท่านี้) มันจึงเหมาะสมสำหรับคนที่อยากสัมผัสในการเริ่มต้นความเป็นมา-เป็นไป
ในเรื่องของชีวิต โดยใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (ที่เป็นกระบวนการอย่างมีเหตุมีผล -อธิบายได้)
ถ้าไม่อยากเจอเส้นขนานของ X มีค่าสัมประสิทธิ์เท่านั้นเท่านี้ หรือ โพสิตรอนเป็นญาติส่วนไหนของ
โปรตอน เพียงแค่อยากจะรู้ว่าความรู้เรื่องโลกในองค์การนาซ่าที่เขาสอนๆ มันพอจะมีหลักวิชาอะไรคร่าวๆบ้าง
หนังสือเล่มนี้ น่าจะปูพื้นฐานที่ดี เพราะบรรยายความครอบคลุมเกือบทุกศาสตร์ที่จะเท้าความ
ความเป็นมาเป็นไปของโลกและจักรวาล นอกจากโลกได้สร้างปรากฎการณ์ทางธรรรมชาติมาแล้ว
ในแต่ละปีโลกยังได้สร้างนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ขึ้นมาอธิบายความเป็นมาเป็นไปของโลก
ตามหลักวิชาการที่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ที่จะคุยกันเข้าใจ
หากท่านตั้งคำถามใดเกี่ยวกับโลกใบนี้ที่เราอาศัยอยู่
บอกได้เลยว่า หนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้พร้อมเสมอ แต่อาจจะไม่แบ่งเป็นข้อๆ ชนิดที่ ถามมาตอบไป
แต่จะร้อยเรียงเรื่องราวอย่างมีลำดับความ ไม่ฟันธงว่าแนวคิดใดถูกต้องที่สุด
แต่จะให้เห็นแนวคิดในมุมต่าง และทรรศนะต่อความคิดนั้นๆ ในชุมชนวิชาการที่เข้าถกเถียงกันไม่รู้จบ
ไม่ได้มีแค่แนวคิดของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น พี่ Bill ยังไปแหงมประตูหลังบ้าน ให้ได้เห็นพฤติกรรม
ชีวิตแปลกๆบางส่วนของคนที่โลกยกย่องว่า "อัจฉริยะ" แท้ที่จริง ก็ยังมีชีวิตที่พิลึกพิลั่น
ที่ดูไม่สมกับความเป็นวิทยาศาสตร์ของเขาเลย เราเลยจะได้อ่าน........................
ความเซ่อซ่าครั้งใหญ่ของไอน์สไตน์ ที่ไปใส่ค่าคงที่ ให้เหมือนจักรวาลถูกกดปุ่มหยุดเวลาทางคณิตศาสตร์
หรือนายฮับเบิลนายดูดาวชื่อก้อง ที่เคยเล่นกีฬาโรงเรียน จนได้เเชมป์เจ็ดอย่างในคราววันเดียว

บทที่แกจะอธิบายหลักวิทยาศาสตร์ ให้ลบภาพการอธิบายเฉลยในรายการแมกกาเคลิปเวอร์ฉลาดสุดๆ
ที่ดูจะตื่นเต้นกับการทดลอง แต่ก็ยังจับใจความอธิบายของผลเฉลยไม่ค่อยได้
พี่ Bill มีการอธิบายที่ง่ายกว่านั้น หากเป็นปัญหาเรื่องเกี่ยวกับจำนวนตัวเลข แทนที่จะมุ่งเน้น
แต่ปริมาณ แกก็เอาไปเทียบกับอะไรที่พอให้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น หรือการทำงานของ
กระบวนการอะไรบางอย่างที่แลดูโคตรจะ ซับซ้อน ก็อธิบายความให้เด็ก ป๕ ที่ นายกอาซากุระ เคนตะ
จากซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง Change ชอบอ้างนักอ้างหนา ให้เข้าใจได้ง่ายๆ เช่น.........................
ยีนที่มีตำแหน่งสร้างโปรตีน มันก็ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ เหมือนคีย์เปียโน เมื่อยีนรวมกัน
ก็เหมือนเล่นเปียโนหลายๆคีย์ จนปรากฎเป็นบทเพลงซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ รู้จักกันนาม "จีโนมมนุษย์"
หรือโปรตอนเป็นส่วนหนึ่งของอะตอม มีค่าเท่ากับ จุดเล็กๆ ของตัว i นั้นเอง

A Short History of Nearly Everything อาจไม่ได้เป็นหนังสือที่เหมาะแก่การสรุปความ
เพราะความที่ผู้เขียนจริงจังสลับหยอกในข้อมูล แต่เหมาะสำหรับการต่อยอดและค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม
เป็นหนังสือแนววิทยาศาสตร์ที่ขายดีที่สุดในปี ๒๐๐๕ (the bestselling popular science book )
และยังได้รางวัลแปลกๆในหมวดวิทยาศาสตร์ ทั้งรางวัล Aventis Prize
และ Descartes Prize ในปี ๒๐๐๔
เอาเข้าจริงแล้ว ควรจะเรียกว่า เป็นงานสหวิทยาการ (interdisciplinary)
เพราะไม่ได้จำกัดความเพียงแค่ด้านวิทยาศาสตร์อย่างเดียว แต่ยังมีศาสตร์พวก
เคมี (chemistry) บรรพชีวิน (paleontology) ดาราศาสตร์ (astronomy)
สสารวิทยา (particle physics) และอื่นๆ
ถ้าไม่ติดเรื่องความหนาของเล่ม ผมว่าเด็กสายวิทย์น่าจะซ่อนเอาไว้ติดสอบ
ในทุกๆวิชาที่เด็กสายวิทย์ได้เรียน หรือถ้ามองโลกในแง่ดีมากกว่านั้น
ครูวิทยาศาสตร์ทุกคนควรจะต้องอ่านเพื่อไว้ใช้ในการสอนวิชาเรียน
จะได้ทลายของความเป็นศาสตร์ที่น่าเบื่อหน่าย ตามความเชื่อของเด็กสายศิลป์อย่างผม
หากให้นิยามเบ็ดเสร็จของหนังสือเล่มนี้ ขอลอกคำวิจารณ์ของนักอ่านท่านหนึ่งใน
Amazon ที่ว่าเป็น the Best Armchair Scientist Book ศาสตร์หนักๆ ที่ขับเคลื่อน
บนเก้าอี้โยกสบายๆ ในการอธิบายที่ชิ้วๆ ที่เด็กสายวิทย์ได้อ่านต้องน้ำตาคลอ
ที่ว่า "ทำไมในห้องเรียนไม่สอนสนุกๆอย่างนี้กับตู!" ........




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 15:36:32 น.
Counter : 996 Pageviews.  

ตลาดที่แพงเวอร์ เจอกับตลาดที่ไม่สมบูรณ์



๘๐ ล้านปอนด์!!

ตัวเลขกลมๆ ที่ดันมีศูนย์ต่อท้าย ตั้งหลายตัว

ค่าตัวระดับสถิติโลกล่าสุด ที่ยังไม่รู้จักหยุดหย่อน ของนักเตะกระทาชาย

อย่าง "เจ้าหนูโด้" คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีก (ที่บินไม่ได้) ของทีมชาติโปรตุเกส

ของทีมปีศาจแดง-แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งศึกพรีเมียร์ลีก

ค่าตัวของการเสนอซื้อ

ที่เครื่องคิดเลขอันเกิดการเป็นของแถม จากการซื้อถ่านไฟฉายอัลคาไลท์ยี่ห้อหนึ่ง

ไม่อาจเสนอปริมาณค่าตัวที่เป็นเงินบาทไทยได้เต็มช่องนัก

แต่นักข่าวหลายสำนักต่างที่มีเครือ่งคิดเลขที่ดีกว่า รายงานตรงกันว่า

เป็นตัวเลขระดับน้องๆน้าแม้ว อยู่ที่ ๔๔,๐๐๐ ล้านบาท!!!

ตัวเลขที่ระดับท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แม้จะพยายามรั้งให้หนูโด้

ร่วมชายคาในโอแทฟฟอร์ดมานานหลายปี ก็ต้องโบกมืออำลาอย่างมีน้ำตาปนรอยยิ้ม

พร้อมกับเอามือลูบปากอยู่หน่อยๆ

ก็ทีมราชันย์ชุดขาวอย่างรีลมาดริด (ทีมที่แรกเริ่มเกิดจากเหล่าปัญญาชนรวมหัวกันเตะบอล

จึงเกิดการแบ่งทีม กลายมาเป็นทีมอย่าง รีล มาดริด)

ป้อนราคาดีปานนี้

การ "ปฏิเสธ" ยังดูยากกว่าการ "รับข้อเสนอ" อยู่เป็นไหนๆ บางที

การรั้งตัวนักเตะ อาจเป็นความทรมานของ "ผู้รั้ง" มากกว่าตัว "นักเตะ"

ที่อยากจะย้ายทีมสักอีก

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ทีมดังกล่าวยังได้ประสบความสำเร็จ

ในการขอซื้อตัวนักเตะซูเปอร์สตาร์ของทีมปีศาจแดง-ดำ เอซีมิลาน

อย่าง "กาก้า"

นักเตะที่ทีมแมนยูยกนิ้ว (มือ) ให้ด้วยฝีเท้า ที่เคยสยบให้ปีศาจต้องตกรอบแชมเปี้ยนลีก

แต่แฟนบอลเมืองไทยกลับสดุดีเขา ด้วยเพลง "ผีกาก้า" เมื่อหลายปีก่อน

เมื่อทีมดังในศึกกัลโชฯ ของเมืองมักกะโรนี ที่กำลังร่อแหร่

มาเสนาะกับราคาที่หมิ่นเหม่กับค่าตัว ที่เขาว่าสูงที่สุดพอๆกับ ซีเนดีน ซีดาน

ที่เคยเป็นเต้ย ในเรื่องของสุดยอดค่าตัวแพงเวอร์ตลอดกาล

โดยต้องอาศัยการตีมูลค่าเปรียบเทียบของค่าเงินยูโร่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อปัจจุบัน

แต่ถ้ามองด้วยสายตาแบบคนไม่คิดมาก เป็นอันว่า เป็นราคาที่แพงเวอร์พอๆกัน

เป็นค่าตัวที่ต้องอาศัยการเหมารวมเงินเดือนนายก ฯ ในแถบอุษาคเนย์

มาบวกกับผู้นำกลุ่ม G7 สักสี่ถึงห้าคน มันถึงจะพอกับค่าเหนื่อยต่อหนึ่งสัปดาห์ของนักเตะผู้นี้

(อย่างกรณีหนูโด้ ค่า(ที่ชวนให้เรารู้สึก)เหนื่อย ตรงสัปดาห์ละ ๘.๖๘ ล้านบาท ย้ำนะสัปดาห์!)

เราจึงเห็นหนูน้องปารีส ฮิวตัน รู้สึกอยากจะร่วมเหนื่อยในงานปาร์ตี้สุดหรู

ที่ดันไปมีหนูโด้ร่วมแจม ทั้งๆที่กำลังพักอาการบาดเจ็บจากการผ่าตัดไส้เลื่อนอยู่





"แพง" อย่างเดียว ก็เป็นศัพท์ที่ดูไม่สวยหรูพอที่จะสู้ราคากันแล้ว

ยิ่งมาพ่วงกับคำว่า "เวอร์" เข้าไปอีก เป็นการเสริมดวงของความไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

จึงมีเสียงเล็ดลอดจากบิ๊กบอส ยูฟ่า อย่าง มิเชล พลาตินี่ อดีตนักเตะชั้นเทพ

ว่าจะประชุมตั้งกฎสักข้อ เพื่อล้อมคอกของอาการโชว์พาวของทีมยักษ์ที่บ้าระห่ำซื้อดะ

ทั้งๆที่ ช่วงชีวิตวัยหนุ่มของพลาตินี่กลับไม่เคยได้เสนาะราคาดีๆ เช่นนี้บ้างเลย

เวลาที่เราเห็นนักเตะหรือทางสโมสร ที่ปากบอกว่า "นักเตะคนนั้น-คนนี้ไม่ได้มีไว้ขาย"

ขอจงเชื่อไว้ในใจว่า "ไอ้หมอนี้มีแนวโน้มไปแน่ (สูง) เพียงแค่เล่นตัวอัพราคา"

ดูกรณีอย่าง หลุยส์ ฟิโก้ ละกัน ตอนอยู่บาร์ซ่า ปากก็พร่ำว่ารักสโมสรแทบตาย

จากนั้นทางมาดริด เพิ่มออปชั่นให้อีกเท่าตัว วันรุ่งขึ้นถ่ายรูปยิ้มแป้นในสีเสื้ออีกทีมเฉย.....






เมื่อพรรคการเมืองใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "ป.ช.น." อันหมายถึง "ประชานิยม"

เป็นโอกาสเพื่อให้ได้เสียงส่วนใหญ่ ในการบริหารประเทศ

แล้วจะเเปลกอะไรในเมื่อ การดำรงซึ่งตำแหน่งประธานสโมสรของทีมฟุตบอล

จะเลือกใช้ "ช.ป.น." อันหมายถึง "ช้อปปิ้งนิยม" อันเป็น

"นโยบายประชานิยมอย่างเป็นรูปธรรม" แบบใครเขาบ้างไม่ได้!

ปรากฎการณ์ของค่าตัวนักเตะแพงเวอร์ จึงไม่ต่างกับงานภาพเขียนศิลปะของจิตกรเอก

ที่ว่ากันด้วยหลักของการขาดแคลน (Scarcity)

คือ มีฝืมือ จุดขาย การสร้างชื่อ และประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา

เหมือนกับ "เพชร" ที่หาง่ายอย่างกับร่อนเกลือ เพชรนั่นก็ไร้ค่าในบัดดล

ดังนั้นวงการฟุตบอลจึงเกิดอาชีพที่ช่วยเสริม การหา "ช้างเผือก" ประดับวงการนานับ

ทั้ง เอเยนต์ นายหน้า ผู้ตรวจสอบลิขสิทธิ์ ทนายส่วนตัว โมเดลิ่ง ดีไซเนอร์

บอดี้การ์ด แมวมอง หมามอง และสารพัดที่จะมองเป็นตัวๆ




เป็นเรื่องแปลก ยิ่งถ้านักเตะมีลูก Bad Boy นิดๆ ชอบออกสังคมหน่อยๆ

ก็จะถือว่าเป็นการสร้างรสชาติการติดตามให้กับปาปาราสซี

ชนิดที่ไม่ต้องตามมาแอบถ่าย แต่หาเรื่องให้ตัวเองเป็นข่าวได้ ถ้าไม่เชื่อ....... ........

ก็ให้มองคนอย่าง โอเวน เจอร์ราด เชียร์เรอร์ เป็นต้น

ถ้าว่าคนเหล่านี้เก่งไหม? ก็ต้องตอบว่าคนพวกนี้เก่งขั้นเทพ.............แต่กับไม่ค่อยมีสีสัน

แต่ถ้ายกคันโตนาที่ไปถีบแฟนบอลคริสตัน พาเลส

หรือเดวิด แบ็คแคม ที่มีข่าวนอกใจวิกตอเรีย ภรรยาสุดเลิฟแก

นักเตะเหล่านี้จะเป็นอมตะ เป็นจุดสนใจทั้งในสนามยันไปถึงเรื่องนอกสนามเชียว

เหมือนกับที่พิษณุ นิลกลัด เคยบอกไว้ ต้องมีกลิ่นของความเป็น "นักเตะติสต์"

ผู้คนถึงจะจดจำ เอาง่ายๆ อย่างซีดาน โขกทำประตูมาตั้งเยอะ คนไม่ค่อยจำหรอก

แต่ถ้าให้นึกถึงตอนอารมณ์ฉุน ที่มาเตรัชซีด่าผู้บังเกิดเกล้า..........อันนี้จำได้ถนัด

แถมทีวีชอบมาฉายซ้ำอีก!



ดังนั้น.....พลังของการซื้อ อาจจะไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถที่แท้จริงของนักเตะ

ด้วยเฉพาะแต่จุดประสงค์ของความเป็นแชมป์และขายบัตรเข้าชมแต่เพียงเท่านั้น

อาจจะว่าด้วยเรื่องของ อีโก้ของผู้ซื้อ การสร้างพื้นที่ข่าว การเพิ่มมูลค่าของทีมแบนด์

ตลอดจนไปถึงการจับจองลิขสิทธิ์ของการถ่ายทอด ต่อยอดผลิตภัณฑ์ในเครือ

สร้างสินค้าภายใต้ชื่อนักกีฬา (ดูอย่างกรณีแบ็คแคมที่ยอมลดค่าตัว เพื่อแลกส่วนต่างค่าลิขสิทธิ์)

ลิขสิทธิ์ในการสร้างเกมส์ การตระเวนโชว์ตัวที่เน้นทางฝั่งเอเชียแทนที่จะเป็นแอฟริกากลาง

การต่อแถวมาเป็นสปอนต์เซอร์ด้วยพื้นที่โลโก้เล็กๆบนเสื้อที่มีมูลค่าตารางเซนติเมตรละหลายล้าน

ในทางจิตวิทยา การได้นักเตะฝีเท้าขั้นเทพมาร่วมทีม

จะทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น นักเตะต้องพยายามแย่งตำแหน่งกันเองในทีม

ประเภทเอารองเท้าไปซ่อน หรือแอบใส่ยาถ่าย สำหรับมืออาชีพแล้ว.............เขาไม่ทำกัน

จะทำให้ "การได้นั่ง" ถือเป็นเรือ่งคอขาดบาดตายของเหล่านักเตะมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะการได้ "นั่งพักเป็นตัวสำรอง" นอกจากไม่ได้แสดงฝีเท้าแล้ว

ยังเป็นการลดโอกาสในการสร้างมูลค่า ทั้งในด้านการตลาดและเชิงสถิติ





จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่นักเตะอาชีพจะต้องมีความมุ่งมั่น

ในความก้าวหน้าในชีวิตของสัมมาอาชีพ ด้วยระยะเวลาของสังขารในการค้าแข้ง

ที่มีช่วงเวลาที่จำกัด นักเตะหลายคนต้องมาจบชีวิตทางอาชีพด้วยอาการบาดเจ็บเรื้อรัง

อันเป็นผลจากการตรากตรำอย่างหนักตั้งแต่เด็ก (เมาหัวราเพราะผิดหวังที่ไม่ได้ค้าอาชีพก็เยอะ)

ถึงกระนั้น "ตลาดนักฟุตบอล" ควรได้การยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดแรงงาน

ที่พัฒนาไปกว่า "ตลาดของนักการเมือง" ไปหลายชั่วโคตร

ด้วยความที่เป็นตลาดที่เรียกว่า Contract Employment ที่มีการระบุถึงพันธะสัญญา

อย่างเปิดเผยทั้งในกลุ่มผู้ซื้อ ผู้ขายและผู้ทำสัญญา ที่ชัดเจน กำหนดถึงค่าตอบเเทน

และบทลงโทษในกรณีของการละเมิดสัญญาอย่างรุนแรง แม้นักเตะจะมีค่าไม่ต่างจาก

สินทรัพย์ของทางสโมสร

ผิดกับตลาดนักการเมือง ที่เป็น Incomplete Contract นอกจากไม่มีลายลักษณ์อักษรแล้ว

ยังมิได้ระบุพันธะใดใดระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย แม้ว่านักการเมืองผู้นั้นจะเบี้ยวสัญญา

ตระบัดสัตย์ หรือเคยสัญญาว่าจะให้ต่างต่างนานา อีกทั้งยังลอยหน้าลอยตาอย่างไม่

สะทกสะท้าน หรือเป็นคุณแอบทางการเมืองโดยไม่ยี่หร่าต่อบทลงโทษที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ตลาดการเมืองบ้านเรา จึงยังคงเป็น Quasi-Market ที่ไม่รู้จะออกหัว-ออกก้อย

ทางข้างฝ่ายไหน ก็ถูกกินสักเต็มประดาอยู่ดี.........................







ข้อมูลเสริมจาก
- นักการเมืองควรเป็นสินทรัพย์ของพรรคการเมืองหรือไม่?
โดย รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ผู้จัดการรายวัน วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๗
- ภาพเขียน 3 พันล้านบาท โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มติชนรายวัน ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๕
- โรนัลโด้ ภูมิใจสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลก จาก ActiveRadio99
- นักเตะ ติสต์ ใน คอลัมภ์ หลับตามอง โดย พิษณุ นิลกลัด




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2552    
Last Update : 17 มิถุนายน 2552 22:45:02 น.
Counter : 769 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.