Bloggang.com : Mr.Chanpanakrit - Six Degrees หกองศาโลกาก็วินาศ (๑)

Bloggang.com : weblog for you and your gang

A ........ Z

Group Blog

อับเดทซีรีย์ญี่ปุ่น 2

All blogs

Six Degrees หกองศาโลกาก็วินาศ (๑)

ขณะที่กำลังจะอัพบล็อกเรื่องใหม่อยู่นี้
อุณหภูมิภายในห้องบนเครื่องวัดที่แสดงค่า จากส่วนโปรแกรมเสริมที่เรียกว่า add on
บ่งบอกว่า สภาวะอากาศของเมืองกรุงเทพในขณะนี้ อยู่ที่ ๓๐ องศาเซลเซียส
เมื่อเทียบกับเมื่อวาน ปรากฎอยู่ที่ ๒๙ องศา ถ้ามองโดยปกติขนทั่วไป
เจ้าอุณหภูมิที่แตกต่างแบบขึ้นๆลงๆ ดูจะเป็นสิ่งสามัญตามการรับรู้ทั่วไป
ไม่ต่างจากกระดานของตลาดหุ้น ที่เพิ่มขึ้นในวันนี้กี่จุด ลดลงกี่จุด
แต่หลังจากที่ได้ชมสารคดีเรื่อง SIX DEGREES COULD CHANG THE WORLD
หรือชื่อภาษาไทยว่า ๖ องศาเซลเซียสเปลี่ยนโลกได้
ทำให้ทุกๆ หนึ่งองศาในแต่ละวัน จิตใจของตัวเองออกอาการตุ้มๆต้อมๆ
ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย เพราะเชื่อไหมว่า แค่เพียงหนึ่งองศา
ก็สามารถทำให้บางประเทศ หายราบไปจากแผนที่โลกในปัจจุบันได้เลย

SIX DEGREES COULD CHANG THE WORLD
เป็นสารคดีที่เชื่อถือได้จากทีมงาน National Geographic
ถ้ามียี่ห้อทีมนี้แปะหล้าหน้ากล่องเมื่อใด
เชื่อใจได้ว่าจะมียอดขายที่กระเตื้องขึ้น จนครั้งหนึ่งไปเดินแถวคลองถม
ยังแอบไปเห็นสารคดีจีนแดงหลายเรื่อง ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของ
National Geographic ดันไปมีชื่อยี่ห้อทีมนี้ เพื่ออาศัยในการสร้างยอดขาย

เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ SIX DEGREES COULD CHANG THE WORLD
สารคดีเรื่องยิ่งใหญ่นี้ ทางบริษัทแมงป่องได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายและเผยแพร่
ถึงแม้ว่าตลาดวีดีทัศน์ประเภทสารคดี เท่าที่สังเกตจากการวางแผงในร้านทั่วไป
จะถูกปรับเปลี่ยนหรือขยับเขยื้อนน้อยครั้งกว่ามาก เมื่อเผลอไปเทียบกับ
ประเภทภาพยนตร์ ซีรีย์ การ์ตูนหรือซีดีเพลง มันจึงมีพื้นที่ในหมวดช่องเล็กๆ
ตามมุมหลืบของซอกด้านในสุด ในที่ๆมีเเสงไฟสลัวๆ นานวันเข้าก็อาจมีสารคดีเรื่องใหม่
หลงเข้ามาร่วมจัดวางปะปน ชนิดที่ต้องตั้งซ้อนทับกับสารคดีค้างปีเรื่องอื่นๆ
แต่ดีหน่อย..........ที่หมวดสารคดีเทือกนี้จะเป็นงานอมตะ ที่ไม่ทันซื้อหาในรุ่นเรา
บางทีรุ่นลูกรุ่นหลานก็ยังจะสามารถตามหาเก็บได้ อย่างไม่ยากเย็นนัก
เอาละ! เตรียมเครื่องเทอร์โมมิเตอร์ของคุณให้พร้อม เอา ๙๔ องศานับจากบนสุดของคุณ
โยนทิ้งไป ! เพราะงานนี้เราจะใช้กันจริงๆ เพียงแค่ ๖ องศาเบื้องต้นเท่านั้น
เพราะนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า แค่ ๖ นี้เอง คือ จุดจบสุดท้าย เท่าที่โลกจะทานทนอยู่ได้นักแล

สารคดีเรื่องนี้ ค่อยๆไล่ลำดับ จากสมมติฐานขององศาลำดับที่หนึ่งที่เพิ่มสูงขึ้น
อันเป็นองศาที่ใกล้เคียงกับสภาวะปัจจุบันมากที่สุด แค่เริ่มต้น
มันการอุ่นเครื่องร้อนๆ จากภาพการไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ ที่ชาวเมืองซิดนีย์โจษจันว่า เป็น
Black Chrismas เป็นปลายปีที่มีเพลิงไหม้กว่า ๙๐๐ จุดรอบทั่วผืนป่าของปี ๒๐๐๑
จนเหล่านักดับเพลิงต่างบอกตรงกันว่า
"แรกก็ตื่นเต้นกันดี แต่ระยะหลังชักรู้สึกเฉยๆ แล้วละ"
แต่นั้นถือว่าเป็นสัญญาณเตือนจากโลกในเบื้องต้น
จนมีคำขู่เล็กๆ จากนักวิเคราะห์สภาพอากาศเตือนว่า แม้จากปากท่อไอเสียเล็กๆ
ก็อาจทำให้ไม่เกินห้าสิบปีข้างหน้า เนินน้ำเเข็งในเทือกเขาหิมาลัยหล่อมละลายจนไม่เหลือซาก
ในทุกๆ ของคาร์บอนไดออกไซด์ ล้วนเป็นราคาที่เราจะต้องจ่ายในอนาคตทั้งสิ้น
(CO2 is the hidden price we pay)
เชือ่ไหมว่า ทุกวันนี้มี คาร์บอนฯ กว่า ๓๘๓ โมเลกุล ในทุกๆ ประชากรล้านคน
ถ้ายังยึดในอัตราส่วนเช่นนี้อยู่ ก็ถือว่ายังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับจุดอันตรายที่ตั้งไว้ที่
๔๕๐ หน่วยโมเลกุล คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ทุกๆองศาของโลก เกิดจากผลของปริมาณที่เพิ่มขึ้น
จากทุกประชากรล้านคน ที่กิน ดื่ม ใช้ จากเหล่ากิจกรรมที่มีผลพวงต่อการสร้างปริมาณคาร์บอน
ที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ช้าสักวัน ..........มนุษย์พร้อมที่จะยอมรับผลจากค่าใช้จ่ายที่ซ่อนไว้แล้วรึยัง?
ดังนั้นผู้คนควรเลือกใช้ "ภาพที่ถูกต้อง" (Right Pic) นักวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมบอกถึงทางออก
แต่ที่ตลกร้ายยิ่งกว่า ตรงที่
ถ้าโลกร้อนขึ้น ๑ องศา มนุษย์จะสร้างหน้าประวัติศาสตร์ทางการเดินเรือบนขั้วโลกเหนือ
ฟังดูน่าดีใจน้อ! แต่ทว่าก็ต้องแลกกับการที่ไม่มีขั้วน้ำแข็งของมหาสมุทรแอตแลนติก
ที่ซึ่งน้ำเเข็งไม่ได้หายไปไหน มันได้แปรเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นปริมาณน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น
หมู่บ้านบริเวณอ่าวเบงกอลก็จะจมหายมิดไป เกิดการก่อตัวของเฮอร์ริเคนลูกใหญ่ใน
มหาสมุทรตอนใต้ ส่วนตะวันตกของอเมริกาก็จะแห้งแล้ว ตลาดข้าวและเนื้อของโลกก็จะ
ปั่นป่วนอันเกิดจากผลผลิตที่ลดลง ......................สุดท้ายมนุษย์ก็แย่งกันกักตุนเหมือนเคย!!
ทั้งหมดนี้เป็นผลอันเกิดจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น เพียงแค่องศาเดียว........เท่านั้น!
ในสารคดีก็ได้หยิบยกตัวอย่างครอบครัวในพื้นที่สมมติฐานที่ว่ามา ประมาณว่า
พวกอั๊วไม่ได้นั่งเทียนคิดเล่นๆนะโว้ย! โดยลงพื้นที่จริงและไปสัมภาษณ์ให้เห็นถึง
ปัญหาในเวลาปัจจุบัน (แต่ก็เลือกมุมที่ดูจริงจังและใช้กราฟฟิคช่วยซ้ำเติมนิดหน่อย)
มีการกระทบกระเทียบนิดหน่อย โดยไปถ่ายภาพชาวไร่คนหนึ่งที่กรุงลอนดอน
ที่หาเขาบ้าที่คิดจะมาปลูกไวน์และต้นมะกอก ซึ่งไม่ใช่พืชท้องถิ่น
แต่ปรากฎว่า.........เขาปลูกได้จริงและขึ้นดอกออกผลดีสักด้วยซิ
เพื่อแสดงว่า ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศของโลก มีผลต่อการเจริญเติบโต
ของพืชที่เปลี่ยนแปลงไป บางทีไม่นานประเทศไทยอาจปลูกต้นซากุระได้ใครจะรู้

แต่ตัวสารคดีดูจะจับจ้องกับปัญหาเรื่อง คาร์บอนไดออกไซด์มากเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะใน chapter ที่สอง ดูจะอุทิศให้กับประเด็นนี้เกือบทั้งเรื่อง
จนดูเหมือนสารคดีเรือ่งนี้ กำลังจับผิดประเด็น อันไม่ตรงกับชื่อเรือ่งที่ชวนให้อั๊ว
ควักตังค์ซื้อ ในสารคดีสร้างความรู้สึกขัดแย้งในพฤติกรรมของผู้บริโภคในด้านชนชั้น
ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา ไม่ต้องอะไรมาก
ขณะที่โฟกัสกิจกรรมของประเทศที่พัฒนาแล้ว สารคดีก็เที่ยวไปฉายภาพ
โรงงานอุตสาหกรรมที่มีปล่องไฟขนาดยักษ์ โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์
แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล เขื่อนฮูเวอร์อย่างงี้ แสดงถึงความเป็นประเทศตัวผลาญ
ที่ชัดเจนเสียนี้กระไร ด้วยวัตถุประสงค์หลักทั้งหมดที่กำลังว่ากันเรื่องพลังงานจากฟอสซิส
ไม่ว่าจะเป็น ถ่านหิน น้ำมัน เหมืองแร่ แล้วค่อยๆมาบรรจบตอนท้ายกับภาพ
คนอินเดียกำลังเอามือซุกล้วงธนบัตรตามริมขอบกางเกงใน แล้วมากรีดนับทีละใบ
เพื่อเลือกซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า แบบที่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อหล่อเลี้ยงพลังงาน
ดูไปก็เจ็บปวดไป ดีที่ไม่เลือกพระโขนงหรือเทสโก้โลตัสตรงหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าบ้านเรา
ส่วนหนึ่งคงเพราะโลเกชั่นแสดงท้องถิ่นนิยมไม่ชัดเจน
หากมีรถเข็นที่กำลังบรรทุกทีวีพลาสม่า แล้วยิ้มชูสองนิ้วชาวสยาม
อันนี้คงไม่สะท้อนความเป็นไทยนิยมนัก ได้เท่ากันอินเดียที่สวมสาหรี่แล้วเอาทีวีแบกขึ้นบ่า

แค่เห็นฤทธิ์ของอุณหภูมิแรก ก็กินเวลาไปครึ่งชั่วโมง
จากนั้นสมมติฐานที่สองของอุณหภูมิร้อนๆ ที่ทำให้เราต้องหนาวๆ ก็ตามมา
ดูจะไม่ต่างกับมหันตภัยที่กล่าวถึงในอุณหภูมิแรก เมื่อโลกเข้าสู่สององศา
เพียงทว่าเป็นการสร้างอัตราเร่งให้ฉับพลันขึ้น
เมื่อผืนน้ำแข็งในเกาะกรีนแลนด์หล่อละลาย หมีขั้วโลกอาจต้องย้ายถิ่นพำนักตามสวนสัตว์
หมีป่าในอเมริกาตอนเหนืออาจได้รับผลกระทบจากการไม่มีป่าสน
เนื่องด้วยแมลงปีกแข็งตัวน้อยโยกย้ายหากินป่าสนอันโอชะแห่งนี้
เกิดป่าแห่งใหม่ในแคนาดาเพราะป่าน้ำแข็งได้ละลาย เกาะบริเวณแปซิฟิกจมหายไป
ปะการังเขตร้อนจะสิ้นสภาพความอุดมสมบูรณ์ไป ความหลากหลายทางชีวภาพจะได้รับผลกระทบ
นักธรณีวิทยทางน้ำเขาก็เข้าใจเปรียบเทียบน้อ ก็ไม่ต่างจากต้นไม้แสนรักหน้าบ้านคุณได้หายไป
หนึ่งต้นในทุกๆ ห้าต้นที่เรามี รู้ไหมว่า.....................
แค่เสียแนวปะการังหนึ่งแนว ก็มีผลต่อความหลากหลายทางทะเลไปตั้งห้าแสนสายพันธ์
รักน้ำ รักปลา รักซากุระ คงไม่เพียงพอสักแล้ว คงต้องรักษาระดับอุณหภูมิโลกไปในตัวด้วย

ยังมีเสริมในหลักสถิติตลกๆ แบบที่เราไม่เคยรู้มาเลย เช่น
ขณะที่น้ำแข็งขั้วโลกที่หลอมละลายทุกวันนี้ก็มีมากพอให้คนนิวยอร์กบริโภคไปตั้งปี
สุนัขลากเลื่อนในกรีนแลนด์กำลังตกงาน เพราะไม่มีพื้นที่น้ำเเข็งให้เล่น
จากการคาดคะเนของปริมาณน้ำแข็งในกรีนแลนด์ ถ้าละลายกลายเป็นน้ำในทะเลแล้ว
เชื่อได้ว่าจะมีไม่น้อยกว่า ๗ เมตร มากพอที่จะทำให้เมืองใหญ่ อย่าง เซียงไฮ้ ลอนดอน
นิวยอร์กและกรุงเทพของเรา จมหายจากการหาของgoogle earth
ว่าแล้วควรหาโครงการเกษียณนอกฝั่งกรุงเทพเป็นดีที่สุด

ประเด็นเรื่องอุณหภูมิที่ ๒ องศา ถือเป็นประเด็นที่นักวิทยาศาสตร์โฟกัสในที่ประชุมต่างๆ
มากที่สุด ถ้าเรียกตามประสานักศึกษาโลก ก็ต้องเรียกว่า จุดเปลี่ยน (Tipping Point)
เพราะมีจุดที่มีผลต่อความเป็นไปของมนุษยชาติมากที่สุด ทางแก้ที่ง่ายที่สุดในตอนนี้
คงไม่มีอะไรมากไปกว่า เพียงอย่างให้ร้อนระดับสององศา เท่านั้นเป็นพอ

และองศาสุดท้ายที่จะบอกเล่าเก้าสิบในวันนี้ คือ องศาที่ ๓
(ขืนบอกหมด เกรงจะวิกลจริตด้วยการปรับตัวไม่ทัน) เป็นองศาคาบแบ่ง
ระหว่างความเป็นกับความตาย เพราะมีนักวิทยาศาสตร์บางสายเชื่อว่า ระดับที่สององศา
ยังเป็นองศาที่ชี้วัดได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ถ้าเป็นที่สาม ต้องบอกว่า "ตายยังเขียด"
ยังคงว่าเรื่องด้วย การละลายของน้ำแข็ง โดยมองว่า ฤดูร้อน เป็นฤดูที่มนุษยไม่พึงปรารถนา
เพราะจะซ้ำเติมการหลอมละลายของขั้วโลกที่ชัดเจนขึ้น
ป่าอเมซอนก็จะกลายเป็นป่าแห่งทะเลทราย (มีการนำภาพ ปี ๒๐๐๕ ที่รัฐบาลบราซิล สั่ง
เฮลิคอปเตอร์ขนน้ำไปหล่อมเลี้ยงสายน้ำไม่ให้เหือดแห้ง)
หิมะบนเขาแอลป์ที่สวยๆก็จะหายไป ปรากฎการณ์เอลนิโญจะกลายเป็นเรื่องชาชิน
แถบเมดิเตอร์เรเนียและฝั่งยุโรปก็จะแห้งแล้ง อูฐจะกลายเป็นสัตว์พาหนะที่ขายดี
ถ้าใครจำกันได้ ปรากฎการณ์คลื่นความร้อนในยุโรปในปี ๒๐๐๓ ที่ทำให้ผู้คน
เจ็บป่วยและเสียชีวิตไปจำนวนมากในยุโรป ไม่ต่ำกว่า ๓ หมื่นคน
การสังเคราะห์แสงของพืชจะมีปัญหา มีผลต่อการคายคาร์บอนของพืชเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ อัตราของการดูดซับความชุ่มชื้นก็จะน้อยลง
องศาที่สามในสารคดี ถือว่าเป็นสัญญาณวิกฤต ที่ว่า
เราจะได้เห็นสิ่งที่โลก ไม่เคยปรากฎให้เราได้เห็นขึ้นก่อน และชีวิตของเราก็จะไม่เหมือนเดิม
ตัวอย่างของปรากฎการณ์ที่ไม่ปกติที่สารคดีหยิบยกขึ้น คือ พายุแคทรีน่าในนิวออรีน (สหรัฐ)
ตัวอย่างเดียว ชัดเจนยิ่งกว่าตัวอย่างใดใดแล้ว

ถือเป็นสารคดีที่อิงกระแสโลกร้อน ด้วยสมมติฐานที่น่าสนใจ
ไม่ต้องฐานรากของตัวสมการอะไรให้ดูยุ่งยาก ว่ากันด้วยอุณหภูมิโลกแบบมูลฐาน
เพียงแค่การวัดระดับจากจุดตั้งต้นที่ หนึ่ง ถึง หก องศา แต่นั้นก็ต้องหมายความว่า
แต่ละทวีปทั่วโลกต่างจะต้องมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นหนึ่งองศาไปพร้อมๆกัน
เพราะทุกวันนี้ เราใช้ระดับค่าเฉลี่ยโดยรวม อย่าลืมว่าขณะที่ประเทศไทยกำลังร้อนขี้น
หนึ่งองศา ก็จะมีอีกซีกโลกหนึ่งอุณหภูมิเย็นลงหนึ่งองศาเช่นเดียวกัน
ตามหลักการรักษาสมดุลของโลกโดยพลวัต แค่โจทย์คิดเริ่มต้นก็น่าสนใจแล้ว
แม้ตัวอย่างของข้อสันนิษฐานบางประเด็นดูจะเป็นเรื่องพูดซ้ำๆ เหมือนไม่มีอะไรจะขาย
แต่ทุกประเด็นที่เอามาขาย (แม้จะซ้ำ) ก็จะทวีคูณตามลำดับการของอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งจะให้ดีขอให้เแนะนำดูเป็นอุณหภูมิละตอน
SIX DEGREES COULD CHANG THE WORLD ประกอบด้วยกัน ๖ องศา
ก็แบ่งแบบไม่ต้องคิดมาก ว่ากันองศาละตอน แม้ดูในห้องแอร์ แต่ถ้าสมมติเอาตัวเอง
เข้าร่วมกันอนาคตกาลไปด้วยแล้ว ก็สามารถทำให้เหงื่อตกได้ไม่ยาก
ด้วยภาพจากจินตนาการผ่านคอมพิวเตอร์เสมือนจริง กับตัวอย่างจากเหตุการณ์ร้ายๆ
ที่เคยเกิดขึ้นจริง (และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นได้)

แม้สารคดีเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สุขใดหน้อเท่าอุณหภูมิใน พ.ศ.นี้ ก็ตามที
แต่เชื่อเถอะว่า ..........สิ่งที่บอกเล่าใน สามองศาแรก จะรู้สึกแย่น้อยไปกว่านี้
เพราะพรุ่งนี้จะมาว่าด้วย องศาที่สี่ ห้า หก ที่โหดเสียยิ่งกว่าซะอีก!!!........

ติดตามตอนจบของสารคดีเรื่องนี้ได้ที่

Six Degrees หกองศาโลกาก็วินาศ (๒)

Create Date : 26 กันยายน 2552

Last Update : 14 มีนาคม 2553 15:41:33 น.

1 comments

Counter : 1068 Pageviews.

น่าสนใจจังสารคดีเรื่องนี้

อ่านแล้วก็ทำให้วิตกเกี่ยวกับโลกของเรา

โดย: เจ้าแห่งน้ำคือพระจันทร์

วันที่: 8 มีนาคม 2553 เวลา:2:30:26 น.

Mr.Chanpanakrit

Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์

Smember

ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]

Friends' blogs

Webmaster - BlogGang

[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]

Links

>

BlogGang.com

Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.