|
ประวัติศาสตร์แบบรัฐธาธิการ
ทุกวันสงกรานต์ของทุกปี ผมมักไม่ต่างจากหมา ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังไล่สาด อย่างเมามันเหมือนยอดมนุษย์ที่พิทักษ์ความยุติธรรม เพียงเห็นแค่นั้น จำต้องรีบเดินถอยหลังกลับเข้าบ้าน โทรหาอาหารแดกด่วนถึงมันจะแพงนัก แต่ก็ปล่อย ให้เป็นชาตกรรมของพนักงานผู้ส่งอาหารโดยมีทิป เป็นค่าทำขวัญที่อุตสาห์ดั้งด้นยอมเปียกถึงที่
แต่ถือเป็นสิ่งดีที่ได้ใช้ก้นติดอยู่กับที่ไม่ไปไหน ขุดๆคุ้ยๆสมบัติเก่า มาพบใบปลิวในงานอุทยานประวัติศาสตร์ สุโขทัย จึงเอามาคัดลอกให้อ่านแบบไม่ต้องคิดมาก "Historical Background Sukhothai was the first kingdom of the thais in this peninsula.Two princes-Pho Khun Pha Muang of Muang Bangyang combined their forces and fought the Khmers who commanded an extensive empire throughout thia part of the world.
They drove the Khmers out of Sukhothai.a major frontier post of Khmer Empire and establishes as their capital in 1238.Pho Khun Bang Klang Hao. urged by the people to be king,was enthroned with the royal title of Pho Khun Si Indrathit.
King Si indrathit had two son Pho Khun Ban Muang and Pho Khun Ramkhamhaeng.After his death.Pho Khun Ban Muang succeded him.His brother.Pho Khun Ramkhamhaeng .ascended the throne in 1278 and reighed for forty years He was thailand's first great king.
King Ramkhamhaeng opened direct political relations with China and made two trips to china the first in1282 to vist Emperor Kublai Khan and the second in1300 after Kublai Khan's Death From the Second visit.He brought back Chinese artisan who taught the thais the art of pottery.Today yhe old sangkhalok potteries are eagerly sought by collectors. A Major achievement of King ramkhamhaeng was the revision of various forms of khmer alphabets into a system suitable for the writing of thai words. The alphabet that he invented in 1283 was essentially the same as that in use today.
ทั้งหมดเป็นวิธีการเสนอโดยรัฐราชการ แม้ทุกวันนี้นักประวัติศาสตร์เชิง วิพากษ์ (Criticized Historian) ก็นำประโยชน์จากการเสนอประวัติศาสตร์ ของกลุ่มรัฐราชการหลักที่ตั้งต้นนี้มาหักล้างวิธี ความคิด ความเชื่อ แต่ทั้งหมดก็อยู่ ภายใต้เนื้อหาหลักฐานเท่าที่มี โดยความจริงอาจไม่ได้เป็นจริงตามที่เสนอเอาไว้ แต่อย่าง น้อยความน่าเชื่อถือก็ย่อมมีมากกว่าสิ่งที่ประวัติศาสตร์รัฐราชการเสนอ ขึ้นมาอย่างลอยๆโดยไม่ได้ลงรายละเอียดต่อสิ่งที่ปรากฎอย่างจริงๆจังๆ ซึ่งจารีตแนวขนบนี้ ล้วนสามารถสร้างประโยชน์ต่อการสถาปนาและการ ดำรงคงอยู่ของรัฐผู้กำหนด แนว กติกาการนำเสนอไม่ว่าวิธีการหนึ่งวิธีการใด อย่างที่เคยกล่าว กระแสนักประวัติศาสตร์เชิงวิพากย์เป็นกลุ่มคนกระแสรอง เพราะข้อจำกัดในช่องทางการนำเสนอ และเป็นเพียงกลุ่มทางเลือกเฉพาะ ท่ามกลางที่คนโดยส่วนใหญ่สนใจในเรื่องเศรษฐกิจการดำรงชีพมากกว่า แต่น้อยคนจะรู้ว่า ประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งใต้จิตสำนึก ด้วยมันสามารถ กำหนดพฤติกรรม คุณค่าอันมีตัวตน (ภาษาเท่ห์ๆว่าอัตลักษณ์) การมีสำนึกร่วม กับคนแปลกหน้าภายใต้ประวัติศาสตร์ที่มีร่วมกัน ดังนั้นประวัติศาสตร์ชาติจึงคล้ายๆ สมบัติสาธารณะ ที่ไม่ต่างจากตู้โทรศัพท์เพราะทุกคนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ และปกปักรักษาร่วมกันโดยที่ไม่ต้องมาป่าวประกาศเป็นกฎหลักกฎหมายอะไร ด้วยความเชื่อในคติความศักดิ์สิทธิ์และสมบัติอันหลงเหลือของบรรพบุรุษ ยิ่งสังคมใดที่ขาดแคลนนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่สำหรับชนโลก ตัวโบราณ คดีและโบราณสถานดูจะมีคุณค่ามากเพิ่มขึ้นในแง่สัญลักษณ์ตัวแทนความเป็น ชาติในสายตาเวทีโลก ที่โม้มากตั้งเยอะจึงเพียงจะบอกว่า การเสนอสิ่งที่ดูเหมือน คัดง้างต่อวิธีคิดความเชื่อเก่า ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีความรักชาติที่ไปแตะต้อง ความเชื่อเดิมๆที่สิบเชื่อโดยไม่ตั้งคำถาม แม้ประเทศที่มีประวัติอันเก่าแก่กว่าประเทศไทย เขาวิพาย์ความเชื่อเดิมๆนับตั้งแต่ยุโรปผ่านพ้นยุคมืดทางศาสนาและเปิดแสงสว่างทาง ปัญญา ยิ่งประเทศไหนตั้งคำถามกับสิ่งที่ประวัติศาสตร์ถูกทำให้เชื่อ จะเห็นว่าประเทศ เหล่านั้นมีประชาชนที่เชื่อสิทธิในการรับรู้ของตน (จะเหลือก็แต่ประเทศเผด็จการบางประ เทศเท่านั้น) ยิ่งตีความกันมากขึ้นสิ่งที่สืบเนืองติดตามมาก็คือ เกิดการเชื่อมโยงระหว่าง ประวัติศาสตร์ชาติลงนำไปสู่ประวัติศาสตร์ทางท้องถิ่น สำนึกทางส่วนรวมของท้องถิ่น ก็เกิดขึ้นตามมา พื้นที่ทางประวิติศาสตร์ก็จะไม่ผูกมัดอยู่แต่เพียงเวทีระดับชาติหรือ กษัตริย์ไม่กี่พระองค์ ทุกพื้นที่ประเทศไทยล้วนต่างเป็นตัวต่อทางประวัติศาสตร์ ไม่ต้อง ไปตีตั๋วเข้าแถวให้แก่ห้องหมักดองวัตถุโบราณหรืออุทยานที่ไล่ชาวบ้านจะเก็บตังค์ผรั่ง ท่าเดียว เชื่อไหมว่าคนต่างจังหวัดมีสำนึกประวัติศาสตร์มากกว่าคนเมืองเสียอีก ดังนั้นผมไม่แปลกใจเลยที่คนต่างจังหวัดจะมีความสามัคคี เอื้ออาทรต่อกันและกัน ประเพณีของพวกเขามีชีวตชีวาไม่เสแสร้งเหมือนที่คนเมืองพยายามสร้างที่ดูไม่จริงใจ เอาเป็นว่าแค่ตัวอย่างภาษาอังกฤษที่ยกมามีกว่าสิบจุดที่เป็นสิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์ เพราะมันมีหลักฐานใหม่รอบรับและสอดคล้องกับความเชื่อเดิม อีกทั้งลงลึกไปกว่าข้อมูลแคบๆ ที่ยังอวดแก่ชาวต่างประเทศให้เชื่อในสิ่งเหล่านี้อยู่ ดังนั้นเห็นควรรึไม่ที่จะให้องค์กรเอกชน หันมาทำหน้าที่ชำระทางประวัติศาตร์แทน
ที่บ่นเพราะปั่นข้อมูลไม่ทัน Danceเยอะไปหน่อยเมื่อคืน
Create Date : 14 เมษายน 2551 |
Last Update : 14 เมษายน 2551 17:11:23 น. |
|
1 comments
|
Counter : 746 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Nisa IP: 124.121.123.157 วันที่: 31 สิงหาคม 2551 เวลา:10:30:59 น. |
|
|
|
| |
|
|
We love human Right