|
เบื่อวิทยาศาสตร์จริงๆละเว้ย
หลายคนคงน่าจะได้ติดตาม อ่านเห็นและผ่านตากับข่าวการทดลองทาง วิทยาศาตร์ครั้งอุโฆษะ (อย่างน้อยท่านsatan10ก็เคยนำมาเล่าผ่านการเทียบ เคียงยอดวรรณกรรมอย่างDaman&Angleอย่างเผ็ดมันส์) เมื่อเหล่านัก ฟิสิกส์เข้าห้องปฏิบัติการศูนย์วิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือ “เซิร์น” (CERN: เป็นตัวย่อจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่า Center of European Nuclear Research) ในมุมมองของฟิสิกส์ต่างหวังว่าการทดลองครั้งนี้จะเป็นบันไดอีกขั้นหนึ่งที่จะช่วยไขปริศนา ปัญหาพื้นฐานที่เกิดขึ้นในเอกภพ ขณะที่สาธารณชนและนักฟิสิกส์บางคนกลับกังวลว่า การทดลองนี้จะทำให้เกิดหลุมดำซึ่งจะกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง หรือส่งผลต่อการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลก และอาจนำมาซึ่งความหายนะของโลกได้ (ลักข่าวมาจากwww.ThaiPR.net - อังคารที่ 9 กันยายน 2008) จากนั้นก็มีสิ่ง ตอกย้ำให้เหตุการณ์แลดูน่าสะพรึงยิ่งขึ้น อย่างเช่น สาวอินเดียเครียดจัดพ่อเผยลูกสาว ติดตามข่าวการทดลองยิงอนุภาค พ่อเผยลูกสาวติดตามข่าวการทดลองยิงอนุภาค (หนังสือพิมพ์ข่าวสด ศุกร์ที่ 12 ก.ย. 2008) ทั่วโลกผิดคาดองค์กรวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป "เซิร์น" ปอดแหกไม่กล้ายิงอะตอมให้ชนกัน (หนังสือพิมพ์บ้านเมือง)
ที่หยิบยกหัวข้อข่าวมานี้ มิได้จะหมายความว่า ตัวกระผมเองจะเป็นกลุ่มนักสิ่งแวดล้อมหัวเอียงซ้าย หรือเคร่งลัทธิธรรมชาตินิยมสุดโต่ง และไม่ได้หมายความว่า จะมาเล่าเรื่องความเป็นมาเป็นไปของโครงการเรื่องนี้อย่างละเอียด หรือ(อีกนะแหละ) จะมาอธิบายทฤษฎีของฮอร์กิ้ง (Hawking) ที่มีครอบครองอยู่ตั้งสองเล่ม แต่อ่านเล่มละไม่เกินยี่สิบหน้า เพียงแต่มีความฉงนว่าแท้จริงแล้ว มนุษย์มีความหวาดกลัวการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่เล่นบทความเป็นพระเจ้า หรือแท้จริงแล้ว มนุษย์มีความหวาดเกรงวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเองแน่ หวาาาา..
ผมเองไม่แน่ใจว่าเอาเข้าจริงแล้ว(ละ) ว่านักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองจะมีความรู้สึก หวั่นเกรงแนวการทดลองระดับโลกเช่นนี้กันมากน้อยแค่ไหน (อย่างน้อยในแง่ ความเข้าใจร่วมในแนวกรอบทฤษฎีสากล อย่างอนุภาคฮิกก์ ในจินตภาพสมมติที่เชื่อว่า หากมีการชนกันของอนุภาคระดับสูงม๊ากมาก จะสามารถค้นพบ อนุภาคแปลกและใหม่ๆอีกหลายชนิดที่มนุษย์ไม่เคยพบ ตกลงรูปทรงสัณฐาน อนุภาคในคำตอบอันเกิดจากผลของวิธีการก็ยังหาข้อสรุปสอดคล้องด้วยกันเองไม่ได้ แม้แต่วิธีคิดทางิวทยาศาสตร์ในแง่ผลกระทบข้างเคียง หลายเรื่องยังต้องหาข้อสรุปเป็นสิบปีๆ จึงจะให้ผลแน่ชัดทางสังคมว่า มันมีผลกระทบขึ้นจริง(นะเฟ้ย) อย่างการผลิตโฟมหรือ สารซีเอฟซีที่ทำลายบรรยากาศโลก ตลอดจนคลื่นโทรศัพท์มือถือที่ยังลูกผีลูกคนอยู่ (และอีกมากมายที่ยังไม่รู้ตัว) อย่างโครงการ"เซิร์น"ที่ยกขึ้นมา บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้มีเรื่องข้องเคืองหมางใจอะไรเป็นการส่วนตัว เพียงแต่สิ่งที่ผมมองว่า"ผลกระทบจากความกลัวล่วงหน้า" แท้จริงเกิดขึ้นจากการขาดองค์ความรู้ของการประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์ หรือเกิดจากการประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์จนไม่อาจจินตภาพถึงผลสมมติ เขียนอย่างนี้อาจฟังดูยาก (ซึ่งผมก็ได้สะกิดมิตรให้ช่วยตรวจสอบถ้อยคำ ในประโยคดังกล่าว ก็ได้รับการส่ายหน้าอย่างไม่ใยดี) เอานี้ดีกว่า ขอเล่าแบบที่ผมตั้งคำถามกับวิทยาศาสตร์เสมอว่า คนไทยมักเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์เป็นความจริง จำเรื่อง การเอาดาวพลูโตเป็นมิตรในบริวารภพได้ไหมครับ? จริงๆแล้ว เพราะเราเห็นได้ว่าความจริงที่วิทยาศาสตร์เสนอให้เรานั้นเกิดขึ้นจาก "นิยาม" ซึ่งหาได้มีอยู่ในธรรมชาติไม่ หากเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นเอง นิยาม" ใหม่นี้ ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของทุกคน เพียงแต่เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบด้วย แล้วความจริงที่ว่าจะมาจากการโหวตได้อย่างไรครับ? (อันนี้ไม่ได้คิดเองแต่เอามาจาก บทความเรื่องศาสตร์และการครอบงำ / นิธิ เอียวศรีวงศ์) ศาสตร์ทุกชนิดล้วนเป็นจินตนาการทั้งนั้น ไม่ใช่ความจริง การเล่าเรื่องวิชาความรู้จึงต้องเรียนเพื่อให้เข้าถึงจินตนาการ ไม่ใช่เรียนตัวเนื้อหา ซึ่งมักจะลืบไปในเวลาไม่นาน เพียงแต่จินตนาการที่ว่า มันกำลังกลายเป็นจินตนาการที่มีฐานของการต่อรองในเวที วิชาการสากลมากน้อยแค่ไหน เพราะในหนังสือเรียนของวิชาวิทยาศาสตร์หลานผม แอบอ่านทีไร ทำไม!มันจึงเต็มไปด้วยบทท่องจำและผูกโยงกับความเป็นจริง ในปรากฎการณ์ทางธรรมชาติได้ยากนักแลหว่า!
เรื่องของวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้กำลังกลายเป็น กรอบจำกัดเฉพาะของกลุ่มคน ที่คนส่วนใหญ่ ไม่อาจจะสามารถเข้าถึงได้ (ซึ่งรวมถึงผมด้วยคนนึง) จะด้วยเงื่อนไขของศัพท์แสงเฉพาะ กรอบความสัมพันธ์ในหลักของเงื่อนไขเฉพาะบางประการ (ยังชอบการยกตัวอย่างของพระพรหมคุณาภรณ์ ที่ว่าถ้าเอาตึกเอ็มไพร์สเตทมาอัดควบแน่น ตัดรูโหว่ทางอากาศของตัว สสารเหล่านั้น จะได้เท่าเมล็ดถั่วเพียงเม็ดเดียว อืมม..แล้วอั๊วจะเข้าใจมันไหมเนี่ย? "วิทยาศาสตร์" จึงมิใช่ศาสตร์ว่าด้วย "ความรู้สึก" ล้วนๆ แบบที่จะให้เราจะวิพากย์วิจารณ์แบบการเมืองได้อย่างสนุกปากสนุกคำ ถึง กระนั้นก็ตาม เรื่องของ"จริยธรรม"ดูเหมือนจะเป็นส่วนเติมเต็มที่สำคัญที่จะทำให้ศาสตร์ หนึ่งศาสตร์ใดมีความบริบูรณ์อยู่ในตัวเอง ไม่ว่าจะในหมู่นักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเอง หรือในวงกว้างทางวิทยาศาสตร์ ต่างหลีกเลี่ยงและระมัดระวังที่จะพูดคุยถึงเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ทางจริยธรรมของวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าวิทยาศาสตร์วิชาการ โดยระบบแล้ว ได้สร้างกำแพงตัวมันเองขึ้นมาป้องกันหรือต้านทานต่อสาระเหล่านั้น ในขณะที่วิทยาศาสตร์อุตสาหกรรมได้โยนความรับผิดชอบไปให้คนอื่น พร้อมกันนั้นก็ปีนกำแพงนี้และออกไป (อ้างจาก เปิดพรมแดนวิทยาศาสตร์สู่พรมแดนจริยศาสตร์-Opening Science to Ethics : John Ziman) ดังนั้นจึงถึงเวลารึยัง?ที่เราไม่เพียงแต่จะถามว่า จริยธรรมจากเหล่าพวกนักการเมืองเพียงเท่านั้น แต่ ควรขยายขอบเขตความสัมพันธ์เชิงองค์รวมที่มีตัวจริยธรรมในแง่ตัวกำกับมาตรา ฐานบางอย่าง ซึ่งไม่ได้หมายความเพียงถึงจะตีกรอบข้อจำกัดในการ ทดลองใหม่ๆไม่ให้เกิดขึ้น อย่างน้อยในแง่ความระมัดระวังอย่างสำเหนียง ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์สาธารณะเอง ตลอดจนเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์อันเกิดจากการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ เพื่อสามารถทวงถามถึงความรับผิดชอบจากการทดลองที่ผิดพลาดจากเหตุอันสุดวิสัย แม้ช่วงหนึ่งสังคมไทยอาจจะเห่อเหิมกับอะไรก็ตามที่ต้องให้เป็นวิทยาศาสตร์ แล้วกีดกั้นความเป็นมนุษย์ออกจากความสำคัญทางปัจจัยของสิ่งเหล่านั้นตามไปด้วย ผลก็คือ ความเจริญทางวัตถุที่รุดหน้าจนมองหาค่าของตัวมนุษย์ไม่เจอสักที
อันที่จริงวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยนั้นมีความอาภัพมาตั้งแต่เริ่มนำเข้าจนถึงทุกวันนี้ เพราะวิทยาศาสตร์ถูกถือว่าเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น วิทยาศาสตร์ในโลกตะวันตกเป็นมากกว่าเครื่องมือมากนัก เพราะวิทยาศาสตร์คือวิธีมองความจริงอีกอย่างหนึ่งซึ่งสมัยก่อนเชื่อว่าเหนือกว่าวิธีมองความจริงอื่นๆ แม้สมัยหลังยอมรับข้อจำกัดของวิธีมองอย่างนี้มากขึ้น แต่ถึงอย่างไรแก่นแท้ของวิทยาศาสตร์คือวิธีมองความจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง จึงเป็นการกดทับทางวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้แนววิธีคิดเนียนๆที่ฝรั่งลงทุนไปไม่ต้องมาก โดยหลักของวิทยาศาสตร์เราจึงได้รับเปลือกเป็นสรณศาสตร์โดยไม่เคยได้ตระหนัก ถึงแก่นทางสังคมตะวันตกในแง่การอาศัยวิทยาศาสตร์ไปเป็นตัวผลักดันยุคมืดที่กดทับสติปัญญาของตัวบุคคลเป็นเวลานานแสนนาน เขียน อย่างนี้หาได้เป็นเด็กรักเรียนวิทยาศาสตร์อย่างสุดจิตสุดใจไม่ เพียงแต่ผมจะรู้สึกหลงรักวิทยาศาสตร์ถ้ามันเป็นศาสตร์ที่สัมพันธ์กับ ปัจจัยที่รอบด้านไม่เพียงแค่ นั่งชักโคลกแล้วมีหัวฉีดอัตโนมัติคอยให้บริการแต่เท่านั้น
Create Date : 16 กันยายน 2551 |
Last Update : 16 กันยายน 2551 23:39:17 น. |
|
1 comments
|
Counter : 834 Pageviews. |
|
|
|
โดย: จันทร์ไพลิน วันที่: 17 กันยายน 2551 เวลา:14:18:13 น. |
|
|
|
| |
|
|