A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
สุขน่า ไม่สุรา

โดยปกติ เมื่อขึ้นต้นปีใหม่ทุกปี
จะเป็นช่วงเวลาที่ผมจะได้มีโอกาสมานั่งพิจารณาตัวเอง
ในสิ่งที่ได้กระทำมาตลอดช่วงอายุเวลาหนึ่งปี
แม้จะมีหลายคนกล่าวว่า

"การเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่จำเป็นต้องวันปีใหม่เสมอไป"

ซึ่งก็จริงของเขา ! เพียงแต่ว่าวันปีใหม่ คิดชุ่ยๆ มันเหมือนกับการได้
เริ่มต้นปีพ.ศ.ใหม่ ถ้าภาษานักฮวงจุ้ยศาสตร์ เขาก็ว่า
"เวลาเปลี่ยนผ่านวงโคจรชะตาก็เปลี่ยนตาม" ดีไม่ดี ไม่รู้หรอก
แต่มีคำว่า"ใหม่"ก็สามารถดึงจิตวิทยา ความเชื่อ แล้วว่ามันยอมดีกว่า "ของเก่า"
แต่ของเก่าก็ใช่ว่าไม่ดี เสียเพียงอย่างเดียว ตรงที่มัน "ไม่ใหม่" เท่านั้นเอง

เพียงแต่ปีนี้ การเริ่มต้นพิจารณาตัวเองของผมอาจจะช้าลง
อย่างน้อยก็เพิ่งมานั่งคิดเอาวันนี้
อย่าคิดว่าการนั่งรำลึกสติ ประเมินคุณค่าชีวิตจะอาศัยเพียง "ก้น"
อันเป็นอวัยวะสำหรับการ "นั่ง" เท่านั้น โดยแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้น
คือ "สติ" อันเป็นเครื่องใช้สำหรับการนึกคิดและพิจารณา
แต่ถ้าเก้าอี้นวมแบบนุ่มสักตัว ก็อาจจะทำให้เส้นสมองการนึกคิดไหลแล่นปรู้ดกว่าเดิม
อันนี้ก็เป็นไปได้ ยิ่งถ้าเป็นสุขภัณฑ์อย่าง"ชักโครก" ด้วยแล้ว อันนี้จะไหลดี
กว่าเป็นไหนๆเลย

อย่างว่าละครับ "สติ" ถือเป็นเรื่องสำคัญ
แต่อุปสรรคของการใช้สติในการพิจารณาในช่วงเทศกาลอย่างนี้
บอกตามตรงว่า ไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะกับคนที่มีเพื่อนฝูงด้วยแล้ว
บอก"ไม่ตรง" ว่า "ไม่ง่าย" เลย (อีก)
ถ้าให้บอกอย่าง "ตรงๆ" ก็ต้องบอกว่า "โคตรยาก" เลย (หงะ)
เนื่องด้วยคืนสุดท้ายของปีที่แล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าสหายจะมาเยือนถึงห้อง
ซึ่งโดยปกติ ก็จะไม่ค่อยเปิดต้อนรับใคร......ถ้าไม่ถูกมัดมือชก !
แต่กรณีนี้ มัดมือไม่พอ ยังจับไขว้หลังให้ยอมแพ้อย่างศิโรราป เพราะเล่นมากันถึงสองคน
แต่ที่ยอมแพ้นี้ไม่ใช่เพราะการขัดขืน แต่กลับเป็นการสมยอมโดยดี
ที่ยอมก็เพราะด้วย ในมือของผู้มาเยือนที่เต็มไปด้วยน้ำอมรินทร์ที่สามารถ
ทำให้เราเป็นพิษสุราเรื้อรังได้

มนุษย์นี้ก็แปลก อย่างในราชพิธีแรกนาขวัญ "เหล้า" นั่นถือเป็นของเสี่ยง
ทายอยางหนึ่ง แต่ใช่ว่าพระโคจะเลือกทานกันอยู่ทุกปี
แต่กับมนุษย์อย่างเราแล้วไม่ ยิ่งถ้าผู้คนแสดงความเป็นมิตรจิตมิตรใจด้วยแล้ว
เจ้าบ้านอย่างผมจะทำอะไรมากได้ นอกเสียจาก"เร่ง" จัดเตรียมอาสนะ
นำแก้วบรรจุภัณฑ์วางอย่างเรียบง่าย แสดงอาการของความพยายามที่จะช่วยออกเงิน
สักนิดหน่อย เอาแบบว่า"พอเป็นพิธี" (แม้สุดท้ายจะรู้ว่ามารยาทของแขกจะต้องบ่ายเบี่ยง)
อันนี้ถามครั้งเดียว ไม่ต้องเซ้าซี้มาก (เดี๋ยวมันเปลี่ยนใจ เอาจริง!)

ภายใต้สังคมไทยที่มีกรอบทางประเพณีบางอย่าง อย่าง "การไว้ซึ่งหน้าแขก"
ยังถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แม้ว่าระบบพหุสังคมไทยจะถูกปรับเปลี่ยนมาสู่ความเป็นปัจเจกมากขึ้น
แต่สายเครือทางมารยาทแบบไทยๆ ก็ยังถูกแปรรูปลักษณ์ใหม่ เพื่อให้สอดรับกับเงื่อนไขที่เป็นไปใน-
ปัจจุบันติดตามมาด้วย ผมไม่ได้บอกว่า ผมเป็นพวกอนุรักษ์แนวคิดสมัยซักเต็มประตู
แต่ความเชื่อที่ว่า การชนแก้ว "สามใบ" ยอ่มสร้างอนุภาคของสั่นสะเทือนของคลื่นเสียง
จากวัตถุได้มากกว่าแก้ว "สองใบ" อยางแน่นอน
ซึ่งหลักฟิสิกส์นี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับโภชนาการสุราอย่างตรงจุดนัก
ไม่งั้นเขาจะมีประโยคที่ว่า "อย่าถือส่าคนบ้า อย่าว่าคนเมา" เหรอครับ

อย่างว่าปริมาณความเมาของวงเหล้า หาได้วัดกันที่แก้วไม่
เพราะแท้จริง เขาว่ากันเป็นขวดๆ ที่สำคัญวงเหล้าเขาก็ไม่ได้นับกันว่าคนไหน
ท่านใด เขาดื่มมากน้อยกันแค่ไหน ที่ผมไม่เข้าใจ ก็คือ ทำไมจุดสิ้นสุดของการดื่มเหล้า
เขาจึงวัดเอากันทีขวดนั้น ขวดนี้ คือขวดสุดท้าย (ซึ่งยากนักที่จะให้มันจบที่ขวดนั้นได้จริงๆ)
การที่จะให้เอาปริมาณว่าแอลกฮอล์เป็นตัววัดว่า มนุษย์ท่านใดจะมีสมรรถภาพใน
การขับขี่รถยนต์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อชาวบ้านชาวช่อง ทั้งๆที่รู้ว่า
จะมีนักดื่มสักกี่คน รับรู้ว่า มีปริมาณแอลกฮอล์ในลมหายใจของตัวเองยังสะสมพอที่จะดื่ม
ต่อได้กี่แก้ว ผมก็ไม่เคยเห็นร้านเหล้าไหน มีเครื่องวัดแอลกฮอล์ประจำร้านกันสักเจ้านึง
กว่าจะได้วัดกันสมใจจริง ก็ปาไปจนถึงจุดตรวจแอลกฮอล์ที่มีนายตำรวจประจำฐาน
รอการทัณฑ์บนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เขียนอย่างนี้ ใช่ว่า ผมจะเป็นพวกสนับสนุนให้ดื่มแอลกฮอล์เสรีนะครับ
เพียงแต่ การรณรงค์ตามทีวี สื่อป้ายโฆษณา มันน่าจะมีผลในระดับหนึ่ง แต่จะลด
โอกาสขับขี่โดยตรงได้ยาก ตราบใดที่ไม่สามารถทำให้สำนึกของผู้ดื่ม มองออกไปมากกว่า
ผลกระทบของตัวเอง อันนี้ผมว่าด้วยเรื่องสำนึกความรับผิดชอบทางสังคมล้วนๆ
ตราบใดที่นักดื่มยังมองว่า ถ้าดื่มแล้วตัวเองจะอ้วกแตกอ้วกแต่น เป็นภาระแก่เพื่อนผู้คอยประคอง
มีโถส้วมเป็นเคหสถานชั้นดีก่อนจาก ตรงจุดนี้ สังคมควรสร้างจิตสำนึกร่วมกัน
เหมือนอย่างกับ การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ
อย่างน้อยๆก็แสดงความรังเกียจอย่างออกนอกหน้า
อันเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมร่วมกัน ที่จะปฎิเสธกิจกรรมการอยู่ร่วมกับผู้สูบ
ถึงแม้ว่าผู้รังเกียจอาจจะไม่ได้เดินดุ๋ยๆ เข้าไปกระชักบุหรี่ออกจากปากโดยตรง
แต่อย่างน้อย ก็พอให้เพื่อนที่มาด้วยเดินแนบสะกิดไหลประมาณว่า "เฮ้ย! ไปสูบที่ลับตาคนเถอะ"



สิบปีก่อน กับปัจจุบันสถานะของคนสูบบุหรี่ ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนชุมชนป้ายรถเมล์ โอกาสที่จะเห็นคนจังก้าสูบบุหรี่ถือ่ว่าน้อยกว่าแต่ก่อนมาก
ขณะที่สำนึกของคนเมาที่คนอื่นพากันรังเกียจ ถือว่ายังน้อยกว่ามาก หากเอาอัตราของผู้บุหรี่ที่มี
ผลทางสังคมมาเปรียบเทียบ
ก็นะ ขืนแสดงอาการรังเกียจคนเมา ดีไม่ดี มันวิ่งมาเตะเอาไม่รู้ตัว!!
ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่า กฏหมายจะเอาผิดคนเมาในฐานะ "ข้อหาเมา" เหมือนกับ "เมาแล้วขับ" ได้รึไม่?
รึว่า เป็นเรื่องของต่างกรรมต่างวาระ แต่ถ้าคนเมาแล้วทำผิดในคดีอาญาหรือทางแพ่งแล้ว
อย่างทำลายคนในครอบครัว หรือทำลายทรัพย์สินสาธารณะ ส่งเสียงเอะอะโวยวาย
จำเป็นไหม ที่เหล้าจะต้องมีคำเตือนให้เหมือนกับบุหรี่ และที่สำคัญระบุโทษของฐานความผิด
ของคนเมาด้วย
อันนี้คิดเล่นๆ เพราะรู้อยู่ว่า เจตนาไม่ได้เขียนให้คนที่ดื่มเหล้าอ่าน (เพราะมันคงไม่อ่าน)
แต่ที่ให้อ่านก็จากคนที่ไม่ดื่ม อย่างน้อย ข้อบัญญัติเชิงกฎหมายก็มีผลต่อการวางรากฐานทางจริยธรรม
ในสังคม ลองให้คาสิโนคอมเเพล็กเปิดดูซิครับ เชื่อได้เลยว่าบรรทัดฐานจริยธรรมทางสังคม
ของคนรุ่นต่อไปคงได้บิดเบี้ยวแน่

ทั้งหมดนี้เป็นการคิดเล่นๆ ในฐานะที่ชอบเพ้อเจ้อเป็นทุนเดิม (แต่ก็ไม่สร้างความเดือดร้อนนะครับ)
เพราะทั้งหมดที่คิดกลายเป็นเรื่องทางสังคมไปเสียหมด (จนสุดท้ายก็ไม่ได้คิด"นั่ง" พิจารณา
ชีวิตของตัวเองสักที) อย่างแรก ก็ถือเป็นข้อเตือนใจที่จะวางเป็นแผนการในปีนี้ ที่จะ
ลดการ"ซื้อ" สินค้าแอลกฮอล์ลง แม้ว่ามาตราการการขึ้นราคาภาษีเหล้าและบุหรี่จะไม่ค่อยได้
ช่วยตลาดกลุ่มบริโภคกลุ่มเดิม (แต่อาจสกัดกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มใหม่ ด้วยเงื่อนไขทางราคา)
ตราบใดที่โอกาสของเงินที่ซื้อก้อนเดียวกัน สามารถสร้างอำนาจในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค
ที่มีประโยชน์กว่าได้ (ซึ่งปีที่แล้ว ก็ถือว่าได้ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ)
แต่อย่างไรเสีย ก็ต้องขอบคุณในน้ำใจมิตรสหาย ที่ช่วยเซฟสตงค์สตางค์ในกระเป๋า
แม้อาจต้องเสียเหงื่อเล็กน้อยในการปัดกวาดเช็ดถูห้องตัวเองไปเล็กน้อยก็ตาม
(ประสาคนเมาเสร็จ ก็บ้านใครบ้านมัน)

จนกระทั่ง ช่วงเช้าก็มาทราบข่าว การเสียชีวิตจำนวนมากในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง
ย่านเอกมัย ซึ่งก็ต้องแสดงความเสียใจใน ณ ที่นี้ดว้ย เป็นความสูญเสียที่เชื่อได้ว่า
จะมีมาตราการตรวจสอบอาคารสถานบันเทิงอย่างถี่ยิบต่อมา
และช่วงบ่าย เห็นแล้วก็ต้องสะเทือนใจ(อีกครั้ง)กับป้ายโฆษณาแถบยาวข้างรถเมล์ร้อน อสมท.
ที่เน้นตัวใหญ่ ใจความสั้นๆ เห็นอย่างเด่นชัด ที่ว่า

"ให้เหล้า =แช่ง"


Create Date : 03 มกราคม 2552
Last Update : 3 มกราคม 2552 1:52:14 น. 2 comments
Counter : 1233 Pageviews.

 


โดย: beautyswan วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:2:29:53 น.  

 
แหม ๆ ความคิดดีนะยะ


โดย: กิ่งกระเด้ง IP: 58.8.175.223 วันที่: 5 มีนาคม 2552 เวลา:13:22:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.