|
บิดาพระนเรศวร ผู้ทวงศักดิ์ศรีสุโขทัยในยุคอยุธยา
เขียนจุดจบของกรุงสุโขทัยครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ผมเองจะเลิกเขียนเรื่อง สุโขทัยไปตลอดกาล เรื่องสุโขทัยในฐานะราชธานีหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองไทย มันมีแง่มุมให้ได้ทบทวน ขบคิดและแสวงหาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น (แม้เรื่องจะอยู่ในยุค รุ่งเรืองของกรุงศรอยุธยาก็ตาม) แต่อุทาหรณ์ในทุกๆเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ คือ ตั้งอยู่ เกิดขึ้น และดับไป (ธรรมะดีไหมครับ?) ไม่ว่าปิรมิดของตุตันคาเมร์ ราชวงศ์จักรพรรดิ์ของจีน ปราสาทนครวัด สวน ลอยบาบิโลน ตลอดจนอาณาจักรอินคา ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่อลังการ์ปานใด กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์สัจธรรมข้อนี้ที่ดีพอๆกับชีวิตของเรามีขึ้นก็ย่อมมีลง (ผมจึงคาดหวังขาขึ้นของตัวเองเสมอ-(แต่เมื่อไรมันจะมาฟะ?)
ข้อสันนิษฐานนี้สืบเนื่องจากการศึกษางานของท่านสุจิตต์ วงษ์เทศ นักเขียนงาน ประวัติศาสตร์ชวนอึ้งกิมกี้เสมอมา ผ่านการย่นย่อให้พอดีคำพอป้อนท่านผู้อ่าน บล็อกให้อ้าปากหาวให้น้อยคำที่สุด ต้องเริ่มลำดับความเปลี่ยนแปลงภายในสาย การปกครองของอาณาจักรอยุธยาเสียก่อน นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ติดตามด้วยพระโอรสของพระองค์อย่าง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่๓และสมเด็จพระรามา ธิบดีที่๒ ครองราชย์ต่อกันมา รูปแบบการรวมอำนาจอยุธยาเข้าสู่ศูนย์กลาง มีผลกระทบ ต่อบรรดาเมืองต่างๆที่ล้อมรอบกรุงศรีอยุธยา และเมืองหนึ่งที่หนีไม่พ้นก็คือ กรุงสุโขทัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช (ที่เล่นโดยพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ในสมเด็จศรีสุริโยทัย-จำได้ไหม?) ครองเมืองพิษณุโลกในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดี๒ (เหตุการณ์ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 นั้นเป็นช่วงสมัยที่ราชอาณาจักรอโยธยา ์มีเจ้าเหนือหัวครองราชย์ถึง 2 พระองค์ หนึ่ง์นั้นคือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งทรงครองราชย์ อยู่ยังราชธานีฝ่ายใต้ อันได้แก่กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร ส่วนอีกหนึ่งนั้นเป็นพระอนุชาในสมเด็จพระรามาธิบดีทรงพระนามว่าพระอาทิตยา ครองราชย์อยู่ยังเมืองพระพิษณุโลกอันเป็นราชธานีฝ่ายเหนือ พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ทรงสืบสายสันตติวงศ์มาแต่วงศ์สุพรรณภูมิ)
ชื่อของสมเด็จพระชัยราชาธิราชถือเป็นนักรบที่เก่งกาจและเฉียบขาด ปราบดาภิเษกโดยกำจัด เครือญาติเดียวกันขึ้นเสวยราชสมบัติกรุงศรีอยุธยารวมอำนาจจากเชิงระบบมาสู่ตัวบุคคล สมเด็จพระชัยราชาธิราชเจ้าทรงเป็นกษัตริย์นักรบ ในรัชกาลของพระองค์ได้ทรงทำศึกมีชัย เหนือพม่าที่เมืองเชียงกราน อันเป็นเมืองในขอบขัณฑสีมาอโยธยาด้านฝั่งตะวันตก พระองค์ยังทรงนำทัพขึ้นไปรบถึงเมืองเชียงใหม่ ขณะเมื่อพระองค์ทรงออกรบไปในแดนต่างๆ นั้น จะทรงสถาปนาพระเฑียรราชาขึ้นที่อุปราชดูแลราชการแผ่นดินอโยธยาต่างพระเนตรพระกรรณ เสมอมา ต่อมาพระชัยราชาธิราชทรงได้เจ้านายข้างวงศ์ ส่งผลให้เชื้อสายราชวงศ์สุโขทัยถูกลด อำนาจเหลือเพียงข้าราชการสนองรับใช้กรุงศรีอยุธยา(หนึ่งในนั้นมีบิดาของพระนเรศวรรับราชการในกรุงอยุธยาด้วย) อาการแข็งข้อจึงบังเกิดขึ้น จึงได้มีการประหารเจ้าเมืองกำแพงเพชรที่คิดแข็งข้อแต่โอกาสของพวกต่อต้านก็มาถึง เมื่อแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ขึ้นมามีอำนาจ นางก็มีความคิดไม่ต่างจากพระสวามี ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่ชอบการรวมอำนาจของ สมเด็จพระชัยราชาธิราชจึงเห็นโอกาสสว่างในการเปลี่ยนผ่านของผู้ปกครองครั้งนี้ (เป็นการตีความอีกแขนงหนึ่งที่มองแม่อยู่ศรีสุดาจันทร์คือเหยื่อทางการเมือง โดยยกเรื่องชู้กับพันบุตรศรีเทพผู้เป็นบุตรเจ้าเมืองศรีเทพ ซึ่งเป็นเจ้านายสายอู่ทอง ภายหลังได้รับอวยยศขึ้นเป็นขุนชินราช สาเหตุที่พระชัยราชาธิราชสวรรคตนั้น ไม่น่าเชื่อตามเหตุผลของปินโตโปจุเกตุที่ว่า พระชัยราชาธิราช เสด็จถึงพระนครแล้วจึงสวรรคต เพราะถูกนางพญาเอายาพิษเจือลงในน้ำนมโคให้เสวย แต่น่าเชื่อตามพงศาวดารฉบับพิมพ์ ๒ เล่มและพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขา ที่ว่าพระชัยราชาธิราชเสด็จกลับจากการขึ้นไปตีเชียงใหม่ครั้งที่๒ และประชวรเป็นปัจจุบันสวรรคตกลางทาง)
หนึ่งในคณะผู้ก่อการครั้งนั้น มี"ขุนพิเรนทรเทพ" เป็นกำลังสำคัญคนหนึ่ง ขุนพิเรนทรเทพเป็นใคร? ถ้ารู้จักสมเด็จพระนเรศวร เขาคนนี้คือ พระบิดาของสมเด็จพระนเรศวรนี้เอง คนผู้นี้มีเชื้อสายฝ่ายสุโขทัยในพระราชหัตถเลขามีตอนหนึ่งบอกประวัติความเป็นมาอย่างชัดเจนว่า "ตรัสว่าขุนพิเราทรเทพเล่า บิดาเป็นราชวงศ์พระร่วง มารดาไซร้เป็นพระราชวงศ์แห่งสมเด็จพระไชยราชาธิราชเจ้า ขุนพิเรนทรเทพปฐมคิด เอาเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าให้รับพระบัณฑูรครองเมืองพระพิษณุโลก"
การก่อการครั้งนั้นจนท้ายที่สุดสามารถเหนี่ยวรั้งให้ขุนพิเรนทรเทพรวมกำลังพลฝ่ายเหนือ สมทบกับขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หานอกราชการและหลวงศรียศโค่นอำนาจขุนวรวงศาลงได้สำเร็จ คณะผู้ก่อการได้ร่วมกันสถาปนาพระเฑียรราชาขึ้นเป็นกษัตริย์อโยธยาเถลิงพระนามสมเด็จ พระมหาจักรพรรดิเป็นเหตุให้อำนาจหวนกลับมาตกอยู่ในมือเจ้านายราชวงศ์สุพรรณภูมิอีกครั้งหนึ่ง
ทำให้ขุนพิเรนทรเทพ เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งได้เป็นเจ้าเมืองพิษณูโลก ครองศูนย์อำนาจดินแดนแคว้นสุโขทัย ได้ชื่อทางตำแหน่งว่า"สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า" ชื่อนี้มีฐานที่ใกล้เคียงกับ"สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท" กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกรุงสุโขทัยโบราณ การกลับมาปกครองเมืองพิษณุโลกที่เป็นเมืองศูนย์กลางของสุโขทัย ทำท่าว่า สุโขทัยจะกลับมารุ่งเรื่องยิ่งใหญ่แข่งบารมีกับกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง อีกไม่กี่สิบปีต่อมา เมื่อสุดท้ายบุตรชายผู้กลับมาจากเมืองหงสา
หลังไปเป็นตัวประกันวัดใจความซื่อสัตย์และเป็นธรรมเนียมในการรบโบราณ ที่ชื่อ พระนเรศวร กลับทำให้กรุงสุโขทัยลดคุณค่าในแง่เมืองบารมีอย่างสุโขทัยให้อ่อนลงและดับไปในที่สุด ส่วนพระองค์จะมีนโยบายใดที่กระทบต่ออนาคตของกรุงสุโขทัยค่อยมาว่ากันอีกที.......................
ข้อมูลจาก//ecurriculum.mv.ac.th/social/library/rakbankerd/index.html //entertainment.hunsa.com/movie_detail.php?id=66
ภาพจาก //www.flickr.com/photos/rodel_miguel/1657232812/ //www.hunsa.com
Create Date : 03 มิถุนายน 2551 | | |
Last Update : 3 มิถุนายน 2551 23:02:45 น. |
Counter : 7058 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คำว่า"คนไทยด้วยกัน"คงยังไม่พอ?
ช่วงนี้ถ้าผมเองจะข้ามเรื่องทางการเมืองและเหตุการณ์ของบ้านเมือง ไปเสียบ้าง คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ปรากฎกับคนกรุงอีกหลายคนที่ผม ได้สอดส่องสังเกตุและซักถามจากคนแวดล้อม ด้วยหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องของความขัดแย้ง ปะทะ และสถานการณ์ที่ ทำให้เราเองรู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยิน เห็นและรับฟัง ผมเองคิดว่าเรา เองควรมีพื้นที่สื่อในส่วนอื่นสำหรับเรื่องที่น่าเป็นข่าวที่ไม่ได้เป็นข่าว (แม้ว่าวันนี้ผมเองจะไปสะพานมัฆวาน เนื่องด้วยเพื่อนสนิทไหว้วาน ให้เป็นเป็นพันธมิตรยามจำเป็น ประสาคนเคยมีบุญคุณกัน)
ประโยคหนึ่งที่ผมมักได้ยินในยามที่สังคมไทยเกิดการปะทะทาง ความคิดและข้อคิดเห็นอย่างรุนแรง ก็คือ"อย่างไรก็คนไทยด้วยกัน" ผมเองรู้สึกว่าเจ้าประโยคนี้น่าจะเป็นวาทกรรมที่ถูกผลิตขึ้นมา ได้ไม่นานเกินร้อยปี (อย่างน้อยๆคำว่าประเทศไทยก็เพิ่งมีสมัย จอมพล ป.ไม่กี่สิบปีนัก) เพราะในฐานะที่เป็นติด ร. วิชาประวัติศาตร์ มาหลายสิบปี (เรียนอย่างไรก็ไม่รู้จักเสียที) ความขัดแย้งด้วยกันเอง ภายใน น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญมากเสียกว่าอริราชศัตรูจากภายนอก เพราะมันทำให้โครงสร้างที่ควรจะเข้มแข็งในการป้องกันประเทศ ง่ายต่อการสั่นครอนและมุ่งโจมตีได้อย่างไม่ยาก หากดูจะประวัติ ของการเสียกรุงและการปรับเปลี่ยนสายราชวงศ์ขึ้นปกครอง ก็ล้วน เกิดจากการแย่งชิงและขัดแย้งด้วยกันเองมาโดยตลอด เพียงแต่จะว่า ด้วยเรื่อง ความเชื่อทางศาสนา อำนาจจากสายต้นตระกูล ขุนนางอำมาตย์ ยุยงส่งเสริม ดังนั้นความนึกคิดที่ว่าอย่างไรก็คนบ้านเดียวกัน สำหรับผม แทบจะกล่าวว่านี้แหละ ตัวดีเชียว! ง่ายที่จะสร้างข้อแห่งความขัดแย้ง มากเสียกว่าคนนอกที่ยังมีขนบบางอย่างเป็นเส้นแบ่งระยะห่างของการ สร้างความขัดแย้งที่จะโยงปัจจัยโน่นนี้นั้น เพื่อหาเรื่องของสำนึกร่วมอะไรบางอย่าง ในการเชื่อมต่อให้ติด ซึ่งเรื่องนี้คนในด้วยกันสามารถทำได้ง่ายกว่า (เพราะที่ผ่านมา"คนนอก"มักต้องอาจสิทธิ์อะไรบางอย่าง ที่"คนนอก"อีก ฝ่ายไม่อาจให้ได้ ด้วยเป็นศักดิ์และเกียรติ์ของผู้ปกครอง อย่างการที่พระเจ้า หงสาวดีมาขอช้างเผือกจากอโยธยา ซึ่งก็ไม่ต่างจากประกาศทำสงครามกลายๆ แต่เมื่อมองสายตาจากคนนอกแล้ว ถือเป็นความชอบธรรมเนื่องด้วยการปฎิเสธ เท่ากับการดูหมิ่นเกียรติ์ทางผู้ขอ เจ้าคำว่า"เกียรติ์"จึงเป็นเรื่องที่ดูไม่น่าเป็นเรื่อง สำหรับสงครามความขัดแย้งทุกยุคทุกสมัย (ไม่ต่างจากสมัยนี้เช่นกัน)
อย่างกรณีความขัดแย้งของคนกันเองที่คลาสสิคที่สุดสำหรับความคิดของผม คงจะเป็นช่วงยุคต้นของการร่วมสถาปนาอโยธยาศรีรามเทพนคร (ชื่อนี้เป็น นามขจรขจายยุคๆที่แข่งอำนาจบารมีกับสุโขทัยศรีศัชนาลัยที่ปักหลักมั่นคงพอควร ว่าด้วยเรื่องความขัดแย้งกันระหว่างราชวงศ์อู่ทองกับราชวงศ์สุพรรณภูมิ เรื่องก็มี อยู่ด้วยสายสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างสมเด็จพระรามาธิบดีที่๑แห่งราชวงศ์ อู่ทองกับขุนหลวงพ่องั่วแห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิมีโปรเจ็คใหญ่ที่จะสถาปนากรุงใหม่ ที่ชื่อว่ากรุงศรีอยุธยา ทำไปทำมากรุงใหม่แห่งนี้กลายเป็นกรุงที่มีอนาคตอันยาวไกล เจริญเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว อยุธยาเป็นที่รวมของแม่น้ำหลายสายคือแม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตั้งของอยุธยาจึงมีลักษณะเป็นชุมทางที่สามารถติดต่อ เข้าไปยังแผ่นดินภายในได้หลายทิศทางให้ประโยชน์ในด้านการเป็นแหล่งรวมสินค้าที่ส่งมาจากที่ต่างๆ ได้สะดวกและสามารถเป็นตลาดกลางขนาดใหญ่ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับทั้งภายในทวีป และดินแดนโพ้นทะเลได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ การเกิดขึ้นมามีฐานะเป็นศูนย์กลางอำนาจการปกครอง หรือเป็นเมืองหลวงของกรุงศรีอยุธยา จึงไม่เหมือนกับการเกิดขึ้นของเมืองเชียงใหม่และเมืองสุโขทัย เพราะทั้งสองเมืองมีลักษณะของการเป็นบ้านเมืองของผู้นำที่ค่อยๆ รวบรวมบ้านเล็กเมืองน้อยเข้าไว้ด้วยกัน และเติบโตสร้างความเป็นปึกแผ่นของแว่นแคว้นเพิ่มขึ้นๆ จนในที่สุดเมืองซึ่งเป็นที่ประทับของผู้นำของแว่นแคว้นก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางของอำนาจ การปกครองดินแดนที่รวบรวมเข้ามาได้ ส่วนกรุงศรีอยุธยานั้น เมื่อสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ ก็เป็นเมืองที่มีพื้นฐานอันเป็นเครือข่ายของเมืองลพบุรีซึ่งเป็นเมืองใหญ่แต่โบราณแล้ว คือ บ้านเมืองในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง บริเวณที่ราบลุ่มน้ำมูลที่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมแบบเดียวกันติดต่อไปถึงเมืองพระนครหลวงในกัมพูชา หลังจากที่พระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่๑) สวรรคตเกิดความไม่พอใจขึ้น เมื่อราชโอรส พระเจ้าอู่ทอง คือ สมเด็จพระราเมศวรสืบราชสมบัติต่อ ข้ามหน้าข้ามตาผู้ร่วมก่อตั้งแต่เริ่มอย่าง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ แห่งสุพรรณภูมิ ซึ่งก็คือ ขุนหลวงพ่องั่ว อีกทั้งมีศักดิ์เป็นพี่มเหสีของ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ เท่ากับว่า ลุงยกกองทัพจากเมืองสุพรรณบุรีไล่หลาน (ซึ่งเป็นลูกของน้องสาว) ลงจากราชบัลลังค์ให้ไปครองเมืองลพบุรี จากนั้นก็เหมือนคำสาป เกิดจากแย่งชิงไปมาของสองราชวงศ์อยู่หลายครั้ง เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ เสด็จสวรรคต สมเด็จพระราเมศวรได้เสด็จจากลพบุรีเข้าช่วงชิงราชบัลลังก์จากโอรสของ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ภายหลังจากที่สมเด็จพระราเมศวรได้เสด็จสวรรคตแล้ว โอรสของพระองค์คือสมเด็จพระรามราชาธิราช ก็ได้สืบราชสมบัติต่อไป จนกระทั่งสมัยของสมเด็จนครินทราชาธราช ถือเป็นข้อยุติการแย่งชิงอย่างเด็ดขาดด้วยอำนาจของกรุงศรีอยุธยาก็ตกอยู่กับ ราชวงศ์สุพรรณภูมิสืบยาวเรื่อยมา เมื่อเนรเทศสมเด็จพระรามราชาธิราช ไปไกลถึงกัมพูชาในที่สุด
ดังนั้นการบริหารความขัดแย้ง เพียงเพราะการหยิบยกเรื่อง"เราเป็นคนไทยด้วยกัน" ในบริบท ทางประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก ดีไม่ดียิ่งเป็นการซ้ำเติมเหตุการณ์ในบานปลายในที่สุด เพราะสำนึกกับวิธีคิดที่แตกต่าง แทบจะเป็นเส้นขนานที่แบ่งตามซีกของสมองให้คิดไปคนละอย่าง ผมยังเชื่อในเรื่องของการสร้างพื้นที่แห่งความขัดแย้ง ให้ได้แสดงออกถึงปัญหาและหนทางเจรจา กันทั้งสองฝ่าย ได้ถกเถียงและหาจุดกึ่งกลางของผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ภายใต้สันติวิธีที่มี อารยะ การหยิบยกคำพูดหนึ่งพูดใดโดยที่ปัญหานั้นไม่ได้รับการแก้ไขอย่างราบรื่นน่าเป็นการย้ำ ให้ปัญหานั้นเรื้อรังและทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก เรามีประวัติศาสตร์เป็นเครื่องผูกมัดวิธีให้ มนุษย์ยังอยู่ในกรอบเดิมๆ เอาโต๊ะมากลาง เอาเก้าอี้มาตั้งแล้วพูดคุยกันไม่ดีกว่าเหรอ?
Create Date : 31 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 31 พฤษภาคม 2551 14:43:32 น. |
Counter : 1491 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ไม่มีนางนพมาศ แต่บนเวทียังมีนางนพมาศ
กระแสภาวะโลกร้อน กลายเป็นสิ่งนิยมปานประหนึ่งเป็นสิ่งที่ใครตระหนัก คิดก็กลายเป็นคนทันยุคทันสมัย แม้ฝนที่ตกหนักในช่วงนี้ ยังมีคลื่นวิทยุ คลื่นหนึ่งยังเอาปรากฎการณ์ที่ว่านี้มาผูกเรื่องกับภาวะโลกร้อนเช่นกัน (เรื่องนี้คงต้องให้น้องชะอุ่มเป็นผู้ไขแจ้งในฐานะฑูตสิ่งแวดล้อมดั่งว่า เป็นหลานของตาวิเศษอีกทีหนึ่ง) ฝนตกหนักเช่นนี้จะออกไปเที่ยวนอกบ้าน รถก็ติดมาอาบน้ำฝน หรือ อาจเจอป้ายโฆษณายักษ์ถล่มใส่แบบที่คุณXanax71เอามาแฉให้ ชาวบล็อกได้รับทราบกัน จะมีอะไรดีกว่าการได้อ่านหนังสืออยู่กับเก็กฮวย อุ่นๆ กระดิกนิ้วหัวแม่เท้าอ่านหนังสือเก่าเก็บมาเป็นทรัพยากรแห่งบล็อก จะดีกว่า........
หนังสือที่ราคาน้ำมันไม่ระห่ำจะเหยียบ๔๐เอาดั่งตอนนี้ "ไม่มีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทง สมัยสุโขทัย โดย ศ.ดร.นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ สุพจน์ แจ้งเร็ว... สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม ตุลาคม ๒๕๓๐" ที่ถือว่าฮือฮาพอสมควรเมื่อ หนังสือถูกจำหน่าย เพราะไปออกเอาช่วงกำลังAmazing Thailandในปีนั้น โดยมีกิจกกรรมการลอยกระทงเป็นจุดขายการท่องเที่ยวไทยที่ไปผูกกับ สำนึกร่วมในสมัยสุโขทัย แต่เอาเข้าจริงมันเป็นจินตนาการที่สร้างขึ้นในต้น รัตนโกสินทร์นี้เอง !!
ตำนานที่เคยเชื่อขอเอาแบบย่อๆว่า "นางนพมาศ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ตำรับ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เขาว่ากันว่าแต่ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง และเชื่ออีกว่า ผู้เแต่งชื่อนางนพมาศ มาถวายตัวต่อพ่อขุนรามคำแหง จนกระทั่งได้เป็นใหญ่ ถึงสนมเอกในตำแหน่งท้าวศรีจุฬาลักษณ"์ ทั้งหมดเป็นเรื่องบอกเล่า ไม่มีหลักฐาน ไม่มีประจักษ์พยาน แล้วเรื่องนี้มาจากใครที่ไหน หนังสือเล่มนี้มีคำตอบแบบ วิเคราะห์เจาะลึกทุกมิติ โดยมีเรื่องเกี่ยวโยงให้หลักฐานมีความแน่นหนากว่า ที่เราๆท่านๆคิดกันไว้
แค่เริ่มต้นก็นำคำกล่าวของบิดาทางประวัติศาสตร์ไทยอย่าง สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งพระองค์ดำรงตำแหน่ง ประธานหอพระสมุดวชิรญาณ ทำหน้าที่คัดสรรหนังสือเข้าหอพระสมุดแห่งชาติว่า "ถ้าจะหาพยาน จงเอาสำนวนหนังสือเรื่องนี้ไปเทียบกับสำนวนหนังสือจารึก ครั้งสุโขทัย หรือหนังสือที่เชื่อว่าแต่งครั้งสุโขทัย เช่น หนังสือไตรภูมิพระร่วง เป็นต้น หรือแม้ที่สุดจะเอาไปเทียบกับหนังสือที่แต่งเพียงชั้นกรุงเก่าที่จะเห็นได้แน่นอนว่า สำนวนหนังสือเรื่องนางนพมาศเป็นหนังสือแต่งใหม่เป็นแน่ และยังซ้ำมีความที่กล่าวผิด ที่จับได้โดยแจ่มแจ้งว่าเป็นของใหม่หลายแห่ง ยกตัวอย่างดังว่าด้วยชนชาติต่างๆ ในหนังสือนี้ ออกชื่อฝรั่งหลายชาติ ซึ่งที่จริงไม่ว่าชาติใดยังไม่มีเข้ามาในประเทศนี้ เมื่อครั้งนครสุโขทัยเป็นราชธานีเป็นแน่ อีกข้อหนึ่งที่ว่าครั้งสุโขทัยมีปืนใหญ่ขนาดหนัก นับด้วยหลายหาบ ปืนใหญ่ในครั้งนั้นก็ยังไม่เกิดขึนในโลก แต่ที่ผิดน่าพิศวงยิ่งกว่า อย่างอื่นนั้นมีแห่งหนึ่ง ที่ลงชื่อว่าชาติฝรั่งอเมริกันลงไว้ในนั้นด้วย ชาติอเมริกันพึ่ง เกิดขึ้นยังไม่ถึง ๒๐๐ ปี จะมีในครั้งพระร่วงอย่างไรได้ แม้แต่คำว่าอเมริกันเองก็พึ่ง เกิดขึ้นในครั้งกรุงเก่าเป็นราชธานี เพราะฝรั่งช่างทำแผนที่คนหนึ่งไปทำแผนที่ให้ปรากฎ รู้ได้ชัดว่าเป็นทวีปหนึ่งต่างหาก มิใช่อินเดียฝ่ายตะวันตกดังเข้าใจกันมาแต่ก่อน จึงได้เรียกชื่อทวีปนั้นว่าอเมริกาตามชื่อช่างแผนที่ผู้ที่ไปพบความจริงข้อนี้"
ต่อจากนั้นนักคิดทางประวัติศาสตร์ฟันธงกันว่า ดีไม่ดีนางนพมาศชะรอยจะกลาย เป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๓ ครั้งยังดำรงพระยศกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงพระราชนิพนธ์เอง ใช้เป็น "คู่มือ" ของสตรีรับราชการในวังยุคกรุงเทพฯ โดยสมมุติเป็นยุคสุโขทัยเป็นฉากหลังท้องเรื่อง ธรรมเนียมการตั้งชื่อของคนยุคสุโขทัย ก็นิยมตั้งชื่อเพียงพยางค์เดียว "นพมาศ" จึงเป็น คำที่เกินคิดถ้าจะให้ไปอยู่ในสมัยพระร่วง ยิ่ง อาจารย์นิธิ ส่ายหัวอย่างสารภาพว่า "ไม่มีหลักฐานและเหตุผลใดๆ ที่จะคิดไปได้ว่าหนังสือเรื่องนี้มีร่องรอยอันใดของเอกสาร สมัยสุโขทัยแทรกอยู่" เล่นพินิจทุกบรรทัด แม้คนที่บ้าเป็นพักๆเรื่องสุโขทัยอย่างผมก็ยังไม่รู้สึกอิน ที่จะให้นางนพมาศสอดคล้องกับบรรยากาศสมัยสุโขทัย แม้จารึกพ่อขุนรามคำแหงก็ไม่มีคำว่า"ลอยกระทง" การ "เผาเทียน เล่นไฟ" ไม่เกี่ยวข้องกับลอยกระทง แต่เป็นการทำบุญไปวัดไปวาทั่วๆไป อาจารยพิริยะ ไกรฤกษ์ คิดไปไกลถึงขั้นว่า คนแต่งนางนพมาศอาจเป็นคนเดียวกับคนแต่งจารึกพ่อขุนราม คำแหงที่แต่งในสมัยรัตนโกสินทร์!!...............
สมัยอยุธยาตอนปลายจากบันทึกของลา ลูแบร์ ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ และใน คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัดไม่เคยกล่าวว่ามีการ"ลอยกระทง มีแต่การ "ลอยโคมน้ำ" เพื่อขอขมาต่อแม่พระธรณี ให้เก็บเกี่ยวเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารได้อย่างอุดมสมบูรณ์ แค่แนวความคิดก็คล้ายกับการลอยกระทงในปัจจุบันเสียเหลือเกิน ยังมีสาระอื่นๆอีกมาก ที่อ่านก็เพลินใจเจริญสมองแบบกระดิกหัวแม่เท้า จิบน้ำจนหมดแก้ว บอกกับตัวเองว่า ถึงแม้ความจริงเรื่องนางนพมาศจะเป็นเช่นไร ผมก็ยังนิยมไปจับจองพื้นที่ตรงหน้าเวที ดูการประกวดนางนพมาศไม่ต่างจากการเชียร์แบบปวดนิ้วของอคาเดมี แฟนตาเซีย เพียงแต่นิ้วของผมอาจจะหนักไปทางขยี้ตาและลูบปากแบบไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง......
Create Date : 23 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2551 23:48:08 น. |
Counter : 1018 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สุภาษิตพระร่วง...ล่วงมาหลายปีก็ยังไม่มีข้อสรุป
หลังจากที่ห่างหายการเขียนบล็อกไปนานพอสมควรและไม่ได้มีเรื่องสำรอง อะไรไว้สำหรับแจกจ่ายยามฉุกเฉิน (ความจริงก็มีอยู่แต่ปั่นไม่เสร็จอยู่สองสามงาน) ประกอบกับ การมีเจ้านายที่มี"อำนาจ"เป็นอาวุธ จึงมักถูกอาวุธที่เจ้านายมีตามจี้ ตามจิก งานที่โผล่เข้ามาแต่ละวันเสมือนเข้าคิวตามล้างแค้นจากชาติปานก่อน ดีที่มีวันวิสาขบูชา เป็นตัวยืดงานให้พักยาวเพิ่มขึ้นอีกตั้งหนึ่งวัน งานนี้ต้องนมัสการพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่แม้จะไม่ตรงวัตถุประสงค์ของการระลึกถึง แต่มีผลทางอ้อมให้ฆราวาสอย่างผมได้เจริญสติ หลังจากโกลาหลกันทั้งอาทิตย์.....
เวลาที่ว่างผมมักไปจับจ่ายหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬา ร้านหนังสือใหญ่ที่ลดอะไรกันได้ทั้งปี ที่นั้นค่อนข้างมีหนังสือที่มีเป้าหมายในใจ ที่คล้ายคนรู้จักให้ได้นัดพบ อีกทั้งยังมีนิสิตเด็กเฟรชชี่เป็นอาหารตา ยามเมื่อยล้าจากอาหารสมอง แม้ตัวเองจะไม่ได้มีสายสัมพันธ์อันใด กับสถาบันแห่งนี้ก็ตาม ช่วงนี้บ้างานวรรณกรรม วรรณคดีเป็นพิเศษ เลยคว้างานวรรณกรรมระดับขึ้นหิ้งของไทยที่มีคุณค่าไม่แพ้งาน วรรณกรรมของสำนักพิมพ์Woodworth Classic ของพวกเมืองนอก เมืองนาเขา ราคาก็แสนถูกเล่มไม่กี่ร้อย (บางเล่มก็ไม่ถึงร้อย) เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกันที่ครั้งอดีต วิชาภาษาไทยจะบรรจุงานวรรณกรรม วรรณคดีตอนสั้นๆ (ที่ความรู้สึกวัยเด็กรู้สึกว่ามันยาว ยาก และสำนวน ตกยุค) เป็นดั่งยาขมชนิดรุนแรง แตะเมื่อใดต้องมีฤทธิ์กล่อมประสาทให้ เกิดอาการง่วงหาวหนาวนอนทุกคราว แต่พอระดับวัยเข้าสู่สามัญปถุชน กับรู้สึกโหยหาจินตนาการเหนือโลก (Transcendental Imagination)
เงินถูกออกจากกระเป๋าไปพอสมควร (ทำงานไม่ได้ให้เงินกองท่วมหัวนี่หว่า) จึงได้มาแค่สี่ห้าเล่ม แต่วันนี้ขอโม้หนังสือเล่มหนึ่งเพราะจะได้โยงเข้าเรื่อง ของสุโขทัยตามติดไปด้วย หนังสือเล่มที่ว่าก็คือ "อ่านสุภาษิตพระร่วง ฉบับวิเคราะห์และถอดความ โดย ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ราคาแค่ 110 บาท เท่านั้น แต่ให้คุณค่าทางรสวรรณกรรมและวิธีคิดคติหลายอย่าง แล้วแต่ตามใครจะตีความกันเอง (แต่งานนี้มีคนถอดความให้เรียบร้อยแล้ว เหลืออย่างเดียวคืออ่านให้จบเถอะ) ปัจจุบันผู้แต่งท่านนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองศาสตราจารย์ภาคภาษาไทย อยู่ที่จุฬาลงกรณ์ มีงานเขียนที่ผมซื้อเหมาโหลมาหลายเล่ม อาทิ วรรณคดีอยุธยาตอนต้น :ลักษณะร่วมและอิทธิพล ,อ่านโองการแช่งน้ำ :ฉบับวิเคราะห์และถอดความ , อ่านลิลิตพระลอฉบับวิเคราะห์และถอดความ และอีกเยอะแยะมากมาย เป็นงานถอดความที่ต้องอาศัยกรอบวิธี บริบทแวดล้อมในยุคสมัยที่แต่ง โลกทัศน์ ค่านิยม และปัจจัย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แต่งงานชิ้นนั้นๆ เพื่อรองรับบุคคลกลุ่มชนชั้นใด เรื่องปัญหาภาษายากๆก็คลี่คลายพร้อมคำอธิบาย เล่นเอาสักผมเห็นภาพยุคอดีตได้แจ่มชัด อ่านไปก็อินไปเพราะต้องเข้าใจว่า แวดวงวรรณคดียุคนั้นรับใช้กลุ่มชนชั้นสูงและความเชื่อทางศาสนา อ่านไปก็รู้สึกถึงเป็นคนชั้นสูงและยังมีศาสนา มิใช่คนบ้างานหน้าคอมแบบปัจจุบันไปเสียหมด
แต่หลายคนยังคิดว่า "สุภาษิตพระร่วง" ก็ต้องทำในสมัยพ่อขุนรามคำแหงเป็นแน่ เรื่องนี้รัชกาลที่๖ เคยสันนิษฐานเอาว่า น่ารวบรวมสมัยพ่อขุนรามคำแหง เพราะพ้นจากน้ำใต้ศอกของพวกขอม จำเป็นต้องโชว์อารยะความเจริญ ผ่านงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ ความหมายของสุภาษิตพระร่วงเรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า"บัญญัติพระร่วง"ปรากฏหลักฐานเก่าแก่ที่สุด คือ จารึกอยู่ที่ฝาผนังด้านหน้า พระมหาเจดีย์องค์เหนือแห่งวัดพระเชตุพลฯ ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์และพิมพ์ครั้งแรกในประชุมจารึก วัดพระเชตุพนฯ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณรวบรวม ทำนองแต่ง ตอนต้นแต่งด้วยร่ายสุภาพจบแบบโคลงสองสุภาพ ตอนท้ายเป็นโคลงกระทู้ หนึ่งบท เป็นเสมือนการออกกฎหมายแบบสอนสั่งประชาชนโดยรอบ งานแต่งของสุภาษิตพระร่วงมีอิทธิพลต่องานเขียนวรรณคดี ในยุคหลังหลายต่อหลายเรื่อง แต่เอาที่ดังๆ ก็ต้อง ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกตอนพระนางมัทรีตรัสสอนชาลีและพระกัณหา ว่า "อย่าใฝ่สูงให้เกินศักดิ์" ตอนชูชกกล่าวแก่เจตบุตรว่า "เราคิดว่าจะอาสาเจ้าจนตัวตายตามสุภาษิต" และตอนพระเวสสันดรแสร้งต่อว่าพระนางมัทรีว่า "เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้า" ในเสภาขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม กล่าวถึงวิชาที่พลายงามต้องศึกษาเพิ่มเติมเมื่ออยู่กับเจ้าหมื่นศรีเสาวลักษณ์ ว่ามี
"สุภาษิตบัณฑิตพระร่วง"
ดังนั้นถ้าให้วิเคราะห์งานจากสุภาษิตพระร่วงต้องถือว่า กว้างเอามากๆ เพราะแสดงคติค่านิยมเกือบทุกด้านแม้จะติดโลกแบบอุดมคติแบบผู้ปกครอง ก็ตาม ก็เจ้าพวก รักอิสระ ไม่ชอบตกเป็นทาส ปักหลักรักแผ่นดิน แบ่งชนชั้นการปกครองชัดเจนซึ่งติดตามด้วยการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ คละกันไป มารยาททางสังคม การปฏิบัติกับพวกพ้อง ซึ่งถ้าว่ามานี้ดูจะทันสมัยเกินหน้าเกินตากว่าที่จะเป็นยุคสุโขทัยเอามากๆ ขอยกตัวอย่างสั้นๆสักตอน ให้เห็นภาพชัดๆ..........นะครับ
ปางสมเด็จพระร่วงเจ้า เผ้าแผ่นภพศุโขไทย มลักเห็นในอนาคต เหตุไว้ เป็นอนุสาศนกถา สอนคณานรชน ทั่วธราราดพึงเพียร เรียนอรุงผดุงอาศม์ อย่าเคลื่อนคลาศถ้อย เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่ อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน อย่าริะร่านแก่ความ ประพฤทธตามบูรรพ์รบอบ อย่าอวดหาญแก่เพื่อน เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า .....................................................
รักตนกว่ารักทรัพย์ อย่าได้รับของเข็น เหนงามตาอย่าปอง ของฝากท่านอย่ารับ ที่ทับจงมีไฟ ที่ไปจงมีเพื่อน ทางแถวเถื่อนไคลคลา ครูบาสอนอย่าโกรธ โทษตนผิดพึงรู้ สู้เสียสินอย่าเสียศักดิ์ ภักดีอย่าด่วนเคียด อย่าเบียดเสียดแก่มิตร ที่ผิดช่วยเตือน ที่ชอบช่วยยกยอ อย่าขอของรักมิตร ชอบชิดมักจาง
แต่ด้วยหลักฐานและพยานแวดล้อม จะทำให้เชื่อว่า น่าจะแต่งในยุคปลายสมัยอยุธยาตอนปลายในยุคของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เสียมากกกว่า เรื่องนี้ นายธนิต อยู่โพธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ได้เขียนคำอธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง สุภาษิตพระร่วง ฉบับพิมพ์เป็นที่ระลึก ในวันสถาปนากรมศิลปากร พ.ศ. 2505 ว่า "สังเกตจากข้อความและถ้อยคำเห็นได้ว่าเป็นภาษิตไทยแท้ ๆ ใช้ถ้อยคำอย่างพื้น ๆ ยังไม่มีภาษิตต่างประเทศ เข้ามาแทรกแซงปะปน และดูเหมือนจะยังไม่มีอิทธิพลจากภาษิตแบบอินเดีย เช่น คัมภีร์โลกนิติ และพระธรรมบท เป็นต้น เข้าครอบงำแสดงว่าเป็นภาษิตไทยเก่าแก่ที่ติดปากคนไทยสืบมา และมากลายรูปไปในลักษณะของกวีนิพนธ์แบบต่าง ๆ แทรกอยู่ในวรรณคดีไทยในกาลต่อมา และถ้าพิจารณาตามรูปของวลี จะเห็นได้ว่าคล้ายคลึงใกล้เคียงกับจารึกในหลักที่ 1 เรียกว่าจารึกพ่อขุนรามคำแหง จึงอาจเป็นได้ว่า สุภาษิตพระร่วง หรือบัญญัติพระร่วงนี้ เดิมเป็นพระบรมราโชวาท ซึ่งพระร่วงเจ้าพ่อขุนรามคำแหง ทรงแสดงสั่งสอนประชาชนชาวไทย…"
แต่อย่างว่า งานที่มีคำว่า "พระร่วง" ห้อยท้าย ใชว่าจะต้องแต่งสมัยพ่อขุนรามหรือสุโขทัยอย่างเดียวเสียเมื่อไร อย่างงานที่มีคำว่า หรือเรื่องราวของพระร่วงมาพีคสุดๆอีกที ก็ในยุคพระเจ้าอยู่บรมโกศ (พ.ศ.2297-2298) ประดิษฐพระร่วง ก่อนหน้านั้นในโคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก โคลงพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม โคลงราชสวัสดิ์ และโคลงราชานุวรรค ก็มีการอ้างถึงพระร่วงอยู่โดยตลอด เ รื่องนี้ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ตั้งเวลาให้อย่างน้อยก็ต้องสมัยบรมโกศ แต่อาจมามีฉบับดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้วหรือจากการเก็บคำสุภาษิตแบบปาก มาต่อเป็นโคลงสี่ขึ้นเหมือนอย่างที่สุนทรภู่เก็บเอาสุภาษิตต่าง ๆ ขณะที่ด้านนายนายล้อม เพ็งแก้ว พบต้นฉบับร่าย สุภาสิทตัง ที่จังหวัดเพชรบุรี และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ โครงประดิษฐ์พระร่วงแล้ว เทียบได้ตรงกันวรรคต่อวรรค นายล้อมจึงสันนิษฐานว่า โคลงประดิษฐ์พระร่วง น่าจะลอกขยายมาจาก สุภาสิทตัง…... น่าจะสรุปได้อย่างเดียวกับ ร่ายสุภาษิตพระร่วง ว่า แต่งขึ้นตามกฎเกณฑ์ที่แต่งขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์…" (หนักเข้าไปอีก)
แต่ไม่ว่าจะแต่งยุคไหน การที่ประเทศมีงานวรรณศิลป์เชิงภาษาดีๆ มากมาย ประดับไว้ในชนรุ่นหลังมันก็ยังไพเราะสอดคล้องแฝงความหมาย (แม้คำหลายตัวโบราณตกยุคก็ตามที) ก็ไม่ต่างจากเพลงดีๆ ที่มีกลวิธีทางนิรุกติศาสตร์อย่างแยบคาย แม้จะไม่ไพเราะเท่าบทเพลงปัจจุบัน ที่ฟังสบายแต่ความหมายต่อสังคมช่างกลวงโป๋๋วเหลือเกิน
ขอบคุณ -หนังสือ อ่านสุภาษิตพระร่วง ฉบับวิเคราะห์และถอดความ โดย ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต ที่เชียร์แบบไม่ได้ตังค์ -//www.info.ru.ac.th/province/sukhotai/PRR12.htm ที่มีงานวิเคราะห์วรรณคดี ที่ดีอยู่เสมอมา รวมทั้งรูปด้วย........ -
Create Date : 18 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 13 มิถุนายน 2552 22:41:45 น. |
Counter : 11352 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
พ่อขุนรามคำแหงในฐานะCousultant of Chiangmai
"เมืองนี้ข้าศึกจะทำร้ายมิได้ คนไหนมีเงินพันมาอยู่จะได้เงินหมื่น ครั้นมีหมื่นมาอยู่จะมีเงินแสน" นี้เป็นคำที่ประกาศครั้นตั้งเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่ไม่มี ไนท์ ซาฟารี ไม่มีหมีแพนด้า ไม่มีรีสอร์ตและสปากลางเมืองเชียงใหม่ เออ+ไงมันคล้าย โฆษณาชวนเชื่อที่ปรากฏในจารึกหลักหนึ่งของเมืองสุโขทัยจังหว๋า.....
เคยมีโอกาสได้ไปจังหวัดเชียงใหม่ ก็นับได้หลายปีผ่านมา สิ่งหนึ่งที่รู้สึกคลับคล้าย คลับคาอะไรบางอย่างหลังจากเดินเที่ยวชมรอบเมืองเชียงใหม่ตลอดทั้งวัน สิ่งเหล่านั้น มันช่างคล้ายกับอารมณ์ที่ครั้งที่ตนเคยเดินเที่ยวชมจังหวัดสุโขทัยเช่นกัน แต่กับตอบสา เหตุในใจไม่ได้ เพราะทั้งลักษณะผู้คน ภาษา ธรรมเนียมปฎิบัติและศิลปวัฒนธรรม ช่างแตกต่างอย่างพอสมควร ในลักษณะการปกครองก็เกิดจากช่วงอายุขัยของคนละ เชื้อราชวงศ์กษัตริย์ จนกระทั้งได้อ่านงานบางอย่างจากนักประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่ง จึงทำให้จิตฉงนนั้นมันโปร่งโล่งสบายไปบัดดล
มันเป็นเรื่องที่ต่อจากบทความที่แล้ว หลังจากที่สามสหายกษัตริย์กรีดเลือดสาบาน เป็นพี่น้องนอกสายเลือด อันประกอบด้วย พระยามังราย(เชียงใหม่) พระยางำเมือง (พะเยา)และพ่อขุนรามคำแหง(สุโขทัย) การร่วมกันของกษัตริย์ทั้งสามถือเป็นจุดเปลี่ยน ที่สำคัญของหน้าประวัติศาสตร์ไทย เป็นการสร้างความเข้มแข็งเขตตอนเหนือ (หากนับ ตามแผนที่ปัจจุบัน) เชื่อมความสัมผัสระดับหนึ่งที่เป็นโครงข่ายที่อิสระต่อกันและกัน ภายใต้เงื่อนไขความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง แต่การจะรู้บทบาทที่สำคัญของพ่อขุนรามคำแหง ในแง่ที่ปรึกษาประสบการณ์สูง (High Experience Consultant) จำจะเล่าประวัติโดยย่อของพญามังรายสักนิดเพื่อให้เห็นภาพโดยสมบูรณ์
พญามังราย (พ.ศ.๑๗๘๒-๑๘๖๐) ทรงเป็นกษัตริย์จากเชื้อพระวงศ์ลาว (ลัวะ) หรือลาวจักราช ผู้ครองเมืองนครเงินยางเชียงแสน แต่เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์มังรายที่พระองค์ตั้งขึ้น (แนวคิดจากการเริ่มต้นสายพระวงศ์ใหม่มักมีสายสัมพันธ์กับองค์อธิปัตย์ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ เสมอ และสภาวะการแก่งแย่งแข่งขันจากญาติวงศ์ปู่เจ้าลาวจกจึงทำให้ในแง่ความศรัทธา ต่อสายวงศ์ประยูรเองลดทอนลงไป)ทรงเป็นกษัตริย์หลังจากพระเจ้าลาวเม็ง(พระบิดา) สวรรคต เมื่ออายุ๒๑ ได้สถาปนา"เวียงเชียงราย" เป็นเมืองหลวงแทนเมืองเก่าอย่างหิรัญนครเงินยาง (ในปีพ.ศ.๑๘๐๕) ด้วยเหตุจากตามหาช้างมงคลที่สุญหายจนไปพบถิ่นพื้นที่เหมาะแก่การตั้งหลักแหล่ง จยกระทั่งลงมาประทับที่เมืองฝางทราบถึงเมืองหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งอย่าง" อาณาจักรหริภุญชัย" (ลำพูน) ก็ส่งไส้ศึกทำการถึง๗ปี จนสามารถสร้างรูปแบบอาณาจักรที่ใหญ่ขึ้นเป็น"อาณาจักรล้านนา" มาปี พ.ศ.๑๘๓๐ พระองค์ถูกเชิญให้มาตัดสินคดีความที่พญาร่วง (พ่อขุนรามฯ) เป็นชู้กับมเหสีของพระยางำเมือง จึงก่อเกิดความสัมพันธ์เชิงคำมั่นสัญญาต่อกันของคนทั้งสามจากนั้นกรณีบาดหมาง ต่อกันในเชิงอาณาเขตก็คลี่คลายตัวลงไป แสดงถึงว่าพญามังรายเป็นบุคคลอาวุโสที่ ผู้นำกลุ่มอื่นให้การเคารพและเกรงขามอย่างสูง แม้แต่พญางำเมืองเมื่อรู้ตัวว่าเมืองพะเยาของตนจะถูกตีจากพญามังรายจำต้อง ยอมยกแคว้นปากน้ำ๕๐๐หลังคนเรือนถวายโดยไม่ขอต่อกรด้วย เรื่องความเด็ดขาดในการปกครองของพระองค์เป็นที่รับรู้กันได้ แม้กระทั่งพระโอรสองค์โตคิดชิงราชสมบัติ พระองค์ยังส่งคนไปลอบสังหารและจัดพิธีศพอย่างสมพระเกียรติ์ (อย่างกับ หนังเรื่องCurse of the Golden Flower ของ ผู้กำกับจาง อี้ โหม่ว)
เห็นพระประวัติปานนี้แล้ว การที่พ่อขุนรามคำแหงเจ้าหัวเมืองเล็กๆ (ถ้าเทียบกับสิ่งที่พญามังรายได้ทำมา)จะได้รับเกียรติ์ในเรื่องที่ปรึกษาในการ วางผังเมืองใหม่ แสดงถึงการเป็นนักวางผังเมืองที่มีรูปแบบเฉพาะประกอบกับการมีสายสัมพันธ์ เชิงสัญญาร่วมด้วยแล้ว น่าจะแสดงว่า เมืองสุโขทัยมีผังเมืองที่รุดหน้าไปมากเมื่อเทียบกับหัวเมืองอื่นในสมัยเดียวกัน เมืองใหม่ที่ว่านี้ก็คือ เมืองเชียงใหม่ ที่อยู่บริเวณที่ราบระหว่างดอยสุเทพด้านทิศตะวันตกกับแม่น้ำปิงด้านตะวันออก หลังจากที่เมืองเวียงกุมกามมีปัญหาน้ำท่วมอยู่โดยตลอด ในจารึกวัดเชียงมั่น (วัดแรกในเขตกำแพงเมือง) ได้กล่าวไว้ว่า"พญามังรายเจ้าและพญางำเมืองพญาร่วงทั้งสามตนตั้งหอนอนในที่ ชัยภูมิราชมณเฑียรขุดคือก่อตรีบูรทั้งสี่ด้าน และก่อพระเจดีย์ทัดที่หอนอนบ้านเชียงมั่นในขณะยามเดียวกัน" ขณะเดียวกันในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวคล้ายกันว่า "พญามังรายก็ใช้อำมาตย์ผู้รู้ ผู้หลวักไปเมืองพรูยาว ที่อยู่พญางำเมือง เมืองสุโขทัยที่อยู่พญาล่วง แล้วเรียกร้องเอาพญาทั้งสอง อันเป็นมิตรรักกันด้วย พระญามังรายก็ชักเชิญว่าจักตั้งบ้านใหญ่เมืองหลวง ได้ยินคำจา ก็โสมนัสยินดี"
ในตอนแรกพระยามังรายกะสร้างเอาให้ใหญ่โตแบบรูปเมืองสี่เหลี่ยมยาวด้านละ๒๐๐๐วา สนองเกียรติ์และพระบารมีของตน แต่สหายรักทั้งสองค้านว่าถ้ายามศึกมาจะหาคนพอตั้งรับได้ยาก น่าจะลดขนาดลงเป็นดี ซึ่งพระยามังรายก็เชื่อตามนั้น หลังจากที่สร้างเสร็จเป็นเวลากว่า๔เดือน ก็เฉลิมฉลองเมืองไปกว่า๓วัน ๓คืน และตั้งชื่อเมืองเสียเท่ห์ๆว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" เป็นชื่อที่มงคลที่อย่างไรคนที่ไหนก็ขอเรียกว่าเชียงใหม่จะดีกว่า ดังนั้นการมีส่วนร่วมของพ่อขุนรามคำแหงที่นอกเหนือจากที่จารึกน่าจะมีอะไรมากไปกว่า เพียงแค่การลดขนาดของเมืองลงแต่ด้วยข้อจำกัดของหลักฐานทำให้เราพอทราบได้ว่าบุคคล ทั้งสามมีลักษณะการเกื้อกูลกันในหลายๆด้าน ทั้งในเรื่องการช่วยเหลือ ปรึกษาหารือและอื่นๆมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ก็ตกมาสู่ความมรดกสมบัติแห่งชาติสำหรับคนไทยโดย ภาพร่วมทั้งหมด ผ่านโคตรเชื้อตระกูลของกษัตริย์ทั้งสามเหล่านี้
ข้อมูลจาก -ประวัติพ่อขุนเม็งราย -แคว้นสุโขทัยรัฐอุดมคติ -จากรึกวัดเชียงมั่น
Create Date : 10 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2551 18:28:10 น. |
Counter : 1297 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|