แม่แชร์มาในไลน์กลุ่มครอบครัว "การสอนให้ลูกจัดการอารมณ์"

หมอพบว่า พ่อแม่ส่วนหนึ่งเข้าใจว่าการสอนให้ลูกจัดการอารมณ์ คือ การบอกลูกว่า "ต้องไม่โมโห ต้องไม่ร้องไห้" แต่จริงๆ การสอนให้ลูกจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม ไม่ใช่แบบนั้น
 
คำพูดประมาณว่า “ลูกเป็นผู้ชายต้องเข้มแข็งนะ อย่าร้องไห้” หรือ “หนูเป็นพี่สาว ต้องไม่โมโหน้องนะลูก ต้องใจเย็น” ตรงนั้นมันอาจไม่เป็นธรรมชาตินัก และทำให้เด็กกลายเป็นคนที่พยายามปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง บางคนเก็บกดเกินไป แล้วไปแสดงออกรุนแรงแทนในโอกาสที่ควบคุมไม่ได้ จนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมาได้
 
.
 
ชีวิตมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ย่อมมีอารมณ์ด้านบวกและลบ มีช่วงเวลาที่ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ สลับกันไป ตามสถานการณ์ 
 
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ จึงไม่ใช่ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกอารมณ์ดี ใจเย็น ไม่โมโห ไม่ร้องไห้ ต้องมีความสุข ยิ้มได้ตลอด 
 
มันเป็นไปไม่ได้ และจะไม่เป็นธรรมชาติ 
 
สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยลูกได้ในเรื่องนี้ ทำอย่างไรให้เขาเป็นคนที่มีทักษะในการจัดการกับอารมณ์ที่เกิดอย่างเหมาะสม 
 
.
 
1. รับรู้และไม่ปฏิเสธอารมณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำให้ลูกเข้าใจคือ รับรู้ว่าเรากำลังมีอารมณ์แบบไหน ทั้งอารมณ์ด้านบวก หรือ อารมณ์ด้านลบ ถ้าตอนเขาเป็นเด็กเล็กๆ อาจจะสอนผ่านนิทาน การ์ตูน หรือตัวอย่างในชีวิตประจำวัน
 
2.เรียนรู้จากตัวอย่างของพ่อแม่ เมื่อมีความรู้สึกเศร้า เสียใจ ดีใจ มีความสุข เช่น การบอกความรู้สึกตัวเองเป็นคำพูดง่ายๆ เช่น "แม่กำลังหงุดหงิดที่หาของไม่เจอ” (แม่จึงมีหน้าตาที่บึ้งสักหน่อย) “แม่กำลังเสียใจเพราะทำแก้วที่แม่ชอบมากแตก” (ตาแม่เลยแดงๆ น้ำตาซึมๆ) “พ่อเหนื่อยจังที่งานเยอะมากๆวันนี้" (พ่อเลยไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่พอกลับมาบ้าน) เป็นต้น ไม่ผิดที่ผู้ใหญ่จะแสดงความรู้สึกอย่างจริงใจให้ลูกรับรู้ จะทำให้ลูกรู้จักเชื่อมโยงอารมณ์กับการแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง ทำให้เขาเข้าใจ เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้นด้วย 
 
3. ผู้ใหญ่ควรทำให้เด็กเห็นตัวอย่างของการจัดการความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม เช่น เสียใจได้ เศร้าได้ เสียน้ำตาได้ แต่ก็ไม่ฟูมฟายมากจนทำร้ายตัวเอง โกรธได้ ไม่ทำร้ายของ ไม่ทำรุนแรงกับตัวเองหรือคนอื่น เป็นต้น
 
4. ถ้าเด็กมีการแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก สิ่งแรกคือ Validate อารมณ์ คือ ยอมรับและรับรู้ว่าเข้าใจความรู้สึกนั้นๆ ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกดี หรือไม่ดี ที่จะดีใจ หรือบางครั้งอาจเศร้า เสียใจ ถ้าเป็นเด็กอาจเชื่อมกับอาการทางกาย เช่น เวลาโกรธหนูจะใจเต้น มือสั่นๆ หน้าร้อนๆ ใจเต้นเร็วๆ แบบนี้คือโกรธ คือโมโหนะ
 
5. Reflection of feeling คือ พูดสะท้อนความรู้สึกเด็กเป็นคำพูด เช่น "ลูกคงจะเศร้าที่สอบไม่ได้คะแนนดี จนทำให้ร้องไห้" “หนูคงจะโกรธที่น้องทำของเล่นหนูเสีย” เด็กก็จะเข้าใจความรู้สึกตัวเองที่เป็นอยู่ ว่า ใช่แล้ว ตอนนี้เรากำลัง ผิดหวัง และเสียใจ และ เขาก็จะรู้สึกว่า มันดีจังนะ ที่มีคนที่เขารักและไว้ใจอย่างพ่อหรือแม่ มีคนเข้าใจในความรู้สึกที่เขาเป็นอยู่
 
6. อย่าใช้คำพูดบอกเด็กว่า "อย่าเสียใจ" "อย่าร้องไห้" “อย่าโกรธ” เพราะจะเหมือนเราไม่ยอมรับ การมีอารมณ์ลบๆ ไม่ใช่ความผิด มันเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่ต้องจัดการคืออารมณ์ที่เกิด
 
7. ให้เด็กมีงานอดิเรกและกิจกรรมที่ช่วยให้จัดการอารมณ์ได้ดีขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย กีฬา ดนตรี ศิลปะ ตามที่เขาชอบ (โดยเป็นสิ่งที่ไม่เป็นโทษกับเขา)เด็กที่มีอะไรทำให้สบายใจ จะจัดการอารมณ์ได้ดี
 
8. คุยกับเด็กเรื่องวิธีจัดการอารมณ์แบบต่างๆ ที่เขาทำแล้วใช้ได้ เช่น ออกมาจากสถานการณ์ที่ทำให้มีอารมณ์มากๆ ตรงนั้นก่อน อาจไปดื่มน้ำเย็นๆ ล้างหน้า นับเลขในใจ หายใจเข้าออกลึกๆ คิดถึงอะไรที่ทำให้สบายใจขึ้น ฯลฯ ตามแต่เขาจะใช้ได้ผล
 
9. อย่าให้เด็กใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไป เพราะมีงานวิจัยที่บอกว่าเด็กที่ใช้เวลากับหน้าจอจะมีทักษะการจัดการอารมณ์ที่แย่ลง
 
10. พ่อแม่จะต้องเป็นตัวอย่างในการจัดการอารมณ์ที่ดีให้เด็กเห็น
 
.
 
สรุปคือ ยอมรับและเข้าใจอารมณ์ของลูกก่อน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวกหรือด้านลบ ความเข้าใจหมายถึงการรับรู้ว่า เขากำลังรู้สึกดี กำลังรู้สึกไม่ดี กำลังดีใจ กำลังเศร้า กำลังโกรธ การทำความเข้าใจยอมรับของพ่อแม่ตรงนี้ นำไปสู่การที่ลูกจะสามารถยอมรับและเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง เมื่อเกิดความเข้าใจและยอมรับก็จะสามารถจัดการกับอารมณ์ในวิธีต่างๆ ที่เหมาะสม สุดท้ายพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างในการจัดการอารมณ์ที่ดีด้วย
 
อารมณ์เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่สำคัญคือ ทักษะในการการจัดการกับอารมณ์ที่เกิดได้ 
 
หมายเหตุ: มีคนถามว่า “หมอไม่ได้เขียนบทความทุกวันแล้วหรือ ไม่เห็นมันขึ้นหน้าวอลล์” หมอเขียนทุกวัน บางวันหลายบทความด้วยค่ะ แต่พอดีช่วงหลังเพราะนโยบายเฟซบุ๊ก โพสต์ที่เขียนจึงอาจไม่ได้ขึ้นในหน้าฟีดของทุกคน แม้จะกดไลค์หรือฟอลโลว์แล้วก็ตาม รบกวนให้ตั้งค่าเพจเป็น see first จะมีการขึ้นเตือนทุกครั้งที่หมอโพสต์ ทำให้ไม่พลาดทุกบทความนะคะ ^^
 
#หมอมินบานเย็น



Create Date : 10 ตุลาคม 2566
Last Update : 10 ตุลาคม 2566 0:19:30 น.
Counter : 361 Pageviews.

0 comments

comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
All Blog
  •  Bloggang.com