WELCOME! WELCOME! and WELCOME!
 
 

ทรราชหวนคืน รีวิว

ผู้แต่ง: ม่านม่านเหอฉีตัว

แปล: ปราณหยาง

สำนักพิมพ์: everY



นี่เป็นผลงานเรื่องที่สองของม่านม่านเหอฉีตัวที่เราขอหยิบมาเขียนถึงสักหน่อย ที่จริงถ้าใครเคยผ่านตากับเรื่อง รัชทายาทบัญชา มาแล้วก็จะน่าจะคุ้นเคยดีทีเดียว และขอคอนเฟิร์มเลยค่ะว่าอารมณ์และแนวทางของเรื่องจะค่อนข้างคล้ายกันอยู่พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือกที่จะเขียนถึงอยู่ดี เพราะก็ต้องยอมรับแหละค่ะว่า นักเขียนท่านนี้ เขียนสนุกและได้อรรถรสมาก และที่สำคัญก็ยังคงโหดมากเหมือนเดิม แรงดีไม่มีตกเลยว่าอย่างนั้น

ฉู่เซ่าหลิง องค์ชายองค์โตของฮองเฮาองค์ก่อนที่สิ้นไป ถูกน้องชายแท้ๆ ที่ตนเองทั้งรักทั้งดูแลอย่างยิ่ง ใส่ความว่าเป็นทรราชที่คิดจะล้มบัลลังก์ จนถูกไล่สังหาร ในขณะที่ไม่เหลือใครแล้ว ข้างกายของเขากลับมีผู้คุ้มกันผู้หนึ่งที่แม้แต่ตัวฉู่เซ่าหลิงเองก็ยังไม่รู้จักคอยปกป้องเขาด้วยชีวิต ที่สุดถึงกับสละชีวิตของตัวเองเพื่อองค์ชายที่มีจุดจบคือความตายรออยู่ ฉู่เซ่าหลิงตัดสินใจพาร่างไร้ลมหายใจของผู้คุ้มกันที่มีชื่อว่า เว่ยจี่ ผู้นั้น กระโดดลงหน้าผาสูง ไม่ยอมให้ผู้ใดได้แตะต้องร่างของเขาและเว่ยจี่เด็ดขาด เพื่อที่จะพบว่า ตัวเองได้ตื่นมาอีกครั้งในร่างเดิมแต่ย้อนกลับไปเมื่อเขาอายุได้เพียง 17 ปีเท่านั้น



ฉู่เซ่าหลิงบอกกับตัวเองว่า ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เขายังจะคิดบัญชีแค้นกับทุกคน และจะตามหาเว่ยจี่ให้พบ อีกทั้งยังปฏิญาณกับตัวเองด้วยว่า เขาจะดูแลเว่ยจี่และส่งเสริมเขาให้ถึงที่สุด เพราะในชีวิตที่ผ่านมา ตัวเองได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งแล้วว่า ใครที่ดีกับเขาอย่างแท้จริง ตื่นมามีชีวิตใหม่ปุ๊ป องค์ชายก็วางแผนนู่นนี่นั่นเอาไว้เต็มหัวเลยทีเดียวค่ะ



นิสัยของฉู่เซ่าหลิงนะคะ แทบจะไม่ต่างกับองค์รัชทายาท ฉีเซียว ในรัชทายาทฯ ตรงที่โหดจริงอะไรจริง เป็นจอมวางแผน เหลี่ยมจัด ชีวิตวัยเด็กและการเติบโตค่อนข้างจะหนักหนา ตามประสาองค์ชายในรั้วในวังล่ะนะคะ ที่สำคัญคลั่งรักหนักมากไม่แพ้กัน ฉู่เซ่าหลิง นี่ เผลอๆ จะมีอาการ PTSD หรือ Post-traumatic stress disorder เป็นอาการของคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายจนส่งผลต่อจิตใจ จะเรียกว่ามีบาดแผลในใจที่ค่อนหนักหนามากก็ได้ ซึ่งมักจะมาแสดงออกหนักมาเวลาที่เป็นเรื่องของ เว่ยจี่ นี่ล่ะค่ะ เดี๋ยวเราค่อยมาลงรายละเอียดกันอีกที

ฉู่เซ่าหลิง ที่จริงโดยศักดิ์แล้ว ควรจะต้องได้นั่งอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาทแท้ๆ เพราะเป็นองค์ชายองค์โตที่เกิดจากฮองเฮาองค์ก่อนที่สิ้นไป องค์ชายที่เหลือถ้าไม่เกิดจากเฟยคนนั้น ก็เป็นลูกของเฟยคนนี้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นองค์ชายที่โดยอายุและตำแหน่งแล้วเป็นอันดับรองลงมาทั้งสิ้น แต่เพราะความลำเอียงของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ที่โปรดลี่เฟย (อนุฯ นั่นแหละค่ะ) อย่างยิ่ง ก็รักลูกของลี่เฟยมากกว่า อยากยกตำแหน่งให้แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะนอกจากจะไม่เหมาะสมแล้ว ความสามารถอะไรต่างๆ ยังเทียบกับฉู่เซ่าหลิงไม่ติด เงื้อง่ากันอยู่แบบนี้มานาน พ่อกับลูกคนโตก็เลยมีความสัมพันธ์แบบพ่อลูกแค่ในนาม และห่างเหินกันมาแต่ไหนแต่ไร แถมฉู่เซ่าหลิงยังนึกแค้นฮ่องเต้ที่ทิ้งขว้างฮองเฮาอย่างไม่ไยดี ทั้งที่ตระกูลของฮองเฮานั้น ช่วยเหลือฮ่องเต้องค์นี้ให้ได้ขึ้นครองราษฎร์ได้ ทั้งยังแสนดี และมีทายาทสืบบัลลังก์ให้อย่างถูกต้องทุกอย่างแท้ๆ

แถมน้องชายแท้ๆ ฉู่เซ่าหยาง ที่ในชีวิตก่อนหน้านั้น เขาเองก็ทั้งรักทั้งดูแลเป็นอย่างดี เพราะเรียกว่าคลานตามกันมา ปกป้องทุกอย่าง เรียกว่าต่อให้น้องชายคนนี้อยากได้บัลลังก์เขาก็ยินดีจะยกให้ แต่กลับถูกน้องตัวเองทรยศหักหลัง เพราะน้องชายคิดแค่ว่าอยากครองบัลลังก์มากกว่า อย่าได้แปลกใจไป ที่จากน้องรักจึงกลายเป็นน้องชังไปในที่สุดในชีวิตนี้ ยังโชคดีที่ องค์ชายใหญ่ยังมีไทเฮาที่รักพระองค์อย่างมาก มีหวังมู่หาน กงกงเฒ่าที่เคยดูแลฮองเฮามาก่อน และได้มาทำหน้าที่ดูแลฉู่เซ่าหลิงต่อด้วยความจงรักภักดี นอกจากนี้ยังมีญาติที่แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดด้วยเช่นกัน

มาพูดถึงเว่ยจี่กันบ้างค่ะ พอฟื้นขึ้นมาในร่างเดิมของตัวเอง สิ่งแรกที่องค์ชายใหญ่ทำก็คือให้หวังมู่หาน ไปตามหาผู้คุ้มกันที่มีนามว่าเว่ยจี่  ว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้ว ก็ปรากฏว่าโชคดีค่ะที่เว่ยจี่เข้ามาประจำการในจวนของฉู่เซ่าหยางมาประมาณปีนึงแล้ว เป็นผู้คุ้มกันเล็กๆ ที่คอยเฝ้าประตูบ้าง คอยติดตามอยู่ห่างๆ บ้าง อายุอานามในชีวิตใหม่นี้ก็แค่ 13 ปีเท่านั้น เด็กเหลือเกิน พอตามตัวมาได้ เจอกันปุ๊ป ตัวเว่ยจี่น่ะไม่เท่าไหร่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็คิดเพียงว่าตัวเองช่างห่างไกลกับองค์ชายใหญ่นัก แม้ใจจะนึกรักตั้งแต่ได้เห็นองค์ชายเป็นครั้งแรกเมื่อปีก่อนก็ตาม ชีวิตขอเพียงได้ทำงานให้แก่พระองค์และเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ก็พอใจแล้ว แต่ฉู่เซ่าหลิงกลับโปรโมตให้เป็นผู้คุ้มกันระดับสามเฉยเลย เงิบกันหมดค่ะ แต่ก็หาได้แคร์ไม่ เพราะถือว่านี่คือคนที่ดีต่อข้าและยอมสละชีวิตเพื่อข้ามาแล้ว ข้าจะดีต่อเขาเสียอย่างใครจะทำไม

ก็น่าเห็นใจเว่ยจี่ไม่น้อยอยู่เหมือนกันนะคะ เป็นผู้คุ้มกันตัวเล็กๆ ที่ไม่มีใครให้ความสนใจอยู่ดีๆ องค์ชายใหญ่ก็เรียกมาเซอร์ไพรส์ ให้ความสนใจอย่างยิ่ง และเอาอกเอาใจอย่างยิ่ง อ่านไปอ่านมา องค์ชายเรานี่ก็พฤติกรรมล่อลวงเด็กเอาเรื่องอยู่ แต่ก็อ่ะ... เข้าใจได้ เพราะว่าความทรงจำในชีวิตที่แล้วมันก็ฝังใจเหลือเกินนี่นา ยิ่งพอแสดงออกว่าข้ารู้แล้วนะว่า เจ้าแอบชอบข้า ทีนี้ล่ะ เอะอะอะไรก็หาเรื่องพาเขามาอยู่ด้วย มานอนเป็นเพื่อน มาอยู่ข้างๆ ในห้องหนังสือที่เป็นที่รู้กันว่า ใครก็อย่าได้บังอาจเข้าไปเชียว แต่สิทธิ์นี้เป็นของเว่ยจี่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่แค่ได้เข้าไปนั่งอยู่ด้วย แต่ยังมีที่ทางของตัวเองเอาไว้นั่งอ่านหนังสือยามที่ฉู่เซ่าหลิงไม่อยู่จวนด้วยอีกต่างหาก

ทีนี้ น้องเว่ยจี่ของเราล่ะเป็นยังไง คือน้องก็ยังเด็กล่ะนะคะ แล้วเวลามาอยู่กับองค์ชายใหญ่ แถมยังโดนหยอก โดนแหย่ โดนรังแก เป็นที่รื่นรมย์ของฉู่เซ่าหลิงยิ่งนัก แต่ที่จริงน้องเป็นเด็กนิสัยดีมากเลยล่ะค่ะ เว่ยจี่น่ะเป็นคนรู้ถูกรู้ควร มารยาทที่จะต้องปฏิบัติกับใคร วางตัวอย่างไรนี่เรียกว่าไม่ให้ได้ต้องติกันเลยทีเดียว ยังไม่นับที่เป็นคนฉลาดและใฝ่รู้ไปอีก ฝีมือการขี่ม้า การยิงธนูนี่คือไม่เป็นที่สองรองใครเลย ต้องยกให้ความมีพรสววรค์และพรแสวงนั่นแหละค่ะ ที่สำคัญ เว่ยจี่ทำทุกอย่างด้วยความคิดที่ว่าไม่อยากจะทำให้องค์ชายใหญ่ฉู่เซ่าหลิงผิดหวัง อยากจะปกป้องในฐานะผู้คุ้มกัน และอยากเป็นกำลังให้ไม่ว่าจะมากจะน้อยแค่ไหนก็ตาม อีแบบนี้ฉู่เซ่าหลิงก็ยิ่งไม่ไหวจะหลงหัวปักหัวปำไปอีกสิคะ

ลึกๆ แล้วฉู่เซ่าหลิงน่ะ ไม่ได้อยากให้เว่ยจี่ออกหน้าออกตาอะไรเลย ไม่อยากให้เว่ยจี่เป็นคนเก่งมากมาย ไม่อยากให้อยู่ห่างข้างกายด้วยซ้ำ เพราะรักและห่วงนั่นแหละค่ะ ทนเห็นเว่ยจี่เจ็บปวด เจ็บป่วย หรือลำบากไม่ได้เอาเลยจริงๆ เพราะรับรู้มาด้วยตัวเองแล้วนี่คะว่า ชีวิตก่อนหน้านั้นของเว่ยจี่ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง และยอมตายเพื่อเขาได้แค่ไหน อาการ PTSD ด้วยนั่นแหละค่ะจะว่าไป ตอนหลังก็คงเห็นแล้วว่า คนของตัวเองนั้นเปี่ยมความสามารถเหลือเกิน อีกอย่างเมื่อมาลองตรองดูดีๆ แล้ว หากเขาอยากจะให้เว่ยจี่อยู่เคียงข้างเขาได้อย่างที่ไม่มีคนกังขาก็ต้องให้โอกาสเว่ยจี่ได้แสดงฝีมือ ได้มีผลงานที่ยิ่งใหญ่ พอยอมให้เท่านั้นแหละ รู้ตัวอีกทีเว่ยจี่ได้เป็นแม่ทัพไปเรียบร้อย แล้วก็ไม่ใช่เพราะได้รับการโปรโมทแบบหลับหูหลับตาขององค์ชายใหญ่ด้วยนะ เพราะเว่ยจี่ได้แสดงให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเขาเป็นผู้เยี่ยมยอดในศึกสงครามมากเพียงไร ทั้งที่อายุยังไม่ 20 เลยนั่นแหละค่ะ

ด้านการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ ก็เรียกได้ว่าห้ำหั่นกันชนิดเอาเป็นเอาตาย ซึ่งก็เกิดขึ้นมันอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ที่สุดฮ่องเต้ก็จำใจต้องยอมแต่งตั้งให้ฉู่เซ่าหลิงเป็นองค์รัชทายาท เพราะเอาจริงๆ ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ ผลงานต่างๆ ล้วนหาที่ติไม่ได้ นอกจากฮ่องเต้ลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน แถมยังรู้ด้วยว่าฉู่เซ่าหลิงเป็นคน... เรียกว่านิสัยไม่ค่อยดีอย่างนี้ดีกว่าค่ะ ฮ่องเต้ก็กลัวว่าพอรัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์แล้ว จะไม่เก็บพี่น้องคนอื่นๆ เอาไว้เป็นหอกข้างแคร่ว่าอย่างนั้น ทั้งที่เอาจริงๆ นะคะ ก็เลี้ยงลูกแบบฮ่องเต้นี่ล่ะค่ะ พี่น้องมันถึงได้ไม่รักกันและคอยเอาแต่จะขัดแข้งขัดขา จนถึงคิดจะเอาชีวิตกันเบอร์นี้

เรื่องนี้น่ะ พฤติกรรมหลายๆ อย่างของหลายๆ ตัวละคร เรียกว่าค่อนข้างสุดโต่งและรุนแรงอยู่นะคะ ฆ่ากันหนักข้อโหดร้ายมาก แต่ถ้าใครเคยอ่านรัชทายาทบัญชา ก็น่าจะชินอยู่ เพราะฟีลคล้ายๆ กันเลย เรื่องโน้นรัชทายาทก็โหด นิสัยไม่เอาใคร แถมยังคลั่งรักรุนแรงไม่แพ้กัน ทางนี้นายเอกเป็นแม่ทัพ ทางโน้นก็เป็นถึงท่านอ๋อง แม้ยามอยู่กับพระเอกของตัวเองจะน่ารักนุ่มนิ่มเป็นลูกแมว แต่ยามได้ออกศึกล่ะ โอ้โห... สู้ตาย เรียกว่าสมหน้าสมตา สมฐานะที่จะอยู่เคียงข้างกันมากเชียวล่ะค่ะ พระเอกทั้งสองคนของเราถึงไม่ยอมแต่งเมียก็เพราะอย่างนี้ ไม่สนกฎราชสำนัก ไม่สนขุนนางหน้าไหนทั้งสิ้น ที่เราชอบฉู่เซ่าหลิงอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่บอกว่า คนที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดได้นั่งบนบัลลังก์มังกร แต่หากแม้จะปกป้องคนที่ตัวเองรักยังทำไม่ได้ ก็อย่านั่งเลยบัลลังก์ที่ว่านี้ ดังนั้นเขาจึงทำทุกอย่างเพื่อให้เว่ยจี่ได้อยู่เคียงข้างเขาอย่างเปิดเผย และได้รับการยอมรับ ซึ่งวิธีการก็มีทั้งแบบที่ฉลาดล้ำและแบบที่ไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้นตามประสาคนนิสัยไม่ดีนั่นแหละค่ะ

นอกจากสองตัวละครนี้ ตัวละครที่เราชอบมากเป็นพิเศษก็คือ ไทเฮา หรือก็คือท่านย่าของฉู่เซ่าหลิงนั่นเอง ไทเฮาคือทั้งรักทั้งสนับสนุนหลานคนโตอย่างเต็มที่ ส่วนนึงก็เพราะสงสารที่หลานเป็นกำพร้า แถมยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพ่อแท้ๆ ของตัวเอง ก็เลย... ถ้าพ่อเจ้าไม่รัก ย่าจะรักและทุ่มเทให้เจ้าเอง เรื่องนี้เพราะองค์ไทเฮาแท้ๆ นะคะ จึงทำให้ฉู่เซ่าหลิงมีที่ทางในราชสำนักได้ชนิดไม่น้อยหน้าใคร ฉู่เซ่าหลิงจึงรักท่านย่ามากเหลือประมาณ ชนิดไม่ขัดใจ ยกเว้นแค่เรื่องเว่ยจี่นี่แหละค่ะ อีกตัวละครที่เราชอบก็คือเว่ยจั้น พี่ชายของเว่ยจี่ ที่นับว่าเป็นคนรู้ความอย่างยิ่ง จะบอกว่าเป็นคนที่ได้ดีเพราะน้องชายก็ไม่ผิดนัก โชคดีที่เว่ยจั้นเองก็เป็นคนมีความสามารถ ดังนั้นจึงได้กลายมาเป็นแขนขาของฉู่เซ่าหลิง แม้ทีแรกจะกังวลว่า น้องชายตัวเองถูกข่มเหงและข่มขู่ แต่พอรู้ว่าเว่ยจี่น่ะยอมเสียยิ่งกว่ายอม ก็เลยปล่อยล้อฟรีเลยค่ะ เจริญก้าวหน้ากันไปซะทั้งพี่ทั้งน้องว่าอย่างนั้น อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ หวังมู่หาน เรื่องความจงรักภักดีต่อฉู่เซ่าหลิง ไม่แพ้ใครเลยแน่นอนค่ะ สำหรับกงกงท่านนี้ แถมยังคอยเป็นหูเป็นตาและเอื้อเอ็นดูเว่ยจี่แทนนายตัวเองชนิดเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพมากเชียวล่ะค่ะ

ที่เหลือ อยากจะให้ลองไปหาอ่านกันดูนะคะ นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานที่แฟนๆ ของอาจารย์ม่านฯ น่าจะชอบแหละ เพราะมันมีความสาแก่ใจบางประการอยู่เหมือนกันตอนที่ได้อ่าน แต่อาจจะ 18 บวกไปซักหน่อยสำหรับความรุนแรง (ซึ่งถ้าใครอ่านนิยายแนวจีนโบราณแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่นับว่าเหนือความคาดหมายอะไรค่ะ) แต่โดยรวมแล้วสนุกมากเชียวล่ะ ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ
คราวหน้าจะรีวิวเรื่องไหนก็ โปรดติดตามตอนไปนะคะ ขอบคุณค่ะ
 
 




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2564   
Last Update : 18 สิงหาคม 2564 21:02:19 น.   
Counter : 2021 Pageviews.  


เหรียญทองแดงปราบพิภพ รีวิว

ผู้แต่ง: มู่ซูหลี่

แปล: ใบไม้แดง

สำนักพิมพ์: มิเนอร์วา บุ๊ค

              นี่ต้องถือว่าเป็นนิยายจีนโบราณสายพลังบวกแฟนตาซีที่สนุกมากเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ค่ะ อ่านแล้วถึงกับวางไม่ลงกันเลยทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่การดำเนินเรื่องจะสนุกและน่าสนใจมากแล้ว ตัวละครต่างๆ ที่โลดเล่นภายในเรื่องยังน่าสนใจมากไม่แพ้กันด้วย ที่สำคัญความสัมพันธ์อันมากมายของตัวละครก็ยังมีความซับซ้อนและน่าประทับใจอย่างยิ่งอีกต่างหาก นี่เป็นอีกหนึ่งนิยายที่เราหมายมั่นว่าจะต้องหยิบมาอ่านอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอนค่ะ



              อย่างที่เกริ่นเอาไว้นะคะ ที่เป็นนิยายสายแฟนตาซี ดังนั้นการที่จะเปิดมาด้วยเรื่องมังกร แล้วไหนจะยังมีเรื่องของนักบวช มนตรา อาคม ผีสางนางไม้ รวมถึงเวทมนตร์ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งค่ะ  เรื่องนี้เริ่มขึ้นจากเรื่องเล่าที่ว่ามีมังกรตนหนึ่งร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า แล้วก็ถูกคนตัดเส้นเอ็นกระชากกระดูกทั้งเป็น ไม่รู้ชะตากรรมว่าเป็นเช่นไร ตัดภาพมาอีกที ก็กลายเป็นเรื่องของเซวียเสียนชายหนุ่มรูปงามผู้มีพลังเวทย์ก็จริง แต่เนื่องจากเจ้าตัวพิการ ร่างกายท่อนล่างไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ก็เลยอาศัยวาดภาพลงบนกระดาษเพื่อให้มีร่างกายชั่วคราว แล้วก็เลยยื่นมือไปช่วยวิญญาณตนหนึ่งที่ชื่อ เจียงซี่อหนิง ให้ได้มีร่าง แล้วก็อาศัยเจียงซื่อหนิงนี่แหละซื้อหาอาหารมาให้

              ขณะที่บุรุษตนหนึ่ง กับวิญญาณตนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในบ้านร้างร่วมกันได้สักสองสามวัน จู่ๆ ก็มีนักบวชชุดขาวรูปงาม  แต่ก็เยือกเย็นอย่างยิ่ง เงียบขรึมอย่างยิ่ง แถมน่าครั่นคร้ามเสียจนผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ โผล่มาแงะกระดาษที่เซวียเสียนอุตส่าห์ซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดีบนพื้นที่เต็มไปด้วยตะไคร่แล้วแท้ๆ นักบวชชุดขาวที่ผู้นี้มีนามว่า เสวียนหมิ่น เป็นบุรุษลึกลับที่มาที่ไปก็ไม่ชัดเจน ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน รู้แต่ว่าฝีมือไม่ธรรมดา พลังเวทย์รึก็อลังการอย่างยิ่ง



              การเดินทางที่จะนำไปสู่เรื่องราวอันมากมายจึงได้เริ่มต้นขึ้นตอนนี้เอง พออ่านไปได้ซักนิดซักหน่อย เราจะเริ่มรู้แล้วค่ะว่า ทำไมเซวียเสียนจึงได้พิการถึงกับเดินไม่ได้ นั่นก็เพราะแท้ที่จริงเจ้าตัวคือมังกรที่ว่าถูกตัดเส้นเอ็นและดึงกระดูกสันหลังออกไปตนนั้นนั่นเอง หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าตัวแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไม่หนักหนาจริง มังกรอย่างเขาไม่มีทางที่จะสูญเสียพลังไปจนต้องอาศัยร่างกระดาษอยู่หรอก ทั้งที่จริงๆ พลังในการฮีลตัวเองของมังกรน่ะธรรมดาที่ไหน แต่ก็รอดมาได้นี่แล้วไงล่ะ เพียงแต่ถ้าจะให้กลับมาดีได้ดังเดิมก็จำเป็นจะต้องค้นหากระดูกที่ถูกคนกระชากฉวยไปกลับคืนมาให้ได้เสียก่อน เจ้าตัวจึงพาร่างอันไม่สมประกอบของตัวเองมายังบ้านสกุลเจียง แต่ก็พบว่าบ้านถูกไฟไหม้ ไม่มีใครเหลือรอดอยู่เลย นอกจากวิญญาณของเจียงซื่อหนิง บุตรชายเพียงคนเดียวของท่านหมอเจียงนั่นเอง

 

              เสวียนหมิ่นนั้น ปกติไม่ใช่คนที่ชอบสุงสิงกับใคร เรียกว่าไม่มี social skill เลยค่ะ ไม่แคร์ด้วย เพราะนิสัยเป็นคนพูดน้อยและรักสันโดษมาก สาเหตุที่ให้ต้องมายุ่งเกี่ยวกับวิญญาณสองตนนี่ก็เพียงเพราะความเป็นคนมีเมตตา คิดแค่ว่าหากเป็นวิญญาณร้ายก็จะปราบซะ หากเป็นวิญญาณที่ไม่ไปเกิดก็จะได้ส่งให้ไปเกิดให้เรียบร้อย จะได้ไม่ทำอันตรายชาวบ้านชาวช่องเขา แต่พอไปแซะวิญญาณที่บ้านสกุลเจียงมาเท่านั้นแหละ ชีวิตเรียกว่าถึงกับเปลี่ยนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

              แรกๆ เสวียนหมิ่นรำคาญมังกรตนนี้มาก เพราะพูดมาก พูดไม่หยุด แถมยังชัดเจนว่ามีเป้าหมายในการที่จะแหย่เขาเอาสนุกไม่เว้นแต่ละวันเสียด้วย แม้จะรู้ว่าแหย่ไม่ขึ้น แถมยังเหมือนพูดอยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็กลายเป็นความบันเทิงหลักของมังกรตัวแสบไปเสียแล้ว พอมาอยู่ด้วยกันแบบนี้เซวียเสียนก็พบว่าเสวียนหมิ่นความจำเสื่อม จดจำเรื่องของตัวเองแทบไม่ได้เลย แถมยังมีอาการป่วยที่ค่อนข้างจะไม่ปกติอยู่ แรกๆ เซวียเสียนคือไม่ให้ราคานักบวชชุดขาวผู้นี้เลยนะคะ เพราะว่าหน้าเด็กมาก ส่วนเหรียญทองแดงในตำนานที่เล่ากันว่าเป็นเหรียญวิเศษที่บรรดาผู้วิเศษทั้งหลายใช้ปราบภูตผี แม้เสวียนหมิ่นจะมีพกพาเอาไว้กับตัวแต่กลับหม่นหมองสนิมจับเขรอะ ไม่มีราศีเอาเสียเลย แต่ที่ไม่สามารถหลอกสายตาของมังกรอย่างเขาได้ก็คือพลังเวทย์อันสูงส่งนั่นแหละค่ะ เจ้าตัวถึงได้ยอมรับขึ้นมา

              ความสนุกมากอีกอย่างของเรื่องนี้ก็คือพล็อตที่วางเอาไว้อย่างน่าติดตามและต่อเนื่องนี่แหละ การที่จะต้องเดินทางตามหากระดูกของมังกรนั้น มันก็จะต้องมีการตระเวนไปตามที่ต่างๆ แล้วที่แรกที่หาเจอก็เรียกว่าบังเอิญอย่างยิ่ง แล้วพอเหมือนได้เจอชิ้นแรก มันก็จะเริ่มจะมีเบาะแสของชิ้นอื่นๆ เข้ามา ที่สำคัญการเจอกระดูกแต่ละชิ้นทำให้ร่างกายของเซวียเสียนค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นด้วยเช่นกัน ทีมเดินทางที่เริ่มจาก 3 ก็เพิ่มจำนวนขึ้นตามสถานที่ที่แวะเวียนไปนั่นแหละค่ะ

              พอเดินทางไปยังเมืองที่สองก็ได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มมาอีกคนมีนามว่า ลู่เนี่ยนชี ลู่เนี่ยนชีมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ ลู่สือจิ่ว คนผู้นี้แม้จะตาบอดแต่มีความสามารถในการเห็นภูติผีพลังปราณต่างๆ และเป็นนักทำนายที่แม่นยำ เซวียเสียนตั้งใจไปขอความช่วยเหลือจากลู่สือจิ่ว ปรากกฎว่าที่บ้านของเด็กทั้งสองเหลือแต่ลู่เนี่ยนชีวัยเพียง 15 ปีอยู่บ้านคนเดียว แถมยังเป็นคนปากร้ายน่าดู สุดท้ายทั้ง 4 คนก็พากันออกตามหาลู่สือจิ่วที่เดินทางไปยังเกาะอาถรรพ์ของเมืองนั้นก่อนจะหายตัวไปนานครึ่งค่อนเดือน สิ่งที่ทุกคนต้องพบเจอบนเกาะทั้งน่ากลัว ทั้งเสี่ยงๆ จะเอาชีวิตไปทิ้งก็หลายรอบ เรียกว่าหนักหนาสาหัส แต่ก็ได้กระดูกกลับคืนมาชิ้นนึงจนได้ รายละเอียดขอให้ไปอ่านดูเอาค่ะ ลุ้นกันสนุกมากจริงๆ

              แล้วสมาชิกก็เพิ่มมาอีก 1 คน นั่นก็คือลู่เนี่ยนชี ที่ก็ได้พลังการทำนายของพี่ชายมาแต่ก็แลกกับการเสียการมองเห็นไปเช่นกัน ทีนี้ก็ตั้งเป้าหมายกันว่าจะไปยังเมืองที่สกุลฟางที่พี่สาวของวิญญาณ เจียงซื่อหนิง แต่งเป็นสะใภ้เข้าไปน่ะคะ คือตัวเจียงซื่อหนิงน่ะเพราะมีเรื่องติดค้างอยู่จึงไม่ยอมไปเกิดเสียที การไปหาพี่สาวครั้งนี้จึงสำคัญนัก บวกกับเส้นทางที่จะไปหาเบาะแสเพิ่มก็ทางเดียวกันนี่แหละ แล้วก็เลยไปได้ตัว สือโถวจาง ตาแก่นักแกะสลักหินจอมพร่ำเพ้อแถมยังขี้กลัวหนักหนามาร่วมการเดินทางนี้อีกคน แม้ตัวสือโถวจางจะกลัวกลุ่มคนเหล่านี้ แต่ก็ไม่กลัวเท่ากับคนที่จ้องจะเอาชีวิตเขา ก็เลยต้องยอมให้พระลากไป มังกรลากมากันแบบไม่ค่อยมีทางเลือกเท่าไหร่

              ตอนนี้สมาชิกของกลุ่มมีรวมกันทั้งสิ้น 5 คน เซวียนเสียนที่ร่างจริงเป็นมังกรแต่ก็พิการครึ่งท่อน จะไปไหนมาไหนก็ลำบากเสวียนหมิ่นต้องอุ้มไป เสวียนหมิ่นก็เป็นนักบวชไปอีก เจียงซื่อหนิง เป็นวิญญาณ ลู่เนี่ยนชีก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัย 15 ที่ตาพิการ จะเหลือที่เป็นคนปกติก็มีแค่สือโถวจางที่แม้จะน่ารำคาญไปบ้าง แต่เรื่องการพูดคุยติดต่อกับคนทั่วไป เขาน่าจะปกติที่สุดแล้ว 

              ที่น่าแปลกใจอย่างมากก็คือยิ่งเดินทางไปเรื่อยๆ ทำไมเซวียเสียนถึงไม่ได้รู้สึกอยากจะฆ่าเจ้าลาโง่ (ชื่อเรียกนักบวชแบบเหยียดหยามน่ะค่ะ) นี่มากอย่างแต่ก่อนแล้ว แถมเวลาอยู่ใกล้ๆ ก็มีความคุ้นเคยอย่างมากไปแล้ว แล้วก็เริ่มจะชอบที่ข้างกายมีคนคอยเป็นคู่คิดและค่อยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ซึ่งดีกว่าตอนเป็นมังกรที่ทำอะไรก็ต้องทำเองคนเดียวเยอะเลย แต่ก่อนคิดว่าก็สะดวกดี แต่ตอนนี้กลับไม่อยากให้ข้างกายว่างเปล่าเหมือนเดิมเสียแล้ว ส่วนเสวียนหมิ่นก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญเซวียเสียนสักเท่าไหร่แล้วเหมือนกัน เวลาเจ้ามังกรร้ายนั่นพูดจาอะไรมา ถ้าไม่หูทวนลมไปเสีย นานๆ เขาก็จะตอกกลับเสียที อีกทั้งยังคอยดูแลเอาใจใส่อีกฝ่ายไปเองทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวนั่นแหละ ถึงขนาดที่ยอมให้เซวียเสียนเก็บเหรียญทองแดงเอาไว้กับตัว หลักใหญ่ใจความสำคัญก็คือเหรียญช่วยฟื้นฟูร่างกายของเซวียเสียนได้ค่ะ และยิ่งไปกว่านั้นเหรียญห้าเหรียญของเซวียเสียนนี่ นานวันไปก็เหมือนจะเป็นตัวเชื่อมโยงสายใยระหว่างทั้งคู่ขึ้นมาให้เหนียวแน่นขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก

              ในเรื่องนี้ยังมีตัวละครสำคัญอีกตัวที่ทุกคนในเรื่องพร้อมใจกันเรียกว่า ท่านราชครู ซึ่งถือเป็นตำแหน่งใหญ่อยู่เคียงคู่บัลลังก์ของฮ่องเต้มานานถึง 4 สมัยทีเดียว ข่าวลือเกี่ยวกับท่านราชครูมีมากมาย แต่ที่ไปในทิศทางเดียวกันก็คือความลึกลับ อำนาจ พลังอันมากล้น และใบหน้าที่น้อยคนนักจะได้เห็น และ ราชครู นี้เองที่มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งยวดกับเสวียนหมิ่น รวมถึงตอนท้ายที่พีคมากถึงกับทำให้เซวียเวียนกับเสวียนหมิ่นเรียกว่าแทบจะแตกหักกัน แต่... เราจะไม่เล่าต่อล่ะนะคะ จะหยุดแค่นี้เพื่อให้ทุกคนได้ไปลองหาอ่านกันเอง เพราะไม่งั้นต้องได้สปอยล์กันหนักแน่นอน แถมเอาจริงๆ เล่าแล้วมันยาวค่ะ ไม่ไหวจะพิมพ์ แต่สนุกมั้ย ไม่ผิดหวังเลย สนุกมาก

              สองสิ่งหลักๆ ที่เราชอบมากใน เหรียญทองแดงปราบพิภพ ก็คือ พล็อตเรื่องที่สนุก ละเอียด เกี่ยวโยงกันแบบ... แบบที่รู้ว่าทำการบ้านมาดีน่ะค่ะ มันมีความต่อเนื่องมาก แล้วไม่สะดุด อ่านไปลุ้นไป แถมยังมีจังหวะซิตคอมแทรกมาตลอดทั้งเรื่องให้ได้ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะกันด้วย อีกอันก็น่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์และความผูกพันกันระหว่างตัวละครทั้งหลายในเรื่อง ซึ่งเอาจริงๆ เราอ่านแล้วประทับใจมากเลยนะ ถึงแม้นี่จะเป็นการรวมตัวกันของตัวละครที่แลดูจะมีแต่แววหายนะ แต่มันลงตัวอย่างยิ่ง แต่ละตัวล้วนมีเสน่ห์ของตัวเองอย่างมาก นี่รวมถึงตัวละครอื่นๆ ที่ไม่แค่ 5 ตัวหลักนี้ด้วยนะคะ อ่านแล้วดีมากจริงๆ

              เซวียเสียนน่าจะเป็นมังกรตนนึงที่กวนตีนที่สุดแล้วเท่าที่เคยอ่านๆ มา แต่ก็มีความตรงไปตรงมาดีนะคะ นิสัยแย่ๆ ก็มีแหละเช่นว่ายโสโอหัง รักหน้าตาศักดิ์ศรีตัวเองยิ่งกว่าอะไร แต่ก็ต้องยอมให้นะ ยังไงซะก็เป็นมังกรอายุกี่พันปีเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ แถมยังมาตกอยู่ในสภาพน่าอนาถกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีก ก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยค่ะส่วนเสวียนหมิ่นก็นั่นแหละค่ะ พูดน้อย เย็นชา แต่พอรู้ภูมิหลังแล้วก็เข้าใจได้ เพราะแท้ที่จริงเขาก็เป็นคนจิตใจดีงามสูงส่งมากเลยแหละ ขำก็ตรงคำจำกัดความที่อาจารย์ของพระเอกบอกว่า ‘ลูกศิษย์ตนคงแพ้ทางสิ่งมีชีวิตที่ ‘ถ้าชีวิตยังไม่สิ้นก็จะก่อความวุ่นวายต่อไป’’ นี่มาก ดังนั้นการที่เสวียนหมิ่นมีเซวียเสียนเข้ามาในชีวิตนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดจริงๆ

              เจียงซื่อหนิง แม้จะแลดูเป็นวิญญาณหนอนหนังสือที่ลอยไปลอยมาท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง แต่เห็นอย่างนี้ พึ่งพาได้นะคะ เพราะจะอย่างไรก็เป็นถึงทายาทของท่านหมอเจียงผู้เปี่ยมไปได้เมตตา แม้จะเป็นผีแต่ก็ยังสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อื่นรวมถึงยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย แถมยังน่าจะเป็นคน (ตน) เดียวที่กล้าต่อปากต่อคำกับมังกรร้ายอย่างเซวียเสียน ส่วนลู่เนี่ยนชีนั้น จริงๆ เป็นเด็กที่มีชีวิตค่อนข้างน่าสงสารมากคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเซวียเสียนเดินทางมาเจอเขาเข้า ชีวิตของเขาอาจจะไปไม่ได้ไกลถึงเพียงนี้ แถมยังมีสหายรู้ใจในชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยคิดว่าจะมีด้วย สือโถวจางเอง แม้จะดูเหมือนไม่ค่อยได้เรื่อง แต่กลับมีประโยชน์มากนะคะ จริงๆ ถ้าไม่มีเขาก็อาจจะหาเบาะแสกระดูกของเซวียเสียนยากยิ่งขึ้นไปอีก ในความไม่สมบูรณ์แบบมันก็มีความสมบูรณ์แบบของมันอยู่ล่ะค่ะ

              สรุปก็คือ ไปหามาอ่านกันเถอะนะคะ เรื่องนี้กว่าเราจะหาซื้อได้ ก็ต้องรอให้พิมพ์ใหม่ เพราะหมดยิ่งกว่าหมด กว่าจะได้อ่านคือหลัง นักรบพเนจรฯ ไปอีก ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะซื้อมานานแล้วนะ นี่พออ่านจบแล้วยังฟินไม่หาย ตอนท้ายๆ ที่เป็นตอนพิเศษก็ดีมากค่ะ ฟีลกู๊ดมากจริงๆ

              ขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับการติดตาม และเช่นเคยนะคะ ใครอยากจะแชร์อะไรหลังจากอ่านจบแล้ว เรายินดีเสมอค่ะ




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2564   
Last Update : 4 ตุลาคม 2564 20:23:21 น.   
Counter : 1282 Pageviews.  


นักรบพเนจรสุดขอบฟ้า รีวิว

ผู้แต่ง: Priest

แปล: Breadknight

สำนักพิมพ์: SENSE BOOK

ในที่สุดก็ได้หยิบนิยายเรื่องนี้มาเขียนซักที ทั้งที่อ่านจบไปตั้งก่อนที่ซีรีย์ตอนสุดท้ายจะออนไม่กี่วันแล้วแท้ๆ เรื่องของเรื่องก็คือว่า มีคนแนะนำให้อ่านนักรบพเนจรสุดขอบฟ้ามาตั้งนานแล้ว แต่ปรากฏว่าพอซีรีย์ออนปุ๊ปก็ดังเปรี้ยง นิยายขาดตลาดทันทีเลยค่ะ อยากหาซื้อมาอ่านแค่ไหนก็ไม่สามารถ ก็เลย... ทำไมถึงได้ดังขนาดนั้นนะ งั้นก็ขอลองดูซีรีย์ก่อนก็แล้วกัน เรียบร้อยค่ะ! ติดหนึบเลย ไม่แปลกใจว่าทำไมนิยายเลยพลอยขายดีไปด้วยขนาดนั้น



พอดูซีรีย์จบก็ลังเลอยู่นานมากว่าจะรีวิวนิยายดีมั้ยนะ เพราะมันยากเสมอค่ะเวลาที่เราจะต้องเขียนรีวิวนิยายเรื่องที่ถูกนำไปทำเป็นซีรีย์ ยิ่งถ้าเป็นซีรีย์ที่ทำออกมาได้ดีด้วยก็จะยิ่งยากเป็นพิเศษ ก็พอดีจังหวะที่กลับมาเขียนรีวิวใหม่ ก็เลยตัดสินใจหยิบนิยายมาอ่านใหม่อีกรอบนึง แล้วก็ถึงได้ตัดสินใจลงมือเขียนซักทีนี่แหละค่ะ ขอออกตัวเอาไว้ก่อนตรงนี้เลยนะคะว่า ช่วงต้นเราจะเน้นเรื่องราวจากในหนังสือเท่านั้น รีวิวนิยายจบแล้ว เราถึงจะพูดถึงซีรีย์บ้างซักเล็กน้อยในตอนท้ายสำหรับทั้งแฟนนิยายและแฟนซีรีย์อีกทีก็แล้วกันนะคะ

 

นักรบพเนจรสุดขอบฟ้า เป็นเรื่องราวที่พูดถึงสองตัวละครหลักที่มีชีวิตที่จะบอกว่าแตกต่างก็น่าจะใช่ จะคล้ายกันก็เรียกว่าไม่ผิดนัก คนหนึ่งคืออดีตประมุขเคหาสน์สี่ฤดู โจวจื่อชู ที่ภายหลังมาสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทำงานสกปรกทุกอย่างตั้งแต่เป็นสายลับจนถึงนักล่าสังหารภายใต้ชื่อสำนักเทียนชวงเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งโจวจื่อชูที่ต้องสูญเสียศิษย์พี่น้องร่วมสำนักไปมากมาย และตัวเองก็เบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำเต็มที แต่กฎของเทียนชวงคือเข้าได้ออกไม่ได้ ใครที่คิดจะถอนตัวออกไปจะต้องยอมรับทัณฑ์ตะปูเจ็ดทวารสามสารท แลกกับอิสรภาพและชีวิตที่จะอยู่ได้เพียงสามปีก่อนจะตายตกกันไป โจวจื่อชู ในฐานะประมุขก็ไม่ต่างกัน เขาตอกตะปูให้ตัวเองและลาออกจากราชสำนัก ก่อนจะปลอมตัวเป็นชายอมโรคร่อนเร่พเนจรที่สภาพไม่ดีไปกว่าขอทาน แต่คุ้มค่ากับชีวิตในช่วงสุดท้ายที่เหลืออยู่

ก่อนที่จะมาพบกับ เวินเค่อสิง ชายหนุ่มรูปงามท่าทางเจ้าสำอางที่มีที่มาที่ไปค่อนข้างลึกลับ เวินเค่อสิง ที่ราวกับคนหูหนวกตาบอด ไม่รู้มาถูกใจอะไรกับชายที่แต่งกายซอมซ่อหน้าเขียวบ้างเหลืองบ้างดูไม่เป็นผู้เป็นคนแถมผอมแห้งดูเหมือนจะตายวันตายพรุ่งอย่าง โจวจื่อชู แต่ไม่ว่าจะพูดหรือไล่อย่างไร เวินเค่อสิง ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อว่าหน้าตาอันอัปลักษณ์นี้จะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของโจวจื่อชู จึงหน้าด้านตามติดหยอดคำหวานราวกับเป็นเหาฉลามที่สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด

ราวกับว่าชีวิตยังวุ่นวายไม่พอ โจวจื่อชู ที่บอกกับ เวินเค่อสิง ว่าตัวเองชื่อ โจวซวี่ ก็ดันต้องไปพัวพันกับเรื่องราวยุ่งยากในยุทธภพไปอีก เริ่มจากที่จับพลัดจับผลูต้องให้ได้ยื่นมือเข้าช่วยเด็กน้อยสกุลจาง จางเฉิงหลิ่ง ทายาทเพียงคนเดียวที่รอดตายจากการฆ่าล้างตระกูล และรับปากกับผู้เฒ่าใกล้ตายว่าจะพาเด็กน้อยคนนี้ไปส่งให้กับสกุลจ้าวให้ช่วยดูแลเด็กกำพร้าผู้นี้ต่อไป เวินเค่อสิง ที่ตอนแรกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาซักนิด แต่ด้วยความอยากสอดเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตของโจวจื่อชูทุกเรื่อง ก็หน้าด้านออกตัวเดินทางไปด้วยกันเสียอย่างนั้น ทำเอาแม่นางน้อยกู้เซียง สาวใช้ผู้ติดตามเวินเค่อสิงอิดหนาระอาใจกับเจ้านายของตัวเองอย่างยิ่ง แต่ก็หลับหูหลับตาติดตามกันไปเป็นโขยงทั้งอย่างนั้น

ใครจะไปคิดล่ะคะว่า แค่พาเด็กผู้ชายวัย 15 คนหนึ่งไปฝากฝังให้กับตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง ระหว่างทางจะเกิดเรื่องราวมากมายถึงเพียงนั้น เพราะไปๆ มาๆ ก็ได้รู้ว่าสาเหตุแห่งเรื่องวุ่นวายเหล่านี้มาจาก เกล็ดหลิวหลี เกล็ดที่ว่านี้ว่ากันว่าเป็นกุญแจที่จะนำไปสู่คลังยุทธ์ในตำนานที่เก็บเอาตำรายุทธ์ที่มีคุณค่าหากยากขนาดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ขนาดนั้นเลยทีเดียว มันจึงกลายเป็นที่หมายตาจากทุกฝ่ายในยุทธภพไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรืออธรรม เกล็ดหลิวหลีในตำนานนั้นถูกแยกออกเป็น 5 ชิ้น และถูกเก็บรักษาเอาไว้โดย 5 ตระกูลใหญ่ หนึ่งในนั้นคือตระกูลจางของเด็กน้อยจางเฉิงหลิ่งนั่นเอง พอตระกูลหนึ่งเกิดเรื่อง ตระกูลที่เหลือก็ต้องลุกฮือขึ้นมาออกหน้าตามธรรมเนียมว่าอย่างนั้น

ก็เลยกลายเป็นเรื่องราวการตามหาและแย่งชิงเกล็ดหลิวหลีกันเป็นที่เอิกเกริก และแน่นอนว่าเด็กน้อยจางเฉิงหลิ่งจึงไม่ต่างกับชิ้นเนื้อที่โดนหมายตาจากทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย วุ่นวายโจวจื่อชู (หรือตอนหลังถูกเวินเค่อสิงเรียกอย่างสนิทสนมว่า อาซวี่) และ เวินเค่อสิง (หรือที่ถูกเรียกว่า เหล่าเวิน จนติดปากเหมือนกัน) ต้องยื่นมือเข้าช่วยเพื่อรักษาชีวิตเด็กน้อย ที่เอาจริงๆ ก็น่าสงสารนะคะ เพราะสุดท้ายคนในยุทธภพที่พ่อของเขาคิดจะฝากฝังให้ช่วยดูแลลูกชาย กลับกลายเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ หวังอยากได้เกล็ดหลิวหลีส่วนของตระกูลจางมากกว่าจะสนใจชีวิตความปลอดภัยของเด็ก ด้วยความเวทนา โจวจื่อชู จึงตัดสินใจรับเฉิงหลิ่งเป็นศิษย์ โดยมีท่านอาเวินที่ก็ค่อยช่วยดูแลสอนนั่นสอนนี่ให้ด้วยอีกคน วันดีคืนดีก็มีพี่กู้เซียงมาช่วยดูแลปกป้องไปอีก อบอุ่นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว จางฉิงหลิ่งจึงทั้งรักและเคารพชายหนุ่มทั้งสองคนมากกว่าใคร แม้เจ้าตัวจะหัวทื่อ สอนอะไรกว่าจะจำได้ช่างยากเย็นนักไปหน่อยก็ตาม

ระหว่างที่ต้องวุ่นวายกับทั้งเรื่องเกล็ดหลิวหลีเอย สำนักใหญ่ทั้ง 5 เอย ไหนจะกลุ่มแมงป่องพิษ และหุบเขาผีที่มีเหตุให้ต้องฆ่าฟันเสียเลือดเสียเนื้อกันไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของ อาซวี่ และ เหล่าเวิน ก็ค่อยๆ ก้าวหน้าขึ้นอย่างน่าประหลาด เวินเค่อสิงนี่นะคะ เป็นพวกตัดแขนเสื้อชัดเจนมาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว แสดงออกชัดเจนว่าชอบผู้ชายไม่ชอบผู้หญิง แถมมาถูกอกถูกใจโจวจื่อชูอย่างยิ่ง และนั่งยันนอนยันว่า อาซวี่ ของเขานั้นแท้ที่จริงเป็นคนงาม ถึงได้ตามตื๊อ ตามจีบ ตามหยอดไม่หยุด โจวจื่อชูคือไม่ไหวจะรำคาญ ไม่ไหวจะอยากด่า หันไปเห็นหน้าบางทีเกิดอยากจะต่อยไปซักหมัดก็หลายครั้ง แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงรู้สึกชิน แถมตอนหลังยังรับลูก ชงมาตบกลับกันได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนัก แต่ก็นั่นล่ะค่ะ เผลอเป็นไม่ได้ เหล่าเวินต้องขอให้ได้แตะเนื้อต้องตัวแทบจะตลอดเวลากันเลยทีเดียว

พอได้อยู่ด้วยกันมากเข้า ด้วยความที่ทั้ง โจวจื่อชู และเวินเค่อสิง ที่ต่างก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนต่อโลก ชีวิตล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ก็เรียกได้ว่าไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ล่ะค่ะ โจวจื่อชู ก็พอจะเดาได้แล้วว่า เวินเค่อสิง แท้ที่จริงคือประมุขผาวายุ หรือเรียกตรงๆ ก็คือประมุขหุบเขาผีที่มีข่าวลือหนาหูว่าแสนจะชั่วร้าย ส่วนเวินเค่อสิงเอง ก็รู้เหมือนกันว่า โจวจื่อชู คือประมุขพรรคเทียนชวง ที่เคยเป็นคนของเคหาสน์สี่ฤดู แต่รู้แล้วอย่างไรล่ะ พวกเขากลายเป็นสหายรู้ใจกันไปแล้วนี่นา

แล้วเอาจริงๆ สองคนนี้ ก็ไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นคนดีอะไร โจวจื่อชู เองก็รู้ดีว่าตัวเองก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากมายเมื่อตอนเป็นประมุขเทียนชวง ตลอดระยะเวลาสิบปี เรื่องชั่วร้ายอะไรบ้างที่เขาไม่เคยทำ การเลือกเอาชีวิตมาแลกกับอิสระเพียง 3 ปีสุดท้ายที่ก็ต้องทนทรมาณกับฤทธิ์ของตะปูเจ็ดทวารสามสารทที่ใครๆ ก็บอกว่าอยู่ไม่สู้ตาย นั่นก็เขาเลือกเอง ตัวเวินเค่อสิงเอง ก็ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน เอาตัวเองรอดจนกลายมาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์คนนึงได้ขนาดนี้ ก็มือเปื้อนเลือดมาไม่น้อย ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าที่แม้แต่ผีในหุบเขาผียังต้องประหวั่นพรั่นพรึง เรียกว่าศีลเสมอกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างยอมรับซึ่งกันและกัน และไม่มีการพูดเรื่องความดีความชั่วอะไรกันทั้งสิ้น สิ่งใดที่ต้องทำก็ทำไป จะเสียดายก็เพียงแค่ ได้มาเจอคนรู้ใจทั้งที กลับเหลือเวลาเพียงน้อยนิด โจวจื่อชูถึงกับอยากจะยืดชีวิตของตัวเองออกไปให้นานอีกสักหน่อย เวินเค่อสิงก็ไม่ได้คิดอยากจะแก้แค้นจนตัวตายอะไรขนาดนั้นแล้ว แล้วปั้นปลายของพวกเขาจะเป็นอย่างไรหนอ

เรื่องราวความขัดแย้งต่างๆ ในเรื่องมันค่อนข้างที่จะสลับซับซ้อนมากอยู่ค่ะ ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด เพราะไม่อยากสปอยล์นะคะ จริงๆ ส่วนที่เล่าไปข้างบนก็นับว่าสปอยล์ไปพอสมควรแล้ว  ที่เหลืออยากให้ลองไปอ่านกันดู เพราะเรื่องนี้มีตัวละครมากมายทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม พออ่านๆ ไป เราจะอดตั้งคำถามขึ้นมาไม่ได้อีกแล้วว่า ตกลงฝ่ายธรรมะนี่มันธรรมะจริงแน่หรือ แล้วที่เป็นอธรรม อย่างไหนหรือเรียกว่าอธรรม เพราะเรื่องนี้นี่มันทำให้รู้เช่นเห็นชาติสันดานคนได้เยอะเลยเชียวล่ะค่ะ ทั้งเรื่องวางแผน หักหลัง ผลประโยชน์ ชิงไหวชิงพริบกันน่าดูเลยยุทธภพนี้

นอกจากสองตัวละครหลักนี้แล้ว ยังมีตัวละครเด่นๆ ที่น่าสนใจที่จะขอหยิบยกมาแค่บางส่วนนะคะ กู้เซียง ในเรื่องน่ะ นางเป็นเด็กที่เวินเค่อสิงเก็บมาเลี้ยงสมัยอยู่หุบเขาผี เด็ก 7-8 ขวบคนนึง พยายามเลี้ยงทารกคนนึงท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนั้นจนเติบโตขึ้นมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งคู่จึงมีความผูกพันไม่ต่างอะไรกับพี่น้องหรือจะบอกว่าเป็นพ่อลูกกันก็ไม่น่าจะผิดนักแม้ปากจะบอกว่าเป็นสาวใช้ก็ตาม จึงไม่น่าแปลกใจที่แม้นางจะสวยน่ารักแต่ปากคอนี่คืออย่าได้พูดถึงค่ะ ด่าเป็นด่า พูดจาไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้น แต่อย่างน้อยนางก็เป็นคนตรงไปตรงมา จนกระทั่งได้มาเจอเฉาเว่ยหนิง ศิษย์จากสำนักกระบี่ชิงเฟิงที่รักนางอย่างแท้จริง ถึงได้ตกร่องปล่องชิ้นกันในที่สุดค่ะ

จางเฉิงหลิ่ง คุณชายน้อยที่เป็นกำพร้าเพียงช่วงเวลาข้ามคืน ใครจะไปคิดคะว่าเด็กไม่เอาไหนทั้งเรื่องบู๊เรื่องบุ๋นคนนี้ จะกลายเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างโจวจื่อชูและเวินเค่อสิง เรียกว่าไม่เป็นเพียงลูกศิษย์แต่แทบจะกลายเป็นลูกชายของทั้งสองหนุ่มไปแล้ว ช่วงต้นเรื่องอาจจะดูไม่เอาไหนไปสักหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป จางเฉิงหลิ่งเรียกว่ามีบทบาทมากมายและพึ่งพาได้กว่าที่คิดเลยล่ะค่ะ อีกคนนึงที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ เย่ไป๋อี แม้จะมีใบหน้าที่ดูเป็นหนุ่มน้อย แต่ที่จริงแล้วเขาถือเป็นปรมาจารย์แห่งยุคที่อายุน่าจะเป็นร้อยปีขึ้นไปแล้ว เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพที่เป็นอมตะเสียด้วย ไม่เพียงแต่ฝีมือที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสอง ฝีปากพี่แกก็เหนือทุกคนใต้หล้า เห็นจะมีแต่เวินเค่อสิงเพียงคนเดียวนี่แหละที่กล้าต่อปากต่อคำ ก่นด่าจิกกัดผู้อาวุโสเย่แบบไม่แคร์สิ่งใดจนโจวจื่อชูเบื่อจะห้ามไปแล้ว ล่าสุดได้รับฉายาถังข้าวเดินได้จากเวินเค่อสิงไปเรียบร้อยเนื่องจากกินจุเหลือเกินนั่นเองค่ะ

นอกจากนี้ยังมีคุณชายเจ็ดเป่ยเยวียนและต้าอูผู้เยี่ยมยุทธ์และมากฝีมือทางยาอย่างยิ่ง ที่เป็นคนรู้จักแต่เก่าก่อนของโจวจื่อชู แม้จะไม่พบหน้ากันมาเนิ่นนาน แต่สุดท้ายสองคนนี้ก็กลายมาเป็นคนสำคัญที่จะช่วยชี้เป็นชี้ตายให้กับโจวจื่อชูในที่สุดค่ะ แม้ว่ากว่าจะมีบทบาทก็ปาเข้าไปเล่มสองแล้ว แต่เราก็ชอบตัวละครสองตัวนี้ไม่น้อย จนต้องหยิบยกมาพูดถึงนี่ล่ะ

ทีนี้เรามาพูดถึงตัวซีรีย์กันซักนิดนะคะ นักรบพเนจรสุดขอบฟ้า หรือ Word of Honor หรือที่มีชื่อจีนว่าชางเหอลิ่ง นั้นเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์แห่งซีรีย์แนว “มิตรภาพ” อีกเรื่องหนึ่งถัดจาก The Untamed หรือ ปรมาจารย์ลัทธิมาร เลยล่ะค่ะ อย่างแรกเลยที่น่าจะสำคัญมาก ก็คือเคมีของนักแสดงสองคนซึ่งก็คือ จางเจ่อฮั่น ที่รับบทเป็น โจวจื่อชู และ กงจวิ้น ที่รับบทเป็น เวินเค่อสิง ที่ดีงามชนิดสมบูรณ์แบบ สองคนถ่ายทอดความเป็นโจวจื่อชูและเวินเค่อสิงออกมาได้ราวกับกระโดดออกมาจากนิยายเลยเชียวค่ะ ฝีมือการแสดงเอย งานสายตาเอย เคมีระหว่างทั้งคู่ รูปร่างหน้าตา คือดีไปหมด ขออวยยศกันไปเลยตรงนี้นะคะ เราดูแล้วประทับใจการถ่ายทอดบทบาทการแสดงของทั้งสองคนนี้มาก แล้วมันทำให้เราเชื่อมากด้วยถึงความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ ของทั้งสองตัวละคร ยอมใจในฝีมือของจางเจ๋อฮั่นและกงจวิ้นอย่างยิ่งค่ะ



ส่วนเส้นเรื่องนั้นแน่นอนค่ะว่า เมื่อถูกทำให้กลายเป็นซีรีย์แบบนี้มันจะต้องถูกปรับหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวหรือความสัมพันธ์ของตัวละครหลายๆ ตัว หรือแม้แต่ความวายในเรื่อง แต่ให้พูดตามตรงก็คือ เราชอบเวอร์ชั่นซีรีย์มากกว่าในนิยาย ไม่ใช่นิยายไม่ดีค่ะ นิยายอ่านสนุกมาก ขอคอนเฟิร์มตรงนี้ แต่เวอร์ชั่นที่ถูกปรับมาเป็นซีรีย์ มันดีมากจริงๆ (ซึ่งก็ต้องให้เครดิตนิยายก่อนเลย เพราะแม้แต่ทีมงานและนักแสดงก็ยังบอกว่า เพราะนิยายเขียนมาดีมาก จึงสามารถพลิกแพลงได้มากมายโดยที่ยังรักษาเส้นเรื่องเอาไว้ได้) ตัวละครหลายๆ ตัวถูกนำมาให้ทำให้มีมิติและมีความซับซ้อนมากขึ้น พอบวกกับฝีมือนักแสดงเข้าไปอีก มันก็เลยเข้มข้นมากค่ะ ตัวละครอย่างเกาฉง เสิ่นเซิ่น จ้าวจิ้ง หรือแม้แต่ราชาแมงป่องพิษ ถูกดึงออกมาให้โดดเด่นขึ้นชนิดน่าดูชม คนดูอย่างเราไม่ไหวจะอินค่ะ บทของฮ่องเต้ในหนังสือ ถูกปรับให้เป็นท่านอ๋องฯ ที่มักใหญ่ใฝ่สูงแทน ก็ทำออกมาได้ดีมากจริงๆ



หรืออย่างกู้เซียง เราชอบกู้เซียงในซีรีย์มาก เพราะน้องสวยน่ารักแล้วก็มีเสน่ห์มาก เห็นแล้วเอ็นดูนาง เฉาเว่ยหนิงก็แคสตัวละครได้เหมาะสมสุดๆ น้องน่ารักแถมตาเป็นประกายตลอดเลยค่ะ ใครที่ยังไม่เคยดูไม่ว่าจะเคยอ่านนิยายแล้วหรือไม่ นี่เป็นซีรีย์อีกเรื่องที่เราแนะนำเลยว่า ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง  ที่สำคัญ สิ่งหนึ่งที่แฟนซีรีย์เห็นพ้องต้องกันสุดฤทธิ์ก็คือ หลายๆ ฉาก ผ่านเซ็นเซอร์มาได้ยังไง คือกองเซ็นเซอร์เรื่องนี้เปรี้ยวมาก คนดูไม่ไหวจะจิกหมอนกันไปแบบไม่อยากจะเชื่อว่าจะผ่านกองเซ็นเซอร์จีนมาได้ขนาดนี้ ขนาดเวอร์ชั่นที่ปล่อยออกมาปกตินั้นว่าเปรี้ยวแล้ว ทางช่องยังปล่อย special เวอร์ชั่นที่ไม่ถูกตัดตอนฟินๆ มาให้ดูตอกย้ำกันไปอีก ขยี้กันราวกับจะไม่ให้ออกจากวังวนกันได้ง่ายๆ เลยทีเดียว

เล่ามาขนาดนี้ ไม่ควรพลาดกันแล้วนะคะทุกคน อยากให้เปิดใจอ่านมันทั้งนิยาย ดูมันทั้งซีรีย์นั่นล่ะค่ะ ดีงามทั้งสองอย่างเลย ใครที่เป็นแฟนซีรีย์ แล้วอยากมาพูดคุยกันถึงตัวซีรีย์นี้อีก ก็ comment กันมาได้เรื่อยๆ นะคะ มาเล่ามาแชร์กันสนุกๆ ก็ได้ค่ะ เราอ่านคนเดียว ดูคนเดียว ไม่ค่อยมีคนแชร์อะไรแบบนี้ด้วยเท่าไหร่ ถ้าใครอยากพูดคุยก็ยินดีเสมอค่ะ

โปรดติดตามเรื่องต่อไปนะคะ

ปล. 1 ตอนนี้โดนจางเจ๋อฮั่นตกไปเรียบร้อยค่ะ ก็เลยพลอยเอ็นดูกงจวิ้นไปด้วยเลย บ้าจริง 5555555
ปล. 2 ซีรีย์สามารถเข้าไปดูกันได้ผ่านช่องทาง YouTube นะคะ ทาง YouKu เอามาลงซะได้ใจแฟนอินเตอร์กันไปมหาศาล แถมมีซับให้เลือกกันได้มากถึง 12 ภาษากันเลยทีเดียว




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2564   
Last Update : 27 กันยายน 2564 20:06:01 น.   
Counter : 13476 Pageviews.  


ยุทธภพกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ รีวิว

ผู้แต่ง: อวี่เซี่ยวหลานซาน

แปล: อู่ตงลู่

สำนักพิมพ์: MUZES



ก่อนอื่นไม่ขอแก้ตัวอะไรทั้งสิ้น สำหรับการทิ้งช่วงหายไปนานถึงครึ่งปีแบบไม่ยอมมารีวิวอะไรเลยแม้แต่เรื่องเดียว เพราะขอสารภาพตรงนี้เลยว่า เราขี้เกียจมากค่ะ จู่ๆ ก็ไม่มีอารมณ์มาเขียนถึงอะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่ก็ยังคงอ่านหนังสืออย่างเมามันไม่มีแผ่วเลยเหมือนเดิมนั่นแหละ เราไม่รู้ว่าจะมีคนรออ่านมากน้อยแค่ไหนหรอกนะคะ แต่ถ้าใครที่แวะเข้ามาดูแล้วไม่เห็นการอับเดตใดๆ เลย ชวนให้น่าด่าและน่าผิดหวังอย่างยิ่ง ก็ขออภัยเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้ หวังใจว่า จะกลับมาเขียนรีวิวนิยายให้ได้บ่อยกว่านี้ ไม่หายไปจนแทบจะถูกแทงบัญชีคนหายไปแบบนี้อีกค่ะ

สำหรับ ยุทธภพกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เป็นอีกหนึ่งนิยายผลงานการแต่งของอวี่เซี่ยวหลานซานที่เรียกได้ว่า ยังรักษามาตรฐานอันคงเส้นคงวาของนิยายแนวโบราณที่สนุก ตลก และกวนตีนได้อย่างน่าชื่นชมอย่างยิ่งค่ะ ใครที่เป็นแฟนนิยาย เล่ห์กลจักรพรรดิ ขอบอกเลยว่า เรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวังสักนิด โดยเฉพาะจังหวะซิตคอมที่โคตรเป็นเอกลักษณ์ เราอ่านนิยายของอาจารย์อวี่ทีไร เป็นได้หัวเราะตลอดเลยสิน่า

 

นี่เป็นเรื่องราวของคุณชายรองสกุลจู้ที่มีนามว่า จู้เยี่ยนอิ่น ตระกูลบัณฑิตโคตรพ่อมหาเศรษฐีแห่งเจียงหนานอันโด่งดัง คือเป็นตระกูลผู้ลากมากดี เป็นบัณฑิต มีความรู้สูงส่ง ที่สำคัญคือรวยอลังการงานสร้างเหลือแสน คุณชายรองจู้แต่ไหนแต่ไรมา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตมีความรู้ แต่ใจกลับมีความสนใจในยุทธภพอย่างยิ่ง ด้วยความที่ทางบ้านไม่ชอบและค่อนข้างจะดูถูกความป่าเถื่อนของชาวยุทธภพ คุณชายรองก็เลยต้องหลบๆ ซ่อนๆ ซื้อหนังสือ อ่านนิยายเกี่ยวกับยุทธภพมากมาย จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้จู้เยี่ยนอิ่นต้องสูญเสียความทรงจำไป ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็หลงเข้าใจไปว่าตัวเองเป็นคนในยุทธภพ ร่ำรองอยากท่องยุทธภพไปโน่น

ก็ลำบากคนที่บ้านต้องควานหาตัวหมอเก่งๆ มาช่วยรักษา สุดท้ายก็ไม่ได้ดีขึ้นสักกี่มากน้อย ก็เลยต้องหวังพึ่งท่านหมอเทวดาเจียงเซิ่งหลินผู้โด่งดังเป็นตัวเลือกสุดท้าย ประเด็นคือหมอเทวดาเจียงนั้นฮ็อตมาก คิวก็แน่น แล้วก็ตามประสาหมอเทวดานั่นแหละ คือหาตัวไม่ง่าย คนไข้ต้องเป็นฝ่ายมากราบกราน ไม่ใช่อยากจะรักษาด้วยแล้วก็ได้เลยแบบนั้น กลายเป็นว่า แค่จะเดินทางมาขอรักษาอาการความจำเสื่อมกับท่านหมอเทวดาเท่านั้น จู้เยี่ยนอิ่นไม่ได้คิดเลยว่า ชีวิตของตัวเองจะต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

เนื่องจากท่านหมอเป็นคนในยุทธภพใช่ไหมคะ จะตามหาท่านหมอก็ต้องอาศัยไปกับคนในยุทธภพ (ที่เป็นคนรู้จักของสกุลจู้เท่านั้น) แล้วท่านหมอก็ดันเป็นหมอประจำตัวที่รักษาประมุขวังว่านเริ่น ลี่สุย ที่คนทั้งยุทธภพครั่นคร้ามเหลือเกิน เพราะนอกจากจะมีฝีมือสูงส่งเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า เจ้าตัวยังมีนิสัยไม่รับแขก ไม่นับญาติกับใครทั้งสิ้น บุคลิกก็เย็นชา ไม่แคร์โลกไม่แคร์สังคม แถมใบหน้าที่หล่อเหลานั่นก็ยังแทบจะมีตัวหนังสือติดเอาไว้ชัดเจนเลยว่า ‘ข้าจะฆ่าเจ้า’ อยู่ตลอดเวลานั่นอีก  แต่ด้วยความไม่รู้อิโหน่อิเหน่และความแบ๊วใสอ่อนต่อโลกของคุณชายรองจู้ ก็ให้บังเอิญไปเกี่ยวข้องกับลี่สุยเข้า แล้วก็เลยถูกลือไปทั่วทั้งยุทธภพว่า คุณชายรองตระกูลจู้ มีความสัมพันธ์อันดีกับประมุขลี่อย่างยิ่งเฉยเลย

ความตลกของเรื่องนี้ก็คือ ความคิดเองเออเอง ความชอบเมาธ์มอยปล่อยข่าวลือมั่วๆ ซั่วๆ ของคนในยุทธภพนี่แหละค่ะ เรานี่อ่านๆ ไปยังคิด นี่ขนาดยุคนั้นไม่มีโซเชียลมีเดีย ยังสามารถลืออะไรกันไปได้เรื่อยเปื่อยแบบไม่สนความจริงอะไรทั้งสิ้นได้ขนาดนี้เลยหรือนี่ ประเสริฐ! ประเสริฐนัก! นี่ยังไม่นับเรื่องที่จิ้นกันเละเทะ ประหนึ่งว่าอ่านนิยายกันมากเกินไปนั่นอีก ท่านหมอเทวดาเจียงก็ให้รู้สึกเอ็นดูสงสารคุณชายรองจู้ยิ่งนัก เพราะต้องมาเสื่อมเสียเพราะลี่สุยแท้ๆ ก็เลยยอมลัดคิว ถึงขนาดช่วยดูอาการป่วยให้เป็นพิเศษ ข่าวลือว่าความสัมพันธ์ของคุณชายรองจู้กับประมุขลี่เลยยิ่งน่าเชื่อหนักไปอีก

แล้วก็พอดีเป็นจังหวะที่ประมุขยุทธภพรวมถึงเหล่าจอมยุทธ์ผู้ผดุงความยุติธรรมทั้งหลาย กำลังวางแผนจะเดินทางไปกำราบ ชื่อเทียน ประมุขนิกายมารแห่งยุค แม้ใจจะอยากไปขอความช่วยเหลือจากลี่สุยอย่างยิ่ง ติดอยู่ที่ ประมุขลี่นั้นเป็นพวกต่อต้านสังคมอย่างที่บอก แต่ละคนเดาทางไม่ถูก กลัวไปขอแล้วจะโดนประมุขลี่ฆ่าตายเสียก่อน ก็เลยไม่มีใครกล้าเลยสักคน พอดีมีข่าวลือเรื่องคุณชายรองจู้ออกมา ทุกคนก็เลยหวังพึ่งจู้เยี่ยนอิ่นว่าจะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมประมุขลี่ให้หน่อยประมาณนี้

ซึ่งเอาจริงๆ ลี่สุย ถือเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับประมุขนิกายชื่อเทียนอยู่แล้ว แล้วคู่นี้ก็มีความแค้นที่ต้องสะสางกันอยู่ แค้นใหญ่หลวงแค่ไหนก็ลองนึกดูนะคะ ถึงขนาดที่ลี่สุยที่บาดเจ็บภายในอย่างหนักเพราะชื่อเทียนมานานปี สามารถประคองอาการเอาไว้ได้เพียงเพื่อเป้าหมายที่จะไปคิดบัญชีแค้นชนิดให้ตายตกกันไปกับชื่อเทียนเพียงอย่างเดียวนี่ล่ะค่ะ คือยังไงก็อยากจะไปฆ่าชื่อเทียนอยู่แล้ว ลึกๆ ลี่สุยเองก็หวังพึ่งชาวยุทธ์อยู่ในระดับนึงเพราะถึงอย่างไรเสีย ชื่อเทียนก็มีลูกน้องมากมาย ลำพังลี่สุยเองก็อาจจะตึงมือไปบ้างนั่นล่ะ สุดท้ายประมุขลี่ก็ยอมร่วมมือกับชาวยุทธ์ทั้งหลาย (อย่างเสียไม่ได้) สร้างความโล่งอกโล่งใจให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่า เครดิตก็คงจะตกเป็นของคุณชายรองจู้นี่เอง

และช่วงที่ต้องเดินทางร่วมกันไปนี่แหละค่ะ จู้เยี่ยนอิ่น ก็มีเหตุให้ต้องไปเจอและมีปฏิสัมพันธ์กับลี่สุยอยู่หลายครั้ง ทั้งที่ตัวเองก็กลัวแทบตาย จริงๆ จู้เยี่ยนอิ่นอ่อนแอมากค่ะ ขี้กลัวด้วย วรยุทธ์อะไรก็ไม่มีสักอย่าง เป็นคุณชายผู้บอบบางแสนซื่อสวมชุดขาวสะอาดล่องลอยไปๆ มาๆ ราวกับเทพเซียน ไปไหนมาไหน ก็จะผูกปิ่นโตผู้ติดตามมาเป็นพรวน เทียบกับลี่สุยที่ใส่ชุดดำ สวมผ้าคลุมผืนเบ้อเริ่ม ห้อยกระบี่ แถมยังทำสีหน้าเหมือนโกรธคนทั้งโลกตลอดเวลาแล้ว ประมุขมารชัดๆ เลยล่ะค่ะ

แต่ไม่รู้เป็นเพราะความน่ารัก ความซื่อ และความน่าแกล้งเหลือเกิน ของจู้เยี่ยนอิ่นหรือเปล่า หลังๆ มาประมุขลี่ชักจะชอบไปวอแวกับคุณชายรองจู้อยู่บ่อยๆ จากที่บังเอิญมีเหตุให้ต้องช่วยเหลือจู้เยี่ยนอิ่น ตอนหลังเดี๋ยวก็อุ้มเหาะไปโน่น เดี๋ยวก็อุ้มเหาะไปนี่ เดี่ยวก็ลากขึ้นไปนั่งคุยกันบนหลังคา เดี๋ยวก็อุ้มขึ้นหลังม้า คุณชายรองจู้ จากที่แรกๆ หน้ายังไม่กล้ามอง ตอนที่เห็นลี่สุยเข่นฆ่าศัตรูจนเลือดสาดเท่านั้นแหละ เจ้าตัวถึงกับอาเจียนออกมาขนาดที่เป็นลมเป็นแล้งไข้ขึ้นไปเลย ตอนหลัง อ้าว ก็ยอมให้เขาอุ้มไปอุ้มมา เดี๋ยวเดียวก็กระโดดขึ้นม้าไปกับเข้า ไปแอบมองเขา ถึงขนาดกล้าขึ้นเสียงออกอาการแง่งอนเวลาไม่ได้ดั่งใจก็มี ความสัมพันธ์ก้าวหน้ายิ่งนัก

ระหว่างการเดินทางไปกำจัดชื่อเทียน นอกจากความสัมพันธ์ของตัวละครหลักจะพัฒนาไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ยังเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย เรื่องราวต่างๆ เราจะไม่ขอลงรายละเอียดนะคะ ต้องลองไปอ่านกันเอง แต่สนุกมาก และไม่น่าเบื่อเลย เอาจริงๆ นิยายเรื่องนี้แม้จะมีความจริงจังของเส้นเรื่องอยู่ แต่ก็นับว่าเบาสมองมากด้วยเช่นกันค่ะ ไม่ได้ห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายเหมือนกับเรื่องราวในรั้วในวังเหมือนอย่าง เล่ห์กลจักรพรรดิ และนิยายเรื่องอื่นอีกหลายๆ เรื่อง แต่มันมีความสนุกในเรื่องของลักษณะนิสัยของตัวละครมากกว่า พอตัวละครมีเสน่ห์มันก็เลยทำให้รู้สึกอยากจะติดตามน่ะค่ะ บวกกับเรื่องนี้มันตลกตรงที่ การเขียนถึงโลกของเหล่าบัณฑิตและโลกของเหล่าจอมยุทธ์ที่มีความแตกต่างชัดเจนในแบบที่ค่อนข้างชวนหัวเอาการนั่นด้วย

ฝ่ายที่เป็นบัณฑิตอย่างบ้านสกุลจู้ หรือจะตัวละครที่โผล่มาตอนหลังอย่างสวีอวิ๋นจง หรือซ่งอวี้ ก็วาดลวดลวยความเป็นบัณฑิตออกมาได้อย่างน่าชม ราวกับจะบอกว่าบัณฑิตอย่างเราแม้ไม่เป็นวรยุทธ์แต่เราก็มีความฉลาดเฉลียวอย่างบัณฑิตอยู่เต็มเปี่ยม อย่างบ้านสกุลจู้นั้น เหยียดหยามยุทธภพว่าป่าเถื่อน ไร้มารยาท พยายามจะกีดกันไม่ให้คุณชายตัวเองลงไปเกลือกกลั้วอย่างไรก็ไม่สำเร็จก็แล้ว ป้องกันทุกวิถีทางแค่ไหนก็แล้ว (เพราะคุณชายช่างไม่ให้ความร่วมมือเสียเลย) แต่ถึงอย่างนั้น ยามที่จะต้องแก้ปัญหาหรือแม้แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ก็ได้แสดงให้ยุทธภพได้เห็นแล้วว่า เงินนั้น ช่างแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งจริงๆ นับถือ นับถือ

ฝ่ายชาวยุทธ์นั้น ก็ป่าเถื่อนสมดังที่ว่า แก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง หลั่งเลือดวางยาใช้กลโกงสารพัด อย่างลี่สุยนี่ถึงขนาดดูแคลนและรำคาญจู้เยี่ยนอิ่นอย่างมากด้วยซ้ำ หันไปเจอทีไรก็เห็นเป็นกระโจมหิมะสีขาวฟูฟ่อง ทั้งโง่งม ทั้งอ่อนแอ ทั้งเรื่องมาก แม้แต่เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลาย ช่วงที่รู้ว่าจะมีบัณฑิตร่วมทางไปด้วย ยังกลัวว่าจะเป็นภาระ เพราะนอกจากวรยุทธ์อะไรก็ไม่มีแล้ว ขบวนเดินทางแสนไฮโซนั่นก็อลังการแถมยังยาวอย่างยิ่ง หารู้ไม่ว่าเพราะความร่ำรวยนั้นสามารถเนรมิตและอำนวยทุกสิ่งอย่างได้เพียงชั่วลัดนิ้วมือ เรียกว่าเฉพาะม้าและรถเทียมม้านั่น คุณภาพดีเสียจนเดินทางได้รวดเร็วกว่าคนอื่นไปได้หลายเท่าตัว แถมความเป็นอยู่ยังสุขสบายกว่าด้วย อีกทั้งยามหน้าสิ่วหน้าขวาน มันสมองของบัณฑิตเจียงหนานยังช่วยคลี่คลายสถานการณ์มาได้ก็หลายครั้ง

นอกจากลี่สุยที่ตอนแรกสุดแสนจะเย็นชาและกลายมาเป็นประมุขมารผู้คลั่งรักในตอนหลัง ขนาดที่ว่าอยากจะมีชีวิตยืนยาวต่ออีกสักหลายสิบปีแล้ว หรือจู้เยี่ยนอิ่น คุณชายบัณฑิตผู้แสนอ่อนแอในตอนแรกแต่สุดท้ายก็แรดมาก เจ้าแผนการมาก แถมยังคบหากับประมุขมารรูปงามล่มบ้านล่มเมืองเต็มตัวในตอนท้าย ตัวละครอื่นๆ ก็น่าสนใจมากเชียวค่ะ อย่างหมอเทวดาเจียงเซิ่งหลินนั่น แท้ที่จริงยังหนุ่มยังแน่นมากนะคะ ไม่ใช่ท่านหมอผู้แก่ชราอะไร ท่านหมอแม้ไม่เก่งวรยุทธ์อะไรนักแต่ฝีมือทางการแพทย์และหยูกยาเรียกว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า ที่ตลกก็คือท่านหมอเป็นคนช่วยชีวิตลี่สุยแท้ๆ แต่ก็ต้องปวดหัวกับนิสัยแย่ๆ ของคนที่ตัวเองช่วยมากับมือ เป็นคนที่สนิทกับลี่สุยที่โดนจิกกัดหนักที่สุดแล้ว ความอดทนของท่านหมอนั้น เรียกว่าก็เป็นหนึ่งในใต้หล้าไม่แพ้กัน

อีกคนก็คือหลานเยียน ศิษย์และลูกน้องที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของลี่สุย นางเป็นจอมยุทธ์หญิงแห่งยุคที่มากฝีมือ ห้าวหาญอย่างยิ่ง แต่พอได้เห็นยามประมุขตัวเองใกล้ชิดกับคุณชายรองจู้เยี่ยนอิ่นแล้ว นางถึงกับเงิบแล้วเงิบเล่าหลายต่อหลายครั้ง ที่สำคัญนางโดนท่านหมอเทวดาตกหลุมรัก น่าเห็นใจนางตรงที่ ท่านหมอโคตรซื่อบื้อจนนางละเหี่ยใจก็หลายครั้งอยู่ค่ะ เอาจริงๆ ทั้งท่านหมอเทวดาเจียง แม่นางหลานเยียน รวมถึงคนทั้งวังว่านเริ่น หรือแม้แต่ม้าคู่ใจของของลี่สุยเอง ตอนหลังเรียกได้ว่าถูกความร่ำรวยของบ้านคุณชายรองจู้สปอยล์จนแทบจะเสียผู้เสียคนกันหมด พอประมุขลี่กลายเป็นคนของคุณชายรองจู้ ชีวิตทุกอย่างก็เลยถูกพลอยทำให้พรีเมียมไปตามๆ กันหมด แสดงให้เห็นว่าอำนาจเงินน่าจะน่ากลัวที่สุดในยุทธภพแล้วล่ะค่ะ

หรืออย่างบัณฑิตสวีอวิ๋นจงนั่น ก็คือ... เป็นบัณฑิตติสต์แตกตัวพ่อคนนึงของวงการแม้จะรูปงามอีกทั้งมีความสามารถ ขี้เกียจก็เท่านั้น รักสบายก็เท่านั้น แต่กลับมีความหยิ่งทะนงในตัวเองอย่างยิ่ง พฤติกรรมนี่เรียกว่าพลิกฟ้ากันไปข้างนึงเลยทีเดียว ถึงจะโผล่มามีบทบาทเล่มหลังไปแล้ว แต่ก็สร้างสีสันให้กับเรื่องอย่างยิ่ง ยังมีอีกหลายตัวละครค่ะที่ขาดไปไม่ได้เลย เพราะล้วนแล้วแต่ทำให้นิยายเรื่องนี้สนุกและน่าติดตามมากขึ้น ต้องลองไปอ่านกันดูค่ะ

เราอ่านนิยายเรื่องนี้จบ ถึงกับต้องไปหยิบ เล่ห์กลจักรพรรดิ มาอ่านอีกรอบ (ตั้ง 5 เล่มแน่ะค่ะ อย่างยาวเลย) เพราะชอบในสำนวนการเขียนของอาจารย์อวี่ นี่เรียกว่าเฝ้ารอเรื่องใหม่กันเลย ออกมากี่เรื่องก็จะตามอ่านแน่นอนค่ะ แนะนำเพื่อนนักอ่านทุกท่านลองไปหามาทัศนากันดูนะคะ ไม่ผิดหวังแน่ๆ ใครอ่านเรื่องนี้แล้วยังไม่เคยอ่านอีกเรื่องก็อย่าลืมไปหาเก็บไว้เป็นคอลเล็กชั่นซะนะคะ ไม่อยากให้พลาดจริงๆ

เรื่องต่อไป ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะเร็วๆ นี้แหละค่ะ ไม่ทิ้งช่วงหนีหายราวกับหนีหนี้นอกระบบแบบนั้นอีกแล้ว โปรดติดตามนะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า
 




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2564   
Last Update : 23 กรกฎาคม 2564 15:34:58 น.   
Counter : 2969 Pageviews.  


พันสารท รีวิว

ผู้แต่ง: เมิ่งซีสือ

แปล: Bou Ptrn

สำนักพิมพ์: every



อยากจะกรีดร้องที่ในที่สุดก็ได้หยิบเอา พันสารท มารีวิวซักทีค่ะ น้ำตาจะไหล คือพันสารทเนี่ย จนถึงวันที่นั่งเขียนอยู่นี้ก็เรียกได้ว่าอ่านจบรอบแรกมาจะครบปีอยู่รอมร่อ หยิบเอามาอ่านซ้ำเพราะตั้งใจว่าจะเขียนถึงมานี่ก็รอบที่ 3 เข้าไปแล้ว ถ้ายังจะไม่เขียนอีก รอบที่ 4 เห็นทีจะหนีไม่พ้นค่ะ นี่เราถึงขนาดทำงานด่วนเสร็จแล้วไม่หยุดพักนะคะ มารีวิวหนังสือต่อเลย เพราะกลัวใจตัวเอง ขี้เกียจขึ้นมาอีกล่ะก็เสร็จเลย แล้วจะไม่เขียนถึงก็ไม่ได้ด้วย เพราะนี่เป็นหนึ่งในนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่เราชอบมากเลยล่ะค่ะ
 
นิยายเปิดตัวมาพระเอกเยี่ยนอู๋ซือที่พ่วงตำแหน่งประมุขพรรคมารก็ปล่อยของกันเลย ยืนคุยกับลูกศิษย์ตัวเองไปไม่กี่หน้า อ้าว! นายเอกเสิ่นเฉียวก็ตกเขาลงมาพอดีในสภาพบาดเจ็บสาหัส เปิดตัวพระเอกนายเอกได้รวดเร็วและไดนามิคมากจริงๆ คนอ่านเงิบเลยค่ะ ตอนนั้นก็ยังเพิ่งเป็นมือใหม่ในการอ่านนิยายจีน อ่านชื่อแยกตัวละครอะไรก็ยังไม่คล่อง งงอยู่พักนึงเลยล่ะค่ะ แต่พอเครื่องติดเท่านั้นแหละ วางไม่ลงเลย พันสารทก็เลยกลายเป็นนิยายเรื่องแรกของอาจารย์เมิ่งซีสือที่เราอ่านแล้วก็ขอปวารณาตัวเองเป็นแฟนหนังสืออาจารย์ไปเรียบร้อยค่ะ

 
 
เยี่ยนอู๋ซือเป็นตัวละครฝ่ายมารที่ทั้งเก่งทั้งนิสัยเสีย คืออ่านแล้วสมเป็นประมุขพรรคมารโดยแท้จริงๆ เพราะความเก่งนั้นติดอยู่ในระดับ Top 3 ของยุทธภพทีเดียว รูปโฉมก็สง่างามด้วย นิสัยรึก็เย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ปากคอเราะราย ไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้น ใครอย่ามาพูดเรื่องความดีงามให้ได้ยินเลยเชียว ต่อมหมั่นไส้อยากลองของพ่อทำงานทันที ความลำบากก็เลยมาตกอยู่กับเฉิ่นเฉียว นักพรตเต๋าที่เป็นเจ้าสำนักเขาเสวียนตูคนปัจจุบัน จับพลัดจับผลูรับคำท้าคุนเสียประลองยุทธกัน แล้วก็พลาดท่าเสียทีโดนทำร้ายและตกเขาจนบาดเจ็บสาหัส สาหัสแบบความจำหายไป ตาเกือบบอด สูญเสียวรยุทธ เรียกว่าโคม่าล่ะค่ะ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงตายไปแล้ว
 
เสิ่นเฉียวจริงๆ ต้องเรียกได้ว่าเป็นศิษย์เอกของผู้เยี่ยมยุทธอันดับหนึ่งในยุทธภพ ฉีเฟิงเก๋อ พออาจารย์เสียก็โปรโมทเสิ่นเฉียวนี่แหละให้มารับช่วงต่อ แล้วเจ้าตัวก็คือที่สุดของความโลว์โพรไฟล์นะคะ รูปงาม นามเพราะ นิสัยดี แถมมากฝีมืออีกต่างหาก แต่เพราะปิดตัวไม่ชอบเข้าสังคม ก็เลยไม่ค่อยมีคนรู้จัก เต็มที่ก็มีคนพูดถึงแล้วก็เอาไปเล่าลือกันสารพัดแค่นั้นเลย แต่เนื้อแท้ที่โดดเด่นมากไม่แพ้หน้าตาของเสิ่นเฉียวก็คือหัวใจดีบริสุทธิ์และเชื่อมั่นในความดีงามนี่แหละค่ะ

 
 
จังหวะที่ตกเขาลงมาต่อหน้าต่อตาเยี่ยนอู๋ซือและอวี้เซิงเยียนที่เป็นลูกศิษย์พอดี เยี่ยนอู๋ซือก็ตัดสินใจให้ศิษย์ตัวเองช่วยนำตัวเสิ่นเฉียวกลับไปรักษาตัว คือตัวเองไม่แตะต้องด้วยนะ ยกให้ลูกศิษย์ไปเป็นหมาเป็นแมวเลยค่ะ แล้วเหตุผลที่ช่วยก็ไม่ใช่เรื่องดีงามอะไร ก็แค่อยากจะปั่นหัวคนพิการที่ไร้ความจำดูซิว่า คนไม่ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นคนดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องยอมทำชั่วเพื่อตัวเองนั่นแหละ ง่ายๆ ก็คือ ถ้าเสิ่นเฉียวเชื่อว่าเนื้อแท้ของทุกคนมีความดีอยู่ ในความคิดของเยี่ยนอู๋ซือก็คือเนื้อแท้ของทุกคนล้วนเลวเหมือนๆ กัน นี่สุดโต่งกันไปข้างนึงเลย
 
แล้วเสิ่นเฉียวของเราก็ดีแสนดีจริงๆ นะคะ บททดสอบแรกที่เยียนอู๋ซือมอบให้ สุดท้ายก็ไม่อาจจะเปลี่ยนอุปนิสัยใจคอของเสิ่นเฉียวได้ นั่นขนาดว่าความจำขาดๆ หายๆ นะคะ นอกจากนั้นเจ้าตัวยังรู้ด้วยว่าที่โดนบอกว่าเป็นศิษย์ของประมุขเยี่ยนตอนตกเขาแล้วฟื้นมานั่น ที่จริงเป็นเรื่องโกหก เพราะตัวเองสุดท้ายก็รู้จักตัวเองดีที่สุด จะให้ตัวเขาไปเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีสาเหตุ เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะทำได้จริงๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจแยกทางกับอวี้เซิงเยียนและเยี่ยนอู๋ซือไป
 
ไปๆ มาๆ นี่กลับกลายเป็นจุดเริ่มให้ประมุขเยี่ยนสนใจเสิ่นเฉียวอย่างมาก แล้วก็ยิ่งอยากจะทดสอบไอ้เรื่องความดีความชั่วในตัวเสิ่นเฉียวเหลือเกิน จากที่ไม่เคยดูดำดูดี จู่ๆ ก็ตามติดชีวิตเสิ่นเฉียว ยังไม่พอ เอาตัวเองเข้ามาอยู่ข้างๆ แล้วก็กลั่นแกล้งสารพัด ขนาดที่ทำเอาเสิ่นเฉียวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่ก็หลายครั้ง คือเยี่ยนอู๋ซือนี่จะว่าไปก็เหมือนกันพวกนักเรียนเลวหลังห้อง แต่หัวดีมีพรสวรรค์แบบนั้นน่ะค่ะ คอยป่วนคนอื่นไปทั่วแต่ก็สอบได้ที่หนึ่งอะไรแบบนี้ ในขณะที่เสิ่นเฉียวเหมือนนักเรียนดีเด่นเป็นที่รักของคนอื่น ก็จะตกเป็นเป้าหมายของคนแบบประมุขเยี่ยนนี่แหละ ที่ทำท่าเหมือนไม่สนใจ ไม่ยี่หระแต่ตามตอแย วอแวไม่เลิก ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหงุดหงิด ลำบากใจ หรือแม้แต่ตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสียง ก็จะมีความสุขเป็นพิเศษแบบนั้นแหละค่ะ
 
ดังนั้น หลายๆ ครั้งประมุขเยี่ยนก็จะมาตู่เอาว่าเสิ่นเฉียวเป็นคนสนิทข้างกาย บวกกับร่างกายที่ยังอ่อนแอ สายตาที่เกือบบอด ก็ยิ่งทำให้ดูราวกับเวลาอยู่ด้วยกันเสิ่นเฉียวต้องพึ่งพาประมุขเยี่ยนตลอดเวลา จนคนเอาไปลือกันว่าเป็นนายบำเรอไปแล้วก็มี ต่อหน้าคนอื่นประมุขเยี่ยนจะดูแลเอาใจใส่เสิ่นเฉียวมาก แต่พอลับหลังก็จะเหมือนไม่ค่อยแยแส แล้วก็จะคอยฝึกพลังยุทธ์บ้าง ป้อนวิชานี้ให้ แล้วมาประลองกัน ส่งทางเลือกนี้ให้แล้วมาทดสอบกัน ร่างกายของเสิ่นเฉียวเลยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เพราะไม่ใช่แค่พลังยุทธที่เสียไป แต่ยังโดนวาวงยา แถมยังบอบช้ำสารพัด ส่วนนึงก็ฝีมือเยี่ยนอู๋ซือด้วย  ที่ยังสามารถประคับประคองมาได้ตลอดต้นเรื่องนี่ก็นับว่าฐานวรยุทธ์สูงส่งแล้วก็มีโชคด้วยนั่นล่ะ
 
นิยายเรื่องนี้ตัวละครโคตรเยอะค่ะ เราไม่น่าจะได้หยิบเอามาพูดได้หมดแน่ๆ ก็จะใช้วิธีเขียนเล่าไปเรื่อยๆ นะคะ ตกหล่นใครไปก็อาจจะต้องรบกวนเพื่อนนักอ่านไปตามอ่านเอาแล้วล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นคนเดินถนนที่พบกันโดยบังเอิญ พรรคมาร สำนักใหญ่ไม่รู้กี่แห่ง จอมยุทธ์มากฝีมือมากมายก็ปรากฏอยู่เต็มไปหมดตลอดทั้งเรื่อง ที่สนุกอีกอย่างก็คือ มันจะมีการจัดอันดับผู้เยี่ยมยุทธ์กันด้วยตั้งแต่ 1 ถึง 10 ในเรื่องก็จะมีการรันอันดับ เปลี่ยนอันดับกันไปให้ได้ลุ้นตลอดทั้งเรื่องเลยล่ะค่ะ แล้วตัวเสิ่นเฉียวเองก็ต้องผ่านอะไรเยอะแยะมากมายจนกระทั่งร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟู วรยุทธหรือก็เพิ่มพูนเรียกว่าจากที่เสียวรยุทธไปตั้งแต่เล่มแรก ผ่านไปจนเล่มสามเล่มสี่ โอโห อัพเลเวลไปถึงระดับบอสเชียวนะคะไม่ใช่ล้อเล่นเลยอาเฉียวของเรา
 
จุดเปลี่ยนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ก็คือ เสิ่นเฉียวที่ถูกเยี่ยนอู๋ซือบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตายนั่นแหละค่ะ รายละเอียดขอไม่เล่า แต่ตอนที่อ่าน เรานี่คือสับสนมากว่าตอนนั้นเยี่ยนอู๋ซือไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ แล้วเสิ่นเฉียวล่ะ จะรู้สึกเจ็บปวดไหมนะ แต่พออ่านไปเรื่อยๆ เราจะเข้าใจมากขึ้นค่ะ พอผ่านตรงนั้นมาได้ เราก็จะเข้าใจการกระทำและความรู้สึกของตัวละครไปเองเลย แม้แอบอยากจะตบกบาลประมุขเยี่ยนเหลือเกินในบางเวลาก็ตาม เพราะขยันรังแกเสิ่นเฉียวเหลือเกิน
 
จนกระทั่งที่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่ประมุขเยี่ยนตามติดเสิ่นเฉียวเป็นเหาฉลามกันเลยทีเดียว คือมันก็มีเหตุการณ์ใหญ่มากเกิดขึ้นล่ะนะคะ และการตัดสินใจของเสิ่นเฉียวในครั้งนั้นน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนความคิดบางอย่างของประมุขเยี่ยน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เลยน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราจะต้องคอยลุ้นว่า เอ๊ะ หรือนี่จะเป็นความรู้สึกจริงๆ ของเยี่ยนอู๋ซือ เอ๊ะ หรือ เสิ่นเฉียวจะคิดแบบนี้จริงๆ
 
ดังนั้นพอมาอ่านเล่มหลังๆ ได้เห็นประมุขเยี่ยนตามใจนักพรตเสิ่น เห็นว่าคอยดูแล คอยหยอดคำพูดที่ฟังแล้วมันยังไงอยู่นะ เราก็จะอดฟินไม่ได้ค่ะ เราจะเริ่มคอยเอาใจช่วยไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะได้รู้เลยล่ะว่าเสิ่นเฉียวนี่นอกจากจะดื้อรั้นมากแล้วยังเป็นสายซึนฯ มากด้วย ใช้ไม้แข็งล่ะก็ ไม่มีวันสำเร็จค่ะ เกลียดที่ประมุขเยี่ยนก็ร้ายนัก ที่รู้จักเสิ่นเฉียวดีกว่าใคร เรียกว่าพอท้ายเรื่องเราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครในแบบที่ลงตัวมากเลยล่ะ เสิ่นเฉียวแม้จะยังคงรักษาความดีงามเอาไว้ได้แต่ก็ฉลาดขึ้น ไม่ใช่คนอ่อนต่อโลกคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ส่วนเยี่ยนอู๋ซือจากคนฉลาดไร้หัวใจ แม้จะยังไร้หัวใจแต่ก็กลายเป็นคนคลั่งรักที่ตามใจเสิ่นเฉียวยิ่งกว่าอะไรดีไปเสียอย่างนั้น
 
นอกจากเรื่องความสัมพันธ์แล้ว เรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องล้วนสนุกและน่าติดตามมากค่ะ นิยายเรื่องนี้นี่เต็มไปด้วยการปล่อยของของเหล่าผู้มากฝีมือ เดี๋ยวก็สู้กัน เดี๋ยวก็นัดประลองกัน เดี๋ยวก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องของราชสำนักหรือพูดง่ายๆ ก็คือเรื่องการเมืองการปกครองแทรกเข้ามาด้วย อ่านสนุกมากเพราะสีสันอันหลากหลายในเรื่องนี้ล่ะค่ะ อารมณ์ระหว่างที่อ่านนี่คือ เหมือนรถไฟเหาะเลย เดี๋ยวก็สะเทือนใจ เดี๋ยวก็ขำ เดี๋ยวก็เอาใจช่วย เดี๋ยวก็เกลียดหมอนั่น เดี๋ยวก็อึ้งกะหมอนี่ เดี๋ยวก็ลุ้น เดี๋ยวก็เขิน เรียกว่า 4 เล่มนี่นะคะ แทบจะวางไม่ลงจริงๆ
 
เราไม่กล้าลงรายละเอียดมาก เพราะกลัวจะไปสปอยล์เนื้อเรื่องเสียก่อน นี่เขียนไประวังไป หากใครเห็นว่านี่เป็นการสปอยล์ก็ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงจริงๆ ค่ะ อีกเรื่องที่อยากจะพูดถึงก็คือ คุณ Bou Ptrn นักแปลของเรื่องนี้ เราอ่านงานแปลของเธอมาหลายเรื่อง เรื่องที่เราอ่านยากที่สุดก็คือลิ่วเหยาค่ะ สำนวนงดงามมาก แต่ต้องทำความเข้าใจหนักหน่วง แต่พอเป็นเรื่องนี้แล้วกลับอ่านง่าย กลมกล่อมกำลังดีเลย ก็เลยคิดว่าจะหากโอกาสกลับไปอ่านลิ่วเหยาอีกซักรอบดู แต่เรื่องล่าสุดที่อ่านคือ สัตตบุรุษผู้แช่มช้อย เราอ่านแล้วชอบมาก แปลได้สนุกมากจริงๆ แนะนำให้ลองไปอ่านกันดูนะคะ ถ้าอ่านจบแล้วน่าจะมีโอกาสได้เอามารีวิวให้ได้อ่านกันในอนาคตแน่ๆ ค่ะ
 
อย่าลืมหยิบพันสารทมาอ่านกันนะคะ รับรองว่าจะชอบเยี่ยนอู๋ซือกับเสิ่นเฉียวได้ไม่ยาก เพราะนี่เป็นอีกสองตัวละครที่นิสัยโคตรแตกต่างกันมากแต่เวลามาอยู่ด้วยกันแล้วเคมีดีมากอีกคู่นึงของวงการเลยล่ะค่ะ หวังใจว่าทุกคนจะชอบทั้งเรื่องราวทั้งตัวละครในเรื่องเหมือนกับเราค่ะ สามารถแชร์กันได้หลังอ่านจบค่ะ นักอ่านของเราขยันเข้ามาอ่านแต่ไม่ค่อยชอบคอมเม้นต์ อันนี้ก็พอเข้าใจได้ค่ะ เราเองก็เป็น สำคัญตรงที่แวะเข้ามาอ่านกันแค่นี้เราก็ดีใจมากแล้วล่ะค่ะ ต้องขอคุณทุกท่านเป็นอย่างมากจริงๆ
 
คราวหน้าจะเป็นเรื่องอะไร ไว้มาติดตามกันนะคะ
 




 

Create Date : 12 มกราคม 2564   
Last Update : 12 มกราคม 2564 20:07:43 น.   
Counter : 2846 Pageviews.  


1  2  3  4  5  

fingers-crossed
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หวังว่าจะได้รับความบันเทิงจากการเข้าเยี่ยมชม Blog กันถ้วนหน้าจ้ะ
[Add fingers-crossed's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com