เก็บตกปรมาจารย์ลัทธิมาร The Untamed Fun Facts!
ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กลับมาเขียนอะไรเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้อีก หลังจากรีวิวไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมา ทั้งที่ตอนนั้นหนังสือฉบับแปลภาษาไทย ยังออกมาแค่ 3 เล่มเท่านั้นเองอีกต่างหาก ถือโอกาสที่ว่าตัวเองอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษจบไปแล้วแท้ๆ ถึงได้หน้ามึนรีวิวออกมาเฉยเลยนั่นล่ะค่ะ จนบัดนี้หนังสือฉบับแปลภาษาไทยออกมาครบ 5 เล่มจบแล้ว ก็เข้าธันวาคมพอดีหนังจากที่เราอ่านเล่ม 5 ฉบับภาษาไทยจบไปแล้ว ส่วนตัวเราไม่ได้ค่อยได้ติดตามเรื่องราววงการนิยายแปลอะไรเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้มาบ้างว่า มีเสียงจากแฟนนิยายที่เป็นแฟนพันธุ์แท้เหนียวแน่น ที่ออกมาบ่นๆ กับผลงานแปลเวอร์ชั่นภาษาไทยอยู่ไม่น้อย ซึ่งเรื่องนี้เอาเป็นว่าเราจะไม่ขอพูดถึงก็แล้วกันนะคะ เพราะข้อแรก รังแต่จะก่อให้เกิดดราม่าขึ้นเปล่าๆ ข้อสอง เราไม่ได้มีความรู้เรื่องภาษาจีนอะไร จะออกความเห็นมากมายนักก็ดูจะไม่เข้าท่า แม้ว่าจะมีต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เชื่อถือได้มาคอยเปรียบเทียบอยู่ก็ตาม ส่วนเรื่องสำนวนอะไรต่างๆ ก็ขอละเอาไว้ก็แล้วกันค่ะ เพราะยังไงซะ งานก็แปลมาแล้ว หนังสือก็ออกมาแล้ว เราเองก็อ่านจบไปแล้วเหมือนกัน ก็เลยขอไม่พูดถึงล่ะนะคะ ที่จะมาเขียนถึงคราวนี้ เป็นเกร็ดเบาๆ ที่เราบังเอิญไปไถเจอใน IG ได้ซักพักใหญ่ๆ แล้ว ตอนนั้นก็อ่านเอาสนุก แต่จู่ๆ ก็คิดว่าเออ เอามาลงให้แฟนๆ ปรมาจารย์ฯ ได้อ่านกันก็น่าจะดีนะ ก็เลยตัดสินใจเอามาแปล (จากภาษาอังกฤษ) ลงในนี้เลยก็แล้วกัน ไหนๆ แฟนพันธุ์แท้ทั้งนิยายทั้งซีรีย์ก็มีไม่น้อยอยู่แล้ว ที่เอามาแปลเนี่ยมันคือ Fun Fact 10 ประการที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากนิยายที่ตัวอาจารย์โม่เซียงถงซิ่ว ผู้แต่ง ได้โพสต์เอาไว้ในเว่ยป๋อ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2017 เป็นการฉลองที่นิยาย ม๋อเต้าจู่ซือ หรือ ปรมาจารย์ลัทธิมาร ครบรอบ 2 ปีพอดี แหม... นับไปนับมา ปี 2020 นี้ก็ถือว่านิยายเรื่องนี้มีอายุครบ 5 ปีแล้วสินะคะมาค่ะ เราลองไปอ่าน 10 Fun Facts จากปลายปากกาของอาจารย์โม่กันเถอะ1. เซียนจื่อ (ผู้แปล: สุนัขเวทย์ของจินหลิง) นั้นเป็นสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกีจริงๆ ตอนที่ฉัน (โม่เซียงถงซิ่ว) วางตัวละครตัวนี้เอาไว้ ฉันไม่รู้เลยว่าสุนัขพันธุ์ฮัสกีมันออกจะ... ไม่ค่อยฉลาดซักเท่าไหร่ ถึงตอนนี้ ในหัวของฉัน ภาพลักษณ์ของเซียนจื่อ ก็คือฮัสกีอยู่ดีนี่แหละ ก็คิดซะว่า เซียนจื่อเป็นสุนัขพันธุ์ฮัสกี้กลายพันธุ์ที่แสนจะเฉลียวฉลาดไปเสียก็แล้วกันนะคะ2. หลานฉี่เหริน (ผู้แปล: ท่านอาจารย์อาผู้เข้มงวดของหลานวั่งจี และหลานซีเฉินนั่นล่ะค่ะ) ไว้หนวดเครามาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม แต่มีวันหนึ่งหนวดแสนรัก ดันถูกฉางเซ่อส่านเหรินตัดทิ้งไปซะอย่างนั้น ทำเอาท่านโกรธหัวฟันหัวเหวี่ยงทีเดียว!ภายหลัง ลูกชายของฉางเซ่อส่านเหริน ก็ยังมาแอบตัดหนวดตัดเคราของเขาซ้ำรอยแม่ไปอีก (แต่ฉันไม่ได้เขียนรายละเอียดตรงนี้ใส่เอาไว้ในนิยายนะคะ)*** (ผู้แปล: สำหรับใครที่จำไม่ได้ ฉางเซ่อส่านเหริน คือแม่ของเว่ยอู๋เซี่ยนค่ะ แปลกใจมั้ยล่ะค่ะ ที่ท่านอาหลานฉี่เหรินจะเหม็นหน้าเว่ยอิงอย่างกับอะไรดี)3. ตอนที่จินกวงเหยายื่นมือเข้าช่วยหลานซีเฉินนั้น (ผู้แปล: ตอนที่อวิ๋นเซินปู้จือชู่โดนตระกูลเวินเผานั่นแหละค่ะ) ในตอนนั้นเขาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลห้องหนังสืออยู่กวงเหยาถึงกับต้องช่วยแม้กระทั่งเรื่องซักเสื้อผ้าของซีเฉินทีเดียว เพราะตัวซีเฉินซักผ้าไม่เป็นค่ะ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ธุระที่จะไปขอให้ใครก็ได้มาช่วยซัก เพราะเสี่ยงต่อการที่จะถูกคนจดจำลายเมฆบนเสื้อผ้าได้ ทีนี้ก็จะอันตรายต่อชีวิตไปอีก แถมจะทิ้งไปหรือเผาซะก็ไม่ได้จินกวงเหยายังเคยถึงกับออกปากบ่นกับเนี่ยหมิงเจวี๋ยมาแล้วด้วยว่า กำลังแขนของหลานซีเฉินก็มีมากเกินซะจน ถ้าปล่อยให้ซักผ้าไปจริงๆ มีหวังได้ทำเสื้อผ้าขาดหมดแน่ๆ4. การจะทำให้เสี่ยวซิงเฉินหัวเราะได้นั้น เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ทั้งเซวียหยางและอาจิงต่างก็รู้ความจริงข้อนี้ แล้วก็ไม่ยอมบอกซิงเฉินเสียด้วย ซ่งหลานไม่เคยรู้เรื่องนี้ เพราะตัวพี่แกเองก็ไม่เคยหัวเราะเลยซักครั้ง5. เจียงเฉิงเคยผ่านการนัดบอดมาแล้ว 3 ครั้ง ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าตัวถูกขึ้นบัญชีดำไปเรียบร้อยโดยเหล่าบรรดาเซียนที่เป็นสตรีทั้งวงการคุณสมบัติของเนื้อคู่ที่เจียงเฉิงมองหา มีดังต่อไปนี้ นางจะต้องมีความสวยแบบธรรมชาติ สง่างาม และเชื่อฟัง เป็นคนขยันขันแข็งและประหยัด ต้องมาจากครอบครัวที่ได้รับการนับหน้าถือตา ระดับฝีมือในการล่าภูตผีไม่ต้องสูงมาก บุคลิกไม่ต้องแข็งกร้าวมาก ต้องไม่พูดมากจนเกินไป เสียงก็ต้องไม่ดังเกินไป ต้องไม่ใช้จ่ายเงินทองมากเกินไป ที่สำคัญที่สุด จะต้องปฏิบัติต่อจินหลิงเป็นอย่างดีด้วย6. หลานซือจุยแก่กว่าจินหลิง แต่ทั้งคู่สูง 172 ซม. เท่ากัน ซือจุยในวัยเด็กนั้นไม่ได้รับสารอาหารมากเพียงพอ ช่วงที่เติบโตขึ้นมาก็กินแต่อาหารที่จืดชืดไร้รสชาติ ดังนั้นพัฒนาการทางร่างกายจึงเป็นไปอย่างค่อนข้างช้าส่วน หลานจิ่งอี๋ สูง 168 ซม.(ผู้แปล: ความสูงจริงของนักแสดง เจิ้งฟ่านซิง (รับบท หลานซือจุย) คือ 175 ซม. นักแสดง กัวเฉิง (รับบท หลานจิงอี๋) 180 ซม. นักแสดง ฉีเผยซิน (รับบทเป็นจินหลิง) 175 ซม.)7. เพื่อที่จะสารภาพรักกับเจียงเยี่ยนหลี จินจื่อเซวียนถึงกับเคยจ้างคนให้มาเขียนความเรียงชวนหวานเลี่ยนแบบที่ยาวมากเป็นพิเศษ ซึ่งเจ้าตัวก็ตั้งอกตั้งใจอ่านมาเป็นอย่างดี สุดท้ายก็ไม่เคยได้เอามาใช้งานเลยสักทีวันหนึ่ง หลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานกันไปแล้ว เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่า จังหวะนี้แหละ เป็นโอกาสที่จะได้เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์เสียที ก็เลยหยิบเอาบทความที่ว่ามาอ่านให้เจียงเยี่ยนหลีฟัง ขณะที่ฟัง เจียงเยี่ยนหลียกมือขึ้นลูบไปที่แก้มของสามีด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป คือนางเป็นคนดีเกินกว่าจะทิ้งตัวลงบนพื้นแล้วหัวเราะใส่หน้าสามีตัวเองนั่นแหละค่ะ8. หลานวั่งจีรู้มาตั้งแต่แรกๆ แล้วว่า เว่ยอู๋เซี่ยนกลัวสุนัขอย่างยิ่ง จินจื่อเซวียนเคยเลี้ยงสุนัขเอาไว้ตัวนึง แล้วก็เคยทิ้งมันเอาไว้ตรงตีนเขาอวิ๋นเซินปู้จือชู่ วันหนึ่งสุนัขตัวที่ว่าวิ่งขึ้นไปบนเขาจังหวะเดียวกับที่เว่ยอู๋เซี่ยนแอบหนีออกมาทางกำแพงพอดี ก็เลยทั้งเห่าไล่ ทั้งขู่จนทำเอาเว่ยอู๋เซี่ยนหนีหัวซุกหัวซุนขึ้นไปซ่อนบนต้นไม้ ก็ได้หลานวั่งจีนั่นแหละที่มาช่วยไล่สุนัขให้อย่างไรก็ตาม เว่ยอู๋เซี่ยนกลับคิดว่าหลานวั่งจีคงไม่ทันได้เห็นตัวเองกลัวจนตัวสั่นอยู่บนต้นไม้หรอก*** (ผู้แปล: ผู้แปลต้นฉบับภาษาอังกฤษโน้ตเอาไว้ตรงนี้ว่า เวอร์ชั่นนี้สามารถหาดูได้จาก ปรมาจารย์ลัทธิมาร เวอร์ชั่น Q หรือเวอร์ชั่นจิบิที่เป็นลายการ์ตูนน่ารักน่าฟัดนั่นล่ะค่ะ)9. ถึงแม้หลานวั่งจีจะไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยก็ตาม แต่เว่ยอู๋เซี่ยนก็ค้นพบว่า หลานวั่งจีชอบใช้ของสารพัดอย่างมามัดเว่ยอู๋เซี่ยนเอาไว้เวลาที่ เอิ่ม..... นั่นแหละค่ะ รู้ๆ กันอยู่ (ผู้แปล: อาจารย์ต้องคิดละเอียดถึงเพียงนี้เชียวรึคะเนี่ย )10. ไม่ว่าจะเป็นตัวพระเอกหรือนายเอก (ผู้แปล: ต้นฉบับภาษาอังกฤษเรียกว่าเซเมะและอุเคะค่ะ) เว่ยอู๋เซี่ยนก็ถือเป็นตัวละครที่ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่แรกก่อนตัวละครอื่นๆตอนที่ฉันเริ่มเข้ามาสมัครเว่ยป๋อ สิ่งที่ฉันคิดก็คือ “ตัวละครที่เป็นนายเอกตัวนี้ช่างสร้างความปวดหัวให้ฉันมากเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าจะสร้างตัวละครที่เป็นพระเอกแบบไหนเพื่อที่จะรับมือกับหมอนี่ได้!”ตัวพระเอกนั้นถูกเปลี่ยนไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกนิสัย ลักษณะภายนอก อายุ พื้นเพ รวมถึงเรื่องราวชีวิต เรียกว่าเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนเหลือแสนจริงๆในที่สุด ก็เหมือนมีแสงจากสรรค์ส่องลงมาเลยก็ว่าได้ค่ะ ฉันถึงกับตบโต๊ะแล้วก็สุดท้ายก็เลือกเวอร์ชั่นแรก โดยบอกกับตัวเองว่า “ต้องเป็นเขานี่แหละ!”จะเห็นได้ว่าทั้งหลานวั่งจีและเว่ยอู๋เซี่ยน ทั้งคู่ต่างก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องได้อยู่ด้วยกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเป็นคนคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้นCredit – Mondengel on tumblrCredit – IG: yibosyamahaหมดแล้วค่ะ 10 ข้อ ตอนอ่านก็ไม่ได้คิดว่ามันยาวขนาดนี้นะคะเนี่ย แต่พออ่านแล้วก็ทำเอาอดหัวเราะให้กับความมีอารมณ์ขันของอาจารย์โม่ฯ ไม่ได้จริงๆ นั่นแหละค่ะ แล้วก็ทำให้ได้เห็นนะคะว่า อาจารย์เธอช่างเป็นคนละเอียดลอออย่างยิ่งในการที่จะเขียนนิยายซักเรื่องออกมา ซึ่งที่จริงตามหลักแล้วมันก็ควรจะเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ ถ้าไม่ผ่านการคิดอย่างรอบคอบ ขั้นตอนที่มากมาย หรือการแก้แล้วแก้อีก นิยายเรื่องนี้ก็คงจะไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ใช่ไหมคะ เห็นอย่างนี้แล้ว สำหรับคนที่อยากจะเป็นนักเขียนแล้วล่ะก็ ควรจะดูเป็นตัวอย่างเอาไว้เชียวล่ะค่ะ เราถึงได้ทึ่งกับอาจารย์โม่ฯ เธอมาก เพราะงานเธอดีและละเอียดอย่างยิ่ง แล้วเราก็อ่านซ้ำได้หลายรอบด้วย เพราะแม้จะเต็มไปด้วยรายละเอียดมหาศาลแต่ก็สนุกไปด้วยนี่ล่ะค่ะเอาไว้ถ้าไปเจอพวก fun facts หรือเกร็ดอะไรสนุกๆ เกี่ยวกับนิยายเรื่องไหนอีก หรือแม้แต่กับเรื่องนี้เองก็ตาม วันหลังจะแปลเอามาให้อ่านอีกก็แล้วกันนะคะ อันนี้นี่ไปเจอโดยบังเอิญจริงๆ บวกกับต้นฉบับภาษาอังกฤษแปลออกมาดีเลยล่ะค่ะ เราก็เลยสบายใจที่จะแปลมาให้ได้อ่านกัน เพราะบางแหล่งที่แปลมานี่คือภาษาค่อนข้าวจะวายป่วงเอาการ แปลไม่ออกกันเลยทีเดียว เอาเป็นว่าเพื่อนนักอ่านท่านไหน หากไปเจอเรื่องน่าสนุกอะไรทำนองนี้ อยากให้เราแปลลงบล็อกให้ได้อ่านก็ลองส่งมาให้เราได้นะคะ (ขอต้นฉบับภาษาอังกฤษเท่านั้นค่า) ถ้ามีเวลาหรือเห็นว่าน่าสนใจจริงๆ ก็ยินดีและเต็มใจที่จะแปลให้แน่นอนค่ะขอบคุณที่ติดตามแล้วรออ่านเรื่องต่อไปกันนะคะ
อร่อยล้นวัง รีวิว
ผู้แต่ง: Lu Ye Qian Heแปล: ลาเวนเดอร์สำนักพิมพ์: SENSEอยากจะขออภัยเพื่อนนักอ่านซักพันครั้งในความล่าช้านี้ ทั้งๆ ที่ควรจะเขียนรีวิวเรื่องนี้ตั้งแต่อ่านเล่มสามจบ แล้วก็กลับไปอ่านซ้ำทั้งหมดอีกรอบเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ว่ามันมีเหตุผลทับซ้อนกันมากมายทั้งที่ต้องไปผ่าตัดขาและรักษาตัวอยู่พักนึง แล้วก็ติดเดินทาง แล้วก็ติดทำงานด่วน ถึงต้องลากยาวมาจนบัดนี้นี่ล่ะค่ะ แก้ตัวเป็นที่เรียบร้อย ขอกลับมาพูดถึงนิยายเรื่องนี้ซักหน่อย นี่เป็นหนึ่งในนิยายที่เราชอบมากเรื่องนึงก็ว่าได้ค่ะ ถูกจริตและลงตัวเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง ตัวละคร ความเบาสมอง ความน่ารัก ความแฟนตาซี ความเป็นจีนโบราณ รวมไปถึงการแปลของคุณลาเวนเดอร์ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง คือรวบรวมความดีงามเอาไว้มากมายขนาดนี้จนถึงกับหมายมั่นว่ายังไงก็ต้องเขียนถึงให้ได้เชียวล่ะค่ะ ยังไงต้องขอบคุณน้องสาวผู้ชักนำเราเข้าสู่วงการนิยายจีนคนเดิมที่แนะนำให้เราอ่านเรื่องนี้ โดยที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลย แค่น้องบอกว่า มีคนบอกว่าสนุกมากเลยพี่ แค่นั้นเลยค่ะ สั่งซื้อทันทีแบบไม่ลังเล แล้วก็สนุกจริงๆ ด้วย เนื้อเรื่องเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวละคร ซูอวี้ ซึ่งแท้ที่จริงเป็นดวงวิญญาณของหนุ่มน้อยที่มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าเชฟแห่งชวนเซียงโหลวที่บังเอิญตายไปแล้วมาอยู่ในร่างของ ซูอวี้ ในยุคโบราณซึ่งเด็กหนุ่มขีวิตค่อนข้างอาภัพ ครอบครัวตกอับและโดนญาติพี่น้องกลั่นแกล้งเสียจน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นลูกเป็นหลานขุนนาง แต่ก็ต้องออกจากบ้านไปทำอาชีพคนขายปลาทุกวี่ทุกวันซะงั้น เอาจริงๆ น้องซูอวี้ก็หาได้แคร์กับการที่ต้องออกไปทำมาหาเงินไม่ เพราะยังไงซะชีวิตก่อนหน้านั้นก็ผ่านการปากกัดตีนถีบมาไม่น้อย แถมแย่กว่าก็ตรงที่ตัวคนเดียวไปอีก ชีวิตนี้อย่างน้อยเขาก็ยังมีแม่ที่รักเขาล่ะค่ะ เจ้าตัวก็เลยไม่คิดอะไรมาก มีวิชาเชฟติดตัวทั้งที ก็เอามาใช้ประโยชน์เสียเลยก็แล้วกัน ข้อเสียอย่างมากถึงมากที่สุดของนิยายเรื่องนี้ก็คือการบรรยายถึงอาหารและขั้นตอนการรังสรรค์แต่ละเมนูออกมา ซึ่งมันทรมาณใจคนอ่านอย่างเราๆ ท่านๆ กันเหลือเกิน หิวเลยนะบางที มันใช่เหรอ!?! แล้วทำแบบนี้ตลอดทั้งเรื่องเลยนะคะ! วันหนึ่งขณะที่ขายปลาอยู่ดีๆ ก็ไปเจอกับลูกแมวขนทองตัวหนึ่งเข้า ตอนนี้แหละที่เราได้รู้กันชัดๆ ไปเลยว่า ซูอวี้นี่มันทาสแมวชัดๆ ทั้งกอดทั้งหอม ทั้งสปอยล์ด้วยอาหารมากมาย ทั้งที่แมวตัวนั้นทั้งเชิดทั้งหยิ่ง เอะอะอะไรก็ตบ เอาใจยากเหลือแสน แต่แมวนิสัยเย่อหยิ่งที่ชื่อเจี้ยงจือร์ (ตั้งโดยซูอวี้เอง) ตัวนี้ กลับยอมติดตามซูอวี้อยู่แทบจะตลอด ส่วนนึงก็คือรสชาติอาหารทะเลที่ซูอวี้ทำนั่นล่ะค่ะ มันช่างอร่อยเสียจนนายท่านแมวต้องยอมลดตัวลงมากินอย่างเสียไม่ได้ ในปริมาณไม่น้อยไปเสียทุกครั้ง แล้วก็บอกกับตัวเองในใจแค่ว่าก็งั้นๆ แหละ พอกินได้เท่านั้น เชอะ!ตอนแรกที่จะหยิบเรื่องนี้มาเขียนถึง ก็มีลังเลนะคะว่าจะดีมั้ยนะ มันจะเหมือนสปอยล์คนอ่านมั้ยนะ แต่เอาจริงๆ เรื่องนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าเฉลยให้รู้ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า เจี้ยงจือร์ แท้ที่จริงก็คือฮ่องเต้อันหงเช่อรัชกาลปัจจุบันนี้เอง แล้วที่ใต้อุ้งพระบาทกลายเป็นแมวบ้างเป็นคนบ้างในช่วงแรกๆ ของเรื่องก็เพราะว่ายังควบคุมพลังวิเศษของตัวเองไม่ค่อยได้ ก็เลยทำให้เกิดข่าวลือว่า อันหงเช่อเป็นฮ่องเต้ที่ร่างกายเจ็บออดๆ แอดๆ สามวันดีสี่วันไข้ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ไปโน่น ทั้งที่จริงๆ แล้วท่านแค่เป็นแมวน่ะล่ะ พอดีกับช่วงอายุนี้การควบคุมพลังของท่านยังไม่ค่อยเสถียรแค่นั้นเอง แต่นี่ก็เป็นความลับให้ให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดทีเดียว นอกจากผู้ที่ได้ชื่อว่าถูกเลือกแล้วนั่นล่ะค่ะ ตอนอ่านทีแรก เงิบมากค่ะ แฟนตาซีกันเบอร์นี้เลยรึนี่ แต่ทำไมสนุกวะ มันเป็นมายังไงล่ะนี่ เลยอ่านต่อเนื่องไม่หยุดเลยค่ะทีนี้ ก็ปรากฏว่าปฐมราชวงศ์ของอันหงเช่อนั้นถือได้ว่าเป็นสัตว์บรรพกาลที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งค่ะ บ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรืองสงบสุขจนไม่รู้จะสุขยังไงในเรื่องนี้ถึงได้ไม่ค่อยมีเรื่องดราม่าอย่างเช่นอิจฉาริษยา พี่น้องแย่งชิงราชสมบัติ โดยมีพ่อ (ฮ่องเต้) ค่อยกุมอำนาจแถมใจคอโหดร้ายแบบนิยายเรื่องอื่นๆ เรื่องนี้ไม่มี้ไม่มี แหกขนบหมดเลย คือแทบจะไม่มีเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการสืบราชบัลลังก์เอย การคัดเลือกรัชทายาทเอย การแต่งตั้งท่านอ๋องเอย ไม่เหมือนเรื่องใดที่เราเคยอ่านมาทั้งสิ้นค่ะ แหวกแนวเสียจนหัวเราะกันไปได้ทั้งเรื่องนั่นล่ะค่ะ ภายใต้การดูแลเป็นอย่างดี อันหงเช่อในร่างแมวที่ได้รับการดูแล ได้รับความอบอุ่น นัวเนีย ทั้งกอดเอย หอมเอย ก็แอบรู้สึกดีกับซูอวี้ขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ แม้จะเป็นสายซึนปากแข็ง เอะอะก็อ้างว่า เพราะเจิ้นมีเมตตา เพราะเจิ้นให้ความสนิทสนมหรอกนะ ถึงได้ยอมให้ขนาดนี้ สุดท้ายก็เป็นคนที่พยายามทุกทางเพื่อที่จะให้ซูอวี้ได้เข้าวัง ถึงขนาดที่เลือกมาเป็นสนมชายเพียงคนเดียว และไม่สนเฟยนางใดในวังหลังเลยแม้แต่นางเดียวเลย วันไหน กงกง มาขอให้พลิกป้ายเลือกสนม อันหงเช่อก็พลิกให้นะคะ แต่ไม่ไปหาหรอกค่ะ ขลุกอยู่แต่กับซูอวี้จนชะนีในวังแทบจะขนานนามให้นายเอกของเราว่าจิ้งจอกล่มเมืองไปแล้ว ขำมาก แถมก่อนหน้าที่จะเอาซูอวี้เข้าวัง ก็ยังถึงกับแอบให้น้องชายซึ่งก็คือเจาอ๋องอันหงอี้ไปช่วยออกหน้าเปิดร้านเซียนหม่านถังให้ด้วยอีกต่างหาก ปากบอกก็ไม่ได้รักไม่ได้สนใจหรอก แค่เจิ้นเป็นคนจิตใจสูงส่ง แต่ซัพพอร์ตมันทุกทาง ทำเอายกระดับฐานะของซูอวี้และแม่ที่เคยต้องอยู่อย่างลำบากและไม่ได้รับความเป็นธรรมขึ้นมาแบบพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว เรียกว่าซูอวี้นี่ได้ดีเพราะความเป็นทาสแมวที่แท้ทรูเลยล่ะค่ะ สำหรับราชวงศ์นี้นะคะ อย่าได้คิดว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่และได้รับความคารพสูงสุดจะเป็นฮ่องเต้แมวรูปหล่อของเรานะคะ ที่ใหญ่สุดก็คือท่านราชครูผู้มีภาพลักษณ์สูงส่งงดงามอย่างยิ่งต่างหาก คำตัดสินชี้ขาด ราชพิธีต่างๆ พลังเวทย์รวมถึงการหยั่งรู้ทุกสิ่งอันล้วนต้องผ่านการจัดการของท่านราชครูทั้งสิ้น ถามว่าท่านเป็นแมวด้วยมั้ย ฮ่องเต้ก็เป็นแมว น้องชายฮ่องเต้ก็แมว คิดว่าท่านราชครูจะไม่ใช่หรือคะ แล้วพอเรายิ่งอ่านไป เราจะได้พบกับตัวละครที่เป็นทั้งเสด็จลุง เสด็จอา เสด็จพี่ เสด็จน้อง ที่ล้วนเป็นแมวมากมายเต็มไปหมด จนเราไม่อาจจะจดจำได้แล้วจริงๆ ว่าใครเป็นใครบ้าง เพราะนอกจากชื่อจะมีมากมายและจำยากแล้ว แม้จะเรียกลำดับกันเป็นตัวเลข คือรันนัมเบอร์กันขนาดนี้แล้ว ก็ไม่สามารถจำได้หมดจริงๆ แมวมากมายเต็มวังไปหมดค่ะ ตอนหลังซูอวี้ก็ได้เข้าไปอยู่ในวังโดยรั้งตำแหน่งเสียนเฟย จริงๆ ก็คือภรรยาคนโปรดของอันหงเช่อนั่นแหละค่ะ แล้วนอกจากจะเป็นที่โปรดปรานเป็นการส่วนตัวจนถูกเลือกแล้ว ซูอวี้ยังมีอะไรที่เหนือกว่าคุณหนูคุณชายที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกฝนความชำนาญหลายๆ ด้านเหล่านั้นหรือ แถมยังผ่านด่านสุดหินของท่านราชครูได้อีก ง่ายมากค่ะ ก็ฝีมือการทำอาหารของซูอวี้ไงคะ ใครอย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญเชียวนะคะ เพราะสำหรับเรื่องนี้ นี่คือจุดพีคสุดของเรื่องเลยเชียวล่ะ เรียกว่าบรรดานายท่านแมวตั้งแต่ระดับบนสุดอย่างท่านราชครูไปจนถึงน้องเล็กของราชวงศ์นี่ ล้วนยกนิ้ว ให้การยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์สุดๆ ในเรื่องฝีมือและเทคนิคการทำอาหารของซูอวี้แถมในเรื่องยังมีวัตถุดิบพวกอาหารทะเลมาให้น้องได้แสดงฝีมือได้ชนิดหลากหลาย ไหนจะตำราอาหารจากตระกูลซู ตำราอาหารจากเจดีย์อันกั๋วที่ได้จากท่านราชครูมาอีก ทีนี้ล่ะค่ะ ไม่ว่านายท่านแมวจะอยู่ที่ไหนเป็นต้องมาเทียวไล้เทียวขื่อติดตามหวังจะได้รับการแบ่งสรรปันส่วนอาหารฝีมือซูอวี้ด้วยกันทั้งนั้น ติดก็แต่อันหงเช่อที่ขี้หวงอย่างยิ่ง กันซีนทุกวิถีทาง เราจึงได้เห็นพี่น้องแมวเหล่านี้ประชันฝีมือมือชิงไหวชิงพริบในการที่จะกินอาหารฝีมือซูอวี้กันให้ได้ตลอดทั้งเรื่องค่ะ ไม่มีเรื่องแย่งชิงพระราชอำนาจนะคะ มี่แต่แย่งชิงอาหารกับของเล่นค่ะ เชื้อพระวงศ์เหล่านี้ ถามว่า แล้วมันไม่มีประเด็นซีเรียสอะไรเกิดขึ้นในท้องเรื่องเลยหรือ มีสิคะ คือการปรากฏตัวในชีวิตนี้ของซูอวี้น่ะ เจ้าตัวถูกเรียกว่าดาวประหลาดที่มีคนเอาไปลือกันต่างๆ มากมายก็จริง แถมในเรื่องยังเกิดเหตุการณ์มีสัตว์ประหลาดในทะเลเกิดขึ้นมากมายจนสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านชาวเมืองปกติทั่วไปอย่างมาก นายท่านแมวจงอ๋องที่อยู่เมืองติดทะเลก็จะทำหน้าที่จับส่งมาให้ในวัง ก็ได้ซูอวี้นี่แหละที่ขยันคิดเมนูเอาปลาประหลาดเหล่านี้มาทำอาหารให้เหล่านายท่านแมวในวังได้อิ่มหนำกัน ทำเอาท่านราชครูถึงกับออกปากเลยว่า เป็นผู้นำความรุ่งเรืองมาสู่บ้านเมืองโดยแท้ขนาดนั้นนะคะ ช่วงท้ายเรื่อง ก็มีเหตุให้บรรดานายท่านแมวทั้งหลายได้ร่วมกันออกเดินทางทางทะเลไปเพื่อทำภารกิจบางอย่างที่ขออนุญาตไม่เล่านะคะ เดี๋ยวจะเป็นการสปอยล์กันจนหมดสนุกในการอ่านไปเสียก่อน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องราวที่สนุกสนานตื่นเต้น และบันเทิงกันมากเชียวล่ะค่ะ นิยายเรื่องนี้เอาจริงๆ แทบไม่มีโมเม้นต์ให้ได้ดราม่าจนถึงขั้นขมวดคิ้วเลย เพราะทั้งเรื่องมีแต่แมว แมว และแมวเต็มไปหมด แล้วก็มีคนรักของแมวที่ทำอาหารโคตรเก่งชนิดทรมาณใจคนอ่านยิ่งนัก พวกนายท่านแมวแม้จะทำหน้าที่เชื่อพระวงศ์ผู้ภักดีของตัวเองได้ราบรื่นชนิดไร้ปัญหา แต่วันๆ ก็ไม่พ้นเล่นกัน ตีกัน แย่งของกัน แกล้งกัน กินข้าวกลางวันกัน แล้วก็นอนกลางวันกัน เป็นนิยายที่ประเทศชาติบ้านเมืองโคตรจะมีความสุขค่ะพูดเลย แล้วที่ชื่นชมอย่างยิ่งนะคะ ฝีมือการแปลของคุณลาเวนเดอร์ ไม่เคยทำให้ผิดหวัง แปลออกมาคืออารมณ์มันได้ จังหวะชิตคอมนี่คือมากันชนิดต่อเนื่อง อ่านไปยิ้มไป หัวเราะไป เสียสติมากค่ะ ที่จริงมันมีรายละเอียดอีกเยอะมากค่ะ แต่เราเลือกที่จะไม่เขียนถึง เพราะอยากให้ได้ไปลองอ่านกันเองดู รับรองเลยค่ะว่าจะต้องชอบ เพราะเนื้อเรื่องมันน่ารักดีเหลือเกิน สนุกก็สนุก อ่านจนวางไม่ลงเลยล่ะค่ะ เราถึงเต็มใจที่จะอ่านถึงสองรอบหลังจากอ่านเล่มสามที่ทิ้งช่วงจากเล่มสองไปเป็นเดือน จะเอามารีวิวทั้งที มันก็ต้องทบทวนความจำกันหน่อยสิ ใช่ไหมล่ะคะ ดังนั้นไม่ต้องลังเลค่ะ ไปซื้อหามาอ่านกันได้เลยตามสะดวก ขอบคุณที่ยังติดตามกันและขอให้สนุกกับการอ่านหนังสิอดีๆ กันนะคะ
รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ รีวิว
ผู้แต่ง: เมิ่งซีสือแปล: เซียงเซียงสำนักพิมพ์: everY ในที่สุดก็ได้หยิบนิยายเรื่องนี้มาเขียนถึงเสียทีนะคะ นับจากที่อ่านครั้งแรกจบไปนี่ก็เรียกว่าผ่านไปประมาณ 5-6 เดือนมาแล้ว ล่าสุดก่อนที่ลงมือเขียนรีวิวชิ้นนี้ก็เพิ่งอ่านรอบที่สองจบไป ที่จริงตอนนี้งานท่วมหัวเลยค่ะ แต่ถ้าไม่รีบลงมือเขียนอาจจะลืมแล้วก็ต้องกลับไปอ่านใหม่เป็นรอบที่สาม ประเด็นคือ เรื่องนี้สิริรวมทั้งสิ้นคือ 7 เล่ม กว่าจะอ่านจบ ไม่ง่ายนะคะทุกคน แถมรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องมีเยอะมาก ซึ่งขออนุญาตออกตัวไว้ก่อนเลยว่า คงจะไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากมายขนาดนั้นนะคะ ไม่งั้นมันจะยาว กลายเป็นวิทยานิพนธ์ไปเสียก่อน เรามีโอกาสได้ผ่านหูผ่านตาซีรีย์คนแสดงที่เป็นผลงานกับกำของคุณเฉินหลงมาบ้างอยู่เหมือนกัน นอกจากหน้าตาของตัวละครหลัก 2-3 คน เราก็แทบไม่ได้ดูแบบเป็นเรื่องเป็นราวอะไรเลย แต่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเนื้อเรื่อง ไม่ตรงกับต้นฉบับในหนังสือสักเท่าไหร่ แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกนายเอกก็ย่อมถูกทำให้กลายเป็นมิตรภาพไปตามคาด อันนี้ไม่แปลกใจนัก ก็เลยจะขออนุญาตไม่พูดถึงซีรีย์ก็แล้วกันค่ะ เพราะไม่ได้ดูจริงๆ บอกได้แค่ว่า น้องกวนหงที่เล่นเป็นถังฟั่นนี่คือเหมาะมากเชียวค่ะ ลุคอะไรต่างๆ เหมาะกับการเป็นบัณฑิตรูปงามผู้ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ส่วนฟู่เมิงป๋อที่รับบทเป็นสุยโจว ตอนแรกๆ อดรู้สึกไม่ได้ว่าหล่อน้อยกว่าที่คิดไปหน่อย แต่บุคลิกอะไรต่างๆ เข้าทางมาก จึงถือได้ว่าเหมาะกับบทสุยโจวมากทีเดียวเช่นกัน สำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ นอกจากเรื่องความสัมพันธ์อันน่าติดตามของตัวละครต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่องแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวการไขคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมายไม่แพ้กัน นึกเอานะคะ 7 เล่มเนี่ย มันจะบรรจุเรื่องราวคดีน้อยใหญ่ทั้งที่ซับซ้อนและไม่ซับซ้อนเอาไว้มากแค่ไหน ถังฟั่น (หรือนามรอง รุ่นชิง) นั้น แต่แรกเริ่มเดิมที อายุเพิ่งจะยี่สิบปีก็สอบได้อันดับหนึ่งของบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งได้แล้ว ที่สุดก็ได้มารับตำแหน่งเป็นข้าราชการขั้นหกเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่ศาลซุ่นเทียนในเมืองหลวงนี่แหละ เรียกว่าแม้ตำแหน่งจะไม่ได้ใหญ่โต แต่ดูจากอายุแล้วก็สติปัญญาแล้ว โดดเด่นอย่างยิ่ง ผิดจากนิสัยใจคอที่เป็นคนอยู่ง่าย สมถะ จะจุกจิกหน่อยก็แค่เรื่องปากท้องและอาหารการกินเท่านั้น เพราะไต้เท้าถังนั้นชอบหาของอร่อยกินเป็นอย่างยิ่ง เริ่มเรื่องมา มีคดีแรกให้ทำก็ส่อแววยุ่งยากใจขึ้นมาเสียแล้ว เพราะทั้งเจ้าทุกข์และผู้ต้องหาล้วนเป็นคนในครอบครัวข้าราชการมั่งคั่ง อำนาจของถังฟั่นก็ใช่ว่าจะมีมากมายอะไร ก็ให้บังเอิญต้องได้มาร่วมสืบคดีร่วมกับองค์รักษ์เสื้อแพรที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอำนาจและความโหดนั่นแหละค่ะ ทำยังไงได้ เพราะถึงยังไงทีมองครักษ์เสื้อแพรก็เรียกว่ารับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรง ดังนั้นใครเห็นเป็นต้องกลัว ต้องครั่นคร้ามมากเป็นธรรมดา ก็จังหวะได้มาร่วมมือ (อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก) กับสุยโจว (ชื่อรอง ก่วงชวน) ที่รั้งตำแหน่งเป็นถึงนายกององครักษ์เสื้อแพรแห่งกองปราบฝ่ายเหนือ ซึ่งเทียบกับถังฟั่นแล้ว สุยโจวเป็นคนที่พูดน้อยมาก เงียบขรึม เย็นชาอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นคนมากฝีมืออย่างยิ่งเช่นกัน แม้ตอนที่รู้จักกันครั้งแรก สุยโจว ก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรในตัวข้าราชการเล็กๆ อย่างถังฟั่นนัก จะโทษก็คงต้องโทษศาลซุ่นเทียนมีพันปิน หัวหน้าของถังฟั่นที่มีนิสัยไม่เอาไหนดูแลอยู่นั่นแหละ ก็เลยทำให้ภาพของศาลดูไร้น้ำยาเหลือเกิน แต่พอได้สืบคดีร่วมกัน สุยโจวได้เห็นถึงความสามารถและความใส่ใจทุ่มเทในการทำงานอย่างเต็มที่ของถังฟั่น ก็เลยเริ่มรู้สึกดีกับเจ้าตัวมากขึ้น ถึงขั้นนับถือกันเป็นสหายกันหน้าตาเฉยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกที เวลามีคดีอะไร ถังฟั่นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว องครักษ์เสื้อแพรจะมีส่วนหรือไม่ ถ้าสุยโจวไม่มาคอยช่วยด้วย ก็เป็นต้องส่งคนของทีมมาคอยซัพพอร์ตได้เท้าถังอยู่เรื่อยไป ก็ใครใช้ให้ถังฟั่นไร้ฝีมือด้านวรยุทธ์ขนาดนี้ล่ะคะ เพื่อนก็อดห่วงไม่ได้แหละ ทีนี้แรกๆ ถังฟั่นก็ไม่ได้มีเงินมีทองอะไรมากมาย ประสาข้าราชการตัวเล็กๆ ล่ะค่ะ ก็เลยอาศัยเช่าบ้านของคหบดีคนหนึ่งอยู่ในราคาถูกมาก เพราะเคยมีคนตายในบ้านหลังที่ว่า ถังฟั่นที่ไม่ได้เกรงกลัวอะไรก็เลยเข้ามาเช่าอยู่ ไปๆ มาๆ บ้านหลังนี้ก็เกิดคดีฆ่ากันตายขึ้น เดือดร้อนถึงถังฟั่นต้องมาไขคดีที่ว่านี้ หารู้ไม่ว่านอกจากตัวเองจะต้องกระเด็นออกจากบ้าน ยังได้ตัวเด็กหญิงอาตงที่เขาไถ่ตัวมาจากเจ้าของบ้านหลังดังกล่าวติดมาด้วยส่วนหนึ่งก็เป็นความช่วยเหลือของสุยโจวด้วยล่ะค่ะ แถมเจ้าบ้านที่เป็นฆาตกรยังหนีไปได้ แถมตอนหลังมาสร้างความวุ่นวายใหญ่โตให้กับทั้งถังฟั่นและสุยโจวอีก เมื่อไม่มีบ้านจะอยู่ ก็พอดีสุยโจวออฟเฟอร์ให้มาอยู่บ้านเดียวกันเสียเลย เนื่องจากสุยโจวอยู่คนเดียว คนใช้สักคนก็ไม่มี บ้านก็ใหญ่โตนัก ถังฟั่นมาอยู่นอกจากจะไม่ได้สร้างความลำบากอะไร ยังมีเด็กหญิงอาตงมาคอยช่วยเรื่องงานบ้านไปด้วยซะอีก แถมได้อยู่ใกล้หูใกล้ตาด้วยแบบนี้ มีแต่ได้กับได้นะคะสุยโจว ตอนหลังก็เลยกลายเป็นเหมือนครอบครัวกันไปเลยจริงๆ อาตงเองก็ไม่ได้มาอยู่ในฐานะคนรับใช้ แต่อยู่ในฐานะน้องสาวของพี่ชายสองคน ที่เคยออกไปทำงานกว่าจะกลับบ้านก็ดึกดื่น กินข้าวมั่ง ไม่กินมั่ง กินมาจากข้างนอกมั่ง ตอนหลังก็กลายเป็นความเคยชินที่ออกไปทำงานแล้ว ตอนเย็นก็จะกลับมานั่งกินข้าวพร้อมหน้ากัน ที่สำคัญที่สุดสุยโจวทำอาหารเก่งมาก เรียกว่าถ้าไม่ใช่คนสนิทใกล้ตัว การจะได้กินอาหารฝีมือสุยโจว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่สำหรับเรื่องนี้ ขอแค่เป็นถังฟั่น ไต้เท้าสุยจึงได้ลงมือทำอาหารเองอยู่บ่อยครั้งทีเดียว อีกตัวละครที่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้ เพราะมีส่วนสำคัญมากทั้งในการดำเนินเรื่องและในความสัมพันธ์ของทั้งถังฟั่นและสุยโจว นั่นก็คือ วังกงกง ผู้เลื่องลือแห่งวังหลวง หรือที่คนใกล้ชิดจะเรียกว่า วังจื๋อ นั่นล่ะค่ะ วังจื๋อผู้นี้ อย่าเห็นว่าเป็นขันทีอายุน้อยนะคะ แม้นิสัยจะเย่อหยิ่งจองหองเจ้าเล่ห์เพทุบายในเลเวลที่น่าตบอย่างยิ่ง แต่ก็มากฝีมือมาก ไม่ว่าจะเป็นความเฉลียวฉลาด ฝีมือการต่อสู้ และอำนาจที่เจ้าตัวมีอยู่ในมือ ใครเห็นเป็นต้องก้มหัวให้ทีเดียวค่ะ แรกๆ ตอนที่ตัวละครตัวนี้โผล่มา เราเหม็นหน้านางน่าดู เพราะแลดูจะสร้างปัญหาให้ทีมพระเอกนายเอกของเราเหลือเกิน แต่ตอนที่ถังฟั่นได้เจอกับวังจื๋อครั้งแรก ถังฟั่นนอกจากจะไม่เกรงกลัวอะไรแล้ว เจ้าตัวยังร่วมนั่งกินอาหารอร่อยไปกับเขาโดยไม่แคร์สักนิดว่าตัวเองแค่ติดตามพันปินมา เจ้ามือไม่ได้เชิญด้วยซ้ำ ตอนหลังถังฟั่นได้แสดงให้วังจื๋อได้เห็นถึงความฉลาดเฉลียวชนิดหาจับตัวได้ยาก วังจื๋อจึงรู้สึกว่าถังฟั่นไม่ธรรมดา จริงๆ ไม่ธรรมดามาตั้งแต่ที่หน้าหนามานั่งกินอาหารเค้า แถมยังต่อปากต่อคำแบบไม่กลัวเกรงใดๆ ประสาคนชิวๆ นั่นแล้วล่ะ วังจื๋อแม้จะปากร้าย แต่ก็ไม่อาจทำให้ถังฟั่นรู้สึกโกรธหรือถือสาอะไรได้เลยด้วยซ้ำ จุดเริ่มต้นในการสมรู้ร่วมคิด เอ้ย... ล่มหัวจมท้ายด้วยกันระหว่างถังฟั่น วังจื๋อและสุยโจวจึงได้เริ่มต้นขึ้นก็คราวนั้น ที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างถังฟั่นกับวังจื๋อออกจะน่าสนใจอยู่นะคะ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่อาจจะเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นมิตรสหายได้เต็มปาก เพราะนิสัยเสียๆ ของท่านวังกงกงที่แก้ไม่หาย แต่คนที่วังจื๋อไว้ใจที่สุดก็คือถังฟั่น ถึงขนาดคุยกันได้หมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแค่ไหน ถังฟั่นก็ไม่อาจจะนับถือวังจื๋อเป็นเพื่อนอะไรขนาดนั้น แต่เมื่อไหร่ที่วังจื๋อมาขอให้ช่วย ถังฟั่นก็ไม่เคยอิดออด ถึงขนาดเรื่องความรู้สึกในใจของถังฟั่นที่สับสน ก็ได้ไม่พ้นวังจื๋อจะได้เข้ามารับรู้ไปเสียอย่างนั้น เรียกว่าการพบกันของสองคนนี้เปลี่ยนอนาคตของทั้งคู่ไปในแบบที่พลิกฟ้าคว่ำมหาสมุทรกันเลยทีเดียวค่ะ เรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ ไม่เพียงจะมีเรื่องของคดีฆาตกรรมเท่านั้น ยังมีเรื่องข้าราชการโกงกิน มีเรื่องการใช้อำนาจมิชอบจนประชาชนเดือดร้อน ภัยพิบัติ เรื่องเหนือธรรมชาติ หรือแม้แต่เรื่องการแก่งแย่งอำนาจชิงดีชิงเด่นในวังที่พลาดไม่ได้ ไหนจะเรื่องฮ่องเต้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ งมงายเรื่องไสยศาสตร์ความเชื่อ แถมยังหลงใหลวั่นกุ้ยเฟยที่เรียกว่ากุมอำนาจในวังมานานชนิดหัวปักหัวปำ ไหนจะองค์รัชทายาทที่เหมาะสมแต่กลับถูกปองร้ายสารพัด เพราะมีคนไม่อยากให้พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์อีก เรียกว่าแต่ละเล่มพระเอกนายเอกของเรามีงานเข้ากันมาแทบไม่หยุดหย่อน ไหนจะมีคนคอยปองร้าย มีคนคอยเพ็ดทูล ปัดแข้งปัดขากันให้วุ่นวาย ก็อาศัยว่าถังฟั่นเป็นคนสบายๆ และยอมรับความจริงแถมปล่อยวางอะไรได้ง่าย ไอ้โมเม้นต์ที่ควรจะตึงเครียด กลับผ่อนคลายไปซะงั้นเลยค่ะ ขนาดโดนปลดจากตำแหน่งชั่วคราว ก็กลายเป็นว่านี่คือช่วงเวลาว่างที่ถังฟั่นนานๆ จะมีซักที เลยตัดสินใจไปเยี่ยมพี่สาวเพียงคนเดียวที่ออกเรียนไปเป็นสะใภ้อยู่นอกเมืองหลวงดีกว่า ก็ยังไม่วายเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก เพราะนอกจากจะมีคดีเกิดขึ้น ถังฟั่นต้องคอยช่วยเหลือพี่สาวให้ได้หย่ากับสามี ตัดขาดจากครอบครัวสามีและพาลูกชายเพียงคนเดียวกลับเมืองหลวงพร้อมถังฟั่นไปด้วย เลยมีความดราม่าเล็กๆ เกิดขึ้น แต่ฝีมือและฝีปากระดับไต้เท้าถังนะคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรม น้อยครั้งจะไม่สำเร็จ แถมสุยโจวยังเข้ามามีเอี่ยวคอยช่วยชนิดออกหน้าไปอีก มีหรือทุกอย่างจะไม่คลี่คลาย ตอนหลังกลายเป็นบ้านของทั้งคู่ในเมืองหลวงช่างคึกคักและอบอุ่นไปด้วยสมาชิกในครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา แล้วก็ช่วงนี้ล่ะค่ะที่ไต้เท้าสุยมีอันให้ได้ปวดกบาลกับความซื่อบื้อในเรื่องความรักของไต้เท้าถังเหลือเกิน ขนาดวังจื๋อ หรือแม้แต่ถังอวี๋พี่สาวของถังฟั่นยังถึงกับส่ายหน้าในความฉลาดมันทุกเรื่องของเจ้าตัว แต่โง่อยู่เรื่องเดียวนี่แหละ กว่าเจ้าตัวจะยอมรับนะคะ โดนไต้เท้าสุยจู่โจมฟันกำไรไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่นั่นแหละ ถึงได้ยอมรับว่าใจตรงกันเสียที แต่พอได้ยอมรับเท่านั้นแหละ มือที่สามที่ไหนเข้ามา เป็นอันถอยกรูดทุกราย ก็ใครจะไปสู้ไต้เท้าสุยที่อยู่ใกล้ตัวถังฟั่นกว่าใคร คอยปกป้องยิ่งกว่าใคร ตำแหน่งอำนาจในมือก็ล้นเหลือ หนักแน่นเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่า รักใครก็รักจริง แถมฝีมือทำอาหารขนาดวังจื๋อที่ปากร้ายจู้จี้ยิ่งกว่าอะไรยังต้องยอมรับ ใครจะมาแทนที่สุยโจวได้ล่ะค่ะถามจริงๆ ตอนพิเศษท้ายเรื่องก็สนุกมากค่ะ เหมือนเป็นการสรุปทุกอย่าง นับเป็นการปิดจบที่สมบูรณ์มาก เทียบกับเล่มแรกแล้ว พอได้เห็นว่าตัวละครแต่ละตัวพัฒนามาไกลแค่ไหนนี่ มันอดฟินไม่ได้จริงๆ เลยล่ะค่ะ เชื่อว่าคนที่เคยได้อ่านรัชศกฯ มาแล้ว ก็น่าจะชอบเนื้อเรื่องและตกหลุมรักตัวละครในเรื่องมากเหมือนๆ กับเรานี่แหละค่ะ คุณเมิ่งซีสือน่ะเป็นคนที่เขียนนิยายสนุกมาก การวางพล็อต การดำเนินเรื่อง หรือแม้แต่การออกแบบตัวละครต่างๆ ผ่านการคิดและวางแผนมาแล้วจริงๆ เรื่องราวถึงได้สนุกน่าติดตามขนาดนี้ คือเป็นอีกหนึ่งนักเขียนที่ทำการบ้านมาดีมาก ตัวละครในเรื่องนี้มันมีมากมายเสียจนเราตัดสินใจจะไม่หยิบมาพูดให้มากความล่ะ เอาแค่พูดถึงตัวหลักๆ นี่ก็เรียกว่ายาวเกินเหตุไปแล้ว ใครที่ยังตัดสินใจอยู่ว่า เอ... จะซื้อมาอ่านดีไหมนะ มันยาวเหลือเกิน 7 เล่ม ขอบอกเลยค่ะว่าไม่ต้องลังเล มันคุ้มค่ามากที่จะซื้อหามาอ่านและเก็บไว้อ่านซ้ำได้อีกหลายๆ รอบ เรายังอ่านไปได้แล้วตั้ง 2 รอบ อย่าได้กลัวค่ะ นิยายสนุกขนาดนี้ คอนิยายไม่ควรพลาดอย่างยิ่งเชียว ในที่สุดก็ได้หยิบนิยายผลงานของนักเขียนคนนี้มาเขียนเสียที ทั้งๆ ที่อ่านของเขามาก็หลายเรื่อง ตอนนี้ก็ยังมีที่อ่านค้างไว้อยู่ ถ้าไม่ติดอะไร ก็หวังไว้ว่าจะได้นำมาเขียนถึงในอนาคตเช่นกันค่ะ อย่าลืมติดตามอ่านเรื่องต่อไปกันนะคะ และขอบคุณอย่างยิ่งสำหรับการติดตามจากเพื่อนนักอ่านทุกท่านค่ะ
รัชทายาทบัญชา รีวิว
ผู้แต่ง: ม่านม่านเหอฉีตัวแปล: เกาลัดเดือนสิบสองสำนักพิมพ์: everY ตอนที่อ่านเรื่องย่อคร่าวๆ ตรงปกหลังของนิยายเรื่องนี้ ในใจก็คิดว่าน่าสนใจดีและน่าจะอ่านสนุกในระดับนึง ที่ไหนได้ สนุกมากจนวางไม่ลงเลยล่ะค่ะ เนื้อเรื่องเข้มข้นทีเดียวแถมจังหวะผ่อนหนักผ่อนเบาก็ดีต่อใจคนอ่านยิ่งนัก พออ่านจบแล้ว ก็อดรู้สึกไม่ได้จริงๆ แหละว่า เรื่องนี้นี่มันสมชื่อ รัชทายาทบัญชา จริงๆ ตอนเริ่มอ่านขอยอมรับว่าแอบมึนนิดหน่อย เพราะตัวละครมากมายพร้อมใจโผล่กันมาชนิดไม่ขาดสายทีเดียว แถมยังเป็นเรื่องในราชสำนัก ทั้งชื่อทั้งตำแหน่งตัวละครมากมายล้วนแล้วแต่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับข้าพเจ้ายิ่งนัก แล้วเรื่องราวประเภทขัดแย้ง ชิงไหวชิงพริบ ทรยศหักหลัง ชิงดีชิงเด่นจนถึงชิงบัลลังก์นี่คือ ถือเป็นของคู่กับรั้วกับวังโดยแท้ค่ะ ใครที่อ่านนิยายจีนโบราณมาแล้วเยอะๆ น่าจะนึกภาพออกได้ไม่ยาก ยิ่งเรื่องนี้ยิ่งเข้มข้นมากจริงๆ ฉีเซียวแม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงองค์รัชทายาทในการรับช่วงบัลลังก์มังกรต่อจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้น หนทางของเขาก็ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะแท้ที่จริงถ้าให้พูดภาษาชาวบ้านฉีเซียวไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันแต่อย่างใด เรื่องราวในอดีตขององค์รัชทายาทนั้นมีเบื้องหลังอันน่าสะเทือนใจซ่อนอยู่ แม้จะมีคนเพียงหยิบมือที่รู้เรื่องราวดังกล่าว อีกทั้งยังมีการพยายามปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่พ้นฉีเซียวได้รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว แต่แทนที่จะกระโตกกระตาก เจ้าตัวกลับมีแผนการในใจที่เฝ้าวางเอาไว้อย่างอดทนมานานนับปี ความอดทนที่ว่านี้เองค่ะที่ทำให้เขากลายเป็นองค์รัชทายาทที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ทั้งฉลาดเฉลียว ทั้งเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ เก่งทั้งบู๊และบุ๋น อีกทั้งยังรู้จักใช้พระเดชพระคุณอย่างถูกที่และถูกเวลาเสียอีกด้วย เมื่อเขาบังเอิญได้พบหน้าไป่เริ่นที่มีตำแหน่งเป็นซื่อจื่อแห่งหลิ่งหนาน แปลตรงๆ ก็คือเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหลิ่งหนานอ๋องหรือประมุขแห่งหลิ่งหนานนั่นแหละค่ะ แต่ต้องเดินทางเข้ามาเมืองหลวงในฐานะเป็นตัวประกันนั่นเอง ฉีเซียวก็เกิดไปถูกอกถูกใจไป่เริ่นอย่างประหลาด แล้วยังไปแอบรู้มาอีกว่า ไป่เริ่นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนชายคนสนิทที่ตามมาดูแลจากหลิ่งหนาน ความเป็นคนเอาแต่ใจ อยากได้ต้องได้ แถมเจ้าเล่ห์ระดับตัวพ่อ มีหรือเขาจะไม่วางแผนพรากคู่รักทั้งคู่ออกจากกัน แถมยังใช้อำนาจของตัวเอง ยื่นข้อเสนอ (กึ่งบังคับ) ว่าเขาจะให้ความคุ้มครองแก่ทั้งตัวไป่เริ่นและครอบครัวที่หมายถึงแม่และพี่สาว แลกกับการมาเป็นคนของเขาเสียดีๆข้อเสนอที่เหมือนจะหวังดีแต่ประสงค์ร้ายชัดๆ แบบนี้ เป็นใครก็คงไม่ยอมรับแน่ๆ แต่ไป่เริ่นเรียกว่าอยู่ในฐานะตัวประกัน มาอยู่เมืองหลวงแม้จะไม่มีใครรังแกซึ่งหน้า แต่ก็เรียกว่าไร้คนหนุนหลัง ตัวคนเดียวและไร้กำลังอย่างสิ้นเชิง ครอบครัวที่หลิ่งหนานหรือ แม้แม่จะเป็นชายาเอกแต่บิดากลับยกย่องชายารองให้อยู่เหนือกว่า ลูกสองคนของเมียรองก็ได้รับการเชิดชูมากกว่า ถึงขั้นที่ลงมือกลั่นแกล้งให้ได้เลือดตกยางออกกันก็หลายหน ไป่เริ่นเมื่อถูกส่งตัวเข้าเมืองหลวง ชีวิตตนเองไม่สำคัญเท่ากับพี่สาวและแม่ จังหวะที่องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ที่มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ ของรัชทายาทฉีเซียว คิดจะเลือกลูกสาวของหลิ่งหนานอ๋องคนใดคนหนึ่งให้มาแต่งกับหลานตัวเองนั่นล่ะ ไป่เริ่นที่ได้ยินชื่อเสียงความเป็นคนไร้หัวใจของฉีเซียว จึงจำใจต้องยอมรับข้อเสนอนี้อย่างไร้ทางเลือก ยอมเสียสละตัวเองเพื่อไม่ให้แม่กับพี่สาวต้องลำบาก ฉีเซียวแม้จะเป็นจอมวางแผน พรากไป่เริ่นออกจากเฉินเฉาเกอ คนรักของเขาได้แล้ว ยังส่งตัวกลับหลิ่งหนานให้พ้นหูพ้นตาไปได้อีก แต่เขาก็เป็นคนรักษาคำพูดยิ่งนัก เมื่อรับปากว่าจะดูแลพี่สาวและแม่ของไป่เริ่น เขาก็ทำตามนั้นจริงๆ ในขณะเดียวกันก็หมั่นรังแกอีกฝ่ายเหลือเกิน ตอนแรกก็ทำเพราะสนุก เหมือนของเล่นใหม่ที่ได้มาแล้วก็เพลินใจอะไรประมาณนั้นล่ะค่ะ แต่ไปๆ มาๆ ไม่รู้อิท่าไหนองค์รัชทายาทชอบให้ข้างกายตัวเองมีไป่เริ่นตลอดเวลา แล้วก็ชักรู้สึกว่าไป่เริ่นน่ารักน่าหยอกนัก นานวันเข้าถึงกับออกหน้าปกป้อง ดูแล ห่วงใย ใส่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ยามไป่เริ่นเป็นทุกข์ก็คอยปลอบประโลมเพราะทนเห็นอีกฝ่ายเจ็บปวดไม่ได้ เลี้ยงดูปูเสื่อ อาหารการกินไม่ให้ขาดตกบกพร่องซะจนไป่เริ่นนี่ราศีจับกันไปข้างนึง ด้านไป่เริ่น แม้แรกๆ จะขัดขืนและไม่ยินยอมสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ฉีเซียวดูแลเขาดีเหลือเกิน ดีจนเจ้าตัวแปลกใจเหลือคณาว่า นี่คือองค์รัชทายาทฉีเซียวที่ได้ชื่อว่าโหดร้ายอำมหิตคนนั้นจริงๆ หรือ เพราะที่สุดก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตที่มีฉีเซียวอยู่ข้างๆ มันช่างน่าอบอุ่นใจ ไป่เริ่นนั้นเรียกว่าตัวคนเดียวอย่างแท้จริง การมีอยู่ของเขานั้นนอกเหนือจากแม่และน้องสาว กลับเหมือนไม่มีความหมายและไม่สลักสำคัญต่อใครเลยสักนิดเดียว ฉีเซียวเป็นคนแรกที่เป็นห่วงเขา และใส่ใจเขาอย่างแท้จริง ดังนั้นเพียงฉีเซียวเอ่ยปากว่าจะดูแลเขา ไป่เริ่นจึงซาบซึ้งยิ่งนัก และรักฉีเซียวจนหมดใจจริงๆ ตอนอ่านนะคะ ลุ้นจะตายค่ะ เพราะความเจ้าเล่ห์ของฉีเซียวนี่แหละ ก็เลยแอบลุ้นตลอดเลยว่า ถ้าไป่เริ่นรู้ความจริงเข้า เขาจะเสียใจไหมนะอะไรเทือกนี้ เพราะทีแรกฉีเซียวก็ไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรกับไป่เริ่นเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ไปๆ มาๆ แหม... มันอดเอ็นดูไม่ได้จริงๆ นะคะ ไป่เริ่นเป็นเด็กที่โคตรน่ารักและน่าโอ๋อย่างยิ่ง ไอ้เราก็ไม่อยากให้น้องโดนฉีเซียวทำร้ายจิตใจ ปรากฏว่าไป่เริ่นน่ะ ไม่ใช่เด็กใสๆ อ่อนต่อโลกขนาดนั้น เราต้องไม่ลืมว่าการที่ไป่เริ่นประคับประคองตัวเองมาได้ยาวนานขนาดนี้ ไม่เพียงจะต้องเข้มแข็งมาก แต่หมายถึงต้องไม่ใช่ตัวโง่งมดาษดื่นทั่วไปแน่ๆ ไป่เริ่นเป็นเด็กฉลาดอย่างยิ่ง อ่านเกมออก รู้ทันและมีไหวพริบมาก ชนิดที่ฉีเซียวต้องยอมให้ จากที่คิดว่าจะเอามาเชยชมเล่นๆ แล้วกำจัดทิ้งเหมือนเป็นหมากตัวนึงอย่างไรก็ได้ สุดท้ายองค์รัชทายาทแพ้ทางค่ะ ตกหลุมรักไป่เริ่นชนิดถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว คู่นี้ที่จริงเหมาะสมกันมากเชียวล่ะค่ะ ส่วนนึงเพราะเราได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์มาตั้งแต่เริ่ม ก็เลยเข้าใจที่มาที่ไปและเหตุผลในการกระทำของทั้งสองคนอย่างยิ่ง ไม่ได้รักกันแบบไม่มีที่มาที่ไปอะไรเลย ท่ามกลางความตึงเครียดของการชิงอำนาจกัน ทั้งสองคนกลับเกื้อกูลกันเหลือเกิน ต่างฝ่ายต่างก็เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่าดีทีสุดและก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดต่ออีกฝ่าย คืออ่านแล้วมันมีความซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก บางทีก็ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน แต่มันก็มีเหตุให้ได้เข้าใจกัน แล้วก็รักกันอย่างแท้จริง เราก็เลยรู้สึกประทับใจกับคู่นี้มากเชียวค่ะ ที่จริงถ้าจะให้ลงรายละเอียดก็ได้นะคะ แต่มันเยอะมาก ไม่อยากจะสปอยล์ด้วย อยากจะให้ลองไปติดตามอ่านกันดูดีกว่า เพราะมันสนุกมากจริงๆ ตอนที่พีคมากๆ นี่คือลุ้นจนไม่อยากจะวางเลยล่ะค่ะ ชิงไหวชิงพริบกันซะไม่มี แล้วก็อาจจะต้องเตรียมใจกันไว้หน่อยนะคะว่าเสียเลือดเสียเนื้อสุด เรื่องนี่เป็นตัวอย่างของคำว่าคนเรายิ่งสูงยิ่งหนาวจริงๆ อยากจะมีชีวิตรอดก็ต้องอำมหิต ต้องใจใหญ่ อ่านๆ ไปก็มาคิด แหม... เป็นจอมยุทธ์ก็อยู่ยาก เป็นเจ้าเป็นนายก็ต้องผ่าฟัน เป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ มันดีกว่าเยอะจริงๆค่ะ แค่อาจจะต้องระวังลูกหลงสักหน่อยแค่นั้นเอง ฟังดูเป็นตัวประกอบมากเลยเนาะ ตัวละครอันมากมายในเรื่องนี้ล้วนแล้วแต่มีสีสันและทำให้เรื่องราวน่าติดตามเป็นอย่างมากเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเจียงเต๋อชิง พ่อบ้านคู่ใจของฉีเซียว องค์หญิงใหญ่ตุนซู่ที่มีศักดิ์เป็นท่านป้า ฮ่องเต้ฉีจิ่ง เฝิงฮองเฮา เฉินเฉาเกอแฟนเก่าไป่เริ่น หรือแม้แต่แม่กับพี่สาว รวมถึงพี่น้องต่างแม่ของไป่เริ่นก็ล้วนแล้วแต่เข้ามามีบทบาทมากมายในชีวิตของทั้งฉีเซียวและไป่เริ่นอย่างยิ่ง ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดมากนะคะ เดี๋ยวมันจะยาวเกินเหตุ กลัวจะสปอยล์ด้วย ดังนั้น จะรออะไรคะ ไปหามาอ่านกันเถอะค่ะ นี่เรากะว่า ถ้าตะลุยอ่านหนังสือที่สั่งมาแล้วทั้งหมด (ซึ่งก็ใกล้แล้วล่ะ) จะหยิบเรื่องนี้มาอ่านใหม่อีกรอบ ดีใจมากที่เรื่องนี้ตอนที่ซื้อมา มันออกมาพร้อมกันสองเล่มจบพอดี ระยะนี้ทรมาณใจกับการอ่านนิยายที่ออกมาไม่ครบซักที ค้างคาจนไม่รู้จะค้างคายังไง บางเรื่องก็โอ้โห... ตัดจบทำร้ายจิตใจมาก เล่มใหม่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะออก ถึงกับต้องหยุดอ่านไปก่อน รอให้ออกมาจนจบค่อยอ่านน่าจะดีต่อใจมากกว่า นับๆ ดูเนี่ย มีตั้ง 4-5 เรื่องเข้าไปแล้ว ทำตัวเองแท้ๆ เชียวค่ะ คราวหน้าจะหยิบอะไรมาเขียนถึงก็ขอให้ทุกท่านยังกรุณาติดตามกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะคะ เวลาได้เห็นยอดวิวว่ามีคนเข้ามาอ่านมากน้อยแค่ไหนนี่ มันรู้สึกชื่นใจจริงๆ บางคนก็สงสัยว่าได้อะไรจากการที่ต้องมานั่งเขียนอะไรยืดยาวแบบนี้ ไม่มีคนบังคับ ไม่มีคนจ้าง ใช้เวลาแต่ละครั้งไปก็ไม่น้อย มันก็ได้ความสนุกและเพลินใจนี่แหละค่ะ เพื่อนนักอ่านบางท่านก็น่าจะได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน เราหวังใจว่าอย่างนั้นนะคะ ขอบคุณสำรับการติดตามค่ะ
เทพบุตรแห่งชาติกับคุณผู้ชายคนนั้น รีวิว
ผู้แต่ง: เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่งแปล: ศีตกาลสำนักพิมพ์: Roseอีกหนึ่งผลงานของคุณเยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง ภายใต้การดูแลของ Rose อีกแล้วนะคะ แทบจะกลายเป็นแฟนประจำไปแล้วสำหรับนักเขียนท่านนี้ (รวมคุณศีตกาลที่เป็นนักแปลขาประจำไปด้วยอีกคน) แล้วก็ของทางสำนักพิมพ์นี้ด้วย แต่แหม... ก็ว่าไม่ได้ค่ะเพราะเราก็เพลิดเพลินกับผลงานของนักเขียนท่านนี้มากอยู่ อ่านมาก็หลายเรื่อง ที่เอามารีวิวก็มี อย่าง ‘ตัดสินคนที่หน้าตาก็ต้องเจอแบบนี้’ นี่ก็สามารถเข้าไปหาอ่านกันได้ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เคยอ่านก็ ‘This Time... Lucky in Game Lucky in Love’ นี่ก็ดีเหมือนกันค่ะ อ่านจบไปนานแล้วแหละ แต่ไม่ได้เอามารีวิวเท่านั้นเอง ที่จริงสไตล์การเขียนของนักเขียนท่านนี้ ไม่ได้มีการวางพล็อตหรือเส้นเรื่องที่ซับซ้อนมากมายอะไร ออกแนวอ่านไปได้เรื่อยๆ สบายๆ ฟีลกู๊ดด้วยซ้ำ ใครไม่ประสงค์จะเสพดราม่าหนักๆ ชอบพระเอกนายเอกที่เก่งกล้าสามารถ ก็น่าจะชอบงานแนวนี้กัน แน่นอนว่า เทพบุตรแห่งชาติกับคุณผู้ชายคนนั้น ก็ยังคงความเป็นเยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่งเอาไว้ได้อย่างไม่ทิ้งลาย สำหรับเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวของคุณชาย กงซีเฉียว ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลกงซีที่ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีใหม่ที่สมบูรณ์แบบไปหมดทั้งรูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติ เกิดมาพ่อแม่ก็รักและตามใจชนิดทูนหัวทูนเกล้า นอกจากจะไม่เสียคนแล้ว ยังเป็นเด็กดีเป็นที่รักของใครต่อใคร เรียนหนังสือรึก็เก่งกาจ เข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศแล้วยังได้รับการยกย่องว่าเป็นศิษย์เก่าตัวอย่าง แถมพอสนใจเรื่องการแสดง เข้ามาชิมลางเรื่องแรกก็ประสบความสำเร็จ ฝีมือเป็นที่ยอมรับจนเจริญก้าวหน้าในวงการได้อย่างรวดเร็วอีกต่างหาก นี่ยังไม่นับความสามารถในศาสตร์โบราณต่างๆ ตั้งแต่เขียนอักษร วาดภาพพู่กันจีน ดีดฉินอย่างนี้ด้วยนะ ส่วนหนึ่งก็คือ กงซีเฉียวในชีวิตก่อนหน้านั้น เกิดเป็นข้าราชสำนักระดับสูง เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของจักรพรรดิเทียนจิ้นในยุคนั้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องผ่านการใช้ชีวิตและการต่อสู้มามากมายเหลือเกิน พอเกิดใหม่ในชีวิตนี้ ยังจำตัวเองในชีวิตนั้นได้ ความสามารถหลายๆ อย่างจึงถูกส่งต่อมา ทำให้เขาได้กลายเป็นกงซีเฉียวผู้มากความสามารถ เจ้าของฉายาเทพบุตรแห่งชาติในชีวิตนี้นั่นเอง แน่นอนว่า คนที่โคตรจะสมบูรณ์แบบระดับนี้ ย่อมต้องคู่กับอีกคนที่สมบูรณ์แบบไม่แพ้กัน นั่นก็คือ คุณชายสี หรือ สีชิง แห่งตระกูลสีที่ถือเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจกว้างขว้างที่สุดในประเทศนั่นล่ะค่ะ แหม... ชอบในความไปให้สุดทางนี้จริงๆ คุณชายสีเนี่ย อายุอานามยังไม่ 30 ปีด้วยซ้ำ แต่เพราะต้องเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดี ประสาตระกูลใหญ่ที่อำนาจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดนั่นล่ะ พ่อแม่รึก็เสียไปแล้ว ญาติพี่น้องก็ใช่ว่าจะกลมเกลียวอะไรกันนักหนา สีชิงจึงใช้ทั้งฝีมือและมันสมองฝ่าฟันทุกอย่างมาได้ด้วยตัวเอง เรียกว่า ถ้าไม่แน่จริง ไม่มีความสามารถ ไม่เด็ดขาด ก็ไม่มีทางได้ขึ้นแท่นเป็นผู้นำตระกูลชนิดที่ถอนรากถอนโคนคนที่ไม่จงรักภักดี และสร้างระบบขึ้นใหม่ในแบบที่ใครก็ไม่กล้าลุกขึ้นมาหือเลยแม้แต่คนเดียวได้แน่ๆ ทีนี้กงซีเฉียว กับสีชิง โคจรมาพบกันได้ยังไง เพราะว่ากันตามจริงแล้ว เส้นทางของทั้งคู่ยากที่จะบรรจบ คนนึงอยู่วงการบันเทิงแถมเป็นแค่เศรษฐีใหม่ จะร่ำรวยมีหน้ามีตายังไงก็ไม่น่าจะเทียบกับอีกคนที่มาจากตระกูลเก่าแก่ร่ำรวยล้นฟ้าได้แน่ๆ แถมถ้ามาสนิทสนมกันได้จริงๆ กงซีเฉียวก็คงไม่พ้นตกเป็นขี้ปากว่าเป็นแค่ไม้ประดับของเศรษฐีผู้ดีเก่าแน่ๆ แต่ปรากฏว่า สีชิงนั้นจำกงซีเฉียวได้ตั้งแต่แรกพบ คือคุณชายสีเนี่ยนะคะ ชีวิตวัยเด็กก็หนักหนาอยู่อย่างที่บอกใช่มั้ยคะแล้วก็ไม่ใช่เด็กที่มีความสุขนักหรอก มีวันนึงที่คงจะเหนื่อยและท้อได้ที่จนต้องมานั่งทอดอาลัยอยู่ข้างทาง ก็มาเจอเด็กนักเรียนมัธยมปลายคนนึงโดยบังเอิญ เด็กคนนั้นนอกจากจะปลอบใจและให้กำลังใจเขาแล้ว ยังชวนเขากินเนื้อย่างเสียบไม้ข้างทางกันอีกด้วยต่างหาก ก็เลยกลายเป็นความประทับใจของคุณชายสีไป และจดจำได้ไม่เคยลืม ขณะที่เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นเป็นนักแสดงหนุ่มผู้เพียบพร้อม และจำเรื่องวันนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พอได้บังเอิญมาเจอกันเข้า คุณชายสีก็ถึงกับปวารณาตัวเองเป็นแฟนคลับของคุณชายเฉียวแบบเปิดเผยด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกแบบตรงไปตรงมาว่าชอบผลงาน จนยื่นมือเข้ามาช่วยกงซีเฉียวก็หลายครั้ง สมัครเว่ยป๋อเพื่อติดตามข่าวอีกฝ่าย จนตอนหลังก็เลยกลายเป็นเพื่อนกันไปเลยจริงๆ กงซีเฉียวก็เลยไม่ใช่แค่นักแสดงมากฝีมือที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ชื่นชมของคนในวงการเท่านั้น แต่เพราะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกับคุณชายสีด้วย ก็เลยยิ่งเสริมบารมีให้เจ้าตัวสูงส่งเพิ่มขึ้นไปอีก กงซีเฉียวเนี่ยเป็นเจ้าของภาพลักษณ์ที่ดูดี สง่างาม จะดูว่าสูงส่งก็ได้ มีระดับก็ใช่ แต่ก็เข้าถึงง่ายไปพร้อมๆ กัน ก็คือ เลิศเลอทั้งไอคิว และอีคิวล่ะค่ะ แถมยังฉลาดมีไหวพริบเป็นกรดเชียวล่ะ ก็ต้องให้เครดิตจากชีวิตที่เคยต้องทำงานอยู่ในราชสำนักในชีวิตก่อนหน้านั้นด้วย ไอ้ที่ตัดสินใจมาเป็นนักแสดงก็เพราะ มั่นใจมากว่า ฝีมือในการเป็นนักแสดง หรือตีสองหน้านั้น ไม่มีทางเป็นรองใครอย่างแน่นอน แถมชีวิตจริงของคุณชายนี่ คนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้จัดการหรือผู้ช่วย ล้วนแล้วแต่รู้เช่นเห็นชาติแล้วว่า คุณชายเฉียวของใครๆ นั้น ที่จริงขี้เกียจตัวเป็นขนเชียวล่ะ ซึ่งเจ้าตัวก็มีเหตุผลแหละค่ะว่า ชีวิตก่อนหน้านั้นมันไม่เป็นสุขเอาเสียเลย เพราะต้องคอยระแวดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา พลาดพลั้งเพียงนิดก็มีคนพร้อมจะหมายเอาชีวิตแล้ว ในเมื่อเกิดใหม่แล้วมีชีวิตใหม่ที่สุขสบายทั้งที จะปล่อยตัวบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไร แล้วอย่าให้ได้รู้นะคะว่า ใครบังอาจใช้วิธีสกปรกลอบกัด พ่อเอาคืนแบบไม่ไว้หน้าเลย ใช้ทั้งเส้นสายตัวเอง ใช้เส้นสายของท่านสี แล้วยอมรับหน้าชื่นตาบานเลยด้วยนะว่า ก็เออ เป็นเพื่อนท่านสีจริง ก็เกาะแข้งเกาะขาเขาจริง คนอื่นจะทำไมล่ะ ข้องใจงั้นหรือ คุณชายเอาคืนหมดนะคะ แต่ถ้าใครดีมากก็ดีตอบจนน่าใจหาย บุญคุณความแค้นชัดเจนมากค่ะ ไอ้ที่จะมาแบบ โอว... นายเอกอ่อนแอต้องหวังพึ่งพระเอกตลอดเวลานั้น ไม่ใช่กงซีเฉียวแน่นอนค่ะ ขนาดคุณชายสีเอง ยังถึงกับหนักใจว่า ทั้งที่มีอำนาจมากมายล้นฟ้า แต่พอไปหลงรักคนคนนึง ก็ดันเป็นคนแบบกงซีเฉียว ตัวเขากลับไม่ค่อยได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้คนที่รักซักเท่าไหร่ ระดับคุณชายสียังหวั่นใจกลัวอีกฝ่ายจะไม่รับรักตัวเองขนดานั้นเลยนะคะ เพราะคุณชายเฉียวเธอเพียบพร้อมเกินไปนั่นล่ะ คุณชายสีนี่เอาจริงๆ จะว่าไป ดูดุ เข้มงวด ดูไม่น่าเข้าใกล้ก็เฉพาะกับคนอื่นเท่านั้นแหละค่ะ พอมาเจอกงซีเฉียวเข้าไปนี่ เรียกว่าเสียอาการไปก็หลายหน กลายเป็นชายหนุ่มผู้อ่อนโยน เอาอกเอาใจ เข้าขั้นสปอยล์กงซีเฉียวจนน่าอิดหนาระอาใจทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นท่านสีผู้น่ารักไปเลยเหมือนกัน ว่าไม่ได้ก็คนเขารักของเขานะคะ ถึงขนาดเจ้าตัวทนไม่ไหว จนต้องออกปากสารภาพกันไปเลยตรงๆ ด้านกงซีเฉียวเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ ไม่รู้ก็บ้าแล้ว แม้ยังไม่รับปากจะคบหาเป็นคนรักทันที ประมาณว่าขอเวลาอีกหน่อยได้ไหม แต่ยังไงผมก็ชอบคุณแหละ ดังนั้นแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ตอบรับรักในตอนนั้นแต่ก็แสดงออกว่ามีใจ แค่นี้ก็ทำคุณชายสีก็ปลาบปลื้มจะแย่ แต่แหม... เอาจริงๆ คนระดับกงซีเฉียวที่มากความสามารถในระดับที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติไม่ว่าจะในฐานะนักแสดง หรือในฐานะศิลปินระดับชาตินะคะ เรียกว่าชีวิตไม่ขาดอะไรเลยอย่างนี้ดีกว่า ดีจนเกินเอื้อมเบอร์นี้ แล้วใครล่ะจะคู่ควรถ้าไม่ใช่ระดับผู้นำตระกูลสี ที่ก็แสดงออกชัดเจนมาก (ก ไก่ล้านตัว) ว่าอยากจะดูแลเหลือเกินขนาดนั้น เรียกว่าแม้แต่ฝ่ายพ่อแม่ของคุณชายเฉียวยังต้องยอมรับกับความจริงข้อนี้อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้อีกต่างหาก ตัวละครหลายๆ ตัวที่ปรากฏในเรื่องนี้ น่าสนใจมากเชียวค่ะ คุณพ่อคุณแม่ของกงซีเฉียวนี่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย เพราะใครๆ ก็ต้องอยากรู้แหละค่ะว่า คนเพอร์เฟ็กต์แบบคุณชายเฉียว ถูกเลี้ยงมายังไง ที่จริงเจอความสปอยล์ลูกขนาดหนักอย่างพ่อแม่คู่นี้ เป็นคนอื่นอาจจะเสียคนไปแล้ว นี่นอกจากลูกชายจะโตมาแบบเพียบพร้อมแล้ว ยังเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายชนิดไม่เคยสร้างความหนักใจให้พ่อแม่เลยด้วย ยิ่งเรื่องรสนิยมสไตล์การแต่งตัวอะไรต่อมิอะไร นี่ถึงกับมีคนแอบขอบคุณที่คุณชายไม่ได้พ่อมาเลยว่าอย่างนั้น แต่คุณพ่อคุณแม่ของคุณชายเฉียวน่ะถือเป็นคู่ชีวิตตัวอย่างที่น่ารักมากเชียวล่ะค่ะ โผล่มาทีไรก็เรียกว่าเรียกรอยยิ้มได้ตลอดเลยจริงๆ เหล่าผู้จัดการส่วนตัว หรือผู้ช่วยทั้งหลายของกงซีเฉียว ไม่ว่าจะเป็นเฉินเคอ เหอเผิง ลู่เสี่ยวเหยา หรือจะเป็นเหล่าผู้กำกับอาวุโสทั้งหลาย นักแสดงเบอร์ต้นๆ เบอร์กลางๆ หรือแม้ตัวตัวเล็กๆ หรือแม้แต่ผู้ช่วยโกว่และเลขามือหนึ่งของพระเอกสีชิง ที่มาปรากฏตัวในเรื่องล้วนแล้วแต่สร้างสีสันให้กับนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างมากเชียวค่ะ คือตัวละครที่มาปรากฏตัวในเรื่องเนี่ยเยอะแยะมากมายจริงๆ ทั้งที่มาดี มาร้าย มาแบบซึนๆ หรือหวังดีประสงค์ร้าย บ้างก็โผล่มาบ่อยๆ บ้างก็มาแป๊ปนึงแล้วก็ล้มหายตายจากไปเลยก็มี แต่ล้วนเข้ามาทำให้เนื้อเรื่องสนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก ขอย้ำนะคะว่า เราอย่าไปจุกจิกจู้จี้มากมายกับเรื่องที่ว่า โอ๊ย พระเอกอะไรจะร่ำรวยอำนาจล้นฟ้าเว่อวังปานนั้น โอ๊ย นายเอกอะไรจะสมบูรณ์แบบเกินมนุษย์ขนาดนั้น โอ๊ย มันไม่มีอยู่จริงหรอก หรืออะไรเทือกนี้ เพราะแนวทางของคนเขียนชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไร จริงๆ แค่เริ่มเรื่องที่นายเอกเคยเป็นขุนนางระดับท็อปแห่งยุคมาเกิดใหม่พร้อมความสามารถเดิมที่ติดตัวมาด้วย แค่นี้ก็ควรจะเลิกตั้งคำถามเหล่านี้ไปได้แล้ว เรามีหน้าที่เอนจอยไปกับการอ่านนิยายเบาๆ สนุกๆ อีกเรื่องนึงไปจนจบก็พอค่ะ สำหรับเราถือว่าตอบโจทย์แล้วจริงๆ สนุกมากค่ะ ถ้าคุณเยว่เซี่ยวเตี๋ยอิ่งออกงานมาอีก เราก็จะตามอ่านอีกเรื่อยๆ ไปแบบนี้แหละค่ะ งานของเธออ่านง่าย เบาสมองและสนองนี้ดในใจเราดีออกจะตายไป นิยายเรื่องนี้เราต้องอ่านถึงสองรอบเชียวนะคะกว่าจะได้มาเขียนเนี่ย ไม่ใช่อะไรค่ะ เล่มสามออกมาทิ้งช่วงจากเล่มหนึ่งและเล่มสองนานไปนิดนึง พออ่านเล่มสามจบเลยต้องกลับไปอ่านทวนเพื่อเก็บรายละเอียดมาเขียนถึงนี่ล่ะค่ะ จริงๆ ควรจะเอามาลงตั้งนานแล้ว ขอสารภาพว่ามัวแต่อู้อยู่ คือขี้เกียจนั่นแหละค่ะ แถมสั่งหนังสือมาอีกเพียบ เลยอ่านติดลมไปหน่อย กว่าจะลากตัวเองมาเขียนรีวิวนี้ได้ ก็เลยทิ้งช่วงนานไปหน่อย ขออภัยทุกท่านในความขี้เกียจค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากจริงๆ สำหรับการติดตามอ่านอย่างต่อเนื่องและอบอุ่น อย่าลืมติดตามเรื่องหน้าว่าจะหยิบเอาเรื่องไหนมาเขียนถึงอีกนะคะ