สัมภาษณ์พิเศษ Daniel Dae Kim แห่ง ซีรี่ส์ Lost
ช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2550 เราได้รับเชิญจากทางช่อง AXN ให้ไปสัมภาษณ์นักแสดงจากซีรีส์ดังอย่าง Lost ที่เดินทางมาพักผ่อนที่ประเทศไทยพอดี นักแสดงคนที่ว่านี้ก็คือ Daniel Dae Kim ผู้รับบทเป็น Jin Kwon หนุ่มชาวเกาหลีที่โดยสารมาในเครื่องบินลำที่ต้องประสบชะตากรรมร่วมกับผู้โดยสารคนอื่นๆที่เคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุและลงท้ายต้องติดอยู่บนเกาะร้างแห่งหนึ่ง แฟนๆซีรีส์ Lost คงจะรู้จักและคุ้นหน้าหนุ่มคนนี้ดี แต่ว่ากันตามจริง หนุ่มคนนี้น่ะค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตาคอหนังฮอลลีวูดอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหนังซีรี่ส์หรือแม้แต่ในจอภาพยนตร์ก็ตาม
ก่อนที่จะเข้าสู่บทสัมภาษณ์ เรามีประวัติคร่าวๆของ Daniel มาให้ได้อ่านกันนิดหน่อย เพื่อที่จะทำให้ได้รู้จักเขามากยิ่งขึ้น เมื่อปี 2006 เขาได้รับรางวัล Screen Actors Guild Award มาแล้ว อีกทั้งนิตยสาร People ยังยกให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ชายเซ็กซี่ที่สุด (Sexiest Man Alive) ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปี 2005 อีกด้วย เขาเกิดที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลี และเติบโตในนิวยอร์กและเพนซิลวาเนีย จบปริญญาตรีด้านศิลปศาสตร์จาก Hoverford College เขาสนใจด้านการแสดงเป็นพิเศษ และได้เริ่มต้นการแสดงอาชีพด้วยบทรับเชิญในซีรีส์เรื่อง Law & Order และในเวลาเดียวกัน เขาก็เริ่มแสดงละครเวทีไม่ว่าจะเป็น Romeo & Juliet หรือ A Dolls House หลังจากนั้น Daniel จึงตัดสินใจเข้าศึกษาต่อเพื่อพัฒนาการแสดงที่ New York University และได้รับ M.F.A. (Master of Fine Arts) ปริญญาโทด้านศิลปะ-การแสดง เขาเริ่มทำงานทันทีหลังจากที่จบการศึกษา ได้รับบทรับเชิญในซีรีส์อีกมากมายไม่ว่าจะเป็น NYPD Blue, Seinfield, The Practice, Ally McBeal, Star Trek: Voyager, CSI: Without A Trace และ The Shield อีกทั้งยังปรากฏตัวในซีรี่ส์หลายเรื่องในบทที่หลายคนจดจำได้ดีไม่ว่าจะเป็น Angel หรือ ER เขายังได้รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ Tom Baker ใน 24 สองซีซั่นแรกมาแล้วอีกด้วย ผลงานภาพยนตร์ของเขานั้นเริ่มต้นกับบทแอ็กชั่นใน The Jackal ซึ่งนำไปสู่บทบาทการแสดงในเรื่องถัดมา ไม่ว่าจะเป็น For Love of the Game, The Hulk, Spider Man 2 และ The Cave ทั้งยังมีส่วนร่วมในภาพยนตร์รางวัลออสการ์อย่าง Crash มาแล้ว
Daniel เคยได้เป็นเจ้าของรางวัล AZN Asian Excellence Award, Multicultural Prism Award และ Vanguard Award ในสาขา Outstanding Performance by an Actor (การแสดงยอดเยี่ยมจากนักแสดงชาย) มาแล้ว ในวันที่เราได้นั่งพูดคุยกับเขานั้น Daniel ดูเป็นชายหนุ่มภูมิฐาน แต่งตัวดูมีรสนิยม ให้ความเป็นกันเองแบบสบายๆ แต่ก็สุภาพอย่างยิ่ง ตลอดการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ จึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว
Q: ขอสารภาพก่อนเลยว่า การสัมภาษณ์ครังนี้ค่อนข้างจะพิเศษมากสักนิดสำหรับฉัน เพราะที่ผ่านมา ฉันมักจะได้สัมภาษณ์ศิลปิน นักร้อง หรือวงดนตรีเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น คุณจึงถือว่าเป็นดาราจากซ๊รี่ส์คนแรกที่ฉันเคยได้สัมภาษณ์เลยก็ว่าได้ Daniel: โอ้... อย่างนั้นหรือครับ ฟังดูพิเศษมากเลย ยังไงก็ต้องขอบคุณมากนะครับ
Q: ถ้าอย่างนั้น ก่อนอื่นเลย ก่อนหน้าที่คุณจะมารับบทบาทใน Lost เห็นว่าคุณไปปรากฏตัวอยู่ในซีรี่ส์ดังๆหลายเรื่องมาก จนหลายคนเรียกคุณว่า เจ้าประจำซีรี่ส์ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง Daniel: มันเป็นเรื่องที่นานพอสมควรแล้วล่ะครับ ที่จริงผมแก่มากแล้วนะ ตอนนี้ก็ 83 เข้าไปแล้ว (ทำหน้าตายมาก ก่อนที่จะหัวเราะชอบใจ) ผมก็เริ่มอาชีพนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวหลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยนั่นแหละครับ แล้วก็ใช้เวลานานเหมือนกันนะในการที่จะค่อยๆสร้างอาชีพนี้ของตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนเอเชียที่อาศัยอยู่ในอเมริกาอย่างผมด้วยแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อเทียบกับคนขาวทั่วไป ผมก็ค่อยๆก้าวไปเรื่อยๆทีละก้าวน่ะครับ
Q: ฉันรู้มาว่า วิชาที่คุณเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับการแสดงเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นด้านกฎหมายหรือด้านการเงินอะไรสักอย่าง แล้วจุดเปลี่ยนในชีวิตคุณมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ Daniel: นั่นสินะครับ พอดีว่าผมเกิดสนใจอยากจะลงเรียนการแสดงดูน่ะครับ แล้วพอได้ลองไปครั้งหนึ่งก็ปรากฏว่าติดใจมาก จนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าอยากจะลองเอาจริงกับมันดูซักตั้ง หลังจากนั้นผมก็ลงเรียนคลาสแล้วคลาสเล่า เรียกว่าเยอะมากเสียจนรู้สึกเลยว่ามันเป็นวิชาเอกของผมได้เลยนะ นั่นคงเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นทางการแสดงของผมน่ะครับ
Q: คงไม่คิดมาก่อนใช่ไหมว่า การตัดสินใจลงเรียนวิชาการแสดงเพราะนึกสนุกในครั้งนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปได้ขนาดนี้ Daniel: คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเองบ้าง ใช่ไหมล่ะครับ ที่จริงมันก็เป็นอะไรที่ไม่คาดคิดสำหรับผมเหมือนกัน แต่ผมจะพูดอะไรได้ล่ะ ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ
Q: หลังจากนั้นมา เห็นได้ชัดเลยว่า คุณได้เข้าไปมีส่วนร่วมในซีรีส์ดังๆหลายเรื่องมาก ไม่ว่าจะเป็น NYPD Blue, Law & Order, The Practice, Ally McBeal, The Shield, 24 และ Lost ในที่สุด นับได้ว่าเป็นผลงานการแสดงที่โดดเด่นไม่เบาเลย Daniel: ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก จนไม่รู้จะพูดว่ายังไงดีเหมือนกันครับ ผมก็เลยอยากจะใช้โอกาสที่ตัวเองได้รับนี้ให้เต็มที่มากที่สุด เพื่อที่งานจะออกมาดีที่สุด แล้วก็หวังว่าคนดูจะชอบใจแล้วก็มีคนมาจ้างให้ผมทำงานอีกเยอะๆน่ะครับ ผมว่าแค่โชคดีไม่พอหรอก คุณเองก็ต้องทุ่มเทให้กับการทำงานด้วย มันถึงจะไปด้วยกันได้
Q: แต่ที่จริง ก็มีคนจ้างคุณไปทำงานด้วยไม่น้อยเลยนะคะ หลายซีรี่ส์เลย Daniel: สงสัยว่าผมจะหลอกล่อพวกเขาสำเร็จหรือเปล่า (หัวเราะชอบใจ)
Q: แล้วคุณได้เข้ามาเล่นเรื่อง Lost ได้ยังไง Daniel: มันเป็นจังหวะเดียวกับทที่ตอนนั้นทางทีมงานกำลังมองหาคาแร็กเตอร์ที่น่าสนใจสำหรับซีรี่ส์นี้อยู่พอดี พอผมรู้ข่าวนี้ ผมก็เลยนึกอยากให้เอเจ้นต์ของผมลองเข้าไปพูดคุยกับทางทีมงานดู แล้วก็คุยกับโปรดิวเซอร์ หลังจากนั้นพวกเขาก็ตัดสินใจรับผมเข้าไปเลย
Q: คุณเกิดที่ประเทศเกาหลี พออายุ 2 ขวบคุณก็ย้ายมาอยู่ที่อเมริกา แล้วคุณก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ใช้ภาษาเกาหลีอีกเลย การที่จะต้องมารับบทบาทที่จะต้องพูดภาษาเกาหลีเกือบตลอดทั้งเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากแค่ไหน Daniel: ยากมากครับ ลองนึกถึงว่าถ้าคุณพูดได้สองภาษา แต่คุณแทบจะไม่ได้ใช้ภาษาหนึ่งภาษาใด มันก็จะกลายเป็นเรื่องยากละ นี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน แต่อย่างหนึ่งที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับผมเมื่อได้เข้ามาร่วมงานในซีรี่ส์เรื่องนี้ก็คือ ภาษาเกาหลีของผมดีขึ้นมาก (หัวเราะ) ผมล่ะแฮ็ปปี้กับมันมากเลย
Q: งั้นตอนนี้คุณก็คงคล่องภาษาเกาหลีแล้วสิ Daniel: ไม่เลยครับ! (หัวเราะชอบใจ) คงจะเรียกว่าคล่องสมบูรณ์แบบไม่ได้ แต่ว่าก็ดีขึ้นมากทีเดียว
Q: ตัวละคร Jin Kwon ใน Lost ส่งผลกระทบอะไรกับตัวคุณบ้างหรือเปล่า Daniel: จะพูดยังไงดีนะ อย่างนักแสดงบางคนเวลาที่เราได้รับบทเป็นตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง พวกเขาจะได้รับอิทธิพลจากตัวละครนั้นๆและเริ่มที่จะมีอะไรคล้ายกับตัวละครที่ว่ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับผมแล้ว ด้วยความที่ตัวละครตัวนี้มีอะไรที่แตกต่างจากตัวผมมากในหลายๆเรื่อง ผมจึงรู้สึกว่า ยิ่งเข้ามารับบทตัวละครตัวนี้มากเท่าไหร่ ตัวผมเองกลับห่างไกลจากมันมากขึ้นเรื่อยๆ
Q: จริงหรือ? ค่อนข้างจะน่าประหลาดใจอยู่เหมือนกันนะคะ Daniel: แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยความที่ผมสวมบทบาทนี้มานานถึง 4 ปีเข้าไปแล้ว ก็พบว่าในบางครั้ง ผมก็รู้สึกว่าตัวเองก็มีอะไรที่เหมือนกับ Jin อยู่บ้างเหมือนกัน เฉพาะบางครั้งเท่านั้นนะครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะที่ตัวสคริปต์ด้วยก็ได้
Q: ได้รู้ว่ามาว่า ในตอนแรกที่คุณเข้ามารับบทนี้ คุณถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเลยจากผู้ชมที่เป็นชาวเอเชีย แล้วตอนนี้ล่ะ การตอบรับจากผู้ชมกลุ่มนี้เปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง Daniel: มันดีขึ้นมากๆครับ ตอนนี้ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ออกมาแล้ว แต่ที่จริงผมก็คิดอยู่แล้วตั้งแต่แรกว่า เรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น คุณได้เห็นบทบาทของตัวละครตัวนี้เป็นครั้งแรกในตอนแรก แล้วเขาก็ดูเป็นคนร้ายๆเสียด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความ อีกสี่ปีต่อมา เขาก็จะดูร้ายอยู่เหมือนเดิมแบบนั้นเสมอไปนี่ครับ คนเรามันมีวันที่จะเติบโตขึ้น และเปลี่ยนแปลง รวมทั้งมีพัฒนาการต่างๆเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่เกิดกับ Jin ในเรื่อง ผมไม่ได้มองเขาว่าเป็นชายแสนดีไปเสียทุกเรื่อง หรือแม้แต่เป็นคนที่เลวร้ายไปเสียหมดทุกเรื่องเหมือนกัน แต่ผมมองว่าเขาเป็นคนที่มีความซับซ้อนในตัวมาก อย่างนั้นมากกว่า
Q: จากที่ได้อ่านสัมภาษณ์หลายๆชิ้นของคุณก่อนหน้านี้ ดูคุณจะภาคภูมิใจกับความเป็นคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียนของตัวเองในฐานะนักแสดงคนนึงที่ประสบความสำเร็จในแวดวงฮอลลีวูดมากทีเดียว นอกจากนั้นดูคุณเองยังภูมิใจกับนักแสดงเอเชียนที่ประสบความสำเร็จในอเมริกาทุกคน ในฐานะที่เป็นคนเอเชียที่ย้ายมากอยู่อเมริกาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ คุณพูดได้เต็มปากเลยหรือเปล่า ว่าเป็นคนชาตินิยมในตัวเหมือนหัน? Daniel: แน่นอนครับ คุณล่ะ... รู้สึกภาคภูมิใจกับความเป็นเอเชี่ยนของตัวเองไหม?
Q: ภูมิใจมากค่ะ Daniel: ผมเองก็เหมือนกัน ผมภูมิใจในความเอเชียนของผมมาก แต่ว่าที่อเมริกา การเป็นคนเอเชี่ยนกลับเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรจะภาคภูมิใจ เพราะถือว่าเราเป็นชนกลุ่มน้อยของที่นั่น ดังนั้นเมื่อไหร่ที่มีคนเอเชียประสบความสำเร็จสักคน คุณจึงควรจะจดจำในความสำเร็จของเขา เวลาที่มีใครเดินเข้ามาหาผม แล้วก็บอกว่า ขอบคุณมาก เราไม่เคยเห็นคนเอเชียปรากฏตัวในทีวีเลย ขอบคุณจริงๆ นั่นทำให้รู้สึกดีมาก เพราะจำได้ว่าเมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก เวลาที่ผมดูทีวี ผมก็ไม่เคยเห็นนักแสดงที่เป็นคนเอเชียเลยเหมือนกัน ซึ่งมันทำให้ผมสงสัยเหลือเกินว่า ทำไมทั้งๆที่เราเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้ แต่กลับไม่เคยได้เห็นตัวเองในนั้นเลย ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ดีมากครับที่ได้เห็นคนเอเชียอย่างเรามากขึ้นในทีวี หรือแม้แต่ในโรงภาพยนตร์
Q: มันเหมือนกับว่าเราได้รับการยอมรับมากขึ้นเหมือนกัน ดูอย่าง Jet Li หรือ Jackie Chan แบบนั้น Daniel: ใช่ครับ แล้วดูอย่างภาพยนตร์ในตอนนี้สิ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ภาพยนตร์จากอเมริกาได้ชื่อว่าเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ลองหันมาดูอย่างหนังเกาหลี หรือแม้แต่หนังไทยดูสิ ผมว่าเราควรที่จะภาคภูมิในในประเทศของเราเองนี่แหละ หนังน่ะ ผมว่าถ้าเราสามารถเล่าเรื่องออกมาได้ดี ในแง่ของการได้รับการยอมรับในระดับโลก เราทำได้ดีกว่ามากนะครับ อย่างในแคนาดา ที่นั่นก็ไม่ได้มีแต่หนังจากอเมริกาเท่านั้น คนจำนวนมากมายรอคอยที่จะดูหนังจากเอเชียของเรา ผมว่านี่คือสิ่งที่เราควรที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ เพราะนี่แหละคือวิธีที่สามารถทำให้เราเป็นที่รู้จักในโลกนี้ได้
Q: ตอนนี้ในเอเชีย กระแสของเกาหลีที่กำลังเกิดขึ้นกลายเป็นที่พูดถึงอย่างมาก อย่างในประเทศไทย เรามีซีรี่ส์ของเกาหลีฉายในโทรทัศน์มากมาย เรามีดารานักแสดงจากเกาหลีเดินทางมาโปรโมตผลงาน หรือแม้แต่นักร้องอย่าง Rain ก็เดินทางมาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทยถึงสองครั้งสองครา แล้วตอนนี้ Rain เองก็ถึงกับวางแผนจะไปตีตลาดที่อเมริกาด้วย ส่วนตัวคุณในฐานะที่เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน รู้สึกยังไงถึงกระแสความเป็นไปที่เกิดขึ้นนี้บ้าง Daniel: นี่เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เพราะมันทำให้ผมนึกถึงเมื่อตอนที่กระแสของฮ่องกงที่ครั้งหนึ่งเป็นที่นิยมชมชอบมาก ทุกคนอยากดูหนังฮ่องกง อยากเป็นเหมือนอย่าง เฉินหลง หรือไม่ก็ เหลียงเฉาเหว่ย อะไรแบบนั้น ในทัศนะของผม ผมว่าในวงการบันเทิงเนี่ย เราต่างก็ต้องการอะไรที่แตกต่างกันออกไปบ้าง ไม่ใช่แค่ผมบลอนด์ หรือตาสีฟ้าอย่างเดียว เรามีคนอย่าง Rain เรามีนักเทนนิสอาชีพ หรือแม้แต่นักกอล์ฟมืออาชีพ เรามีคนเก่งที่เข้าไปเป็นตัวแทนของเราทั้ในวงการบันเทิงและวงการกีฬาได้อย่างสบาย และแน่นอนเราสามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้เหมือนกัน ผมนิยมชมชอบและนับถือพวกเขาเหล่านี้มากเลยล่ะครับ
Q: แล้วข้อดีของการเป็นนักแดงฮอลลีวูดเชื้อสายเอเชี่ยนแบบคุณล่ะ มีอะไรบ้าง Daniel: ถึงทุกวันนี้ผมก็ยังมีความรู้สึกนะครับว่า เรายังอยู่ในระดับที่เพิ่งจะกำลังเริ่มต้นเท่านั้นเอง ประตูสำหรับเรายังเปิดออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ผมว่านี่ถือเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากสำหรับเรา ตอนนี้เหมือนกับมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย ในเวลาอีกสิบปี เมื่อเรามองกลับมาตรงยังช่วงเวลานี้ เราก็จะจดจำได้ว่า คนๆนี้แหละ และรายการนี้นี่เอง ที่เปิดประตูให้คนอีกตั้งมากมายหลายคน ผมว่านี่แหละคือสิ่งที่พิเศษสำหรับการเป็นนักแสดงเชื้อสายเอเชียอย่างเรา
Q: Lost ซีซั่น 3 กำลังจะออกอากาศทางช่อง AXN เร็วๆนี้แล้ว แฟนๆของซีรี่ส์เรื่องนี้จะคาดหวังอะไรจากซีซั่นใหม่นี้บ้างคะ Daniel: สำหรับซีซั่นใหม่นี้ จะมีฉากแอ๊กชั่นมากกว่าซีซั่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในเรื่องก็จะมีความซับซ้อนมากขึ้นด้วย คนที่ในตอนแรกพวกเขาอาจจะไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่ ก็จะกลายเป็นเพื่อนกัน แล้วก็จะมีอะไรให้ได้เซอร์ไพรส์กันเยอะเชียวล่ะ ผมว่าคนที่ติดตามโชว์ของเราคงจะได้กำไรเต็มที่กันไปเลย
Q: มีอย่างนึงที่จะสารภาพกับคุณ นี่ไม่ใช่คำแก้ตัวนะคะ แต่ว่าฉันอยากจะตรงไปตรงมากับคุณ ฉันไม่เคยดูซีรีส์นี้มาก่อน แล้วก็กลัวว่าจะติดมันงอมแงมอยู่เหมือนกัน Daniel: ไม่เป็นไรครับ ผมก็บอกทุกคนนั่นแหละว่า คุณไม่จำเป็นที่จะ ต้อง ดูมันก็ได้ แต่อย่างน้อยผมก็ได้เห็นแหละว่าคุณทำการบ้านมาขนาดไหน (ขอบคุณค่ะ) ซึ่งมันก็ทำให้การสัมภาษณ์ในครั้งนี้มีมุมมองที่แตกต่างจากที่ผ่านๆมาด้วยเหมือนกัน แต่ซีรี่ส์ของเราเนี่ย คุณไม่อาจจะหยิบซีซั่นไหนขึ้นมาดูก่อนก็ได้ เพราะคุณอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด คุณจะต้องมีเวลานั่งดูมันตั้งแต่ซีซั่นแรกเลย ดังนั้น ถ้าเกิดมีวันไหนที่คุณอาจจะเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ คุณจะลองหยิบดีวีดีมาเปิดดูก็ได้นะครับ
Q: อย่างหนึ่งที่ฉันสังเกตก็คือดูเหมือนว่าคุณสนใจการแสดงผ่านจอโทรทัศน์มากกว่าภาพยนตร์เสียอีก ฉันรู้มาว่าคุณเองก็รับเล่นหนังเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เป็นจำนวนที่แตกต่างกันมากเลย เป็นเพราะอะไร Daniel: นั่นก็เป็นเพราะสำหรับผมนะครับ ผมรู้สึกว่าโปรเจ็กต์ส่วนใหญ่ที่น่าสนใจมันมักจะอยู่ในจอโทรทัศน์มากกว่า ผมรู้ศิลปะการต่อสู้ก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น ผมจึงไม่อยากจะเดินไปในเส้นทางสายนั้นแล้วก็กลายเป็นดาราแอ๊กชั่นไป สำหรับคนอย่างผมน่ะ มันไม่ค่อยมีบทบาทอะไรที่หลากหลายนักหรอกครับถ้าหากว่าพูดถึงภาพยนตร์แล้วล่ะก็ เอาจริงๆ มันก็ไม่สำคัญหรอกครับว่าจะเป็นทีวี หรือภาพยนตร์ ผมก็แค่อยากจะได้รับบทที่น่าสนใจอย่างนั้นมากกว่า
Q: แล้วอย่างนี้ คุณมีวางแผนอะไรไว้สำหรับภาพยนตร์อยู่บ้างหรือเปล่า? Daniel: ที่จริงมีครับ ตอนนี้ก็มีโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจอันหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการตัดสินใจอยู่ครับ
Q: ก็แปลว่า เรามีโอกาสที่จะได้เห็นคุณในโรงภาพยนตร์อยู่เหมือนกันสินะคะ Daniel: มีความเป็นไปได้ครับ
Q: อยากจะฝากอะไรถึงแฟนๆของ Lost ในประเทศไทยบ้าง Daniel: ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากนะครับที่พวกคุณชอบซีรีส์นี้กัน วันก่อนผมไปเดินเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วก็บังเอิญว่ามีแฟนๆซีรีส์นี้จำผมได้ พวกเขาเข้ามาทักผมด้วยนะ ทุกคนน่ารักและอ่อนน้อมมาก มันเยี่ยมมากเลยล่ะครับ ผมรู้สึกยินดีเหลือเกินที่พวกเขาเข้ามาพูดคุยด้วย แล้วก็ดีใจนะครับที่พวกเขาดูโชว์ของเราด้วย ผมว่าพวกเขาคงจะช็อกนิดหน่อยด้วยแหละ เพราะคงไม่คิดว่าจะได้มาเจอผมที่นี่
Q: เป็นฉันก็คงไม่คิดเหมือนกัน Daniel: นั่นสิครับ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ ผมชอบคนไทย แล้วก็ชอบประเทศนี้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีคนชอบในสิ่งที่ผมทำน่ะครับ
Q: คำถามสุดท้ายแล้วค่ะ ยังมีบทบาทไหนอีกบ้างที่คุณอยากจะแสดงแต่ว่ายังไม่มีโอกาสเสียที Daniel: ผมอยากรับบทเป็นพระเจ้า Henry ที่ 5 จากบทละครของ Shakespeare ครับ ผมชอบ Shakespeare มาก แล้วก็ชอบภาษากวีของเขา จะบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในฮีโร่ที่เยี่ยมยอดที่สุดในโลกวรรณคดีก็คงไม่ผิดนัก
Q: รู้สึกก่อนหน้านี้ คุณเองก็เคยเล่นละครเวทีมาก่อนใช่ไหมคะ Daniel: ใช่ครับ ผมเริ่มต้นอาชีพนักแสดงของตัวเองจากการเป็นนักแสดงละครเวทีที่นิวยอร์กนานถึง 8 ปีก่อนที่จะกลายมาเป็นนักแสดงอย่างทุกวันนี้ครับ
Q: นี่คุณทำอะไรมาตั้งหลายอย่างเลยเหมือนกันนะเนี่ย ตกลงคุณอายุเท่าไหร่อีกทีนะคะ Daniel: 83 ครับ (หน้าตาเฉยมาก)
Q: หน้าเด็กไปหน่อยไหมคะ (ฮากันครืน) คุณเพิ่งจะ 38 เท่านั้น แสดงว่าฉันคงได้เห็นคุณไปอีกนานทีเดียวล่ะค่ะ Daniel: (หัวเราะชอบใจ) ยินดีครับ
Create Date : 11 มิถุนายน 2550 |
| |
|
Last Update : 12 มิถุนายน 2550 14:56:28 น. |
| |
Counter : 933 Pageviews. |
| |
|
|