S.E.R.F สมมติฐานรัก รีวิว
ผู้แต่ง: สืออู่แปล: เมิงเหวินสำนักพิมพ์: Rose มาสังเกตดูดีๆ เรารีวิวนิยายของ Rose เยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย แต่จะว่าไปนิยายที่ Rose เลือกมา ก็อ่านสนุกหลายเรื่อง ไม่น่าแปลกใจหรอกค่ะ ถ้าเราอ่านแล้วจะชอบมากจนถึงขนาดต้องเอามาเขียนถึงบ่อยๆ แบบนี้ หนนี้ก็เลยถึงคราวหยิบนิยายความยาวขนาดหนึ่งเล่มจบมาเขียนถึงเสียหน่อย เรื่องนี้เพิ่งอ่านจบไปแบบสดๆ ร้อนๆ น่ะค่ะ ก็เลยได้จังหวะพอดี นิยายเรื่องนี้พูดถึงตัวละครหลักที่เป็นชายหนุ่มที่ชื่อ หลันมู่เอิน ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นลูกครึ่งที่มีเชื้อสายจีนอยู่ในตัว แต่ก็เกิดและโตอยู่ที่อเมริกานั่นแหละค่ะ หลันมู่เอินนี่ อย่าเห็นว่ามีหน้าที่การงานเป็นถึง FBI แล้วจะไม่มีปัญหาชีวิตเหมือนคนอื่นทั่วไปนะคะ อันที่จริงชีวิตในวัยเด็กของหลันมู่เอินนั้น น่าสะเทือนใจอย่างยิ่งเชียวล่ะค่ะ เพราะเกิดจากแม่ที่เรียกได้ว่ามีปัญหาขนาดหนัก ติดเหล้า ไม่สนใจลูก และเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเสียด้วย ยังดีที่ยังมีซานที่เป็นเหมือนเพื่อนของครอบครัว ที่จริงเราไม่ค่อยแน่ใจในความสัมพันธ์ของซานที่มีต่อสองแม่ลูกคู่นี้เท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่า ถ้าไม่ได้ซานมาคอยช่วยเหลือดูแลสองแม่ลูกคู่นี้ มั่นใจได้ค่อนข้างร้อยเปอร์เซ็นต์เลยค่ะว่า หลันมู่เอินอาจจะมีอันเป็นไปตั้งแต่เด็ก ไม่อาจจะเติบโตเป็นผู้เป็นคนได้แบบนี้แน่ๆ ขออนุญาตไม่เล่ารายละเอียดชีวิตในวัยเด็กของหลันมู่เอิน แม่ของเขา และซานแบบลงลึกนะคะ เพราะว่าในนิยายอธิบายบอกเอาไว้หมดแล้ว มาสปอยล์กันซะตรงนี้เดี๋ยวจะอ่านไม่สนุกกันไปเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้นที่สามารถบอกได้ก็คือว่า แม่ของหลันมู่เอินและซานนี่แหละคือปมใหญ่ในใจของเจ้าตัวจริงๆ คือหลักใหญ่ใจความสำคัญที่ทำให้นายเอกของเราเติบโตมาเป็นแบบนี้ และจะต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งเราก็ต้องมาลุ้นกันนะคะว่า ผลสุดท้ายจะออกมาเป็นยังไง ก็นับว่า เด็กชายหลันมู่เอินยังโชคดีค่ะ ที่ภายหลังได้มาอยู่กับครอบครัวนายตำรวจที่เคยช่วยเขาไว้ในวันที่ชีวิตเข้าขั้นวิกฤติ เควินน่าจะเวทนาหลันมู่เอินมาก ก็เลยตกลงกับแมรี่ ภรรยาของเขาว่าจะรับเด็กชายคนนี้มาเลี้ยง เด็กชายก็เลยเติบโตขึ้นมาอย่างปกติกับเขาบ้าง จนกระทั่งก็เลือกเส้นทางการเป็นตำรวจเหมือนกับเควิน พ่อเลี้ยงของเขานั่นเอง แล้วหลันมู่เอินมาเป็น FBI ได้ยังไง ปรากฏว่าในวันที่เจ้าหน้าที่ FBI เล็กซ์ ไฮเออร์ ได้มาพบกับหลันมู่เอินที่สถานีตำรวจที่เขามาติดต่อเรื่องงานโดยบังเอิญ เขาก็รู้สึกบางอย่างกับชายหนุ่มคนนี้ และเห็นแววจนอยากจะดึงตัวให้เข้ามาร่วมทีมทำงานกับเขาในฐานะเจ้าหน้าที่ FBI และหลันมู่เอินก็ตอบรับในที่สุด สองคนนี้ก็เลยได้ทำงานเป็นคู่หูกันค่ะ ถึงอย่างนั้น เพราะชีวิตในวัยเด็กของหลันมู่เอินนั่นล่ะ ทำให้เมื่อเข้ามาทำงานในองค์กรแบบนี้ เขาจึงต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพจิตอยู่ทุกเดือน ก่อนหน้านั้นก็เป็นคุณหมออาวุโสที่ชื่อฮิวจ์ ที่คอยดูแลในเรื่องสภาพจิตของเขามาโดยตลอด จนกระทั่งหมอฮิวจ์เสียไป เคสของหลันมู่เอินจึงถูกส่งต่อให้กับ เอียน ที่เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนของเขา โดยเจ้าตัวไม่รู้สึกเต็มใจเลยสักนิด คือ ไอ้เราก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าการทำงานภายในขององค์กรอย่าง FBI นั้น มันละเอียดซับซ้อนแค่ไหน ก็ช่างมันไปก่อน แต่ต้องเข้าใจว่ากรณีของหลันมู่เอินนั้น เนื่องจากมีแบ็กกราวน์ชีวิตที่หนักหนา แถมยังเคยจะฆ่าตัวตาย ซึ่งไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นเขาอยากตายจริงๆ หรือแค่อยากรู้ว่าทำไมแม่ชอบทำร้ายตัวเองนัก ซึ่งมันย่อมส่งผลให้กับสภาพจิตใจของเขาไม่มากก็น้อย แม้จะเติบโตขึ้นมาแล้วก็ตาม หลันมู่เอินย่อมไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเหมือนต้องพูดซ้ำๆ ให้หมอฟังทุกเดือนว่าผมปกติดี ผมไม่เป็นไร ผมไม่ได้อยากตาย ซึ่งยังกับจะทำให้จิตแพทย์ยอมเชื่อนักนี่ เจ้าตัวก็เลยต่อต้านจิตแพทย์เป็นอย่างยิ่ง ดีที่ว่าหมอเอียนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่หมอ แต่ยังเป็นเพื่อนสนิท ก็เลยยังพอจะตักเตือนดูแลกันได้ แล้วสิ่งนึงที่ทั้งหมอเอียนและเพื่อนร่วมงานของหลันมู่เอินคอยเตือนเขาอยู่เสมอก็คือ อย่าได้ไปตกหลุมรัก เล็กซ์ ไฮเออร์ เชียวนะ อย่าได้ใจอ่อนยอมเขา แต่... หารู้ไม่ว่าแท้จริง หลันมู่เอิน ตกหลุมรักไฮเออร์มาตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก เพราะตัวหลันมู่เอินเป็นเกย์ ที่เจ๋งคือ ไฮเออร์ก็รู้ว่าเขาเป็นเกย์แล้วยังรู้ด้วยว่า ชายหนุ่มชอบเขาอีกต่างหาก ก็เลยแอบเป็นความทึ่งว่า หลันมู่เอินชอบไฮเอร์ ไฮเออร์เองก็รู้แต่ก็ยังเลือกเขามาเป็นคู่หู และยังทำงานร่วมกันนานเป็นเดือนเป็นปีเนี่ยนะ ซับซ้อนกว่าซับซ้อนไปอีกนะคะ ตัวไฮเออร์เอง แม้จะเป็นถึงหัวหน้า เป็นคนทำงานเก่ง แต่ก็มุทะลุดุดัน แต่เจ้าตัวเองก็มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าเศร้าและสะเทือนใจไม่น้อย นิยายความยาวไม่กี่หน้านี้ ช่างใส่รายละเอียดความดราม่าในชีวิตของผู้ชายสองคนได้มากมายเหลือเกินค่ะ ก็เอาเป็นว่าไฮเออร์ เคยแต่งงานและมีภรรยา เขารักภรรยาของเขามาก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเสียภรรยาไปก็เพราะงานที่เขาทำนั่นละค่ะ ผลสุดท้ายคู่นี้ก็ตกล่องปล่องชิ้นกันไปแหละนะคะ ซึ่งที่จริงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะมันเหมือนแค่รอเวลาเท่านั้นเลยจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่ชัดเจนเสียทีว่า เอ๊ะ เราจะยังไงต่อนะ คุณเป็นหัวหน้า ผมเป็นลูกน้อง เราเป็นคู่หูกัน แต่เราก็นอนด้วยกัน เราเป็นอะไรกันหรือยัง ในขณะที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของพระเอกนายเอกก็คลุมเครืออย่างนั้น ก็เกิดเหตุการณ์และคดีหลายๆ อย่างขึ้นพร้อมๆ กันและดูเหมือนจะเกี่ยวเนื่องกันไปหมด ทั้งตำรวจและ FBI จึงต้องร่วมมือกันทำงาน เพื่อคลี่คลายคดีเหล่านี้อย่างเต็มที่ เนื้อหาของนิยายในเรื่องนี้จึงเข้มข้นมากค่ะ ลุ้นกันไปตลอดทั้งเล่ม ไหนจะคอยลุ้นความสัมพันธ์ของตัวละคร ไหนจะลุ้นเรื่องการไขคดีที่จบคดีนี้ยังเชื่อมต่อไปอีกคดี และก็เกี่ยวกันไปอีกคดี ที่เข้มข้นชนิดแทบจะเอาชีวิตไปทิ้งกันอยู่แล้ว อันที่จริงนะคะ จำได้ว่าประเด็นนี้ก็เขียนถึงไปบ้างแล้วในการรีวิวนิยายเรื่องก่อน แต่พออ่านนิยายเรื่องนี้จบก็นะ แหม... ไอ้เรื่องการสื่อการกันเนี่ย ที่จริงมันเป็นเรื่องที่สำคัญนะ แต่ทำไมถึงได้ชอบอมพะนำ เก็บเงียบกันเสียจนทำให้เข้าใจผิดกันไปอย่างไม่ควรจะเป็น ซึ่งนี่มันนิยายน่ะนะคะ ก็เข้าใจได้ว่ามันต้องสร้างปม ผูกเรื่องอะไรต่อมิอะไรขึ้นมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าคนเรามีอะไรแล้วพูดกันมากขึ้นหน่อย อะไรๆ ก็คงจะง่ายขึ้นมากเชียว ดังนั้น จงอย่าลืมให้ความสำคัญกับการสื่อสารระหว่างกันและกันให้มากๆ เข้าไว้เถอะค่ะ อย่าได้มองข้ามไปเชียว แต่เราว่าคนเขียนก็เก่งนะคะ ที่สร้างปมใหญ่ให้กับตัวละครหลักทั้งสองตัวได้อย่างค่อนข้างน่าเชื่อถือ เวลาที่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หรือเวลาที่ตัวละครในเรื่องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เราก็รู้สึกว่าเข้าใจได้และพอจะยอมรับได้ แม้อาจจะไม่ตรงใจเราก็ตาม จนกระทั่งทุกอย่างก็คลี่คลายได้ในที่สุดค่ะ เรื่องนี้อยากจะบอกว่า คดีคลี่คลายยังไม่เท่ากับปมในใจที่คลี่คลาย เพราะเล่นเอารู้สึกอึดอัดอึมครึมอยู่นานเชียวว่าตกลงจะเอายังไงกันเนี่ย เราชอบบทสรุปในตอนท้ายเรื่องเป็นอย่างมากค่ะ เพราะมันช่วยทำให้เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของพระเอกนายเอกของเราได้อย่างชัดเจนขึ้นมากเลย อ่านสนุกค่ะเรื่องนี้ แนะนำให้ไปลองหาอ่านกันดู อย่าเพิ่งเห็นว่าเป็นเรืองราวสืบสวนสอบสวนแล้วจะอ่านยาก ถ้าเทียบกับนิยายฝรั่งที่เราอ่านมานักต่อนัก เรื่องนี้ไม่ถือว่าอ่านยากเลยสักนิด หนักไปทางลุ้นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครมากกว่าด้วยซ้ำ แถมยังอ่านได้เพลินๆ สนุกดีด้วย เล่มเดียวอ่านวันเดียวก็จบ (หลายวันก็ได้ค่ะ ไม่ว่ากัน) ปัจฉิมลิขิตของผู้แต่งในตอนท้ายเล่มก็ตลกดีค่ะ เราชอบนะเวลาที่ได้รู้ว่านักเขียนได้ไอเดียการแต่งนิยายมากจากไหนแล้วต้องรับมือกับอะไรบ้างแบบนี้ หามาอ่านแล้วก็หวังว่าจะชอบกันนะคะ พบกันใหม่รีวิวหน้าค่ะ
Turing Code โปรแกรมรัก รีเทิร์นรัก รีวิว
ผู้แต่ง: เฟยเทียนเย่เสียงแปล: ผู่เอ๋อร์สำนักพิมพ์: everyทำเอาเงิบไปเลยค่ะตอนที่เห็นเล่ม 3 ออกมา เพราะตอนที่อ่านเล่ม 2 จบ ก็เข้าใจไปเองมาตลอดว่า นิยายเรื่องนี้ มี 2 เล่มจบ แถมเล่ม 3 นี่คือหนามาเลยค่ะ ก็เลยต้องมารีไรต์รีวิวเล่มนี้เพิ่มเติมนี่แหละ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังขอยืนยันนะคะว่า นิยายเรื่องนี้สนุกมากเลย เรื่องนี้จะว่าไปก็แปลกนะ เพราะเห็นมานานแล้ว จะซื้อทีไรก็มีอันต้องลังเลไปหยิบเรื่องอื่นมาอ่านแทนเสียทุกทีไป จนกระทั่งล่าสุด ก็คิดว่าได้ฤกษ์แล้วล่ะมั้งเนี่ย จังหวะที่ซื้อก็คือเล่มสองก็ออกมาพอดีด้วยล่ะค่ะ เลยสั่งมาซะเลย (เรามักจะสั่งซื้อออนไลน์มากกว่าไปเดินหาซื้อเองค่ะ ระยะหลังมานี้) แล้วก็อ่านจนจบภายในวันเดียว เพื่อนนักอ่านไม่จำเป็นต้องเอานิสัยนี้ไปใช้นะคะ เพราะมันจะเหนื่อยๆ นิดนึง อ่านหนังสือเยอะและยาวนานขนาดนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เก็บไว้อ่านเวลาอื่นบ้างก็ได้ มันออกจะสิ้นเปลืองน่ะค่ะ ไม่ใช่อะไร ตอนที่อ่านคำนำก็แอบเซอร์ไพรส์เหมือนกันนะคะ เพราะกลายเป็นว่านี่เป็นคนเขียนคนเดียวกับที่เขียนเรื่อง ปราชญ์กู้บัลลังก์ ซึ่งเป็นนิยายย้อนยุคอีกเรื่องที่เราชอบมาก เพียงแต่เรื่องนี้เค้าใช้นามปากกาอีกชื่อนึงเท่านั้นเอง (เราเองก็ยังไม่ได้เอามารีวิวเหมือนกันค่ะ แต่นิยายสนุกมาก ไปหามาอ่านกันได้นะคะ) สำหรับ Turing Code หรือชื่อไทยว่า โปรแกรมลับ รีเทิร์นรัก เป็นเรื่องราวของ เหวินเทียนเหอ น้องเล็กของตระกูลเหวิน ที่จู่ๆ ก็เข้ามารับตำแหน่งเป็น CEO ของบริษัทอิพีอุส อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี ต่อจากพี่ชายคนรอง ที่พอส่งต่อตำแหน่งให้น้องชายตัวเองก็หนีหายไปอเมริกาแบบตามตัวไม่พบ เพื่อที่ภายหลังทั้งน้องชายและทุกคนในบริษัทก็ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า บริษัทถึงคราวล้มละลายในวันเดียวกันนั้นเอง โอ้โห กลิ่นดราม่ามาตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยล่ะค่ะ แต่แล้วโพรมิธีอุส ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์หรือขออนุญาตเรียกสั้นๆ ว่า เอไอ ที่พ่อของเขาพัฒนาเอาไว้ก่อนจะเสียชีวิต ก็โผล่เข้ามาแนะนำตัว และยื่นมือเข้ามาเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาแบบทันเวลาพอดี และคำแนะนำแรกที่โพรมิธีอุสให้กับเหวินเทียนเหอ ก็คือให้ไปขอความช่วยเหลือจาก กวนเยวี่ย ที่เคยเป็นแฟนเก่าของเจ้าตัวนั่นเอง ดราม่ายกกำลังสองเลยค่ะทีนี้ อันที่จริง ตอนที่อ่านเรื่องนี้ เราก็แอบทึ่งและเอาใจช่วยเหวินเทียนเหอ นายเอกของเราไม่น้อยเลยล่ะค่ะ เพราะดูจากสถานการณ์ที่เจ้าตัวจะต้องเผชิญ บวกกับความเป็นคุณหนูที่มาจากครอบครัวที่ทั้งเก่าแก่และร่ำรวยเข้าไปอีก การจะต้องรับมือและเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น นับว่าหนักหนามหาศาลเอาการสำหรับผู้ชายวัยยี่สิบต้นๆ คนนึงจริงๆ ยังดีที่เจ้าตัวเป็นคนใจสู้ แถมยังมีความสามารถ แล้วก็เป็นคนที่ฉลาดมาก เรียกว่าไอคิวได้ อีคิวดีคนนึง วิธีที่เข้าไปหากวนเยวี่ยหลังจากที่เลิกรากันไปแล้ว ก็นับว่าโอเคนะคะ ไม่ดราม่า ไม่ฟูมฟาย ตอนแรกที่อ่านไปก็กลัวว่า เหวินเทียนเหอจะไปป่วนกวนเยวี่ยแล้วทำตัวเป็นเด็กๆ หรือเปล่า เออ ก็ไม่นะ แล้วเรื่องก็ไม่ได้ดำเนินไปแบบง่ายๆ หรือผิวเผินแบบนั้นด้วย ก็เลยพลอยให้ชวนติดตามอ่านต่อแบบไม่อยากวางเลยล่ะค่ะ ที่จริงความสัมพันธ์ของกวนเยวี่ยกับเหวินเทียนเหอนั้น ค่อนข้างจะลึกซึ้งและซับซ้อนมาก เพราะทั้งคู่ได้พบเจอและคลุกคลีกันมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนแรกก็ยังคิดว่า รักกันเบอร์นั้น แล้วทำไมถึงเลิกกันได้ แต่พอติดตามไป มันก็มีเรื่องพัฒนาการของตัวละครที่มีเข้ามาให้ทำความเข้าใจอย่างค่อนข้างละเอียด เป็นเหตุเป็นผลที่ ทำให้เราอ่านแล้วรู้สึกว่า เออนะ... ถ้าเป็นอย่างนี้ วันนึงจะต้องเลิกรากันไปก็ไม่แปลก แล้วก็ไม่น่าแปลกใจอีกเหมือนกันว่า แม้จะเลิกราไปแล้วแต่ทำไมกวนเยวี่ยถึงยังได้รักเหวินเทียนเหอ และแม้แต่เหวินเทียนเหอเองก็ไม่อาจลืมกวนเยวี่ยได้เลยเหมือนกัน เพราะความรักที่มันฝังรากลึก แต่มันแค่ต้องการการพูดคุย เผชิญหน้าและทำความเข้าใจกันเสียก่อนเท่านั้นเอง ใครที่อ่านนิยายเรื่องนี้ ต้องทำใจนิดนึงกับเรื่องศัพท์เฉพาะในเรื่องของโปรแกรมอะไรทั้งหลายไว้ก่อนนะคะ (เราคนนึงล่ะ แต่ก็ช่างมันไป) เพราะมันมีศัพท์เทคนิคเยอะเลย ปรบมือให้กับคนเขียนที่ใส่มาแบบเต็มที่ ให้เห็นภาพว่านายเอกของเรามีความรู้ความสามารถในด้านนี้จริงๆ ส่วนพระเอกของเราก็เป็นเลิศในเรื่องของการทำธุรกิจที่แท้ทรูมาก ทุกอย่างที่เจ้าตัวคิดหรือทำ ล้วนผ่านการวางแผนมาอย่างดี แม้คนภายนอกจะมองและตราหน้าว่า ที่กวนเยวี่ยตัดสินใจให้ความร่วมมือกับเหวินเทียนเหอ น่าจะไม่พ้นเรื่องถ่านไฟเก่าแน่ๆ ส่วนนึงก็ใช่อยู่หรอกค่ะ แต่ถ้ากวนเยวี่ยไม่รู้จักเหวินเทียนเหอเป็นอย่างดี ไม่มีความศรัทธาในตัวคนรักเก่า เขาก็คงไม่ตัดสินใจเรื่องที่คอขาดบาดตายไปในทิศทางนี้เหมือนกันนั่นแหละ แล้วก็ต้องไม่ลืมด้วยว่า คนที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นระดับผู้บริหารบริษัทใหญ่โตขนาดนี้ ย่อมไม่ได้มองอะไรผิวเผินด้วยใช่ไหมล่ะคะ ขอไม่สปอยล์นะคะว่า การตัดสินใจของกวนเยวี่ยเป็นยังไง แต่มันไปไกลมากกว่าที่เราคิดเอาไว้เยอะมากเลย อ่านไปนี่คือลุ้นไปจริงๆ อีกอย่างนึงที่อยากจะให้ผู้อ่านทุกคนทำใจเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ก็คือ ความร่ำรวยของตัวละครมากมายในเรื่องนี้ที่จะเรียกว่ายังไงดีล่ะ ความร่ำรวยนั้นอยู่ในระดับที่รวยเละเทะ รวยแบบน่าอิดหนาระอาใจ รวยทิ้งๆ ขว้างๆ รวยแบบไม่สนใจการจัดอันดับนิตยสารฟอร์บ รวยแบบไม่สนโลกของความเป็นจริงใดๆ ทั้งสิ้น โอยเหนื่อยค่ะ แค่พูดถึงความร่ำรวยมั่งมีของแต่ละคน จะเบะปาก มองบน สะบัดบ๊อบใส่ยังไงก็ไม่เรียกว่าสาสมกับความร่ำรวยเรี่ยราดที่กระจัดกระจายอยู่ตลอดทั้งเรื่อง รวยขนาดที่มีเครื่องบินส่วนตัวกันเป็นว่าเล่น นั่งเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวเป็นว่าเล่น อยากซื้อบ้าน อยากซื้อร้าน อยากจะปิดร้านไฮเอนด์เพื่อช็อปปิ้งคนเดียว อยากจะซื้ออะไรล้วนได้ดั่งใจ จะเหลือก็แค่ดาวกับเดือนนี่แหละค่ะที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ รวยจนคนอ่านเหลืออดเลยจริงๆ บ้าบอแท้ๆ ตอนหลังเรามาอ่านเล่มสาม (เล่มที่เข้าใจว่าไม่มีแต่แรกน่ะค่ะ) ในใจนึกทึ่งเหมือนกันนะคะว่า คนเขียนเค้าเก่งนะ ที่พอเราอ่านเล่มสอง ก็คิดว่า จบได้ฟินแล้ว แต่พอมาเล่มสาม ก็รู้สึก โอ้โห... มันยังมีอะไรให้ติดตามอีกเยอะเลย แถมคนเขียนวางพล็อตออกมาได้สนุกและยังน่าติดตามต่อไปได้อีก เล่มนี้จะมีตัวละครที่เคยถูกแค่เอ่ยชื่อแต่ไม่เห็นตัวโผล่มาอีกหลายตัว ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อเส้นเรื่องเป็นอย่างมากอีกด้วยค่ะ แล้วหลังจากที่เราได้เบาสมองกับเล่ม 2 กันไปอย่างเต็มที่ พอมาเล่มสาม ก็กลับมาชิงไหวชิงพริบกันชนิดลุ้นตัวโก่งอีกแล้วค่ะ แหม... มันสนุกจริงๆ และขอย้ำอีกครั้งค่ะว่า อาจจะต้องปวดหัวกับศัพท์เทคนิคในเรื่องของการเงินและการเทรดหุ้นกันพอสมควรอีก แต่ก็ยังอ่านได้สนุกๆ นะคะ แม้อาจจะไม่มีความรู้ด้านนี้สักเท่าไหร่ก็ตาม ว่าแล้วก็ขอย้ำค่ะว่า นิยายเรื่องนี้ มีตัวละครที่น่าสนใจเยอะมากจริงๆ แล้วตัวละครแต่ละตัวก็ตลกมาก เราว่าคนเขียนสร้างตัวละครได้อย่างมีเอกลักษณ์ดี เราอ่านไปก็ เออเว้ย... คนอย่างนี้ก็มี คืออาจจะเพราะคนพวกนี้รวยมากก็ได้นะคะ เลยต้องเข้าใจเขาหน่อย อย่างหวินเทียนเหอนี่คือ ตอนทำความรู้จักตัวละครตัวนี้ครั้งแรกก็รู้สึกว่าเออ ก็ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ไม่ดราม่าดีเหมือนกันนะ แต่พออ่านไป นายเอกของเราตอนที่ยังเด็กกว่านี้ก็ออกแนวดราม่า เอาแต่ใจตัวเอง และคิดอะไรเป็นเด็กๆ อยู่นะ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมสุดท้ายต้องเลิกรากับกวนเยวี่ยไป ด้านกวนเยวี่ยเองเป็นคนที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ความคิดความอ่าน ก็ค่อนข้างตรงไปตรงมาและตรงกันข้ามกับเหวินเทียนเหอ แถมเป็นคนไม่ค่อยพูด หนักไปทาง action speaks louder than words แต่แหม บางทีก็อยากให้พี่พูดบ้างอะไรบ้างนะ ดังนั้นแม้ว่าสองคนจะรักกันมากแค่ไหน แต่เพราะการสื่อสารที่มีปัญหา มันก็อยู่กันไม่รอดใช่ไหมล่ะคะ บรรดาเพื่อนๆ ของพระเอกนายเอกของเราล้วนแล้วแต่มาสายฮา เช่นเจียงจื่อเจี่ยน เพื่อนสนิทของเหวินเทียนเหอ ที่รวยมาก เจ้าชู้มาก จึงมีปัญหาเรื่องการหาคนที่จะมาเป็นรักแท้ของตัวเองอย่างมาก แต่ในฐานะเพื่อนสนิท เจียงจื่อเจี่ยนเป็นเพื่อนที่น่ารักมากเชียวค่ะ แล้วก็มี ถงข่าย ทนายประจำบริษัทที่กวนเยวี่ยดูแลอยู่ คนนี้ก็ค่อนข้างสนิทกับพระเอก แม้จะฉลาดมีความสามารถ แต่ก็ประสบปัญหาเรื่องรักแท้แบบเดียวกับเจียงจื่อเจี่ยน แล้วสุดท้ายสองคนนี้ก็ต้องโคจรมาเจอกันในแบบที่ นิยายมาก แต่ก็ตลกมาก แล้วก็สร้างความปวดหัวให้กับเพื่อนๆ รอบตัวเป็นอย่างมากเหมือนกัน คือเป็นคู่คอเมดี้ในเรื่องคู่นึงเลยล่ะค่ะ อีกตัวละครที่น่าสนใจก็คืออู๋ซุ่น คนนี้นี่ทีแรกนึกว่าจะกลายมาเป็นมือที่สามระหว่างความรักของพระเอกนายเอกเรา ไปๆ มาๆ ก็พลิกล็อกเสียอย่างนั้น แถมตอนหลังดันมาร่วมหัวจมท้ายกับกลุ่มซูเปอร์คนรวยไปเสียอีก อีกคนที่สมควรจะให้เครดิตในการพูดถึงเป็นย่างมากกก็คือป้าฟาง คุณป้าคนเก่าคนแก่ผู้ดูแลเหวินเทียนเหอ ที่ก็ดูแลพระเอกนายเอกของเราเป็นอย่างดีจริงๆ เป็นคุณป้าที่น่ารักอย่างยิ่งเลยล่ะค่ะ ส่วนโพรมิธีอุส เอไอสุดคูลของเราที่แม้จะไม่มีตัวตน แต่ก็รู้สึกได้ถึงความหล่อค่ะ จะเปรียบไปนางเหมือนกวนเยวี่ยในเวอร์ชั่นที่ไม่มีกายเนื้อ แต่อบอุ่นและช่างพูดช่างคุยกว่า ในเรื่อง ถ้าจะบอกว่าใครที่รู้จักเหวินเทียนเหอไม่แพ้กวนเยวี่ย ก็ต้องโพรมิธีอุสนี่เลย น่ารักแถมกวนประสาทดีด้วยนะคะ ด้านพี่ๆ ของเหวินเทียนเหอก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจไม่แพ้กันนะคะ อย่างพี่รองเหวินเทียนเยวี่ยที่ตอนแรกที่อ่านคือ อยากจะตบกบาลพี่ชายคนนี้เป็นกำลัง เพราะเทน้องเล็กของตัวเองให้ต้องเชิญหน้ากับปัญหาใหญ่โตขนาดนั้นได้ยังไง แต่พออ่านๆ ไป เราก็เริ่มจะเห็นในศักยภาพของพี่ชายคนนี้มากอยู่ แม้จะยังน่าตบในบางอารมณ์ก็ตาม ส่วนพี่ใหญ่เหวินเทียนเหิงนี่ มาแนวพี่ใหญ่ที่สวมวิญญาณพ่อ แต่ด้วยความที่จู่ๆ ติสต์แตกหายหน้าหายตาไปร่วม 20 ปี แล้วก็โผล่มาสร้างความวายป่วงให้กับน้องๆ เสียอย่างนั้น แต่พอเรื่องราวมันดำเนินไปเรื่อยๆ เราก็เออพอจะเข้าใจธรรมชาติและวิธีคิดของพี่ใหญ่คนนี้ได้อยู่ แม้จะทำตัวน่าต่อยในบางโอกาสก็ตามทีค่ะ ส่วนตัวเราชอบบทสรุปของนิยายเรื่องนี้มากเลยล่ะค่ะ พออ่านเล่มสุดท้ายจบก็รู้สึกว่ามันสมบูรณ์หมดแล้วล่ะ เพราะทุกคนได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองในแบบที่ไม่ต้องติดค้างอะไรกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเหวินเทียนเหอและกวนเยวี่ยที่มีการเล่าแบบแฟลชแบ็กไปมา ช่วยให้เรายิ่งเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์และนิสัยใจคอของทั้งสองคนมากขึ้น เจียงจื่อเจียนและถงข่ายที่เป็นคู่รักวายป่วงประจำเรื่อง แม้จะมีเรื่องให้ปวดตับบ้าๆ บอๆ เพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ชัดเจนขึ้นอีกโข แม้แต่เอไออย่างโพรมิธีอุส ก็มีบทสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นว่า การมีอยู่ของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ไม่ต่างอะไรกับดาบสองคมนี้เพื่ออะไรกันแน่ ส่วนตอนพิเศษท้ายเล่ม สนุกค่ะ สนุกแบบวุ่นวายอย่างที่สุดเหมือนกัน ใครที่อ่านนิยายเรื่องนี้ ถ้าสังเกตดีๆ บรรยากาศของเล่มหนึ่งและเล่มสองจะแตกต่างกันอย่างมากจริงๆ เพราะเล่มแรกจะค่อนข้างเล่นกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด ชิงไหวชิงพริบในเรื่องของธุรกิจกันน่าดู เพราะเราไม่ได้เอาใจช่วยแค่เหวินเทียนเหอนี่คะ ยังต้องเอาใจช่วยกวนเยวี่ยด้วย พระเอกของเรามีศึกในศึกนอกที่ต้องรับมือมากไม่แพ้กันค่ะ แต่พอเล่มสองมา เมื่ออะไรหลายอย่างเริ่มคลี่คลาย ก็จะเป็นแนวที่เบาสมอง ผ่อนคลายและเรียกเสียงหัวเราะได้มากจริงๆ พอมาเล่มสามก็เรียกว่าครบมันทุกรส ทั้งลุ้นกันตัวโก่ง ได้หัวเราะไปกับสถานการณ์ สนุกแบบยาวๆ กันไปเลย นิยายเรื่องนี้มันก็เลยอ่านสนุก เพราะอารมณ์ไบโพลาร์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมานี่แหละค่ะ อะไรที่ติดค้างในเล่มแรก เล่มที่สองจะมาคลี่คลายให้เราเข้าใจมากขึ้น และจบปึ้งชนิดหายสงสัยในเล่มสามเป็นการปิดท้ายที่สมบูรณ์ทีเดียวค่ะ จบแล้วค่ะสำหรับการรีวิวอย่างละเอียด จริงๆ ควรจะรีวิวเสร็จตั้งแต่วันที่อ่านจบ (วันที่ 24 สิงหาคม) แต่ลากยาวมาจนป่านนี้ (28 สิงหาคม) เพราะขี้เกียจค่ะ แต่ขี้เกียจนานไม่ได้ เดี๋ยวลืมอีก จนพอมารู้ว่าอ้าวมีเล่มสาม ก็สั่งมาอ่านจนจบไปช่วงต้นเดือนตุลาคม แล้วก็ต้องมารีไรต์รีวิวอันนี้อีก กว่าจะได้เขียนจบก็ 5 ตุลาคมค่ะ ยาวนานจริงๆ และถ้าอ่านรีวิวนี้ไปจนจบ และพบว่ามันอาจจะมีความไม่ต่อเนื่องอยู่บ้าง ก็ขออภัยเอาไว้ตรงนี้ด้วยจริงๆ นะคะ เพราะเรื่องราวในส่วนของเล่มสามนั้น ถูกเพิ่มมาแบบไม่ทันตั้งตัวนั่นเองค่ะจากเรื่องนี้ไป เรายังไม่แน่ใจนะคะว่าจะได้รีวิวเรื่องอะไรอีกในเร็วๆ นี้มั้ย เพราะว่ามีภาระติดพันบางอย่างที่ต้องไปทำ แต่ก็ลองดูค่ะว่าจะพอทำสต๊อกเอาไว้ได้ทันรึเปล่า ถ้าไม่ทันและหายหน้าไปก็รบกวนรอหน่อยนะคะ ยังไงก็ต้องกลับมาเขียนรีวิวให้ได้อ่านกันแน่ๆ เพราะมีอยู่หลายเรื่องที่อยากเขียนถึง แต่เพราะติดงาน และบางเรื่องก็ต้องให้อ่านให้จบก่อนด้วยนี่ล่ะค่ะ ไหนจะพันสารท กับรัชศกฯ ที่ติดค้างเอาไว้ชาตินึง ไหนจะอร่อยล้นวัง ไหนจะ เทพบุตรแห่งชาติกับคุณผู้ชายคนนั้น ไหนจะ อุบัติการณ์ (รัก) ในม่านเมฆ อีก เหล่านี้คือรอให้อ่านจบก่อนทั้งสิ้นและล้วนแล้วแต่เป็นนิยายที่เราชอบมากด้วยค่ะ ดังนั้น อย่าลืมติดตามกันนะคะ ถึงตรงนี้ ก็อยากจะขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาติดตามอ่านเป็นอย่างมากจริงๆ ก่อนหน้าที่จะเริ่มเขียนรีวิว ก็ทำไปเพราะความชอบ อยากทำอะไรสนุกๆ ตามใจตัวเอง แล้วก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนเข้ามาอ่านมากมายอะไร เพราะต้องยอมรับอย่างนึงว่า เราเป็นพวกชอบเขียนไปเรื่อยๆ เขียนอะไรยาวๆ ชอบเล่าเรื่อง ก็เลยไม่มั่นใจว่าจะมีใครชอบอ่านอะไรยาวๆ แบบนี้ซักกี่มากน้อย แต่พอเห็นยอดวิวตั้งแต่เริ่มเขียนมาจนถึงวันนี้ ก็รู้สึกเกินคาดมาก แล้วก็รู้สึกขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ หวังว่าจะติดตามกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ต่อไปนะคะ ขอบคุณจากใจค่ะ (Last update: 9 ตุลาคม 2563)
ใครบ้างไม่เคยเห็นซุปตาร์ รีวิว
ผู้แต่ง: Mollyแปล: เหอมู่สำนักพิมพ์: ROSEขออภัยนะคะที่หายหน้าไปนาน พอดีมีงานเร่งเข้ามาให้ทำแบบต่อเนื่องเชียวค่ะ เลยต้องทิ้งช่วงไปหลายอาทิตย์เลย นอกจากจะมีเรื่องงานแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของนิยายที่ติดตามอ่านในช่วงนี้ด้วยที่แบบ... ตอนนี้อ่านนิยายหลายเรื่องมากค่ะ ประเด็นคือ ส่วนใหญ่ที่หยิบมาอ่าน มันยังแปลไม่จบนี่ล่ะ บางเรื่องก็อ่านไปแค่เล่มแรกเล่มเดียว บางเรื่องก็ไปแล้วสองเล่ม บางเรื่อง แม้จะอ่านไปแล้วเล่มสองเล่ม แต่ก็ไม่นึกอยากจะอ่านต่อแล้ว เพราะไม่สนุกแบบนั้นก็มีอยู่เหมือนกัน พอจะเอาเรื่องเก่าๆ ที่อ่านจบไปแล้วมาเขียน ก็ดันจำรายละเอียดของเรื่องได้น้อยอีก บางเรื่องแนวมันใกล้ๆ กัน อ่านจบไล่ๆ กันก็เอาเรื่องไปผสมปนเปกันบ้างก็มี รีวิวหนังสือนี่มันก็ไม่ง่ายนะเนี่ย มาค่ะ มาพูดถึงเรื่องล่าสุดนี่บ้าง ใครบ้างไม่เคยเห็นซุป’ตาร์ นี่ไม่ใช่แค่นิยายที่เราเพิ่งอ่านจบล่าสุดเท่านั้นนะคะ ยังเรียกว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งออกมาวางแบบสดๆ ร้อนๆ เลยก็ว่าได้ (วันที่ซื้อคือวันที่ 24 สิงหาคม วันที่เขียนถึงคือ 28 สิงหาคมค่ะ) จังหวะเดินไปดูแล้วเรื่องนี้เพิ่งเอามาวางพอดี แถมมาครบสองเล่มจบเลยด้วย ไม่ต้องให้ค้างคากัน สำหรับนิยายเรื่องนี้เนี่ย ก็ยังคงเป็นเรื่องที่วนๆ เวียนๆ อยู่กับวงการบันเทิงของจีน ซึ่งก็ดีนะคะ ชอบอยู่แล้ว เพราะมีความคุ้นเคยอย่างมาก เนื่องจากก็พอจะติดตามวงการนี้ของเค้าอยู่ แม้จะไม่ได้เรียกว่าฮาร์ดคอร์เหมือนแฟนๆ ที่ Royal สุดๆ ทั้งหลาย บวกกับนิยายที่อ่านมาหลายๆ เรื่อง ก็วนเวียนอยู่ในวงการนี้ เราเองตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงทุกวันนี้ แม้จะซาๆ ลงไปบ้าง ก็วนเวียนอยู่ในวงการบันเทิงนี้กับเขาด้วยเหมือนกันแหละน่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของนักแสดงหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่า เจียงจื่อเฉิง เป็นนักแสดงตัวเล็กๆ ในวงการที่ยังไม่ได้มีผลงานโดดเด่นอะไรมากมาย แถมยังสังกัดอยู่ในเอเจนซี่เล็กๆ ที่บริหารงานกันแบบครอบครัว แล้วสุดท้ายก็ไปไม่รอดอีกต่างหาก อาศัยว่าจู่ๆ ก็มีเอเจนซี่อันดับต้นๆ ของประเทศที่บริหารโดยผู้บริการหนุ่มไฟแรงมากความสามารถอย่าง เซี่ยวเป่ยวั่ง มาซื้อไป เจียงจื่อเฉิง จึงได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากสร้างผลงานที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ กับเขาเสียทีจริงๆ เจียงจื่อเฉิง เนี่ย เราอย่าได้เห็นว่าอยู่ในเอเจนซี่เล็กๆ แบบนี้ แล้วจะไม่โดดเด่นนะคะ เพราะว่าเจ้าตัวน่ะเป็นคนที่มีฝีมือในการแสดงมากทีเดียว เรื่องบุคลิกหน้าตาเราไม่ต้องไปพูดถึงกันล่ะ แต่ทำไมคนที่มีรูปสมบัติและคุณสมบัติแบบเขาถึงเลือกที่จะไปอยู่เอเจนซี่เล็กๆ ที่ไร้ฝีมือกันล่ะ นั่นก็เพราะมันเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวล้วนๆ น่ะสิคะ เจียงจื่อเฉิงเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั่นก็คือ ความสามารถในการอ่านอนาคตของคนจากการมองตาคนๆ นั้น ได้ไม่เกิน 3 ครั้ง เขาก็เลยใช้วิธีนี้แหละ ที่ทำให้ตัวเองค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาแบบที่คนภายนอกมองแล้วก็พูดได้คำเดียวว่า เขาเป็นคนที่โชคดีมากคนนึงเอาเป็นว่าเจียงจื่อเฉิง เห็นอนาคตตัวเองจากสายตาคนอื่นนั่นแหละค่ะ เขาจึงได้เลือกว่าจะทำงานกับคนนี้ จะร่วมมือกับคนนี้ จะอยู่กับคนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหนทางที่ตัวเองกำลังจะเดินนั้น มีอุปสรรคน้อยลง เรียกว่าเดินทางลัดนั่นแหละค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น อาเฉิงของเราก็ไม่เคยเอาความสามารถนี้ไปใช้ทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรนะคะ เพราะนางก็มีความน่าชื่นชมอยู่ตรงที่เป็นคนมุ่งมั่นพยายามในหนทางของตนมากทีเดียวว่าอย่างนั้น บวกกับหน้าตาก็ดี ฝีมือก็ดีด้วย หากมีความสามารถแล้วนำมาใช้ให้เหมาะควร ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไรทีนี้ หันไปดูด้านพระเอก เซี่ยเป่ยวั่ง สักหน่อย ทำไมเจ้าของเอเจนซี่ใหญ่ระดับรุ่ยฉือเอนเตอร์เทนเม้นต์ถึงได้สนใจ บริษัทเล็กๆ อย่างเทียนซินเทเลวิชั่น จนถึงขั้นเทกโอเวอร์บริษัทไร้ชื่อแห่งนี้ แถมพอเทกโอเวอร์เสร็จ พนักงานทุกคนที่ล้วนแล้วแต่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ก็ขอถอนตัวออกหมด ก่อนจะหันไปเปิดกิจการร้านหม้อไฟตามคำแนะนำของเจียงจื่อเฉิงอีกต่างหาก มันก็น่าคิดนะคะ เหลือแค่เจียงจื่อเฉิงคนเดียว แถมนักแสดงประกอบในค่ายเทียนซินสองคน ยังขอผันตัวมาเป็นบอดี้การ์ดให้เขาด้วยซะงั้น จริงอยู่ ถึงแม้เจียงจื่อเฉิง จะมีดีกรีระดังนักแสดงนำในหนังอาร์ตที่มีชื่อเข้าชิงในเทศกาลหนังเมืองเวนิสแล้วในตอนที่ถูกเทกโอเวอร์ แต่มันก็ออกจะประจวบเหมาะอยู่นะว่าไหมคะปรากฏว่าเซี่ยจื่อหวัง กับเจียงจื่อเฉิงนั้น เคยมีอดีตร่วมกันมาก่อนตั้งแต่เด็กๆ จนมีอันต้องแยกจากกันไป ฝ่ายเซี่ยเป่ยวั่งจำเจียงจื่อเฉิงได้ แต่อีกฝ่ายกลับจำท่านประธานเซี่ยไม่ได้ ยังไม่พอ ดันแอบไปดูอนาคตของท่านประธานแล้วก็เกิดอาการประสาทกิน ตีตนไปก่อนไข้เสียอย่างนั้น ทำให้เราได้เห็นเหมือนกันนะคะว่า จริงๆ ไอ้พลังพิเศษของนายเอกของเราที่เห็นว่ามันก็มีประโยชน์ดีเหมือนกันเนี่ย แท้ที่จริง มันมีประโยชน์จริงอย่างที่คิดหรือเปล่านะ เจียงจื่อเฉิงทำให้เราได้เห็นว่าการที่เราหวังพึ่งจากพลังการเห็นอนาคตมากเกินไป มันก็ทำให้เราไม่อยู่กับปัจจุบันเหมือนกันนะ เพราะยิ่งทำให้เจ้าตัวยึดติดแต่กับภาพอนาคตที่ตัวเองเห็นแค่แว้บเดียวมากเกินไปเสียอย่างนั้นเรานั่งอ่านไป มีจุดนึงที่แอบรู้สึกรำคาญเจียงจื่อเฉิงนิดหน่อย คือช่วงที่อาเฉิงลังเลอยู่น่ะก็พอเข้าใจได้ แต่จนกระทั่งข้าวสารเป็นข้าวสุกไปแล้ว คือไปถึงขั้นนั้นแล้ว ก็ยังจะลังเลอีก คือตัวเองรู้สึกยังไงกับอีกฝ่าย ก็รู้อยู่ อีกฝ่ายเขาปฏิบัติกับตัวเองดีแค่ไหนมันก็เห็นชัดเจน แต่กลับไม่มั่นใจ กลับลังเล เพราะปักใจกับอนาคตที่ตัวเองเห็นแล้วก็เชื่อมั่นว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ เป็นแบบนี้แน่ๆ จนกระทั่งตัวเองได้ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้รู้ว่ามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตัวเองคิดเสียหน่อย อาเฉิงเห็นแค่อนาคตข้างหน้า แต่ไม่ได้มองถึงตอนนี้ที่ตัวเองกำลังใช้ชีวิตแบบวันต่อวันนี้เลย จนทำเอาพระเอกของเราทดท้อไปบ้างอยู่เหมือนกันค่ะ ตัวเองก็เกือบพลาดโอกาสที่ดีในชีวิตไป จนท้ายที่สุดที่เราชอบมากก็คือ ตอนที่อาเฉิงตัดสินใจรับงานโดยใช้ความรู้สึกตัวเองแทนที่จะใช้พลังการหยั่งรู้อนาคตนั่นแหละค่ะ มันเหมือนเจ้าตัวได้ข้ามพ้นทุกอย่างไปแล้วจริงๆ เสียทีพระเอก เซี่ยเป่ยวั่ง ที่จริงเป็นคนน่าสงสารมากนะคะ อ่านไปจะรู้เลยว่าเจ้าตัวต้องผ่านอะไรมามากจริงๆ เพราะมีพ่อแท้ๆ ที่โคตรเจ้าชู้ แถมยังเห็นลูกเป็นแค่เครื่องหาเงินอีก ยังดีนะคะที่ท่านประธานมีน้องสาวที่รักมากอยู่คนนึง แถมเป็นเพราะน้องสาวคนนี้และบวกกับความเข้าใจผิดของอาเฉิงของเรา ก็เลยทำให้ความสัมพันธ์ของคู่นี้ งอกเงยและก้าวหน้าขึ้นมาเฉยเลย ยังดีค่ะ ที่ตอนหลังเจียงจื่อเฉิงตอบรับความรักของท่านประธานเซี่ยอย่างเต็มที่ สมกับที่ท่านทั้งรักทั้งดูแลทั้งสปอยล์มาตลอดแหละค่ะ พอได้เปิดใจเท่านั้นแหละ ความดีงาม ความน่ารักของเซี่ยเป่ยวั่งก็ชัดเจนยิ่งกว่า ขืนเอาแต่ไม่รับรักท่านแถมไปหาว่าท่านโรคจิตตะพึดตะพืออีก มันก็ออกจะใจหินเกินไปละค่ะในนิยายเรื่องนี้มีตัวละครที่น่ารักน่าสนใจอยู่หลายตัวนะคะ เอาจริงๆ พวกทีมงานเทียนซินเทเลวิชั่นที่ผันตัวไปเปิดร้านหม้อไฟจนเจริญรุ่งเรืองตามคำแนะนำของเจียงจื่อเฉิงนั่น จริงๆ ก็แค่พวกเขาไม่เก่งธุรกิจด้านนี้เท่านั้น แต่ในแง่ของนิสัยใจคอแล้ว คนบ้านนี้รักและเอ็นดูอาเฉิงของเราอยู่ไม่น้อย แถมยังซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่อาเฉิงเป็นคนทำให้พวกเขาค้นพบหนทางทำมาหากินที่เหมาะกว่าอีกด้วย น้องสาวของพระเอกเซี่ยเป่ยวั่ง แม้จะเป็นคุณหนู แต่นางสวมวิญญาณแฟนคลับศิลปินสายฮาร์ดคอร์ที่แบบเรียลมาก อ่านแล้วน่าจะโดนใจใครหลายคนอยู่ค่ะ นางน่ารักดีนะคะในเรื่อง บรรดาผู้จักการและบอดี้การ์ดส่วนตัวของนายเอกของเราก็มีบทบาทที่น่ารักน่าสนใจมากอยู่ แนะนำว่าลองไปติดตามอ่านดูค่ะ อ่านเพลินดีเชียวล่ะ แถมยังได้ลุ้นเอาใจช่วยพระเอกนายเอกของเรากันสนุกไปอีกเนี่ยล่ะนะคะ พอของใหม่ออกมา อ่านเสร็จปุ๊ปก็รีบรีวิวเลย เพราะกลัวจะลืม ก็เลยทำให้นิยายเก่าๆ ที่อ่านจบไปแล้ว ไม่ได้เอามารีวิวซักที ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองเหมือนกันค่ะ เพราะก็อยากรีวิวแหละ แต่มันลืมรายละเอียดไปเยอะ ซึ่งก็แปลว่าถ้าจะเขียนถึง ก็ต้องเอามาอ่านใหม่อีก พันสารท ยังงี้ อ่านไป 2 รอบแล้วเนี่ย ก็ยังไม่ได้เขียนถึง รัชศกเฉิงฮว่าฯ อย่างงี้ 7 เล่มเข้าไปอีก จะเอามาเขียนก็คือ ต้องกลับไปอ่านใหม่ ทั้งๆ ที่เราชอบคุณเมิ่งซีสือที่เขียนสองเรื่องนี้มากถึงมากที่สุด เรื่องดีๆ ดังๆ อย่าคิดว่าเราจะพลาดนะคะ ไม่ได้พลาด แต่แค่ยังไม่มีโอกาสได้เขียนถึงแค่นั้นเองค่ะ บ้าบอจริงๆ เลยเรื่องเก่าไม่ได้เขียนไม่เป็นไรค่ะ เขียนเรื่องใหม่ให้แล้ว ใครที่กำลังคิดว่าจะซื้อมาอ่านดีมั้ย ก็หวังว่านี่พอจะเป็นแนวทางให้ได้บ้าง ส่วนตัวแล้ว เราเห็นว่าอ่านเพลินอ่านสนุกดี ไม่เสียหายค่ะ ซื้อเลย ไม่ต้องลังเลกัน! ไว้ติดตามเรื่องต่อไปนะคะว่าจะหยิบอะไรมาเขียนถึงอีก ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
Wilderness รีวิว
ผู้แต่ง: Tensielแปล: ตรองสิริสำนักพิมพ์: ROSEทิ้งช่วงไปนานเพราะไม่รู้จะเลือกเรื่องอะไรมาเขียนดีค่ะ เกลียดเหตุผลนี้มาก แต่มันเรื่องจริงเลยนะเนี่ย ปัญหาของเรานี่นะคะ ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรจะเขียนหรืออ่านไม่ทันอะไรแบบนั้น เปล่าเลย ปัญหาก็คือ บางเรื่องอ่านไปแล้วทิ้งช่วงนานไปหน่อย ก็เลยทำให้ลืมรายละเอียดไปหลายอย่าง แล้วก็เลยทำให้ขี้เกียจมาเปิดอ่านดูอีกรอบ ปกติก็เป็นคนความจำดีหรอกค่ะ แต่บางทีเราอ่านหนังสือติดลมไปหน่อย เรื่องนี้จบปุ๊ป ต่อด้วยเรื่องใหม่ทันที ก็ไม่พ้นต้องดองเรื่องเก่าไปก่อน ดังนั้น หลายๆ เรื่องเลยนะคะที่เราเอามาเขียนนี่คือ อ่านเกิน 1 รอบ เพราะต้องมาอ่านทวนใหม่อีกรอบ ขยันอะไรขนาดนั้นเนาะ สำหรับ Wilderness เนี่ย ครั้งแรกที่อ่านจบ (หมายถึงรอบแรกน่ะค่ะ) เรากะว่าจะไม่เขียนถึงดีกว่า เพราะมัน... ยังไงดีล่ะ ลังเลน่ะค่ะ มันมีอะไรหลายอย่างที่เรารู้สึกว่าจะเขียนถึงดีไหมนะ แต่สุดท้าย ไม่รู้นึกยังไง หยิบมาอ่านอีกรอบ ก็ปรากฏว่า เออ... ก็เขียนถึงได้นี่ มันก็เป็นหนังสือที่อ่านสนุกเรื่องนึงเหมือนกัน สารภาพตามตรงก็คือ เราไม่ค่อยอินกับแนว mpreg ล่ะมังคะ คือถ้าเป็นปกติ เราคงไม่อ่านเลย ไม่ใช่ไม่ดีนะคะ แต่ว่าเราไม่ชอบอ่านแนวนี้ แล้ว Wilderness มันต่างไปยังไงล่ะคือข้อแรกเลย เราไม่รู้ว่ามันจะมีการรีเฟอร์ถึงประเด็นนี้ ถ้ารู้เราคงไม่ซื้อมาอ่านตั้งแต่แรก แต่พอมันไม่รีเฟอร์ถึง แล้วพออ่านๆ ไป มันก็รับได้อยู่นะ ข้อสอง เพราะนิยายเรื่องนี้มันออกแนวแฟนตาซีเต็มสูบเลย มันเลยไม่ค่อยรู้สึกขัดเขินอะไรเวลาอ่าน คือเราอ่านแล้วรู้สึกโอเค เข้าใจได้ และเมคเซ้นส์ พอเราหยิบมาอ่านรอบสองก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่จะเขียนถึงแล้ว ก็พอไหนๆ ก็หยิบมาอ่านแล้ว ก็เขียนถึงซะเลยก็แล้วกันเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องของเหล่าอสูรทั้งหลาย ที่ก็ใช้ชีวิตรวมกับมนุษย์ทั่วไปตามปกตินี่แหละค่ะ เพียงแค่มนุษย์ไม่รู้และแยกไม่ออกเท่านั้นเอง โดยอสูรทั้งหลายก็จะถูกแบ่งเป็นตระกูลต่างๆ ไป โดยประมุขอสูรทั้งปวงก็อยู่ตระกูลยอ ส่วนอสูรเลือดราชันย์ที่หายากยิ่งนั้นปรากฏอยู่เพียงไม่กี่ตน ที่โดดเด่นที่สุดเกินใครก็คือ แทกูกยอง แห่งตระกูลแทนั่นเอง เอาเป็นว่าจริงๆ ก็มีอยู่หลายตระกูล แต่หลักๆ คือสองตระกูลนี้นะคะ แล้วอีสองตระกูลนี้ก็ไม่ค่อยจะถูกกัน ซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องการคานอำนาจอะไรกันเทือกนี้นั่นแหละค่ะทีนี้แทกูกยอง พระเอกอสูรสุดหล่อของเรื่องเนี่ย ก็จะออกแนวคุณสมบัติล้ำเลิศไปหมดล่ะไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปสมบัติหรือทรัพย์สมบัติ แต่ข้อเสียก็ช่างมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นนิสัยเอาแต่ใจ ไม่สนโลก ไม่สนใจเรื่องการแย่งชิงอำนาจอะไรทั้งสิ้น เวลาโกรธเกรี้ยวเลือดขึ้นหน้าก็อำมหิตน่าดูเชียว แล้วชีวิตของแทกูกยองนั้นทุ่มเทให้กับคนเพียงคนเดียวก็คือ อีซึงโด เท่านั้น อีซึงโดจริงๆ เป็นคนธรรมดานะคะ แต่เพราะมีสายเลือดของผู้ชี้ทางที่สำคัญต่อเผ่าอสูรมาก แถมยังเป็นอีกหนึ่งแรร์ไอเท็ม ที่หายากพอๆ กับอสูรเลือดราชันย์นั่นล่ะค่ะเอาเป็นว่า แทกูกยอง กับ อีซึงโด เนี่ยเค้ามีความผูกพันใกล้ชิดกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เพราะเหล่าอสูรนี่พวกนางจะซัฟเฟอร์มากอยู่ในช่วงพระจันทร์เต็มดวง โดยเฉพาะพวกอสูรเลือดราชันย์พวกนี้ ถึงจะแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ต้องทนทรมาณกับความเจ็บปวดของร่างกายยิ่งกว่าใคร ผู้ชี้ทางจึงเข้ามาทำหน้าที่เหมือนยาที่ช่วยบรรเทาอาการ ฟื้นฟูอาการเจ็บปวดเหล่านี้ให้ แถมยังมีคุณสมบัติทำให้ร่างกายสบายขึ้นด้วย แค่อยู่ใกล้ๆ สัมผัสเนื้อตัวเท่านั้นเอง ทีนี้อีซึงโดก็เป็นคนทำหน้าที่นี้ให้กับแทกูกยองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่ก็มีเหตุร้ายเกิดขึ้น จะเรียกว่าโศกนาฏกรรมก็ไม่ผิดนัก ทำให้แทกูกยองเผลอไปทำร้ายอีซึงโดจนเกิดเป็นแผลใจขึ้นมา แม้ต่างคนต่างรู้ว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ที่สุดก็ทำให้ทั้งสองต้องแยกกัน และมีลูกชายที่เป็นผลพวงของเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยที่จริงสองคนนี่ก็รักกันมากแหละค่ะ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง จึงทำให้เกิดช่องว่างอันยากประสานขึ้น แต่แทกูกยองก็รักอีซึงโดมากจริงๆ เพราะถึงจะแยกกันอยู่ แต่พี่แกก็คอยตามไปดูแล อยู่ใกล้ๆ ทั้งตามใจ ทั้งเอาใจ ไม่ล้ำเส้นเลย เรียกว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมอีซึงโดเป็นเด็ดขาด ตัวเองก็เว้นระยะจากอีซึงโดด้วย เพราะไม่อยากทำให้อีกฝ่ายอึดอัดและลำบากใจ สำหรับอสูรนิสัยมุทะลุ ที่ไม่ว่าต้องการอะไรก็ต้องได้แล้ว แทกูกยองยอมลงให้กับอีซึงโดแค่คนเดียวจริงๆ น่าชื่นชมกับความรักของอสูรตนนี้มากเชียวค่ะตอนหลังอีซึงโดถึงค่อยๆ ยอมใจอ่อน แล้วก็เริ่มเปิดใจรับเอาลูกชายเพียงคนเดียวของทั้งคู่เข้ามาในชีวิตในที่สุด ที่จริงอีซึงโดรักลูกนะคะ แต่เพราะเหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจเจ้าตัวมากในตอนนั้นทำให้เกิดความกลัวขึ้นหลายอย่าง กว่าจะเปิดใจได้อีกครั้ง แทกูกยองต้องใช้เวลานานถึง 5 ปีทีเดียว พร้อมกันนั้นชีวิตของอีซึงโดก็มีอสูรเลือดราชันย์มาให้ได้ดูแลอีกตนนึง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลยอนั่นเองอสูรน้อยยออึนแทที่จริงก็มีชีวิตที่น่าสงสารไม่น้อยล่ะค่ะ ถึงขั้นหมดอาลัยกับชีวิตและหนีออกจากบ้านเพื่อไปตายเอาดาบหน้าเลยทีเดียว คือจะไปหาที่ตายจริงๆ เลยนะ เด็กตัวแค่นี้เอง แต่เคราะห์ดีที่ตัดสินใจหลบเข้าบ้านของอีซึงโดโดยบังเอิญ ชีวิตก็เลยเปลี่ยนมานับตั้งแต่นั้น แม้จะเป็นคู่ปรับของแทกูกยองที่จิกกัดกันตลอดเวลา แต่ก็เพราะเป็นอสูรสายเลือดราชันย์เหมือนกัน ยออึนแทก็ได้แทกูกยองนี่แหละคอยสอนนั่นสอนนี่ บวกกับการดูแลเอาใจใส่ของอีซึงโด และความน่ารักของแทอีกยอง ลูกชายของแทกูกยองกับอีซึงโดนั่นแหละค่ะ อสูรน้อยเลยเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีชีวิตชีวาและมีบทบาทเป็นอย่างมากเลยล่ะค่ะนิยายเรื่องนี้เอาจริงๆ อ่านสนุกดีค่ะ เพราะมีเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครหลายๆ คู่ หลายๆ ตัวที่นำเสนอออกมาได้น่าสนใจดี สลับไปกับการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบในเรื่องของการชิงอำนาจกันในหมู่อสูรกันเองนี่แหละ อ่านไปลุ้นไป ตัวแทกูกยอง แม้ไม่อยากจะวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้แค่ไหน แต่พอมันนำปัญหามาให้คนในครอบครัวที่ตัวเองรักเท่านั้นแหละ สุดท้ายก็ออกหน้าลุยเองทั้งในที่ลับและที่แจ้งเลย ชิงไหวชิงพริบให้ลุ้นกันไปอีกอีกหนึ่งตัวละครที่เราว่าน่าสนใจและกวนตีนไม่แพ้พระเอกก็คือ นัมคังอู อสูรทรงพลังอีกตนที่นิสัยพอฟัดพอเหวี่ยงกับแทกูกยอง ทั้งความไม่ยี่หระ ไม่แยแสใคร ไม่สนโลก ทำอะไรตามใจตัวเองอย่างที่สุด แต่ก็เป็นคนนิสัยตรงไปตรงมาใช้ได้เลย ไปๆ มาๆ นัมคังอูที่ทีแรกต่อยตีกับแทกูกยองจนเลือดสาด ก็กลายมาเป็นคู่หูจำเป็นกับแทกูกยองเสียอย่างนั้น แม้ทั้งคู่จะยืนยันว่าเกลียดขี้หน้ากันแถมปากคอเราะร้าย จิกกัดกันทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า แต่กลับมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเสียยิ่งกว่าใคร เป็นความลงตัวที่ประหลาดมาก แล้วก็ตลกมาก จังหวะชิตคอมมากค่ะคู่นี้นิยายเรื่องนี้ตัวละครเยอะมากค่ะ ดังนั้น จะขออนุญาตไม่หยิบมาพูดถึงมาก เพราะเดี๋ยวพอพูดถึงตัวนี้ ก็จะอดพูดถึงตัวนั้น และตัวโน้นขึ้นมาเรื่อยๆ อีกไม่ได้ เดี๋ยวจะลากยาวจนกลายเป็นวิทยานิพนธ์ไปเสียอีก กลับมาที่คู่พระเอกนายเอกของเราหน่อยดีกว่า คู่นี้พอได้เคลียร์ใจกันไปแล้ว ปรากฏว่ารักกันหวานชื่นซะ ชาวอสูรถึงกับไม่ไหวจะมองบนกันนะคะ หวานชื่นแค่ไหนก็เรียกว่าต้องระวังเรื่องการตั้งท้องกันขนาดนั้นเลยทีเดียว ว่ากันว่าผู้ชี้ทางเพศชายนั้นโอกาสท้องจะน้อยกว่า แต่อีซึงโดของเรานี่คือ แหกกฎทุกข้อ แถมแทกูกยองนี่คือขอให้ได้อยู่ใกล้ๆ ให้ได้ออดอ้อนเถอะ ขนาดคนอ่านอย่างเรายังอยากจะแหม..... เวลาอยู่กะคนอื่นนี่คือช่างหัวทุกสิ่ง แต่พออยู่กับคนรักล่ะก็ทูนหัวทูนเกล้าเอาอกเอาใจซะไม่มีค่ะ อยากจะรู้ว่าอสูรเลือดราชันย์จะแพ้ทางผู้ชี้ทางขนาดไหน อยากจะให้ลองไปหาอ่านกันนะคะพออ่านรอบสองไปก็รู้สึกว่ามันสนุกขึ้นจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็อย่างที่บอกล่ะค่ะ เราก็มีเส้นบางๆ ขีดเอาไว้เหมือนกันว่าจินตนาการมันไปได้ไกลแค่ไหน ระดับ Wilderness เราโอเคนะคะ แต่ถ้าเยอะกว่านี้ก็อาจจะไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องคิดเหมือนเรา เพราะคนเราก็ชอบอะไรไม่เหมือนกันใช่ไหมล่ะคะ เราถึงเลือกที่จะไม่เขียนถึงเรื่องที่เราไม่ชอบ เพราะไม่อยากให้คนอื่นที่ชอบเค้าเสียความรู้สึกน่ะค่ะ เราไม่ชอบก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดี ก็แค่ไม่ถูกจริตเราเท่านั้นเองค่ะ แต่ในเรื่องของจิตนาการและการวางพล็อต สำหรับเรื่องนี้เรายกนิ้วให้นะ รายละเอียดเยอะก็จริง แต่ก็อ่านได้สนุกเชียวค่ะ นิยายความยาว 3 เล่ม แบบไม่หนาจนน่าหนักใจอะไรมากมาย อย่าลืมลองไปหาอ่านกันดูนะคะ ยิ่งใครที่มาสายแฟนตาซีน่าจะชอบได้ไม่ยากค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะว่าเราจะหยิบเรื่องอะไรมาเขียนถึงอีก
เจิ้นก็ยังคงสง่าผ่าเผยอย่างนี้แหละ รีวิว
ผู้แต่ง: กงจื่อจั้นแปล: ไช่ฉิงสำนักพิมพ์: ROSEอีกหนึ่งนิยายจีนย้อนยุคที่พูดถึงการกลับมาเกิดใหม่ที่เราเลือกมาอ่าน เพราะ หนึ่ง เราชอบชื่อเรื่องที่แอบกวนเบาๆ สอง หน้าปกวาดออกมาน่ารักซะงั้น และสาม เรื่องย่อด้านหลังอ่านแล้วแลดูน่าสนใจทีเดียวนี่เป็นเรื่องราวการเกิดใหม่ของหวงตี้แห่งต้าฉี่ที่มีนามว่าเยียนจี้ แต่นี่ไม่ใช่การเกิดใหม่ธรรมดา เพราะแต่แรกเริ่มทีนั้น ในชีวิตแรกของเขาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาวัย 24 ที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย จนกระทั่งได้กลับมาเกิดใหม่เป็นหวงตี้ที่ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี แต่ในทุกๆ ชีวิต เขาจะต้องตายเมื่ออายุครบ 24 ไปเสียทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะได้เรียนรู้จากชีวิตก่อนหน้านี้มาแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องมีจุดจบเหมือนเดิมเสมอ จนกระทั่งชีวิตนี้ที่เป็นชีวิตที่ห้าของเขา คนอ่านก็จะได้ลุ้นกันล่ะค่ะ ว่าเขาจะหลุดไปจากวงจรเกิดตายแบบซ้ำๆ นี้ได้หรือไม่ สำหรับหวงตี้พระองค์นี้นะคะ แม้อายุในชีวิตนี้จะแค่ 16 แต่พอเอาอายุหลายๆ ชีวิตมารวมกันเข้า ก็ร่วมร้อยอยู่นะ และเนื่องจากเป็นรัชทายาทเพียงพระองค์เดียว แถมยังเด็ก แล้วร่างกายก็ยังอ่อนแอมากด้วย ก็เลยเป็นที่กังขาของขุนนางหลายคนว่า จะไหวมั้ยนะ ไหนจะเด็ก ไหนสุขภาพ ไหนจะนิสัยเอาแต่ใจจนเดาทางยากนั่นอีก ที่หนักหนาหน่อยก็คือพระปิตุลา หรืออันที่จริงก็น่าจะเป็นเสด็จอาที่มีชื่อว่า เยียนโจว ของท่านนี่แหละ ที่คิดจะกุมอำนาจเอาไว้ในมือตัวเองทั้งหมด คือฉากหน้าก็เหมือนรักและเป็นห่วงหลานตัวเองแหละ แต่เบื้องลึกคืออยากขึ้นเป็นหวงตี้ใจจะขาดว่าอย่างนั้นชีวิตที่ผ่านๆ มา เยี่ยนจี้ที่จริงต้องวุ่นวายอยู่กับเรื่องชิงบัลลังก์เหล่านี้มาโดยตลอด จนมาชีวิตนี้ ก็เรียกว่าสั่งสมประสบการณ์เอาไว้รับมือมาไม่น้อย แถมยังล่วงรู้อนาคตอีก นอกจากนี้พระองค์ยังมีพระสหายที่เก่งกล้าสามารถอีกทั้งยังจงรักภักดีเป็นอย่างมากอีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นมหาเสนาบดีฟู่จือหวาย แม่ทัพใหญ่เฮ่อจี่ และท่านราชครูเซี่ยเหวินจั๋ว แต่ละคนนี่คือตัวท็อปจริงๆ ทั้งหล่อทั้งเก่ง แถมยังหลงรักเยียนจี้ชนิดหัวปักหัวปำว่าอย่างนั้น เราจึงจะได้เห็นวิธีการอันหลากหลายที่ขุนนางแต่ละท่านพยายามจะเอาชนะใจของหวงตี้พระองค์นี้ชนิดไม่มีใครยอมใครทีเดียวค่ะ เรียกว่างานหลวงไม่ได้ขาด งานราษฎร์ก็ไม่ปล่อยล่ะที่เราชอบอีกอย่างก็น่าจะเป็นบุคลิกและลักษณะนิสัยของเยียนจี้นี่แหละ คงเพราะผ่านอะไรมาเยอะมากก็เลยมีความทันคนและเจ้าแผนการอยู่ภายใต้ใบหน้าอันงดงามและดูอ่อนแอใสซื่อนั่นอยู่เป็นกระบุง เล่นละครตบตาก็เก่งซะจนตัวร้ายนี่ถึงกับตามไม่ทัน เวลารับมือกับเหล่าขุนนางก็ฉลาดเฉลียวบวกกับเลเวลความกวนตีนสูงลิบ คงเพราะรู้เช่นเห็นชาติคนเหล่านี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว รู้ดีด้วยว่าควรจะผ่อนหนักผ่อนเบายังไง ตอนไหนควรใช้อำนาจ ตอนไหนควรใช้อารมณ์ ปากคอรึก็เราะร้ายยิ่งนัก แถมยามไม่ได้ออกว่าราชการ ยังชอบขี้เกียจอยู่บ่อยๆ อีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้น ร้อยทั้งร้อยก็ตกม้าตายกับเรื่องความรักทุกทีไป ให้มันได้ยังงี้สิน่าและคนที่คอยตามใจ คอยดูแล คอยสปอยล์ คอยเป็นดูแลหวงตี้ที่ใกล้ที่ชุด นอกจากเส้าเหอที่เป็นขันทีใกล้ชิดแล้ว ก็หนีไม่พ้นราชครูเซี่ยเหวินจั๋วนี่ล่ะค่ะ คือไม่ใช่แค่หน้าตาดี มีความสามารถ เป็นที่ไว้ใจได้อย่างที่สุดเท่านั้น ยังเป็นจอมวางแผนที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง อาศัยตำแหน่งหน้าที่ที่ได้ใกล้ชิดหวงตี้มากกว่าใคร ทั้งหว่านเสน่ห์ ทั้งยั่วยวน และคอยรุกจนทำให้หวงตี้ใจเต้นอยู่เป็นประจำ แล้วทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจด้วยนะ คือเป็นธรรมชาติมาก เล่นเอาหวงตี้นี่ถึงกับเงิบว่า ท่านราชครูที่มีภาพลักษณ์สูงส่ง บริสุทธิ์งดงาม เหตุใดจึงเป็นคนเช่นนี้ไปได้ ไอ้เราอ่านๆ ไป โอ้โห เจออิตาราชครูรุกซะขนาดนี้ อยากจะหนีเอาตัวรอดยังไงก็ไม่มีทางพ้นหรอกค่ะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นนิยายจีนย้อนยุคที่มีตัวเอกเป็นถึงหวงตี้ล่ะนะคะ จึงหนีไม่พ้นเรื่องงานศึกสงครามกันอยู่แล้ว เราชอบนะ เพราะมันเป็นการชิงไหวชิงพริบที่มีชั้นเชิง มีการซ้อนแผน วางแผนกันหลายขั้นหลายตอน เวลาอ่านก็เลยพลอยได้ลุ้นไปด้วย เราถึงได้รู้ว่าคู่ปรับของเยียนจี้นั้น ไม่ได้มีเพียงแค่เยียนโจว แต่ยังมีแคว้นอื่นที่อยากจะยึดครองต้าลี่ให้ได้อีกด้วยในเรื่องนี้ตัวละครถือว่าไม่ได้มากมายจนเกินจะจำไหวเหมือนหลายๆ เรื่องที่เราเคยอ่านมานะคะ แต่ก็เรียกได้ว่าไม่น้อยล่ะ นอกจากที่เอ่ยๆ มาด้านบน ตัวละครพิเศษอีกสองตัวที่ไม่พูดถึงไม่ได้จริงๆ เพราะพวกนางช่างน่าเอ็นดู ตัวแรกคือเอ้อร์โก๋วจื่อ ตัวที่สองก็คือโกว่ตั้นตั้น สองตัวนี้เป็นหมานะคะ โดยเฉพาะเอ้อร์โก๋วจื่อ นี่คือแต่แรกเริ่มเดิมที หมาป่าขาวที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายแต่ก็ซื่อสัตย์จงรักภักดีอย่างยิ่งตัวนี้ เป็นของบรรณาการจากแคว้นชื่อฟัง คู่ปรับของต้าหลี่นี่แหละ แคว้นนี้ตั้งใจเอามันมาลองของหวงตี้ แต่ปรากฏว่ามันยอมศิโรราปแทบเท้าพระองค์ทันที ทำเอาชื่อฟังเสียหน้าไปเลย ไอ้เราอ่านไปก็คือว่านี่จะต้องเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหวงตี้องค์นี้แน่ๆ เปล่าเลยค่ะ อ่านๆ ไป เอ้อร์โก๋วจื่อนี่ไม่ต่างอะไรกับหมาไซบีเรียนฮัสกี้นิสัยวายป่วงตัวนึง นอกจากจะขี้น้อยใจอย่างยิ่งแล้ว ยังกลัวท่านราชครูยิ่งนัก เพราะโดนมองแรงหลายครั้งเวลาที่ทะเล่อทะล่าเข้าหาหวงตี้แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ตอนหลังท่านราชครูก็เลยต้องหาหมาอีกตัวมาเป็นเพื่อน ซึ่งก็คือโก่วตั้นตั้น นั่นเองค่ะนิยายเรื่องนี้ที่จริงมีหลากรสทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความชวนหัว ความสนุกสนาน ความน่ารัก ความเคร่งเครียด ความเข้มข้นหรือแม้แต่ความดราม่า เรียกว่ามีครบอยู่ในหนังสือหนาๆ จำนวน 2 เล่มนี่เลย ใครที่สนใจจะหยิบมาอ่านนี่ เราเชื่อว่าน่าจะไม่ผิดหวังกันนะคะ ยังไงซะเรื่องนี้ตัวละครเด่นๆ นั้นย้ำเลยว่าหน้าตาดีมาก คอนเฟิร์มโดยหวงตี้ของเราที่ชอบคนที่หน้าตาอย่างยิ่ง จะเลือกใครมาทำงานด้วยทีไร ก็หาเรื่องใช้หน้าตามาตัดสินตลอด ยิ่งถ้าใครที่ไม่ได้เรื่อง แถมยังหน้าตาไม่ดี หวงตี้ของเรานี่เรียกว่าจิกกัดแบบไม่ไว้หน้าทีเดียวค่ะ ทำเอาขุนนางไม่ได้เรื่องหลายท่านอยากจะตายแล้วไปเกิดใหม่ซะให้รู้แล้วรู้รอดไป ตลกและกวนตีนอย่างยิ่งค่ะอย่าลืมไปลองหาอ่านกันดู แล้วอย่าลืมติดตามเรื่องต่อไปด้วยนะคะ