WELCOME! WELCOME! and WELCOME!
 
 

เล่ห์กลจักรพรรดิ รีวิว

ผู้แต่ง: อวี่เซี่ยวหลานซาน

แปล: ไช่ฉิง

สำนักพิมพ์: Rose

 

อีกหนังนิยายจีนย้อนยุคที่สนุกมากเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้แต่แรกเริ่มเดิมทีเราขอหยิบยืมน้องที่รู้จักกันมาอ่านก่อน 3 เล่มค่ะ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจสั่ง Box Set ที่มีเล่ม 4 และ 5 มาเสียเลย แล้วก็ตั้งใจว่าจะไปตามซื้อเล่ม 1-3 มาเก็บเอาไว้ด้วย ชอบแค่ไหนก็ดูเอาเถอะค่ะ

 

เรื่องราวนั้น พูดถึงจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่ไม่เพียงแต่จะรูปงาม แต่ปราชญ์เปรื่องทั้งในเรื่องบุ๋นและบู๊อย่างยิ่ง ใครที่อ่านนิยายจีนแนวนี้คงจะได้ผ่านหูผ่านตากันมาพอสมควรแล้วว่าตำแหน่งจักรพรรดิหรือฮ่องเต้นี่ ช่างยิ่งใหญ่เพราะเป็นนายเหนือหัวของคนทั้งปวง แต่ในขณะเดียวกันก็ช่างน่าเหนื่อยหน่ายเหลือแสน ไหนจะต้องคอยรับมือกับเรื่องราวมากมายเป็นที่น่าปวดหัว จักรพรรดิที่ดีก็ทรงงานหนักยิ่ง ที่ไม่ดีก็ล้วนสร้างความหนักใจให้กับไพร่ฟ้า ไหนจะต้องบริหารราชการ บ้างก็ต้องออกรบด้วยพระองค์เองอีก ไหนจะต้องแต่งมเหสีเพื่อต้องมีทายาท มีทายาทหลายองค์ก็แย่งชิงกันอีก นับเป็นตำแหน่งที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้ามากเชียวล่ะค่ะ กลับมาที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันในท้องเรื่องของเรากันก่อน นามของพระองค์คือ ฉู่เยวียน เก่งกล้าสามารถและขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุ 18 เท่านั้น และก็ปกครองบ้านเมืองเป็นอย่างดีจริงๆ แม้จะมีเรื่องราวสงคราม ต้องรบทัพจับศึก ปราบปรามจลาจลมากมาย พระองค์ล้วนรับมือและจัดการได้เป็นอย่างดีเยียมเชียวล่ะ

แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า เบื้องหลังอำนาจอันแข็งแกร่งของฉู่เยวียน มี ต้วนไป๋เยว่ ซีหนานหวังผู้แข็งแกร่งแห่งต้าหลี่คอยเป็นกำลังสำคัญอย่างแข็งขัน ใครบังอาจก่อความไม่สงบ คิดก่อสงคราม คิดจะยึดเมืองใดๆ ก็ตามที่จะเป็นการระคายเบื้องพระยุคลฯ ของจักรพรรดิ ต้วนไป๋เยว่ ล้วนจัดการกำราบเสียสิ้น แม้การกระทำหลายๆ ครั้งจะสร้างความคาใจและสงสัยให้แก่ขุนนางในราชสำนัก ถึงขั้นมีผู้ถวายฎีกาสงสัยในพฤติกรรมอันไม่น่าไว้ใจของเขาอยู่บ่อยครั้ง บ้างถึงขนาดเชื่อว่าซีหนานหวังคิดกบฏกันเลยทีเดียว แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีกว่าฉู่เยวียนและตัวต้วนไป๋เยว่อีกแล้ว

ฉู่เยวียนและต้วนไป๋เยว่นั้น รู้จักคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งมีเหตุการณ์ที่ต้วนไป๋เยว่ได้ช่วยเหลือรัชทายาทผู้นี้เอาไว้ จึงได้กลายเป็นความผูกพันลึกซึ้งอย่างยิ่ง เรียกว่านับแต่นั้นต้วนไป๋เยว่ก็ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อฉู่เยวียน ไม่ว่าเมืองต้าหลี่จะอยู่ไกลจากเมืองหลวงแค่ไหน ก็พร้อมที่จะเดินทางมาหาทุกเมื่อ มาช่วยเหลือ มาเป็นกำลัง หรือแม้แต่มาอยู่เป็นเพื่อน ตอนที่อ่านแรกๆ ยังคิดเลยว่าฉู่เยวียนนี่ออกจะเอาแต่ใจอยู่แฮะ แล้วดูจะเป็นประเภทปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจอีกต่างหาก แต่พออ่านไป คู่นี้ที่จริงรักกันมาก ฉู่เยวียนอาจจะปากร้ายเอาแต่ใจ แต่ก็เป็นเพราะอยู่กับต้วนไป๋เยว่ จึงได้เป็นตัวเองอย่างที่สุดในช่วงเวลาแห่งความสุขอันแสนสั้นยามได้เจอกันนี้เท่านั้น ส่วนต้วนไป๋เยว่ก็รักนักรักหนา ชนิดยอมให้ทุกอย่าง ทั้งดูแลทั้งตามใจ ชีวิตก็ยังยอมแลกให้ได้ขนาดนั้น

ต้วนไป๋เยว่นั่นที่จริงต้องทนทรมาณกับพิษร้ายในตัวมานาน พยายามจะขจัดออกยังไงก็ไม่เป็นผล บวกกับไม่มีเวลาสนใจเรื่องของตัวเอง เพราะเอาเวลาในชีวิตไปทุ่มเทแก่การช่วยคนรักกอบกู้แผ่นดินมาตลอด ใครจะว่าอย่างไร จะเข้าใจเขาผิดอย่างไรก็ไม่สน ถึงขนาดเกือบต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม เรียกว่าทำเอาฉู่เยวียนทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ทั้งงอนจนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตัวฉู่เยวียนเองก็เช่นกันค่ะ บางทีก็ปากแข็งไปยังงั้น งอนไปยังงั้น แต่ก็รักต้วนไป๋เยว่ที่สุด เสียสละตัวเองเพื่อคนที่รักไปก็ไม่น้อยในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเตือนตัวเองไปด้วยว่า ตัวเองเป็นฮ่องเต้ มีความรับผิดชอบบนบ่าที่หนักหนายิ่งนัก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะค่ะ เป็นความรักทีเสียสละเป็นอย่างมากจริงๆ สำหรับคู่นี้

จะบอกว่า นี่เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่อ่านไปก็หัวเราะไปด้วยได้ตลอดจริงๆ ก็คงจะไม่ผิดนัก คนแต่งเขียนสนุกมาก คนแปลก็แปลได้อรรถรส เพราะเอาจริงๆ มันไม่ได้มีแค่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครนี้เท่านั้น แต่มันมีรายละเอียดมากมายที่เกี่ยวข้องการกับการปกครองบ้านเมือง เรื่องการเมือง การชิงไหวชิงพริบกัน การทำสงคราม ออกทัพ แม้แต่สงครามทางเรือก็เขียนออกมาได้น่าติดตามมากจริงๆ คือคนเขียนน่าจะต้องทำการบ้านมาหนักพอสมควรทีเดียวล่ะค่ะ กว่าจะเขียนออกมาได้ขนาดนี้

และแน่นอนค่ะ นิยายจีนโบราณย้อนยุคแบบนี้ ตัวละครเพียบ ทยอยกันออกมามากหน้าหลายตาจนจำกันไม่หวาดไม่ไหว (แล้วก็ตายกันไปจนนับไม่ไหวเหมือนกัน) แต่เอาจริงๆ เราชอบตัวละครในนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แถมชอบหลายตัวเลย อารมณ์ขันนี่ไม่ต้องพูดถึง แต่ละตัวปล่อยมุกกันเรี่ยราดสนุกสนานยิ่งกว่า ดังนั้นจึงจะขออนุญาตเขียนถึงเท่าที่ชอบและเท่าที่จำได้นะคะ นิยายยาวตั้ง 5 เล่ม แถมแต่ละเล่มหนาเอาการ ตัวหนังสือก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก จะหลงลืมไปบ้างก็ขอให้อภัยกันสักนิด

ต้วนเหยา น้องเล็กของต้วนไป๋เยว่เป็นตัวละครที่น่ารักและน่าสนใจมาก เพราะอายุยังน้อย แต่ก็รูปงามนัก ฝีมือด้านวรยุทธ์ก็สูงส่ง ฉลาด มีไหวพริบ แต่ก็มีความกวนตีนต้วนไป๋เยว่พี่ชายอย่างหนัก เวลาที่พี่น้องคู่นี้เค้าชิงไหวชิงพริบกัน สนุกมากค่ะ ยิ่งเวลาต่อปากต่อคำยิ่งตลก ต้วนเหยามักจะต้องรับหน้าที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิงอยู่ร่ำไปยามที่ต้องไปสืบข่าวสารพัด เพราะสวยจริงอะไรจริง พี่ชายก็ชอบแกล้งน้องด้วยล่ะค่ะ พอโตเป็นหนุ่มก็เป็นที่หมายปองของสาวๆ มากมาย รูปงามแค่ไหนก็คิดดู แต่ดูเหมือนน้องเล็กคนนี้จะไม่สนใจเรื่องนี้เอาเลย เพราะวันๆ สนแต่เรื่องพี่ชาย พี่สะใภ้ และต่อปากต่อคำอาจารย์ของตัวเอง ซึ่งก็คือตัวละคร หนานหมอเหยีย ตัวละครตัวนี้นี่ก็ผิดคาดมาก เพราะเป็นถึงอาจารย์ของทั้งต้วนไป๋เยว่และต้วนเหยา แต่ก็แสบสันแถมเป็นคนประหลาดคิดอ่านอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน พฤติกรรมแต่ละอย่างล้วนสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับลูกศิษย์ตัวเองจนแทบจะไม่เหลือความเคารพอะไรกันแล้ว แต่ถามว่าเก่งไหม เก่งมาก ฝีมือนี่ไม่ต้องพูดถึง แถมมีโรคประหลาดที่พอกำเริบขึ้นมาก็จะตายเป็นการชั่วคราวอยู่เป็นปี พอหายก็จะปีนขึ้นมาจากหลุมเพื่อป่วนลูกศิษย์ตัวเองต่อ เป็นอาจารย์ที่น่าจะโดนลูกศิษย์มองบนเยอะที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาแล้วล่ะค่ะ จะเรียกท่านอาจารย์หนานว่าเป็นสีสันที่เจิดจ้าของเรื่องก็คงไม่ผิดนัก ยอมท่านไปเถอะ

ต้องขอบอกก่อนนะคะว่า จวนซีหนาน ของซีหนานหวังนั้นเป็นจวนพิษ เพราะเลี้ยงสัตว์มิพิษเอาไว้เต็มไปหมด เรียกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่เชี่ยวชาญเรื่องพิษกันถ้วนหน้า เด็กๆ โตมาก็รู้จักพิษร้ายแรงจากสารพัดสัตว์และสมุนไพรพิษกันหมดแล้ว ดังนั้นใครบังอาจคิดวางยาคนที่จวนซีหนาน นอกจากจะไม่เป็นผลแล้ว เผลอๆ จะโดนพิษหนักกว่าไม่รู้กี่เท่ากลับคืนไปอีก ดังนั้นตลอดทั้งเรื่องเราจะรู้จักกับสัตว์มีพิษต่างๆ มากมายที่ตัวละครในเรื่องเลี้ยงและสะสมกันไว้ตลอดเวลา ยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็ดึงพิษออกมาใช้กันเป็นที่ครึกครื้น ประเภทหมา แมว กระต่าย สัตว์เลี้ยงน่ารักๆ ไม่มีทางได้เห็นในจวนนี้ เผลอๆ จะกลายเป็นอาหารของเหล่าสัตว์เลี้ยงในจวนไปเสียก็ไม่รู้ แล้วนึกดูนะคะ เชี่ยวชาญเรื่องพิษขนาดนี้ แต่ไม่อาจแก้พิษในตัวของต้วนไป๋เยว่ได้ คิดดูเถอะค่ะว่าพิษที่อยู่ในตัวพระเอกเรามันร้ายกาจขนาดไหน

ตัวละครเยี่ยจิ่นที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดาก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องอย่างยิ่ง เพราะนอกจากมีฝีมือด้านหยูกยาแล้วยังเหม็นหน้าพระเอกเอามากๆ จะด้วยเหตุผลอันใด แนะนำให้เข้าไปอ่านกันดูค่ะ นอกจากนี้ยังมีประมุขเสิ่นเชียงเฟิง จอมยุทธ์ผู้มากฝีมือแห่งยุคที่ทั้งหล่อทั้งนิสัยดีมาคอยช่วยเหลือพระเอกนายเอกและคู่ของตนเองตลอดทั้งเรื่องอีก ซื่อสี่ ท่านกงกงที่คอยอยู่ดูแลฉู่เยวียนเป็นเงาตามตัวก็น่ารักมาก เพราะจะคอยเป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้กับซีหนานหวังใช้เวลาส่วนตัวดูแลกันอยู่อย่างชนิดไม่ขาดตกบกพร่อง ชนิดที่ว่าซื่อสี่รักฉู่เยวียนแค่ไหน ก็รักต้วนไป๋เยว่ไม่แพ้กัน เรียกว่าซื่อสี่เป็นตัวละครที่มีสีสันและเป็นที่รักอย่างยิ่งเชียวค่ะ ไหนจะซือคงรุ่ย เพื่อนพระเอกที่ก็ตลกไม่แพ้กันนั่นอีก แต่ว่าไม่ได้อีกเหมือนกันเพราะมากฝีมือเหลือเกิน

แม้แต่ตัวละครอย่างพวกองครักษ์เงา หรือผู้เยี่ยมยุทธ์มากหน้าหลายตาที่ปรากฏในท้องเรื่อง ผู้เขียนก็สอดแทรกมุกตลกเข้าไปเสียจน บางทีก็ลืมไปแล้วว่า คนเหล่านี้ออกจะมีฝีมือเหี้ยมโหดเอาการอยู่ ยามปฏิบัติหน้าที่ก็เด็ดขาดและทรงประสิทธิภาพยิ่ง เราถึงได้ชอบอ่านนิยายเรื่องนี้นักหนา เพราะไม่เพียงแต่เนื้อหาเข้มข้นชวนติดตาม ไหนจะความสัมพันธ์ที่แสนจะโรแมนติกของตัวละคร การชิงไหวชิงพริบที่ไม่เพียงจะเปี่ยมไปด้วยมันสมอง และยังมีการใช้วรยุทธ์กันชนิดตื่นตาตื่นใจ ก็ยังมีมุกตลกสอดแทรกเข้ามาให้ได้หัวเราะอยู่ตลอดทั้งเรื่องด้วย อยากจะคารวะคนเขียนนัก ดังนั้นเวลามีใครมาถามว่าเรื่องนี้สนุกไหม หรือขอคำแนะนำว่าควรจะหาซื้อมาอ่านดีไหม ก็จะยุยงส่งเสริมอย่างยิ่งว่า ไปหามาอ่านเถอค่ะ มันสนุกมากจริงๆ

Box Set ที่เราซื้อมาสวยมากค่ะ ดูแข็งแรงด้วย เราซื้อมาช่วงงานสัปดาห์หนังสือ ราคาจึงไม่ได้แพงอะไรมาก ใครที่ชอบสะสมน่าจะชอบ แต่ถ้าไม่ได้อินว่าจะต้องสะสมขนาดนั้นก็ซื้อแบบเป็นเล่มๆ ก็ได้ค่ะ 5 เล่มก็น่าจะอ่านได้นานอยู่ (เราใช้เวลาอ่าน 3 วันค่ะ สิ้นเปลืองเหลือเกิน) จริงอยู่ว่ามันจะมีศัพท์เฉพาะที่ทัพศัพท์เป็นภาษาจีนเยอะอยู่ แต่คนเขียนและคนแปลขยันมาก จึงมี footnote ตรงด้านล่างอธิบายให้ได้หายสงสัยกันไป ไม่ต้องขมวดคิ้วระหว่างการอ่านว่ามันคืออะไร แถมได้รู้ศัพท์ใหม่ๆ กันด้วย

ใครที่ชอบอ่านนิยายจีนโบราณ ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ค่ะ รับรองว่ามีให้อ่านกันครบทุกรสจริงๆ ใครได้อ่านแล้วอยากจะมาแชร์กันก็ยินดีนะคะ หรือถ้าใครไปหามาอ่านแล้ว เห็นว่าเป็นยังไงก็แชร์มาได้เช่นกัน

ส่วนคราวหน้าจะเอานิยายเรื่องอะไรมารีวิว โปรดติดตามค่ะ
 




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2563   
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2563 9:43:29 น.   
Counter : 3413 Pageviews.  


กลับมาเกิดใหม่เป็นซูเปอร์โมเดล – Rebirth of a Supermodel รีวิว

ผู้แต่ง: มั่วเฉินฮวน

แปล: เมิ่งเหวิน

สำนักพิมพ์: Rose

 

เป็นเพราะครั้งก่อนรีวิวนิยายจีนโบราณไปแล้ว ครั้งนี้ก็เลยอยากจะเปลี่ยนมารีวิวนิยายสมัยใหม่บ้าง ใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ได้เกี่ยวกันเลยค่ะ ครั้งนี้ที่เลือกรีวิวเรื่องนี้ก็เพราะว่าเพิ่งอ่านเสร็จไปสดๆ ร้อนๆ แล้วก็กำลังจะเอาหนังสือไปคืนเจ้าของเค้าแล้วต่างหาก เลยรีบมารีวิวซะก่อนแค่นั้นเอง

นี่เป็นอีกหนึ่งนิยายที่ว่าด้วยเรื่องตายแล้วกลับมาให้เกิดใหม่ในร่างใหม่ แบบไม่ต้องเริ่มต้นจากเบบี๋แล้วรอให้โตก่อน เรียกว่าเกิดมาเสียบแทนเจ้าของร่างเดิมที่ตายไปแล้วนั่นแหละ แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไปได้เลย สะดวกดี ในเมื่อมันเริ่มต้นมาแบบแฟนตาซีขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะมีความเหนือจริงอะไรเกิดขึ้นบ้างในนิยายเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องนำมาใส่ใจคิดจนหัวแตกให้เกินเหตุ แค่สนุกไปกับการอ่านก็พอค่ะ ซึ่งก็อ่านสนุกจริงๆ นะ พอได้เริ่มอ่านก็รู้สึกว่าชวนติดตามจนวางไม่ลงเลยล่ะค่ะ

นี่เป็นเรื่องราวของอดีตนายแบบที่จบชีวิตลงตั้งแต่ยังหนุ่มเมื่อชีวิตที่แล้ว แล้ววิญญาณก็มาเข้าร่างของหมิงอี้ นายแบบหนุ่มอ่อนแอที่คลั่งรักจนเสียสติ พอผิดหวังจากความรักก็เลยตัดสินใจฆ่าตัวตายในชีวิตนี้ หมิงอี้คนใหม่ที่ได้เรียนรู้ชีวิตของเด็กหนุ่มที่น่าสงสารจึงมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะใช้ชีวิตใหม่อย่างคุ้มค่าที่สุด ไม่ให้เสียเปล่ากับโอกาสที่ได้เกิดมาในร่างใหม่ทั้งที โดยเป้าหมายของเขา ไม่เพียงแต่ต้องการจะทำให้ผู้ชายที่ทำร้ายหมิงอี้เจ้าของร่างเดิมจดจำเขาให้ได้ไปจนวันตาย แต่ยังมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งวงการนายแบบของโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน

 
 

แน่นอนค่ะว่าคนที่สามารถตั้งเป้าหมายสูงส่งขนาดนี้ได้ จะต้องดีงามทั้งรูปร่าง หน้าตา บุคลิก รวมถึงความสามารถ เรียกว่าไอคิวต้องดี อีคิวต้องมา ซึ่งหมิงอวี้มีครบหมด ยังไงซะเจ้าของร่างคนเก่าเองก็เป็นนายแบบที่อนาคตไกลอยู่แล้ว เพียงแต่อ่อนแอและไปหลงรักคนผิดเท่านั้นเอง พอเป็นหมิงอวี้คนใหม่ที่ต้นทุนร่างนี้ดีอยู่แล้ว บวกกับชีวิตที่แล้วก็ผ่านการเป็นนายแบบระดับโลกมาแล้ว จึงทำให้หมิงอวี้เวอร์ชั่นนี้แค่ลงมือทำ ขยันสร้างผลงาน และรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี บวกกับการมีแบ็กอัปที่ดีด้วยแล้ว เป้าหมายการเป็นซูเปอร์โมเดลอันดับหนึ่งของโลก ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แล้วใครล่ะคะที่จะมาเป็นแบ็กอัปที่ว่าให้กับนายเอกของเรา ก็ต้องพ่อพระเอกอย่างสีเจ๋อแน่นอนอยู่แล้ว คือถ้าคิดว่าหมิงอวี้ออกจะเพอร์เฟ็กต์ผิดมนุษย์ไปหน่อยหรือเปล่า เจอสีเจ๋อเข้าไปนี่ พ่อคนนี้ต้องเรียกว่าเหนือโลกไปอีกนะคะ สีเจ๋อไม่ได้เป็นเพียงซูเปอร์โมเดลอันดับ 1 ของโลกที่รักษาตำแหน่งมาได้ยาวนานหลายปี ยังเป็นดีไซเนอร์ระดับท็อปของแบรนด์ระดับท็อปของโลกไปอีก เพราะฉะนั้นพี่แกจึงทั้งหล่อเลิศ สูงยาวเข่าดี มีดีกรีนายแบบบวกกับการเป็นดีไซเนอร์อัจฉริยะ เป็นระดับผู้บริหารที่ทรงอิทธิพลของประเทศและของโลก ไม่มีใครไม่รู้จัก มีแฟนคลับหลักหลายสิบล้าน เรื่องฐานะทางการเงินและความทรงอิทธิพลคงไม่ต้องพูดถึง คือโคตรของความสมบูรณ์แบบค่ะ แต่ถ้าหมิงอวี้ยังสามารถมาเกิดใหม่และสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ จะมีคนอย่างสีเจ๋ออยู่ด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วล่ะ จะไปก็ต้องไปให้สุดค่ะ

ดังนั้นการดำเนินเรื่องราวทั้งหมดจะเริ่มต้นตั้งแต่การกลับมามีชีวิตใหม่ของหมิงอวี้ ที่จะต้องกลับมากอบกู้ชีวิตการเป็นนายแบบให้กลับมาเข้าที่เข้าทางให้ได้เสียก่อน ซึ่งจริงๆ เจ้าตัวเป็นคนมีของอยู่แล้ว หน้าตาที่จะดูว่าสวยก็ได้หรือหล่อก็ได้ แถมยังมีรูปร่างสูงโปร่ง บวกกับออร่านายแบบที่พรีเซ้นต์เสื้อผ้าแบบไหนก็ออกมาดูดีไปเสียหมด แต่ทีนี้จะให้ง่ายไปซะทุกสิ่งโดยที่ไม่มีอุปสรรคเลย จะไม่มีตัวร้ายมาคอยขัดแข้งขัดขาเลย ชีวิตก็คงจะง่ายไปหน่อย นิยายเรื่องนี้มันก็เลยสนุกตรงนี้แหละค่ะ ตรงที่มีผู้มีความประสงค์อยากลองดีกับนายเอกโผล่มาทางนั้นทีทางนี้ทีตลอดทั้งเรื่องเลย

กลับไปรับงานถ่ายแบบอีกครั้งเพราะความที่ถูกดันจนกลายมาเป็นนายแบบระดับล่างไปซะแล้ว ก็โดนแกล้งซะเป็นการประเดิม พอดำเนินเรื่องไปอีก เดี๋ยวก็โดนแฟนเก่าของหมิงอวี้เจ้าของร่างเดิมมาตามป่วน มากลั่นแกล้ง เจอคนมาขัดบ้าง มากันซีน โดนดิสเครดิต โดนปล่อยข่าวลือ โดนแฉ โดนอิจฉา โดนเหม็นหน้า โดนหมั่นไส้ โดนกล่าวหาสารพัด ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ว่าจะวงการไหนก็ย่อมจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่มากก็น้อยค่ะ แต่นี่นายเอกของเราโดดเด่นขนาดนี้ เลยโดนแบบถี่หน่อย จัดหนักเป็นพิเศษว่าอย่างนั้น แต่ก็ด้วยความสามารถและความเป็นคนฉลาดในการวางตัว เรียกว่าอยู่เป็นนั่นแหละค่ะ ไม่เพียงแต่จะคลาดแคล้วมาโดยตลอด สถานการณ์ร้ายๆ จึงกลับกลายเป็นดี บางทีก็ดีถึงขนาดพลิกเกมให้หมิงอวี้ของเราได้เปรียบไปซะอีก โดยตลอดการมุ่งมั่นตั้งใจทำงานของเด็กหนุ่มก็เรียกว่าได้เพื่อน รุ่นพี่ ผู้มีอาวุโสมากมายในวงการคอยให้การสนับสนุนด้วยความเอ็นดู และเห็นแววนี่ล่ะค่ะ

ระหว่างนั้น สีเจ๋อที่ได้เจอกับหมิงอวี้โดยบังเอิญก็เรียกว่าถูกอกถูกใจเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก ถึงขั้นอยากได้มาเป็นมิวส์ (Muse) ของตัวเองเลยทีเดียว แม้ในใจจะนึกขอบคุณ แต่หมิงอวี้กลับปฏิเสธอย่างสุภาพด้วยเหตุผลที่ว่าเขายังอยากจะเติบโตขึ้นและไปให้ไกลยิ่งกว่านี้ด้วยตัวเอง เพราะหากเขาเป็นมิวส์ให้กับสีเจ๋อ ก็แปลว่าเขาจะหยุดอยู่ที่การเป็นนายแบบของดีไซเนอร์คนนี้คนเดียวเท่านั้น เผลอๆ จะโดนตราหน้าว่าเป็นเด็กเส้นเข้าไปอีก แถมเจ้าตัวยังออกมาประกาศด้วยว่าชีวิตนี้อยากจะเป็นที่หนึ่งเหนือสีเจ๋อให้ได้ในแบบที่เคารพว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีให้เขามุ่งมั่นจะก้าวไปในหนทางการเป็นซูเปอร์โมเดล ทำเอาสีเจ๋อประทับใจเด็กหนุ่มคนนี้ยิ่งนัก คนที่ได้ฟังนอกจากจะไม่หมั่นไส้แต่ดันอยากเอาใจช่วยไปเสียนี่

หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มต้นขึ้นค่ะ พออ่านไปเราก็ไม่รู้หรอกว่าวงการแฟชั่นนี่มันมีรายละเอียดยังไงแน่ แต่พออ่านไปก็เหมือนได้เห็นภาพเหมือนกันนะคะ เมื่อนานมาแล้วยังชอบนั่งดูช่อง Fashion TV อยู่บ้างเหมือนกัน ดูไปก็เพลินไป พอในนิยายมีการบรรยายภาพการเดินแคทวอล์ก หรือพูดถึงเสื้อผ้าโอต์กูตูร์ทั้งหลาย ก็พอจะนึกออกอยู่บ้าง สนุกดีเหมือนกันนะคะ เนื้อเรื่องยังมีการพูดถึงการจัดอันดับซูเปอร์โมเดลระดับโลกให้เราได้ลุ้นกันตลอดอีกด้วย แล้วก็มีการพูดถึงตัวละครอีกหลายตัว ที่โผล่มาสร้างสีสันเช่น จ้าวรุ่ย และหลัวหรูที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหมิงอวี้ เหล่าซูเปอร์โมเดลระดับโลกอย่างเหอเฉาม่าน ตู้รั่ว หรืออโดนิส คลาร์ก ลั่วเฉิง หรือแม้แต่ตัวละครสายนักแสดงอีกหลายคนก็เข้ามามีบทบาททำให้เนื้อเรื่องสนุกขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม ขออนุญาติพูดถึงตัวละคร อโดนิส คลาร์ก สักนิดนะคะ จริงๆ ตัวละครตัวนี้ไม่ได้เด่นกว่าตัวอื่นๆ นัก เรียกว่านานๆ จะถูกพูดถึงซักทีมากกว่า แต่ที่อยากจะเขียนถึง เพราะตลอดเวลาที่มีการเมนชั่นถึงตัวละครนี้เราจะมีภาพของนางแบบ (ที่เคยเป็นอดีตนายแบบมาก่อน) ขึ้นมาในหัวตลอด นั่นก็คือ Andreja Pejic (ชื่อเดิม Andrej Pejic) แนะนำให้เข้าไปเซิร์ชหาดูประวัติและรูปของเธอดูนะคะ เราชอบเธอมากๆ มาตั้งแต่ที่ยังไม่ได้แปลงเพศ ตอนนั้นเธอได้ชื่อว่าเป็น Androgynous Model ระดับต้นๆ ของวงการ เพราะรูปร่างหน้าตาสวยคมมากจนสามารถใส่ได้ทั้งชุดผู้ชายและผู้หญิงเลย หมิงอวี้เองก็มีลักษณะที่เป็น Androgynous หรือจะบอกว่ามีความเป็น unisex สูงมากเหมือนกัน แต่ไม่ได้กระเดียดไปทางผู้หญิงมากเหมือน อโดนิส คลาร์ก เท่านั้นเองค่ะ อันนี้ถือว่าเป็นเกร็ดเอามาเล่าให้อ่านกันสนุกๆ นะคะ

ด้านสีเจ๋อ ในเมื่อก็ชัดเจนว่า หมิงอวี้คือมิวส์ของเขา เจ้าตัวก็เรียกว่าทำทุกทางเพื่อที่จะได้เข้ามาใกล้ชิดทั้งแบบที่เนียนละไม่เนียน ไม่สนด้วย หน้าด้านนั่นแหละค่ะเอาจริงๆ แต่พอดีนี่เป็นสีเจ๋อ อยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น อยากได้ก็ต้องได้ อะไรที่ไม่สนใจก็ไม่อยู่ในสายตา แต่ถ้าชอบก็ทุ่มเทไปอีก ตามใจตัวเองแค่ไหนก็ลองคิดดู ไปๆ มาๆ หมิงอวี้ที่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของสีเจ๋อไปซะทั้งหมด ก็เลยเหมือนว่าต้องตามน้ำไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สุดท้ายก็ดึงดูดกันเอง แปลกใจมั้ยล่ะคะ เอาจริงๆ คู่นี้ก็เรียกว่าสมกันดี เพราะใครต้องมาเจออย่างที่หมิงอวี้ต้องเจอ ก็ต้องมีระดับสีเจ๋อคอยอยู่เบื้องหลังให้นั่นแหละถึงจะดี ตัวหมิงอวี้เองก็ไม่ได้แสนดีอ่อนต่อโลกอะไรขนาดนั้น ลึกๆ ก็ร้ายเหมือนกันนั่นแหละ แต่สีเจ๋อร้ายมากกว่าหลายขุมเท่านั้นเอง ยิ่งรักหมิงอวี้มาก ใครหน้าไหนมาทำอะไรแฟนตัวเอง จะมากจะน้อย พ่อคิดบัญชีทบต้นทบดอกไปเลยจ้า คือไม่สนเลยว่าใครหน้าไหนจะคิดยังไงกับตัวเอง ขอแค่ให้ได้ทำเพื่อหมิงอวี้คนเดียวเท่านั้นจริงๆ

ชื่อ หัวเซี่ย ในเรื่องคือชื่อประเทศนะคะ แต่อ่านแล้วก็เป็นอันรู้กันแหละว่าคือประเทศอะไร แถมคนเขียนจิกกัดอเมริกาอยู่หลายดอกเหมือนกัน เราก็อ่านสนุกๆ เนาะ อย่าไปคิดมาก อีกอย่างนึงที่เหมือนเปิดโลกเราไปเลย ก็คือกระแสในโลกอินเตอร์เน็ต มันช่างน่ากลัว แล้วก็บันเทิงไปพร้อมๆ กัน ต้องสารภาพอย่างนึงนะคะว่าเราเป็นคนที่เลี่ยงการเข้าไปใช้โซเชี่ยลมีเดีย หลายๆ แพล็ตฟอร์มเลย เพราะไม่เล่นทั้ง Facebook ไม่เล่น IG ไม่เล่น twitter กระทู้อะไรทั้งหลายที่มีคนเข้าไปแสดงความเห็นกันโครมครามก็แทบจะไม่ติดตามอะไรทั้งสิ้น ยิ่งทางฝั่งจีนหรือเกาหลี อิทธิพลของ Netizen นั้นสูงมาก เรียกว่าชี้เป็นชี้ตายให้ใครหลายคนได้ในแบบที่น่ากลัวมาก พอมาอ่านนิยายเรื่องนี้ โอ้โห... เปิดโลกมาก ทำให้ได้เห็นภาพเลยว่าอิทธิพลของมันมีมากขนาดไหน แต่หลายๆ ครั้งก็ได้หัวเราะไปด้วยเหมือนกันนะคะ เพราะคนเขียนนับว่ามีอารมณ์ขันดีทีเดียว

แต่ที่ติดใจนิดเดียว แค่นิดเดียว ก็เห็นจะเป็นเรื่องการใช้สัญลักษณ์ emoji ในนิยายเต็มไปหมด เมื่อก่อนเราจะรู้สึกรับไม่ได้มากเลย อาจจะเป็นเพราะไม่คุ้นนั่นแหละค่ะ เราเองก็เป็นทั้งนักอ่านและนักเขียนมานานมาก และขนบงานเขียนส่วนใหญ่ นักเขียนจะไม่ทำกันแบบนั้น ถ้ามันเป็นออนไลน์แพล็ตฟอร์มก็เข้าใจได้ แต่พอมาเป็นหนังสือ ลึกๆ ในใจจะรู้สึกขัดว่าไม่ควรมี แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหมล่ะคะ แล้วนิยายมากมายเดี๋ยวนี้ก็ถูกเผยแพร่ทางออนไลน์ก่อนจะมาเป็นรูปเล่ม ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ค่ะ พออ่านๆ ไป มันก็จะคุ้นไปเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราสนับสนุนนะเออ

ข้อเสียอีกอย่างที่เห็นในนิยายเรื่องนี้คือ สะกดภาษาไทยผิดเยอะอยู่ บางคำเขียนผิดแบบผิดไปเลยจนรู้สึกได้ว่าปล่อยมาได้ยังไง เราไม่ได้จดเอาไว้เสียด้วยว่าผิดตรงไหน หน้าอะไร แต่ผิดเยอะจนรู้สึกได้น่ะค่ะ คือไม่ได้เยอะมากมายขนาดนั้น แต่เราไม่ค่อยอ่านนิยายแล้วเจอผิดจนรู้สึกได้ขนาดนี้เท่านั้นเองค่ะ ยังไงถ้าทางสำนักพิมพ์หรือใครที่รู้จักกับทางสำนักพิมพ์ฝากไปบอกด้วยนะคะว่าเรื่องนี้หลุดเยอะอยู่เรื่องการสะกดคำ เราอ่านงานของ Rose มาไม่น้อย เรื่องนี้เยอะจนรู้สึกได้เลยล่ะค่ะ

ถามว่าควรค่าแก่การซื้อมาอ่านมั้ย ซื้อมาอ่านเถอะค่ะ สนุกดี อ่านไปก็เอาใจช่วยหมิงอวี้ไป หมั่นไส้สีเจ๋อไป แต่คู่นี้เค้ารักกันดี เนื้อเรื่องไม่ได้มีดราม่าอะไรหนักหนา ใครที่ชอบเห็นตัวร้ายโดนกรรมตามสนอง เรื่องนี้ตอบโจทย์ค่ะ อยู่ในระดับสาแก่ใจไปตามๆ กันเชียวล่ะ เล่มก็หนา ตัวหนังสือก็ไม่ใหญ่บึ้มมาก อ่านได้นาน (แต่เราอ่าน 4 เล่ม 2-3 วันก็จบแล้วนะ) อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไง ก็อย่าลืมเอามาแชร์กันด้วยนะคะ

หวังใจว่าจะเป็นไอเดียในการตัดสินใจเลือกนิยายเรื่องต่อไปมาอ่านได้บ้างไม่มากก็น้อยคะ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องอะไร โปรดติดตามตอนต่อไปค่า
 




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2563   
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2563 9:43:47 น.   
Counter : 5083 Pageviews.  


The Untamed – ปรมาจารย์ลัทธิมาร - Mo Dao Zu Shi (ม๋อเต้าจู่ซือ) รีวิว

ผู้แต่ง: โม่เซียงถงซิ่ว

แปล: อลิส

สำนักพิมพ์: Bakery Book



*** คำเตือน อาจจะมีสปอยล์นะคะ แบบที่ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ดังนั้นใครที่ไม่ชอบถูกสปอยล์ก็อย่าเพิ่งเข้ามาอ่าน เราเตือนคุณแล้ว***



ใครจะว่าเราเรียกแขกด้วยการหยิบนิยายเรื่องดังมาเขียนทั้งๆ ที่ สนพ. ยังแปลออกมาไม่ครบจนจบ ก็ช่างนะคะ เพราะจริงๆ มีเหตุผลที่เลือกหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเขียนก่อนอยู่หลายประการ ข้อแรก นี่เป็นนิยายจีนเรื่องแรกที่เราตัดสินใจอ่าน หลังจากที่ไม่ได้อ่านนิยายจีนมานานกว่า 20 ปี เนื่องจากความเข้าใจแบบผิดๆ ว่า มันอ่านยาก แค่จำชื่อก็จะแย่แล้ว แล้วเป็นไงล่ะ หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาก็เรียกได้ว่างานเข้า เพราะนอกจากเนื้อเรื่องยาวมาก ตัวละครก็เยอะ แถมตัวละครเด่นๆ ตัวนึง นี่ก็ปาเข้าไปสามชื่อ ไหนจะนามหลัก นามรอง ไหนจะฉายา ตัวสำคัญรองๆ ลงมาก็ต้องมีอย่างน้อยๆ สองชื่อไปอีก ไหนจะชื่อเมือง ชื่อสถานที่ ชื่อสกุล ชื่อเหตุการณ์ นับว่าท้าทายในการหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง เหตุผลที่สองเพราะจู่ๆ ก็มีคลิปที่ตัดสั้นๆ จาก WE TV ของตัวซีรี่ย์ ที่ขึ้นมาเป็นคลิปแนะนำหราอยู่ข้างๆ แทบทุกครั้งที่เข้า YouTube แล้วเอาจริงๆ นะ หน้าของนักแสดงที่มารับบทตัวเอกของเรื่องสองคน มันดีงามมากจนต้องคลิกเข้าไปดู สุดท้ายก็ติดหนึบจนต้องดูให้จบจนได้ และเหตุผลที่สาม ถามคนรู้จักแล้ว มีแต่คนบอกว่า พี่... ดูเถอะ ไม่งั้นพี่ก็หาหนังสือมาอ่านก็ได้ แต่ยังแปลภาษาไทยไม่จบหรอกนะ แต่พี่จะชอบแน่ๆ

เนื่องจากแต่เดิมเราเป็นคนขี้เกียจดูซีรี่ย์มาก แถมเรื่องนี้ยาวหลายตอน ก็เลยคิดว่างั้นไปหามาอ่านดีมั้ยนะ เพราะรู้สึกมันดังเหลือเกิน ใครๆ ก็พูดถึง แต่... สนพ. ยังแปลภาษาไทยออกมาตอนนั้นแค่ 2 เล่มเองมั้ง เลยเอายังไงดี ไม่อยากจะติดค้างในใจ ก็เลยตัดสินใจแบบบ้าเลือดมาก นั่นก็คือ ขอเข้าไปอ่านในเว็ปที่มีแฟนนิยายเรื่องนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษดูก่อนดีมั้ยนะ ก็เข้าไปค่ะ แล้วก็ได้เห็นแล้วว่าแปลดีมาก ทักษะการแปลเลิศเลอเหลือเกิน ต้องขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าเราทำงานเป็นทั้งล่าม ทั้งนักแปล ดังนั้นการจะเข้าไปหาอ่านนิยายเป็นภาษาอังกฤษนั้น ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ปัญหาอย่างเดียวก็คือ การอ่านภาษาจีนแบบ Pinyin มันช่างยากเย็นยิ่งนัก แล้วมือใหม่อย่างเรา ลำพังชื่อจีนที่สะกดเป็นภาษาไทยก็จำยากจะแย่ นี่เริ่มอ่านนิยายจีนจากภาษาอังกฤษ ก็พูดได้คำเดียวว่า กล้ามาก ใครที่อยากจะอ่านเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่แปลตั้งแต่ต้นจนจบไปจนถึงตอนพิเศษด้วยนั้น ก็สามารถตามเข้าไปดูใน Link นี้ได้เลยค่ะ
https://exiledrebelsscanlations.com/novels/grandmaster-of-demonic-cultivation/
 
นั่นล่ะค่ะ พอเข้าไปอ่านได้ซักเกือบๆ 100 หน้า ก็ตัดสินใจทันทีว่า จะต้องอ่านจนจบ แต่ด้วยความที่ไม่สามารถทนอ่านอะไรยาวๆ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ จึงตัดสินใจรวบรวมทั้งหมด จัดหน้าใหม่แล้วก็ส่งไปให้ที่ร้านพริ้นต์เอ๊าท์ออกมาพร้อมเย็บเล่มเสร็จ รวมทั้งสิ้น 5 เล่ม ความหนาทั้งหมดเกิน 1000 หน้ากระดาษ A4 ส่วนเรื่องชื่อที่ยังอ่านได้ไม่คล่อง การแวะเวียนเข้าไปดูซีรี่ย์บ้าง ช่วยได้มากค่ะ สิริรวมแล้วเราอ่านไปทั้งหมด 3 รอบ รอบแรกก็ได้ภาพรวมของนิยายทั้งหมด รวมถึงเหตุการณ์ทั้งหมด รอบที่ 2 เก็บรายละเอียด และรอบที่ 3 แค่อยากอ่านซ้ำเพราะชอบมากแค่นั้นเอง หลังจากนั้นถึงค่อยตามมาดูซีรี่ย์อีกที แต่เพราะดูตอนสั้นๆ ในซีรี่ย์ไปแล้วประมาณนึง ทำให้ภาพของเว่ยอิงในหัวก็คือเซียวจ้าน และภาพของหลานจ้านก็คือหวังอี้ป๋อค่ะ ไม่ต้องจินตนาการอะไรมากเลย เพราะสองคนนี้คือเว่ยอิงกับหลานจ้านที่เหมาะที่สุดในโลกแล้วแหละ ดังนั้นรีวิวนี้ ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าคงจะต้องมีการพาดถึงซีรี่ย์ไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ นะคะ

ตอนที่ได้ยินชื่อ ปรมาจารย์ลัทธิมาร ครั้งแรกก็คิดปรุงแต่งไปก่อนแล้วว่า น่าจะเป็นซีรี่ย์กำลังภายไหนที่หนีไม่พ้นแนวธรรมะปราบอธรรมแน่ๆ คือก็รู้มาบ้างว่า นิยายน่ะจะออกแนววาย ส่วนซีรี่ย์เนื่องจากไม่สามารถทำออกมาแนวนี้ได้เลยเพราะต้องไม่ผ่านเซ็นเซอร์ของจีนแน่ๆ ก็เลยต้องนำมาดัดแปลงให้ออกมาเป็นแนวมิตรภาพ แต่พออ่านนิยายแล้วมาดูซีรี่ย์จบ คืออยากจะกราบคนเขียน รวมทั้งผู้กำกับและทีมงานของซีรี่ย์เป็นอย่างมาก คือนิยายเรื่องนี้สนุกมาก ในขณะที่ซีรี่ย์ก็ทำออกมาได้ดีมาก ส่งเสริมกันสุดๆ ขนาดถูกดัดแปลง ยังอยากจะคารวะทีมงานเหลือเกิน ถึงกะเคยอ่านเจอคอมเม้นต์แฟนต่างประเทศบอกว่า “นี่คือซีรี่ย์ไม่วายที่วายที่สุดเรื่องนึงเลย” แนะนำให้ไปดูกันค่ะ


เหมือนวิทยานิพนธ์เลยมั้ยล่ะคะ

ทีนี้เรามาพูดถึงนิยายกันหน่อยดีกว่าค่ะ ตอนที่เริ่มอ่านได้ไม่กี่หน้า ยอมรับเลยว่าพล็อตเรื่องน่าติดตามมาก ก็เลยทำให้หยุดอ่านไม่ได้ พออ่านๆ ไปอีกก็จะมีงงๆ อยู่บ้าง ตั้งแต่เรื่องชื่อ ไปจนถึงการเล่าเรื่องที่จะมีการ Flashback ไปมา แต่พออ่านไปนานเข้า จะเริ่มเข้าใจค่ะ ต้องอย่าลืมว่าเราอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ เลยต้องใช้เวลาหน่อย แต่เรารู้สึกว่ามันจะต้องน่าสนุกแน่ๆ เลย ตอนที่พอได้อ่านช่วงเริ่มเรื่องที่มีคนพูดถึงเว่ยอิง หรือเว่ยอู๋เซี่ยน ว่าเป็นปรมาจารณ์อี๋หลิง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจอมมารโฉดชั่วที่แสนจะโหดร้าย ไหนจะมีคนย้ำอีกว่าดีแล้วที่ตายไปเสียได้ แต่พอวิญญาณของเว่ยอิงกลับมาเกิดใหม่ในร่างของ โม่เสวียนอวี่ แล้วเราเริ่มได้ทำความรู้จักกับตัวละครตัวนี้ผ่านความคิดของของเว่ยอิงเอง เรากลับรู้สึกชอบเว่ยอิงมาก รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มันน่ารักและกวนตีนดี แล้วไหงถึงได้กลายมาเป็นปรมาจารย์อี๋หลิงได้วะ ความรู้สึกอยากติดตามมันเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกชอบตัวละครตัวนี้นี่ล่ะค่ะ

พอเปิดตัวเว่ยอิงแล้ว ก็ถึงเวลาที่เปิดตัวหลานจ้าน หรือหลานวั่งจี ที่ตอนต้นเรื่องกึ่งๆ จะถูกปูให้คนอ่านเข้าใจว่า เป็นศัตรูคู่แค้นของเว่ยอิง เอาง่ายๆ ก็คือ เว่ยอิงเป็นจอมมารฝ่ายอธรรม แล้วหลานจ้านก็เป็นจอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะนั่นล่ะ ถ้าตามสูตรแล้วคู่นี้ยังไงก็จะต้องเป็นศัตรูคู่แค้นในระดับที่จะต้องฟาดฟันกันถึงตายแน่ๆ แต่ถ้าเรื่องราวมันง่ายปานนั้น นิยายเรื่องนี้คงไม่โด่งดังขนาดนี้หรอกค่ะ อันนี้ขอยกเครดิตให้กับชั้นเชิงในการวางพล็อตเรื่องของผู้แต่งคือ โม่เซียงถงซิ่ว คือวางพล็อตเก่งมาก อ่านแล้วรู้เลยว่าไม่ได้คิดแค่จะแต่งนิยายวายให้คนอ่านได้ฟินกันแค่นั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว หรือแม้แต่ตัวละครที่โผล่มาแต่ละตัว แต่ละช่วงนี่คือวางแผนมาอย่างดีจริงๆ

เอาแค่แบ่งกลุ่มตัวละครให้เป็นตระกูลใหญ่ที่มีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันถึง 4-5 ตระกูลแบบลงรายละเอียดมากมายนี่ก็น่าทึ่งมากแล้ว ไม่ว่าจะสกุลหลานแห่งกูซู สกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่ง สกุลเนี่ยแห่งชิงเหอ สกุลจินแห่งหลานหลิง หรือสกุลเวินแห่งฉีซาน ไหนจะสกุลเล็กสกุลน้อยที่ปรากฏอยู่เป็นระยะ การสร้างตัวละครแต่ละตัวก็มีความสำคัญอย่างมาก และทำให้คนจดจำได้จริงๆ โดยเฉพาะบุคลิกของตัวละครหลัก (ที่แฟนๆ เรียกว่าพระเอกนายเอก) เว่ยอิงจะเป็นคนร่าเริงสดใส เป็นคนรักอิสระ คิดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ส่วนหลานจ้านจะเป็นคนพูดน้อยถึงไม่พูดเลย ใส่ใจเรื่องกฎระเบียบ ง่ายๆ ก็คือเป็นคนที่เป๊ะทุกกระเบียดนิ้วเข้าขั้นเป็นผู้ชายทื่อๆ คนนึง เพราะฉะนั้นถึงจะหล่อเหลางดงามระดับติดท็อปชาร์ต ก็ยังคงเป็นรองพี่ชายตัวเอง ที่หล่อเป๊ะเหมือนกันแต่นิสัยดีกว่านั่นล่ะค่ะ แต่โดยพื้นฐานแล้ว ตัวละครทั้งสองตัวมีความมุ่งมั่นตั้งใจเหมือนกัน นั่นก็คือการช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า หรือเป็นจอมยุทธ์ผู้มีคุณธรรมนั่นแหละเรียกง่ายๆ

นอกจากเรื่องราวซับซ้อนสนุกซ่อนเงื่อนแล้ว ความแตกต่างของตัวละครหลักทั้งสองก็ก่อให้เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจมากเช่นกัน ตอนที่เราอ่านๆ ไปเนี่ย เราก็จะเห็นแหละว่าเว่ยอิงมีนิสัยที่โคตรจะต่างจากหลานจ้านมาก แต่เว่ยอิงดูจะถูกใจหลานจ้าน อันนี้ถ้าแบบไม่คิดลึกซึ้งเป็นอื่น ก็น่าจะแบบเหมือนปลื้มคนเก่งประมาณนั้น แต่ก็อดจะหมั่นไส้ไม่ได้ เหมือนพวกเด็กหลังห้อง พอเห็นเด็กเรียนเก่งแล้วจะอดไปป่วนไปแกล้งแหย่เค้าไม่ได้นั่นล่ะค่ะ เว่ยอิงถึงได้กวนโมโหหลานจ้านตลอด ในขณะที่หลานจ้านจะหงุดหงิดและโกรธเว่ยอิงวันละหลายรอบ แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าต่างคนต่างก็เริ่มสนิทกันไปเองโดยไม่มีการพูดกันชัดเจนว่าเราเป็นสหายกันหรืออะไรก็ตามแต่ ต้องบอกก่อนว่า ตอนที่สองคนนี้รู้จักกันใหม่ๆ ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลยค่ะ แล้วมันจะมีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ต่างฝ่ายต่างจับสังเกตุกันแล้วก็เกิดเป็นความประทับใจที่ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เฉยเลย

ทีนี้มีมันก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย โดยที่ทั้งสองคนต้องเข้าไปมีเอี่ยวด้วยกันอยู่บ่อยๆ ก็เลยเริ่มสนิทกันขึ้นมา ในขณะเดียวกันเราก็จะได้เห็นแล้วว่าชีวิตของเว่ยอิงเริ่มจะมีอะไรต่างๆ เข้ามาสร้างผลกระทบแล้ว และมันมีผลต่อหนทางที่เว่ยอิงเลือกเดินอย่างมากชนิดที่ว่าต้องแลกกับชีวิตของคนรอบตัวและชีวิตของตัวเองเลยล่ะค่ะ แต่ตอนนี้แหละ ที่ทำให้เราเห็นว่าฉายาปรมาจารย์อี๋หลิงนั้น เว่ยอิงได้มายังไง ซึ่งมันช็อกเรามากตรงที่ เฮ้ย... คนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารร้ายในเรื่องนี้ มันไม่ใช่มารนี่หว่า แล้วมันทำให้เราตั้งคำถามกับพวกที่บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะอย่างมาก มันมีคำพูดมากมายนะคะทั้งจากในนิยายและในซีรีย์ที่เว่ยอิงเอ่ยออกมาแล้วมันดีมาก ชวนให้คิดตามมากด้วย มันสะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินคนอื่นแบบผิดๆ แบบพวกมากลากไป คือตอนอ่านนี่แบบ เคืองแทนเว่ยอิงอ่ะค่ะ แล้วมันทำให้เราเอาใจช่วยปรมาจารย์อี๋หลิงไปเลย แบบไม่ใช่เพราะรู้ว่าเว่ยอิงเป็นหนึ่งในพระเอกด้วยนะ แต่เราได้เห็นการเติบโตของตัวละครตัวนี้ ได้เห็นว่าเว่ยอิงต้องเจอกับอะไร และเพราะอะไรถึงตัดสินใจแบบนี้หรือเลือกหนทางแบบนี้ เพราะเราเชื่อว่าลึกๆ แล้วถ้าเลือกได้ เว่ยอิงคงอยากให้มันเป็นไปอีกแบบมากกว่า แต่เมื่อถูกบีบคั้นมากๆ มันก็ต้องเลือกในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ซึ่งที่จริงก็ยังอยู่บนหนทางที่ว่าช่วยเหลือผู้อ่อนแอและไม่มีอะไรต้องละอายใจแต่เดิมนั่นหละ เพียงแต่ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ตัดสินไปแล้วว่าคนดีๆ เขาไม่ทำกันแบบนี้ เว่ยอิงจึงถูกประนามหยามเหยียดอย่างยิ่ง เราเองก็ไม่ได้คิดว่าเว่ยอิงทำถูกไปเสียทั้งหมดนะคะ เพราะเอาจริงๆ เวลาเว่ยอิงโหดขึ้นมาก็อำมหิตเหลือเกิน ถึงแม้ในใจจะบอกว่าอีกฝ่ายสมควรโดนก็เถอะ นี่ก็เรียกว่าฉีกขนบพระเอกไปเลยเหมือนกัน แต่นิยายเรื่องนี้ก็ฉีกขนบฝ่ายธรรมะซะแหลกลาญไปเลยเหมือนกันเถอะ

ในขณะเดียวกันฝ่ายหลานจ้านเอง จากคนที่เชื่อมั่นในกฎวินัยอย่างเคร่งครัดเท่าชีวิต เป็นคนที่มองโลกแบบเป็นสีขาวและสีดำไปเลย ก็เริ่มที่จะได้เรียนรู้แล้วว่าโลกไม่ได้ถูกแบ่งให้มีแค่คนดีและคนเลว ยิ่งพอได้เห็นว่าเว่ยอิงไม่มีทางจะเป็นคนชั่วร้ายได้เด็ดขาด แต่เพราะฝ่ายที่มองว่าตัวเองถูกต้องคอยตัดสินว่าเว่ยอิงชั่วร้าย ก็ยิ่งทำให้หลานจ้านรู้สึกขัดแย้งในใจมาก ที่จริงหลานจ้านเองก็ถูกบีบคั้นไม่น้อยเหมือนกัน เพราะตัวเองก็เหมือนเป็นตัวแทนหลักของฝ่ายธรรมะที่ทุกคนยกย่อง มันจึงเหมือนเป็นหน้าที่ว่า ต้องกำจัดมารร้ายในยุทธภพสิ แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นมารร้ายกลับกลายเป็นคนที่ตัวเองให้ความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างที่สุดนี่สิ แล้วหลานจ้านเป็นคนไม่พูด ไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลย มีอะไรก็เก็บเอาไว้ในใจคนเดียว ดังนั้นจึงพูดได้เต็มปากว่าเขาเองก็เป็นทุกข์อย่างยิ่งเกินกว่าที่ใครจะรู้ได้นั่นล่ะ

เราว่าสิ่งนึงที่ทำให้คนอ่านรู้สึกประทับใจกับคู่เว่ยอิงหลานจ้านมากก็คือ ความกำกวมของความสัมพันธ์นี้ในช่วงชีวิตก่อนที่เว่ยอิงจะตาย จนตอนที่เว่ยอิงตายไปต่อหน้า หลานจ้านคือคนที่ได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้มากกว่าใคร ถึงขนาดตามหาวิญญาณของเว่ยอิงไปด้วย เฝ้าโทษตัวเองไปด้วย แหกกฏสกุลไปก็หลายข้อแต่ก็ไม่สนใจ และมีชีวิตอยู่ด้วยความเสียใจอย่างที่สุดตลอดระยะเวลานานถึง 16 ปี จนกระทั่งเว่ยอิงฟื้นขึ้นมาในร่างของโม่เสวียนอวี่ แม้เว่ยอิงจะพยายามทุกทางเพื่อที่จะหนีให้ไกลจากหลานจ้าน เพราะเข้าใจไปเองว่าหลานจ้านเกลียดตัวเองมาตลอด ดังนั้นสู้ไม่ต้องเจอกันเสียเลยดีกว่าจะดีที่สุด ก็เป็นหลานจ้านนี่แหละที่รู้ก่อนใครได้เองว่า แท้ที่จริงเป็นวิญญาณของเว่ยอิงที่อยู่ในร่างของโม่เสวียนอวี่ แล้วเจ้าตัวก็ตามติดชีวิตเว่ยอิงจนเป็นเงาตามตัว ช่วยเหลือทุกอย่าง ถึงขั้นพาไปดินแดนไร้เมฆาของตระกูล เว่ยอิง (ในร่างโม่เเสวียนอวี่) ก็พยายามจะป่วนหลานจ้านทุกทางให้ทนไม่ได้ แล้วจะได้ปล่อยตัวเองไปซะ แต่ปรากฏว่า หลานจ้านที่เว่ยอิงไม่เจอมา 16 ปีนิสัยเปลี่ยนไปจากหลานจ้านคนก่อนมาก เพราะไม่ว่าจะป่วน จะแหย่ยังไง หลานจ้านก็ไม่เคยโกรธ ได้แต่ทำหน้านิ่งๆ แล้วก็เอ่ยออกมาว่า “อืม” สั้นๆ แล้วก็ตามติดต่อไป ไม่ยอมห่าง แถมยังตามใจเว่ยอิงทุกอย่าง ใครจะว่ายังไงก็ไม่สน เรียกว่าจากกันไป 16 ปี หลานจ้านได้ใจสาววายไปค่อนโลกเลยค่ะ อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดก็คือเรื่องผ้าคาดศีรษะของสกุลหลานของหลานจ้าน อันนี้ก็เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ เรียกว่าเป็นตัววัดพัฒนาการความสัมพันธ์ของทั้งหลานจ้านและเว่ยอิงที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่องเลยเหมือนกัน

การเดินเรื่องในนิยายจะเป็นการตัดสลับเรื่องราวก่อนที่เว่ยอิงจะตาย กับเว่ยอิงที่เกิดใหม่ในร่างของโม่เเสวียนอวี่ ไปตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งตื่นตาตื่นใจมากค่ะ อ่านสนุกอ่ะ แล้วก็จะมีเรื่องราวสั้นๆ ที่แทรกอยู่ในโครงเรื่องหลักด้วย และที่โขมยซีนมากที่สุดก็คือเรื่องราวโศกนาฏกรรมเมืองอี้ ที่แบบ อ่านแล้ว... มันพีคค่ะ จุกในอกมาก แค่ตอนนี้ตอนเดียว สามารถตัดไปเขียนเป็นไซด์โปรเจ็กต์ได้อีกเรื่องเลยนะ อ่านสนุกมาก แล้วก็เป็นเรื่องที่จะไม่ขอย้อนกลับไปอ่านอีกแล้ว เพราะอะไรก็ขอให้ลองไปอ่านกันดูนะคะ มันดีมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวซ่งหลาน เสี่ยวชิงเฉิน เซวียหยาง หรือแม้แต่อาฉิง ล้วนแล้วแต่น่าสนใจค่ะ แถมในเมืองอี้ยังได้ทีมรุ่นจูเนียร์ของแต่ละตระกูลมาร่วมสร้างสีสันด้วย ทั้งตระกูลหลานที่มีหลานซีจุย และหลานจิงอี๋ จินหลิงที่มีศักดิ์เป็นหลานของเว่ยอิง นอกจากนี้แล้วนะคะ การสร้างตัวละครต่างๆ ในเรื่องก็ล้วนสำคัญแบบขาดใครไปไม่ได้เลยจริงๆ

ตั้งแต่อ่านนิยายหรือดูซีรีย์มา เรื่องนี้นี่คือตัวละครโคตรเยอะ (ตายไปก็เยอะ) แต่กลับทำให้เราจดจำแต่ละตัวได้หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเจียงเฉิง ที่แสนเจ้าอารมณ์ กับศิษย์พี่เจียงเยียนหลี ที่เป็นพี่น้องของเว่ยอิง หลานซีเฉิน พี่ชายสุดหล่อของหลานจ้าน เนี่ยหวายซัง จินกวงเหยา เวินหนิง และอีกมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่มีบทบาทสำคัญแตกต่างกันไป แต่ก็ทำให้นิยายเรื่องนี้มีมิติมากขึ้นไปอีก เพราะมันไม่ได้เป็นตัวละครที่แบบคนนี้ดีอย่างเดียว คนนี้เลวอย่างเดียว คนนี้น่าสงสารแล้วจบแค่นั้น แต่มันซับซ้อนกว่าที่เห็นมาก ตัวละครที่เราคิดว่าดีมาตลอด แต่กลับมีด้านมืดที่น่ากลัวซ่อนอยู่ซึ่งชวนให้คนเกลียดชังเหลือเกิน สุดท้ายกลับเกลียดไม่ลงเพราะเหตุผลที่ทำกลับน่าสงสารและน่าเห็นใจ ตัวละครบางตัวดูไม่เอาไหน ราวกับเป็นคนขี้แพ้มาตลอดทั้งเรื่อง แต่ที่จริงกลับฉลาดลึกซึ้งกว่าใคร บางคนดูน่าสงสารอ่อนแอ แต่กลับมีพลังแข็งแกร่งซ่อนอยู่ หรือแม้แต่ตัวละครหลักทั้ง 2 ในเรื่องอย่างหลานจ้านและเว่ยอิงก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไรเลย ต่างคนต่างก็มีข้อเสียอยู่ด้วยกันทั้งนั้น

ยิ่งตอนจบที่เฉลยปมทุกอย่างออกมาหมดนี่ ถึงกับทำให้ต้องร้องเช้ดดดดดดด.... คือ โอ้โห ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก แล้วทำดีทั้งนิยายและซีรี่ย์เลยนะคะ เพราะว่าดูจนจบมาขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้พูดถึงด้วยก็คงไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ในวันที่เขียนรีวิวนิยายเรื่องนี้ (28 พ.ค. 2020) ฉบับแปลภาษาไทยยังไม่จบสมบูรณ์ (น่าจะขาดไปอีก 2 เล่ม) แต่ก็เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ดูได้อ่านมาบ้างแล้ว คงพอจะรู้รายละเอียดกันหมดแล้ว แต่แม้แต่เราทั้งอ่านและดูซีรีย์จนจบ ก็ยังอยากจะซื้อฉบับภาษาไทยมาเก็บเอาไว้ เพราะก็น่าจะได้อรรถรสไปอีกแบบ ที่สำคัญฉบับแปลภาษาไทย ทำหน้าปกออกมาสวยมาก ตั้งแต่ภาพวาดไปจนถึงการเคลือบสีพิเศษเป็นเมทัลลิก น่าสะสมมากค่ะ

เอาจริงๆ การรีวิวนิยายที่ชอบมากๆ นี่ก็ยากอยู่นะคะ ยิ่งถ้าเรารู้รายละเอียดเยอะ จะหยิบจับอะไรมาเขียนก็ดูจะยืดยาวไปซะหมด ที่เขียนนี่ก็คือเจาะไปในประเด็นที่เห็นว่าน่าสนใจเป็นการส่วนตัวเท่านั้นนะคะ พยายามที่จะเลี่ยงไม่ไปเล่าเรื่องหรือสปอยล์อะไรมาก แต่เพราะไม่แน่ใจนี่ล่ะค่ะเลยต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ถ้าใครไม่อยากรู้เรื่องเยอะก่อนอ่านก็จะได้ระวังไว้ แต่ถ้าใครที่เคยอ่านแล้ว หรือไม่มายด์ถ้าจะมีคนมาเล่าอะไรให้อ่าน ก็หวังว่าจะให้ความบันเทิงได้บ้างนะคะ ก่อนหน้าที่จะหลงเข้ามาวงการนี้ ก็เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “หลงอยู่ในกูซู ทุกวันนี้ยังออกไม่ได้” อยู่บ่อยครั้ง มาวันนี้เข้าใจแล้วค่ะ เชื่อว่าถึงตอนนี้ก็ยังคงมีคนหลงอยู่ในนั้นและออกไม่ได้จำนวนมากทีเดียว

เข้ามาแชร์กันได้นะคะสำหรับคนที่เป็นแฟนรวมถึงคนที่อยากจะกลายเป็นแฟนนิยายเรื่องนี้ เพราะมันสนุกและน่าติดตามจริงๆ เราเองเคยขียนนิยายมาก่อน ก็รู้อยู่แล้วว่านิยายดีๆ ซักเรื่อง กว่าจะเขียนออกมานั้นไม่ง่าย แต่สำหรับ ปรมาจารณ์ลัทธิมาร นี่ เรายอมใจเลยค่ะ เพราะเขียนดีจริงๆ วางพล็อตวางอะไรเก่งมาก รายละเอียดทุกอย่างดีงามไปซะทุกสิ่งอย่าง ถึงตอนนี้ยังหานิยายเรื่องไหนมาโค่นลงได้ยากมากจริงๆ ในความเห็นส่วนตัวของเรา

ก่อนจะจบรีวิว บอกไว้ก่อนว่างานของ โม่เซียงถงซิ่ว ยังมีอีกเรื่องที่เราตั้งใจจะเขียนถึงเหมือนกัน ขอดูจังหวะก่อนนะคะ แล้วจะมารีวิวให้อ่านกันอีกที ส่วนครั้งหน้าจะมารีวิวเรื่องอะไร อย่าลืมติดตามกันต่อคราวหน้าค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาติดตามกันค่ะ
 




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2563   
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2563 9:44:02 น.   
Counter : 9731 Pageviews.  


มาอ่านนิยายสนุกๆ กันค่ะ ^^

สวัสดีทุกๆ ท่านเลยนะคะ

เราไม่ได้เล่นพันทิปมานาน นานแบบนานมากๆ เรียกว่าถ้าเข้ามาก็เข้ามาอ่านหรือหาข้อมูลที่จำเป็นมากกว่าอย่างอื่น ส่วนเรื่องเข้ามาโพสต์กระทู้ ตอบกระทู้ หรือแม้แต่การเขียนบล็อกนี่ ห่างหายไปเรียกว่าเฉียดๆ 10 ปีทีเดียว ดังนั้นตอนที่กลับเข้ามาแล้วยังเห็นหน้า bloggang ตัวเองยังอยู่ดีนี่ พูดเลยว่าดีใจมาก

ในวันที่มาเขียนบล็อกนี้ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่าอยากจะกลับมาเขียนอะไรที่ตัวเองสนใจอีกจังเลย ซึ่งไม่ใช่อะไรค่ะ ช่วงระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา ก็มีเรื่องของ Covid-19 ใช่มั้ยล่ะคะ ก็ว่างงานมาก แต่เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ช่วงระยะเวลาที่ว่าก็เลยเอาหนังสือที่มีอยู่ รวมถึงที่สั่งซื้อทางออนไลน์ รวมถึงหยิบยืมจากคนรู้จักมาตะลุยอ่านอย่างเพลินเพลินอย่างยิ่ง คือเป็นการอ่านนิยายแบบบ้าเลือดมาก ถ้าให้นับจริงๆ ก็ไม่แน่ใจจำนวนที่แน่นอนว่ากี่เล่ม แต่ให้ประมาณคร่าวๆ คิดว่าไม่ควรต่ำกว่า 50 เล่มในรอบสองเดือน โดยในจำนวน 50 เล่มนี่ บางเรื่องมีการอ่านซ้ำด้วยนะคะ เพราะชอบมากเป็นการส่วนตัวจริงๆ

ทีนี้ในเมื่อเราอ่านหนังสือไปมากขนาดนี้ จะให้อ่านทิ้งอ่านขว้างไปเลยก็น่าเสียดายอยู่ จู่ๆ ก็เกิดวุฒิปัญญาขึ้นมาว่า เวลาที่เราจะเลือกอ่านหนังสือแต่ละเล่มแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย เราทำยังไงนะ อย่างแรกคือถามคนที่ก็ชอบอ่านเหมือนกันให้เค้าแนะนำ อย่างที่สองคือเข้าไปอ่านรีวิว แล้วก็เลยได้เห็นว่ารีวิวดีๆ นี่ทำให้คนตัดสินใจซื้อหาหนังสือซักเล่มมาอ่านได้ไม่ยากเลยหากเป็นคนที่ชอบอ่านหนักสือจริงๆ ก็เลยเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์เหมือนกันนะ ถ้าเราลองเขียนรีวิวหนังสือที่เราอ่านไปแล้ว 

ความตั้งใจก็คือ อยากจะเขียนรีวิวอ่านสนุก แต่ก็น่าจะมีประโยชน์ให้คนที่เข้ามาอ่านได้บ้าง จะนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี ตอนแรกก็ชั่งใจว่าจะจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในแวดวงวรรณกรรมหรือ ก็แลดูจะจริงจังผิดความตั้งใจไปสักนิด ไอ้เราก็แค่นักอ่านทั่วไป ไม่ได้มีความรู้มากมายขนาดนั้น งั้นก็จัดอยู่ในหมวดกว้างๆ คือหนังสือนี่ล่ะดีที่สุด

เมื่อก่อนเราอ่านหนังสือหลากหลายกว่านี้นะคะ ตอนหลังไม่ชอบอ่านอะไรที่หนักสมองมาก หรือจะต้องขบคิดอะไรมาก เพราะก็ไม่ได้เห็นว่าตัวเองเป็นคนคิดอ่านอะไรลึกซึ้งเป็นปรัชญาขนาดนั้น พอแก่ตัวมา การอ่านหนังสือคือการพักผ่อน คือความสุขและเป็นเวลาผ่อนคลายจริงๆ ดังนั้นระยะหลังจึงมีแต่นิยายที่ซื้อมาอ่านค่ะ โดยหลักๆ ก็เป็นนิยายจีนแนววายซะเยอะ เฮ้ย... มันสนุกกว่าที่คิดเอาไว้เยอะมากเลย หลายๆ เรื่องอ่ะนะคะ คือถ้ามองข้ามความวาย นักเขียนหลายคนเขียนได้ดีมากจริงๆ ไม่งั้นคงไม่มีเล่มที่เราต้องอ่านซ้ำขนาดนั้นหรอกค่ะ นอกนั้นก็เป็นนิยายไทย แล้วก็นิยายแปลจากทางฝั่งตะวันตก (ซึ่งหลายๆ ครั้ง ถ้าเป็นนักเขียนที่ชอบมาก ก็จะซื้อต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านเองเลยก็มี) เป็นต้นค่ะ

ดังนั้น ณ ตอนนี้การรีวิวนิยายของเราจึงจะเน้นเป็นนิยายจีนซะเยอะ เพราะอ่านไปเยอะมากจริงๆ ทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ หรือแม้แต่เรื่องที่ชอบมาก ก็จะเอามาเขียนแชร์กันให้ได้อ่านสนุกๆ กันนะคะ แต่ถ้ามีนิยายดีๆ อื่นใดเข้ามาแทรก ก็จะนำมารีวิวให้ได้อ่านด้วยเหมือนกัน จะได้เพิ่มความหลากหลายด้วย

หวังว่าจะได้รับการติดตามจากเพื่อนนักอ่านหลายๆ ท่านต่อจากนี้ไปด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่า




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2563   
Last Update : 23 มกราคม 2564 10:02:01 น.   
Counter : 1204 Pageviews.  


1  2  3  4  5  

fingers-crossed
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หวังว่าจะได้รับความบันเทิงจากการเข้าเยี่ยมชม Blog กันถ้วนหน้าจ้ะ
[Add fingers-crossed's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com