bloggang.com mainmenu search
สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ "นายก้อนดิน" กลับมาประจำการอัพเดทบล็อกสักหน่อย หาเวลาอันน้อยนิดจากการงานมาทักทายกับเพื่อนๆ ด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้งจากก้นบึ้งหัวใจครับ Smiley

ต้องออกตัวแรงสักนิด ว่าทริปชุดนี้ค่อนข้างค้างเติ่งเนิ่นนานเอาเรื่อง เล่นเอาเกือบข้ามปีเหมือนกันครับ แต่อย่างว่าความทรงจำจะเก็บไว้นานสักแค่ไหนมันก็ไม่มีวันหมดอายุที่ข้างกล่อง ยิ่งนานวันยิ่งมีคุณค่าทางความรู้สึก จริงมั้ยครับ... อิอิ



การเดินทางขึ้นเหนือในทริปนี้ ผมพอรำลึกความหลังได้ว่าผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ช่วงเย็นสักราวหกโมงของวันที่ 1 ม.ค. 56 เห็นจะได้ ด้วยภาระงานประจำที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องทำให้ผมต้องใช้วันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่หลังจากคนอื่นเขากำลังจะกลับมาเริ่มงานนั่นแหละ

ขับรถยาวตลอดค่ำคืน คิดว่าคงถึงเชียงใหม่ก็น่าจะย่ำรุ่งพอดี เรียกได้ว่าหมดเรี่ยวหมดแรงแทบถอดใจทิ้งนอนกลางทางซะหลายรอบ แต่ด้วยอารมณ์ความรู้สึกอยากใช้วินาทีให้คุ้มค่า มุ่งหน้าสู่ดอยอินทนนท์แบบไม่แยแสเมืองกรุงอีกต่อไป 

จากในภาพถึงทางขึ้นอินทนนท์เวลาประมาณ 6.30 น. ของวันที่ 2 ม.ค. ต้องบอกว่าประหลาดใจมากที่เราไม่ได้รับการต้อนรับจากแสงอาทิตย์ของวันใหม่ ทุกอย่างดูมืดมิดไม่ต่างกับตลอดค่ำคืนที่ผมบึ่งรถมา หรือดวงอาทิตย์จะยังไม่ส่างจากการฉลองปีใหม่เมื่อคืนที่ผ่านมากันนะ??





ภาพนี้เป็นแสงแรกของวันใหม่จริงๆ ที่เริ่มมาทักทายแต่ก็ต้องปาเข้าไปถึง 7.41 น. เข้าให้พระอาทิตย์ที่นี่ถึงจะตื่น แต่เวลาที่เราที่รอคอยสิ่งใดยิ่งนานเท่าไหร่เมื่อถึงเวลาสิ่งนั้นมาปรากฎขึ้นตรงหน้า เรายิ่งมองเห็นคุณค่าแห่งการรอคอยมากขึ้นเท่านั้น



"นายก้อนดิน" เองคับ นานๆ จะปรากฎตัวให้ได้เห็นในที่สาธารณะแบบนี้เป็นของแปลกประหลาดหายากเอาเรื่อง แบบว่าจะเป็นนางอายหรือนายอาย ก็คงไม่ผิด ขออภัยด้วยนะครับหากภาพติดตาท่านๆ ทั้งหลาย แนะนำให้หลับตาแล้วเอาน้ำล้างหน้าสัก 3 ขัน ภาพก็จะลางเลือนขึ้น อิอิ





การไปทริปอินทนนท์ในครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตที่ได้สัมผัสกับอากาศที่ "นายก้อนดิน" ไม่เคยเจอที่ไหนในเมืองไทยตั้งแต่เกิดมามีสัญชาติสยามประเทศ อุณหภูมิระดับ 9 องศา หาไม่ได้ง่ายๆ กับประเทศที่สนิทสนมและยึดถือความร้อนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวแบบบ้านเมืองเรา อีกทั้ง "นายก้อนดิน" ก็เป็นเด็กน้อยๆ กลางเมืองกรุงฯ ที่ร้อนอบอ้าวเหมือนเตาย่างบาร์บีคิวซะด้วยสิ



ขากลับมุ่งลงจากดอยอินทนนท์เวลา 8.33 น. อากาศยังหนาวเหน็บไม่ต่างจากช่วงเช้ามืด หมอกไม่จางหายยังคงทำหน้าที่ปิดถนนเพียงแต่ไม่ได้กดดันหรือคาดหวังสิ่งใดจากรัฐบาล มันแค่คอยทำหน้าที่เติมเต็มความสวยงามของธรรมชาติให้มนุษย์โลกได้ตื่นตาก็เท่านั้น





หลังจากพักผ่อนเรียบร้อยเพื่อชาร์จพลังหลังจากขับรถข้ามวันข้ามคืน ร่างกายกลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้งหลังจากหัวใจมันเรียกร้องมาตั้งแต่เช้า คว้ากุญแจบึ่งรถออกจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี อันลือลั่น พอถึงก็เริ่มด้วยการทักทายเจ้ากวางน้อยหน้าตาน่ารักเสียก่อนเลย 





หลินปิงตัวจริงนอนเกาพุงอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ไม่ใช่ที่นี่ ใครอย่าเผลอมาผิดละถ้าอยากไปเห็นเจ้านั่นตัวเป็นๆ เพราะที่นี่มีแต่รูปปั้นนะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน Smiley







จุดไคลแมกซ์ของที่เชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี ชื่อก็บ่งบอกชัดเจนว่าสวนสัตว์กลางคืนนั่นแหละ ตรงๆ ตัวไปเลย "นายก้อนดิน" ขอสารภาพโดยดุสดีว่าตอนที่นั่งรถเพื่อชมสัตว์นั้นมัวแต่ตื่นตาตื่นใจ จนไม่ได้ฟังเจ้าหน้าที่สาวเสียงหวานบรรยายแม้แต่น้อย จนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าสัตว์ชนิดไหนเป็นชนิดไหนกันบ้าง เอาเป็นว่าขอทำตัวเงียบๆ สงบปากสงบคำ โชว์ภาพอย่างเดียวก็แล้วกันจ้า สัตว์บางชนิดก็คุ้นหน้าคุ้นตาแหละเนอะ อย่าว่ากันนะค้าบ



















ใช้เวลาอยู่ในเชียงใหม่ ไนท์ซาฟารี เกือบ 3 ชม. ไม่มีความรู้สึกว่าอยากกลับสักวินาที รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ แต่เวลาก็ยังคงไม่หยุดเดิน เราทุกคนก็มีหน้าที่ต้องเดินตามมันให้ทันอยู่ดี

จากวันนั้นจนวันที่ "นายก้อนดิน" นั่งเขียนบล็อกอยู่นี่ เวลาก็ผ่านไปเกือบปีแล้ว ถ้านับเป็นวันก็หลายร้อยวันหลายพันชั่วโมง ที่ผมขโมยความทรงจำดีๆ กลับมาจากที่นั่น บอกได้แค่เพียงว่า ผมยังรักษาความทรงจำที่ขโมยมาไว้อย่างดีครบถ้วน และสัญญาว่าจะกลับไปขโมยมันมาเก็บไว้อีกอย่างแน่นอน...Smiley


Create Date :08 กันยายน 2556 Last Update :8 กันยายน 2556 12:35:37 น. Counter : 2233 Pageviews. Comments :32