bloggang.com mainmenu search




สวัสดีเช้าวันศุกร์แสนสดใสครับเพื่อนๆ  "นายก้อนดิน" ดีใจมากๆ ที่วันนี้ได้มีเวลามาอัพบล็อกใหม่สักที หลังจากหายหน้าหายตาไประยะใหญ่ๆ เลยทีเดียว เดี๋ยวอัพบล็อกเสร็จจะได้ไปทักทายบล็อกเพื่อนๆ คนคุ้นเคยต่อครับ

วันนี้จะพาไปจังหวัดทางภาคเหนือเหมือนเดิมคับ อิอิ ยังเป็นสต็อกเก่าเก็บจากทริปก่อนอยู่ครับ พาเที่ยวภาคเหนือช่วงเดือนเมษายนดูจะขัดกับสภาพบรรยากาศอยู่ไม่น้อยเลย 5555 

แต่เอาเป็นว่า ถือซะว่าเป็นการไปเที่ยวนอกฤดูกาลละกันเนอะ ตามมากันเลยครับ กับจังหวัดลำปาง เมืองที่เค้าว่ากันว่าเป็นแค่ทางผ่าน และต้องคำสาปนานนับร้อยปี...!! 



แลนด์มาร์กของเมืองลำปางที่เป็นสถานที่ที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี "พระธาตุลำปางหลวง" ผมเองเคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่ยังเด็กตัวเล็กๆ เท้าเท่าฝาหอย จน ณ วันนี้พอได้มายืนอยู่ในสถานที่นี้จริงๆ มันทำให้นึกถึงวันเวลาเก่าๆ ครั้งแรกที่เคยมโนภาพเอาเองในจินตนการในตอนนั้น รู้สึกขนลุกแบบบอกไม่ถูก ฟังดูเว่อร์ไปหน่อย แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ Smiley





ด้านบน หลังจากเดินขึ้นมาก็จะมาพบ "พระเจ้าล้านทอง" ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถด้านหน้าเลย ตรงจุดนี้เราจะเห็นคล้ายๆ เจดีย์ทองที่สร้างขึ้นครอบพระเจ้าล้านทองเอาไว้อีกที มีความสวยงามมากๆ ซึ่งมีผู้คนเข้าแถวสักการะกันอย่างเนืองแน่นทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น ด้านหลังพระเจ้าล้านทอง จะเป็นที่ประดิษฐานของ "พระเจ้าทันใจ" อีกด้วย



หลังจากนั้นเดินต่อเข้ามายังด้านใน ก็จะพบกับพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระธาตุประจำปีของคนเกิดปีฉลู ที่ว่ากันว่าถ้าได้มาสักการะบูชา จะช่วยส่งเสริมโชคลาภบารมีต่างๆ ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมา

ต้องบอกว่าวันนี้ "ลำปาง ไม่ได้หนาวมาก" เลยจริงๆ เข้าขั้นร้อนตับแลบเลยนะครับ ช่วงที่ไปเป็นช่วงเดือน พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมานี้เอง

หลังจากอิ่มบุญ แถมรุ่มร้อนกับสภาพอากาศกันแล้ว คราวนี้ได้เวลาเข้าเช็คอินท์กับที่พักกันแล้ว 

"Villa Rassada" (วิลล่า รัษฎา) ที่พักไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ใหม่เอี่ยมอ่อง อยู่ใกล้กับสะพานรัษฎาภิเษก และถนนคนเดิน "กาดกองต้า" ทำให้คืนนี้ผมเลือกที่จะพักที่นี่ครับ 



ที่พักที่นี่ราคาไม่แพงครับ เริ่มตั้งแต่ 690 บาทจนถึงหลักพันต้นๆ ขึ้นกับรูปแบบห้อง ตัวโรงแรมตกแต่งเรียบง่าย ใหม่ และสวยงามใช้ได้เลยทีเดียว แต่มีข้อเสียนิดหน่อยคือที่จอดรถอาจไม่เยอะมากนัก



อย่างที่บอกครับ ห้องพักที่นี่ค่อนข้างใหม่มากพอสมควร จึงรู้สึกสะอาด เตียงนอน เฟอร์นิเจอร์ ก็ใหม่ตามไปด้วย ห้องที่ได้เป็นโทนสีม่วง แต่รู้สึกว่าที่นี่จะมีห้องอยู่หลายโทนสีเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเลือกห้องสีที่ชอบได้หรือเปล่า 555 แต่เอาเป็นว่า สีไหนก็นอนได้หลับสบายเหมือนกันละครับ ดูจากภาพเอาเอง





ตรงประตูเข้ามา ก็จะเจอตู้เสื้อผ้าแบบบิลท์อินด้านขวา ด้านซ้ายเป็นประตูห้องน้ำครับ แบบพิมพ์นิยมของห้องพักอยู่แล้ว



ห้องน้ำก็ตามมาตรฐานทั่วไปครับ ขนาดไม่ได้ใหญ่โตมาก สะอาด ไม่มีกลิ่นกวนใจ มีเครื่องทำน้ำอุ่น ฝักบัว บราๆ ครับ เหมือนที่อื่นๆ 



ทางเดินไปยังห้องพัก แบ่งเป็นซ้ายขวา ดูสะอาดเรียบร้อยใช้ได้เลยครับ อาจเป็นเพราะยังใหม่อยู่ อย่างที่บอกตั้งแต่ต้น ถ้ายังรักษาความสะอาดแบบนี้ไว้ได้ในระยะยาว ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการมาลำปางครั้งต่อไปเลย ซึ่งคิดว่าคงอีกหลายปีกว่าผมจะได้กลับไปจังหวัดนี้อีก

หลังจากเช็กอินท์เสร็จ สำรวจห้องไปเรียบร้อย ก็ถึงเวลาออกไปเตร็ดเตร่ในช่วงเย็นได้แล้วครับ แน่นอนผมเลือกที่จะต้องขึ้นรถม้าของขึ้นชื่อเมืองลำปาง ไม่งั้นจะเรียกว่ามาถึงลำปางได้อย่างไรกัน ซึ่งทางโรงแรมก็มีบริการตามรถม้าให้ด้วยครับ เค้าจะขี่มารับถึงหน้าโรงแรมเลยทีเดียว เยี่ยมเลย 



มาแล้ว รถมาของเรา ภาพนี้ถ่ายตอนลงจากรถม้าแล้วนะครับ พอดีผมขอลงตรงตลาดกาดกองต้า ไม่ได้วนกลับมาที่โรงแรม ผมจำราคาค่าบริการไม่ได้ ต้องขออภัยจริงๆ จำได้เลาๆ ว่า 2-3 ร้อยบาทต่อเที่ยว ถ้าจำผิดต้องขอโทษด้วยนะครับผม





คนขี่รถม้าของผม เป็นคุณน้าผู้หญิงครับ น่ารัก พูดเก่ง เล่าประวัติของเมืองลำปางให้ฟัง ออกแนวเป็นไกด์ ไปในตัว ผมจำชื่อน้าสาวคนนี้ไม่ได้ (ลืมอีกแล้ว ต่อไปต้องเลิกดองบล็อกสักทีครับ ลืมรายละเอียดไปเยอะ) แต่พอระลึกได้ว่าน้าสาวแกเล่าให้ฟังครับ ว่าขี่รถม้ากับแฟนกัน 2 คน มีม้าอยู่ 5-6 ตัว ผลัดเปลี่ยนเวรกันออกรอบครับ ไม่ใช่ให้ม้าวิ่งทุกวันนะ ไม่ต้องห่วง แล้วอีกอย่างอย่าคิดว่าเป็นการทรมานสัตว์ เพราะเราใช้บริการก็กลายไปเป็นค่าอาหารของเจ้าม้านี่แหละ แต่ละตัวกินไม่น้อยเลยเชียว

พอน้าสาวแกเล่าประวัติส่วนตัวคร่าวๆ ก็เริ่มเล่าประวัติต่างๆ นานา ของเมืองลำปาง ถึงการเป็นเมืองทางผ่านและต้องคำสาปจากในอดีต ทำให้เป็นเมืองที่ทำมาค้าขึ้นไม่ค่อยได้ เมืองลำปางเลยเปรียบเสมือนเมืองที่ทุกอย่างหยุดอยู่กับที่ ไม่ไหลตามกาลเวลา เราจึงไม่ค่อยได้เห็นตึกสูงในเมืองลำปาง แต่นั่นละครับที่ผมเรียกมันว่า "เสน่ห์" ที่หาจากที่ไหนลำบากแล้วในยุค 4G แบบนี้



กำลังนั่งคุยเพลินๆ ลมพัดโชยๆ บนรถม้าแสนคลาสิค ผมก็มาถึงถนนคนเดินกาดกองต้าแบบไม่ทันตั้งตัว ว๊าาา เวลาแห่งความชิลนี่มันผ่านไปเร็วเสียจริง 555 ว่าแล้วก็ลงจากรถม้าร่ำลาน้าสาวคนเก่งครับ แล้วเราก็เริ่มเดินตะลุยกันเองละทีนี้



ถนนคนเดินที่นี่ อย่าได้คาดหวังนะครับว่าจะใหญ่โต ของขาย ของที่ระลึกจะเยอะแยะบานตะไทแบบถนนคนเดินชื่อดังที่อื่นๆ อันนั้นมันธรรมดาไปบอกเลย Smiley

"กาดกองต้า" ซึ่งจริงๆ ก็คือตลาดนั่นหละฮะท่านผู้ชม เป็นตลาดเก่าที่ขนาบไปด้วยตึกรามบ้านช่องอายุนับ 100 ปี ว่ากันว่าที่รุ่งเรืองสุดขีดช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเลย เรียกได้ว่าเป็นถนนสายวัฒนธรรมก็คงไม่ผิด ผมบอกแล้วว่าที่นี่ไม่ธรรมดา

ของขายมีทั้งขนม อาหารการกินดั้งเดิมที่หายาก ไปยันเสื้อผ้าของที่ระลึกคละเคล้ากันไป ผู้คนไม่ได้มากมายเบียดเสียดคนน่ารำคาญ เรียกได้ว่าบรรยากาศน่าเดินเอามากๆ







เดินดูนู่นนั่นนี่ไปสักพัก พระอาทิตย์ไม่คอยท่าลับขอบฟ้าทิ้งเราไปซะอย่างนั้น คงด้วยความเพลิดเพลินจนลืมมองเข็มนาฬิกานั่นแหละครับ ไม่ใช่อื่นใด เลยต้องรีบเดินกลับจากกาดกองต้า เพื่อมุ่งหน้ากลับที่พักที่อยู่อีกฝากฝั่งของลำน้ำวัง ตอนมานั่งรถม้า ตอนกลับก็เดินใช้กรรมละครับ 555



เดินมาจนสุดตลาด ไม่รู้เรียกว่าหัวหรือท้ายตลาด เราต้องเดินข้ามสะพานรัษฎาภิเษกนี้ไป เพื่อข้ามแม่น้ำวังกลับไปยังที่พัก ซึ่งก็ไม่ได้ไกลมากเท่าไหร่หนัก



มาถึงแล้วววว ที่พักของเรา เล่นเอาเหงื่อตกแต่ถือว่าเดินย่อยหน่อยละกัน หลังจากซัดของกินอร๊อยอร่อยที่ตลาดมาเพียบเลย คืนนี้จะได้นอนหลับยาวๆ กันไป หุหุ

วันนี้ "นายก้อนดิน" ขอโบกมือบ๊ายบายเพื่อนๆ ทุกคนกันก่อนครับ ดูแลสุขภาพกันด้วยครับผม อากาศแปรปรวนเดี๋ยวร้อนฉ่า เดี๋ยวห่าฝน เป็นห่วงทุกคนครับ สุขภาพดีๆ จะได้เดินทางท่องเที่ยวเอาเรื่องราวมาฝากให้ผมได้ไปตามอ่านเดินทางตามรอยด้วยคนครับผม....^^
Create Date :01 เมษายน 2559 Last Update :1 เมษายน 2559 11:10:25 น. Counter : 5105 Pageviews. Comments :37