วิ่งสู้ฟัดที่ฮ่องกง (วันที่ 2)
21 สิงหาคม 2550นอนหลับกันสนิท จนแทบไม่อยากจะตื่น แต่ก็ อะนะ.... มาเที่ยวนี่นา ต้องเที่ยวให้คุ้ม จึงรีบตื่นกันแต่เช้าเพราะนัดกันที่เวลา 7.30 น. เพื่อจะไปกินติ่มซำ ร้านนี้ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราอยู่ เดินไปก็ถึง ชื่อร้าน "จิงหัว" อยู่ที่ชั้น 3 ของ Plaza hollywood ตามลายแทงอาหารอร่อยเค้าบอกยังงั้น พวกเราลงความเห็นกันให้ "ตุ้มศรี" เป็นคนคอยถามทาง ถามถูกก็ดีไป แต่ถ้าถามไม่ถูก นางมารร้ายก็คอยแยกเขี้ยวใส่ ....คิ คิ กำของตุ้มมันเจรงๆ นี่ไงบรรยากาศภายในร้าน "จิงหัว"กว่าจะได้หม่ำกันต้องใช้วิทยายุทธพอสมควร ที่ร่ำเรียนกันมามันใช้ไม่ได้ผลเลย เพราะไม่มีใครรู้เรื่อง เนื่องจากร้านนี้เป็นร้านที่คนท้องถิ่นเค้านิยมมากินกัน มันเลยไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ แถมบริกรก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้อีกด้วย พวกเราต้องงัดตำรา ภาษากวางตุ้งที่เตรียมไว้ออกมากาง จากแรก ปอเปี๊ยะหมู รสชาดโอเคก๋วยเตี๋ยวหลอด อีจานนี้มีปัญหา สั่งเตี๋ยวหลอดกุ้งไป ยกเตี๋ยวหลอดแบบไม่มีกุ้งมาให้ มีแต่เส้นม้วนๆ มา ดั๊นยกมาให้เรา 2 จาน อุวะ.... จะให้กุ้งเด้งในปาก มันกลับเด้งเข้าครัว ให้ต้องเปลี่ยนกันวุ่นวาย (โทษตุ้มมัน คิ คิ) ฮะเก๋ากุ้ง ภาษากวางตุ้ง ต้องลากกกกกกกเสียง เป็นฮะก๊าวววววว ซาลาเปาไส้ครีม อร่อยหอมหวาน ชื่นใจ ฮี่ ฮี่ เหมือนบรรยาย ยาสีฟันเลยวุ้ยยยดูไส้จิ๊ โห...ครีมไหลเยิ้ม แต่ไม่ไหลย้อนกลับ กระเพาะปลา อร่อยจังไม่ได้เอาแค๊บหมูมาทำเหมือนบ้านเราด้วย หุ หุขนมจีบ อันนี้เฉยๆ อร่อยแต่ไม่อร่อยแบบกินแล้วเหาะ อันนี้จำชื่อไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นหมู แต่เนื้อหมูนิ่มและอร่อยดี ได้ยินเสียงว่า ยังไม่อิ่มเลยต้องสั่ง จ๊ก คนบ้านเราเรียก โจ๊ก อีก 1 ถ้วย เค้ามีอันนี้มาให้กินกับโจ๊กด้วย ดูหน้าคนกินอิ่ม ยิ้มกันสวยทู๊กคนเร้ยย ถ้าไม่มีอาตี๋กับอาหมวย 2 คนนี้มาคอยดูแลนะ พวกเราต้องได้กินก๋วยเตี๋ยวหลอดไม่มีไส้ทั้ง 2 จานกองทัพเดินด้วยท้อง พร้อมลุย จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไป Nan Lian Garden ซึ่งเป็นสวนสาธารณะเปิดใหม่ได้ไม่นาน กำลังดังเลยตอนนี้ พวกเราขึ้น MTR ไปที่สถานี Diamond Hill Exit ห้าง Hollywood ใช้เวลาเดินทางแค่ 9 นาที เดินผ่านห้างไป แล้วข้ามถนนๆ ก็เจอจะสวนสาธารณะ ถ่ายรูปกับคนฮ่องกง กร๊ากๆๆ น้องเค้าน่ารัก ไอ้พวกแก่ๆ ที่นั่งๆ ยืนๆ ถ่ายรูปกะน้องเค้าหมองไปในบัดดลแผนผังคร่าวๆ ดูดิ๊ มีไรบ้างประตูเข้าสวน สวยกว่าประตูบ้านเราเยอะเลย 555ต่อไปพวกเราก็จะถ่ายรู เอ้ยถ่ายรูปกันแบบไม่บันยะบันยัง ยังเดินไปไม่ทันถึงไหน ก็ไปเก็บดอกไม้กันแล้ว บางคนก็เก็บน๊าน นาน จนต้องตามเข้าไปช่วยเก็บห้องน้ำเค้าสะอาดดีจัง แต่สวนนี้ทั้งสวนได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่ทำงานกันเคร่งครัด แค่ให้ช่วยถ่ายรูปให้ยังไม่ยอมเลย บอกว่า เป็นกฏของเค้าที่จะไม่ถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยว ก็คงจริงแหละ ไม่งั้นคงต้องถ่ายกันทั้งวัน เดินหน้าต่อดีก่า ตามพวกเรามาเลยนะก๊ะฮู้ววววววววว สวยจังเลย วิวข้างหลังนะ คนน่ะถอยยยไป ถ่ายรูปหมู่กันสักกะติ๊ด สักกะนิด สักนิด (พยายามร้องให้เป็นเพลง)What is it อะไรกันนี่ ศิลปะแบบจีน แต่ว่าฉากหลังเป็นตึกสูงรูปทรงทันสมัย ทำได้เช่นไรกัน อัศจรรย์มั่กๆเลยขอโบก ข้างในห้ามถ่ายรูป เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์ โธ่เว้ยยย..แค่นี้ก็หวง งั้นขอแค่บันไดก็ได้ฟร่ะ 1 2 3 ยิ้มจ้า ขออีกสักรูปเถ้อออ กับมุมนี้ ชอบเจรงๆ เลย ศิลปะจีนเห็นที่อื่นๆ ก็งั้นๆ แต่ทำไมที่นี้สวยจัง เจ้สั่งลุยกับตึกสูง ลูกเต้า สามงสามีไม่คิดถึงเลยนะเจ้น๊ามามะ ขออุ๊มั่งน้ำตกสวยๆ สักรูป ม่ายยอมๆๆ วันนี้ยังไม่ค่อยมีพวกเรา 2 คนเลย ส่วนนางนี้ ใครจะทำไรทำไป อะฮั้นขอถ่าย VDO อย่างเดียว เชอะๆๆ ถ่ายแล้วตัดต่อมาแจกกันด้วยนะยะ ทวงเว้ยทวง ก่อนจะออกไปจากสวนเพื่อไปวัดนางชี ขอปิดท้ายด้วยรูปนี้ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับร้านขายของที่ระลึก ที่เจ๊สั่งลุยของเรา ซื้อร่มไว้ แล้วตอนกลางคืน She ก็บริจาคไว้ให้สถานีรถไฟฟ้า ให้คนอื่นๆ เค้าไว้หยิบยืมไปใช้กัน ใจดีจิงจิ๊งงงง เจ๊ของเราติดๆกันนั้นเราก็เดินไปสำนักชี เค้ามีชื่อว่า Chi Lin Nunnery เดินไม่ไกลก็ถึงเพราะอยู่ติดกับสวนเลย นี่ไงพวกเราเข้ามาแล้วและนี่ไง ร่มของเจ๊ ...อิ อิ ไม่ชอบก็ไม่บอก ให้หนูก็ได้เสียดายอะ ตั้ง 400 มะเห็นต้องไปบริจาคไว้ที่สถานีรถไฟฟ้าเลย 555 เยาะเย้ยกันสุดฤทธิ์ ดู ดุ๊ แต่ละนางโพสท่ากัน ก็มันมีความสุขนี่นา ไปไหว้พระแล้ว แต่เค้าไม่อนุญาต ให้ถ่ายรูปอีกแล้วอ่า วัยรุ่นเซ็ง งั้นก็ถ่ายมันอยู่แถวนี้แหละ สวยป่าว หลังคาวัดหน้าตึกสูงๆ รูปนี้ทุ่มทุนสร้าง เพื่อเจ๊โดยเฉพาะ ให้เป็นรางวัลปลอมใจ กร๊ากกกกก กลับมาที่สถานี Diamond Hill เพื่อที่จะไป Wong Tai Sin แล้วออกทางออก B2 หรือ B3 เพื่อไปวัดหวังต้าเซียน วัดดังของชาวฮ่องกง บริเวณทางเข้าวัด จะมีคนมาขายธูปเทียนกันหลายเจ้า นักท่องเที่ยวมักจะโดนโกงกันหลายคนแล้ว เนื่องจากจะเป็นเทคนิค ว่าตอนซื้อเค้าจะบอกราคาคลุมเครือ พอตกลงใจไปแล้วเค้าถึงจะบอกราเต็ม ไม่ได้บอกราคาต่อหน่วยเหมือนตอนแรก เราเลยตัดปัญหาไม่ซื้อดีกว่า เพราะกลัวสื่อสารไม่เข้าใจกัน บริเวณทางเข้าวัดคนเยอะมาก สาธุ! ขอให้ลูกผอมๆด้วยเถ้ออออ ว่าแต่พระท่านจะฟังภาษาไทยรู้เรื่องป่าวว่าเราขออะไรไป เดินชมบริเวณวัดโดยรอบ ตอนแรกตั้งใจจะมาหมุนกังหันโชคลาภ แต่ไหงหากังหันไม่เจอ คงเป็นเพราะว่าช่วงนี้วัดกำลังบูรณะใหม่ด้วย เลยทำให้ดูวุ่นวายๆ ได้เวลาต้องไปเที่ยวที่อื่นกันต่อแล้วล่ะ จุดหมายต่อไปของเราคือไป Mongkok จะไปดูห้างสรรพสินค้า Langham Place ที่เค้าร่ำลือว่ามีบันไดเลื่อนสูงที่สุด คุณพลอย จริยะเวช ก็บอกว่า มีร้านขายเสื้อผ้าเก๋ๆ หลายร้าน แต่พวกเราเหมือนจะไม่มีวาสนา เพราะว่าไปแล้วก็ไม่มีความหมายเลย บันไดเลื่อนก็แยกไม่ออกว่าอันไหนมันสูง มัวแต่ไปนั่งพักกันที่ Macdonald เลยอดเห็นอะไรดีๆที่เค้าร่ำลือกัน รองท้องกันเรียบร้อยก็มุ่งหน้าไป Causeway bey ต่อระหว่างทางที่เดินไปในสถานีรถไฟฟ้า MTR ก็เห็นหนังไทยโกอินเตอร์ด้วยผู้หญิงคนนี้กำลังขอความรักจากทหารฮ่องกง Ne ai Wo ma ? รถไฟฟ้าสายนี้มุดลงทะเล แล้วขึ้นบกไปเปลี่ยนสถานีที่ Admiralty แล้วพวกเราก็เปลี่ยนสายไปโผล่ที่ Causeway bay ทางออก A ก็จะพบกับ Timesquare ห้างหรูฝั่งฮ่องกง มีร้าน Brandname มากมายก่ายกอง แบบนี้ต้องมาเป็นวันแล้วไม่ต้องไปไหนอีก เห็นแล้วตัวร้อน กิเลสวูบวาบไปหมด Skinfood เครื่องสำอางค์แบรนด์เกาหลี ที่กำลังโด่งดังในเมืองไทยแข่งกับ Etudy ร้านนี้ขาวสะอาด สว่างไปทั้งร้าน อยากมีร้านเป็นของตัวเองบ้างจัง จะใส่สีขาวๆ แบบนี้แหละเห็นกีฟฟารีนก็มาติดป้ายจองร้านกะเค้าอยู่เหมือนกัน แต่คงอีกหลายเดือนเลยกว่าจะเสร็จ เดินไปเดินมาพวกเราเริ่มหิวอีกแล้ว เริ่มมองหาร้านอาหารกันใหญ่ ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนดีกั่ว ดูดิ๊ มีร้านอะไรให้กินบ้าง เลือกกันอยู่นานนนนน จนนมโตเป็นกองหลุดออกมานอกเสื้อแล้วก็ไปพบร้านอาหารไทย แต่มีเสียงในกลุ่มบอกว่า เรามาบ้านเค้ายังจะอยากกินอาหารไทยอีกเหรอ ไว้กลับไปกินเมืองไทยดีกว่าม๊าง เลยได้แต่เก็บภาพร้านอาหารไทยมาเป็นที่ระลึกที่ประชุมลงมติเลือกร้านนี้มา เป็น Fast Food สะดวกรวดเร็วคนเยอะ และก็เป็นร้านยอดนิยมอีกร้านที่เราแอบหาข้อมูลไปด้วย เอาก็เอาวะ หุ หุ ถ้าไม่ดังเราไม่กิน คนเยอะจนแทบจะต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีเยยอะ แต่ธีมงานวิ่งสู้ฟัดอย่างพวกเรา เรื่องแบบนี้เรื่องเล็กไม่น่าห่วง แต่ที่ห่วงน่ะ คงเป็น "เปิ่น หลง ของหาย" มากก่า การสั่งอาหารต้องบริการตัวเอง ไปสั่งที่เครื่องคิดเงินแล้วก็เอาใบเสร็จไปรับอาหาร อุ้ยยย ตาย ว้าย กรี๊ดดดด ใจตรงกันสั่งเหมือนกันแทบทุกคนเลยนะตะเอง ก็มันน่ากินชิมิล่า ท่านผู้ชม น้ำมะนาวโซดาใส่สัปรดมาด้วย ชื่นจ้ายชื่นจัยหาใดเหมียน คิดเถิงฮ่องกงเจรงๆเลยอิ่มแล้วไม่แพงด้วยมื้อนี้ คนละไม่ถึง 40 เหรียญ ไปกันต่อเถอะนะ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลเดินผ่านร้านโดนัทชื่อดัง Krispy Kreme ต้องแวะไปเยี่ยมเยียน ในห้อง Bb ของพันทิปบอกว่า รส original อร่อยเราเลยไม่พลาดซื้อมาลอง ตั้ง 1 ชิ้น ราคา 10 เหรียญ โอว...พระเจ้า โดนัทราคา 45 บาท รสชาด.... สำหรับความรู้สึกเรานะ มันธรรมด๊า ธรรมดา นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าบางครั้งเสียงลือเสียงเล่าอ้างมันก็ไม่ได้วิเศษเลิศเลอเสมอไปอุ๊ จะพาพวกเราไปไหนจ๊ะ " อ๋อ.. อุ๊อยากได้กระเป๋าอะ อุ๊ยังไม่ได้อะไรเลย" จะได้ยินคำนี้จากอุ๊เสมอ อิอิ ลงไปข้างล่างกันดีกว่า อยากได้อารมณ์แบบเด็กสยามบ้านเรา เดินหาของกินข้างทาง แต่พอลงมาก็มาเจอกับสัญลักษณ์ของ Time Square ผีช้อปเริ่มเข้าสิงพวกเรายังไงก็ไม่รู้ พอลงมาถึง รู้สึกว่าที่ง่วงๆ เมื่อกี้มันหายไปแล้วเปลี่ยนมาเป็นรุกรี้รุกลน คันไม้คันมืองอยากเสียสตางค์ พอเห็นร้าน SaSa เท่านั้นแหละ รีบเข้าไปแทบไม่ทัน 555 แล้วก็เสียตัว เอ้ย เสียตังค์กันออกมาทู๊กกกกก คน เพราะสอยเครื่องสำอางค์กันมาเพียบ เดินต่อไป เจ๊สั่งลุยของเราได้กระเป๋ามาอีกแร้นนน จากที่เมื่อคืนก็ได้มาแล้ว 1 ใบเก็บแรงกันไว้บ้างเน้อ... ส่วนนางตุ้มบ่สน She ถ่ายรูปอย่างเดียวเหนื่อยนักขอพักก่อน ยังเดินกันไม่สาแก่ใจเลย แต่ได้เวลาต้องไป Victoria peak เลยต้องรีบขึ้น MTR ไปสถานี Central ทางออก A เพื่อเดินไปท่าเรือ pier7 ระหว่างที่เดินไปนั้นเห็นรถราง 2 ชั้นเปิดประทุน จ๊าก....ไม่ทันแร้วววว เดินไกลมากๆ กว่าจะมาถึงเล่นเอาเท้าบวมเลย ระหว่างที่นั่งรอรถสาย 15C ต้อง 15C เท่านั้น สาย 15 เฉยๆ มากันเพียบแต่เราก็ไม่ไป เพราะว่า 15C นั้นเป็น 2 ชั้นเปิดประทุน 15 เฉยๆ ไม่เปิด รอไปเถ๊ออออ นานมั่กๆสาวแอนกับรถสาย 15 บริเวณป้ายรถเมล์ที่ท่าเรือฝั่งฮ่องกงนั่งรอยืนรอกันจนเมื่อยตึกสูงๆ แถวๆ ท่าเรือ เย้ๆๆ รถมาแล้ว ในใจคิดว่า คอยดูนะถ้าใครแซงแม่จะเหยียบให้ดู รีบแย่งกันขึ้นไปข้างบน แต่ไงเราก็ได้นั่งบนอยู่แล้วล่ะ เพราะว่าพวกเราต่อแถวอยู่ลำดับต้นๆ ขึ้นไปนั่งแล้วจ้า นั่งชมวิวทิวทัศน์ หัวกระเซิงสมใจจนมาถึง สถานีรถรางที่จะขึ้นไปบน The Peak อุ๊แม่เจ้า คนต่อแถวขึ้นรถรางยาวออกมาถึงถนน กว่าจะได้ไปรอเกือบชั่วโมง อัตราค่าโดยสารตามนี้เลยจ้า อ้าวพี่เฉินหลงมายืนทำหล่ออยู่ตรงนี้นี่เองนักท่องเที่ยวมากมายที่มารอรถรางจะขึ้น Peakมองๆไปก็มีแต่ราง แต่รถยังไม่มาสักที มาแล้วๆ ว้า....เราขึ้นเป็นกลุ่มสุดท้ายเลยอะ แถมไม่มีที่นั่งด้วย แล้วให้ขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย ทำให้พวกเราต้องยืนไป รู้มั๊ยอะว่ามันอันตราย ทำไมทำแบบนี้กับนักท่องเที่ยวนะ งุงิๆ แล้วนาเฟร้ยถึงแล้ว แต่ผิดหวังอย่างแรง ฟ้าปิดหมอกเมฆเต็มไปหมดจนแทบจะไม่เห็นอะไรเลย แอบเซ็ง แต่คนอื่นๆ ก็คงเซ็งและผิดหวังเหมือนเราน่าสงสารต้องมาอาศัยวิวผ่านกระจกเพราะข้างนอกมองไม่เห็นเลย เมฆลอยต่ำมากบังจนไม่เห็นอ่าววิคตอเรียองค์หญิง 2 คนเลยต้องมาถ่ายกับฉากสีๆ สันๆ แทน ดูวิวไม่ได้งั้นก็อย่าดูเลย ไปช้อปดีก่า ว่าแล้วก็เดินผ่านร้านขายของที่ระลึก เพื่อนๆซื้อกันมาอีกแล้ว แต่เราไม่เสียตังค์เพราะมาคราวที่แล้ว ซื้อไปเยอะเหมือนกันระหว่างที่เพื่อนกำลังต่อราคาของอยู่นั้น ก็เห็น Madame Tussauds พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งคนดังของฮ่องกง แต่พวกเราไม่ได้เข้าไป อิอิ มันเสียเงินแพงอะ ลง Peak ได้แล้วเพราะว่าฝนตกด้วยกว่าจะลงไปถึงท่าเรือก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง หิวด้วย และแล้วก็ไปยืนรอรถเมล์สาย 15 รถสาย 15 ไปส่งที่ท่าเรือที่จะข้ามไปฝั่งเกาลูน จากนั้นพวกเราก็นั่งเรือข้ามฟากคนละ 2 เหรียญ ขณะที่เรานั่งเรือการแสดง SOL กำลังแสดงอยู่เลยทำให้เราเห็นการเล่นไฟของฝั่งเกาลูน ซึ่งเมื่อวานเราจะเห็นฝั่งฮ่องกง กลายเป็นว่ามาคราวนี้ได้เห็นทั้ง 2 ฝั่งเลย สุดยอดไปเลยสวยจัง พวกเราเดินเล่นไปเรื่อยๆ กะว่าเจอร้านไหนน่ากินก็จะเข้าไปกินวันนี้ไม่เจาะจงร้านอุ้ย ! เจอ shop Chanel ด้วยอ๋อ อะไรนะ ได้มากันเยอะแล้วเหรอ อืมม์เพิ่งซื้อคอลเลคชั่นนี้กันไปที่เมืองไทยเหรอ ok งั้นเดินไปเรื่อยๆก่อนละกันนะ เดินไปสักครู่พวกเราก็ไปต่อแถวเข้าซื้อหลุยส์ ได้กันมาคนละใบ ตัวเบาไปเลย กรั่กๆ (เอ...ว่าแต่จะมีใครหมั่นไส้พวกเรามั๊ยที่เราเอาเงินมาซื้อหลุยส์แท้ๆ)ได้ยินแว่วๆ ว่าจะเข้าร้าน Dior กันอีก นี่ๆ อะไรกันหนักกันหนายะแม่คุณ ช้านหิวข้าว ว่าแต่ที่ Tsim sha Tsui หลุยส์มีหลายห้องเลย ข้างหลังพวกเราก็ใหญ่มากเจอแล้วร้านที่เราจะเข้าไปกิน ร้านเล็กๆ แต่ดูน่ารัก เหลือโต๊ะเดียวให้เรานั่ง อะนะ สั่งอาหารเลยดีกว่าจานนี้ของตุ้ม กินกับเส้นบะหมี่ สีจืดๆ ไม่รู้ว่าอร่อยหรือป่าวไม่ได้ชิมจานต่อไป ข้าวอบหนำเลี๊ยบของ หมาดำก็มาถ้วยนี้สั่งเหมือนกัน 3 คน อุ๊ พี่เล็ก และพัต และจานนี้ของแอน ข้าวอบไม้ไผ่ เก๋ไก๋เลยมาช้าทั้งหมดนี้ ราคา....หลังจากกินเสร็จ ขาแข้งของพวกเราก็เริ่มมีแรง สามารถเดินได้อีก 10 โล ต่อจากนี้ไปภาระกิจอันใหญ่หลวงของพวกเราก็กำลังจะเริ่มขึ้นแบบเป็นเรื่องเป็นราวสักที รีบหาสัญลักษณ์ MTR เพื่อจะไป Mongkok ให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ผีช้อบเข้าสิงพวกเราแล้วล่ะ โผล่มาที่ Mongkok พวกเราก็มุ่งหน้าไป Ladies Market ช้อปลืมตาย เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ได้เสื้อ Bossini มาคนละ 3-4 ตัว บางคนได้ของฝาก บางคนได้กระเป๋าอีกแล้ว แต่มาคราวนี้เสียดายมาก ที่ไม่ได้หลุยส์ก็อป เนื่องจากโดนกวาดล้าง พวกเราเลยไม่ได้ไปโกดังเก็บหลุยส์ เพื่อนๆ บ่นเสียกันเป็นแถว ต่อมช้อปลงตับ เดินจนร้านปิด ยังไม่สาแก่ใจจึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะมาอีก ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนไปไว้พระองค์ใหญ่มาช้อปแทน เฮ้อ... พวกเรายังบาปหนา ปล่อยให้กิเลสรุมเร้า ระหว่างทางที่เดินกลับพบร้านขนม แพคเกจจิ้งน่ารักมากมาย รีบเข้าไปซื้อและที่ร้านนี้เองที่ตุ้มเกือบโดนล้วงกระเป๋า พอดีคนขายเห็นเสียก่อน ว่าเค้ากำลังเปิดกระเป๋าตุ้ม ไม่เช่นนั้นแล้วยัยตุ้มคงหมดตัว ไม่รู้แฟนพันธุ์แท้ไปแอบถ่ายรูปกับสุดที่รักมาตอนไหน โอ๊ยยยยย ไม่ไหวแล้ว ข้าพเจ้าเมื่อยตรีนนนน ขนาดดดหนัก พอกลับถึงโรงแรมได้หย่อนกายลงนอนช่างมีความสุขเหลือบรรยาย แต่จะหลับมิหลับแหร่ ก็มีผู้หญิงคนนึ่งลุกขึ้นมาเดินหาร่ม อะจ๊ากกกกกกก "ไม่รู้พี่ลืมร่มเอาไว้ที่ไหน" 555 ยังรักษาสโลแกนไว้ได้ดีเหลือเกิน "เปิ่น หลง ของหาย" ถ้ากระเป๋าเงินตุ้มหายไปด้วยอีกคน คืนนี้พวกเราคงไม่ต้องนอน