ควอนตัมคือ ก้าวที่สองของศาสนาพุทธ
ความแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธและวิทยาศาสตร์คือ ทางสายกลางในศาสนาพุทธเกิดจากการละทิ้งและการปล่อยวาง ซึ่งการละทิ้งและการปล่อยวางก็คือ การเลือกข้างระหว่างความเป็นและความตาย และในเมื่อเป็นการเลือกที่จะอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง ดังนั้นในท้ายที่สุดของทางสายกลางในศาสนาพุทธจึงไม่ใช่ทางสายกลางอีกต่อไป แต่เป็นการนำพาตัวเราเองเดินออกจากการไม่ละทิ้งและไม่ปล่อยวางเข้าสู่การยึดติดอยู่กับการละทิ้งและการปล่อยวางแทน ยิ่งเราละทิ้งและปล่อยวางมากเท่าไหร่เราก็จะยิ่งมีความยึดติดอยู่กับการละทิ้งและการปล่อยวางมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งคำว่า ยึดติด ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็คือ การยึดติดทั้งสิ้น ความสมดุลย์และความสมบูรณ์ของโลกและสรรพสิ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการยึดติด แต่เกิดขึ้นได้จากการนำพาตัวเราเดินออกจากสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย โดยการนำพาตัวเราเองเข้าไปรับรู้และสัมผัสถึงสถานะและสภาวะของความมีอยู่/เป็นอยู่และไม่มีอยู่/ไม่เป็นอยู่ หรือ กึ่งมีอยู่กึ่งไม่มีอยู่ กึ่งเป็นอยู่กึ่งไม่เป็นอยู่ และเมื่อเราได้รับรู้และสัมผัสถึงสิ่งใดก็ตาม เราจะต้องนำสิ่งที่เราได้รับรู้และได้สัมผัสออกมาลงมือปฏิบัติภายนอก ซึ่งมีเพียงการนำเอาสิ่งที่อยู่ภายในออกมาลงมือปฏิบัติภายนอกเท่านั้นที่จะทำให้เราได้เห็นถึงสถานะและสภาวะที่แท้จริงได้ แต่ความสามารถในการมองเห็นสถานะและสภาวะที่แท้จริงจะต้องเกิดขึ้นจากการไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และเมื่อเราสามารถมองเห็นสถานะและสภาวะที่แท้จริงได้ เราจะต้องนำพาตัวเองเดินออกจากการรับรู้นั้นและเดินกลับเข้าสู่สภาวะกึ่งเป็นกึ่งตายเช่นเดิม เพื่อคืนความสมดุลย์/สมบูรณ์ให้กับระบบ และเป็นการเตรียมพร้อมที่จะนำพาตัวเราเองเข้าไปรับรู้และสัมผัสถึงความมีอยู่/เป็นอยู่และไม่มีอยู่/ไม่เป็นอยู่ในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งการไต่/ยกระดับความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของตัวเราเองขึ้นไปเรื่อยๆจะเท่ากับเป็นการเพิ่มความสามารถในการมองเห็นและรับรู้ที่อยู่เหนือขึ้นไป ซึ่งความหมายในระดับควอนตัมหมายถึง การเปิดเผยของสถานะหนึ่งจะทำให้เรารับรู้ถึงอีกสถานะหนึ่งทันที ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะอยู่ไกลสักแค่ไหน ความหมายคือ เมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นที่ใดในโลกใบนี้ ทันทีที่เราได้ทราบข่าวหรือรับรู้ว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เราจะรู้ได้ทันทีว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร และทำไม ซึ่งเป็นการรับรู้ในระดับพลังงาน เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมต่อบนระบบไม่เชิงเส้นที่เชื่อมต่อมาจากการเปิดเผยสถานะและสภาวะของเรา ซึ่งการเปิดเผยระหว่างเราและโลก หรือระหว่างโลกและเราก็คือ กระบวนการผลักดันตัวเองและกันและกันไปสู่การสลับขั้วแม่เหล็กของตัวเราเองและของโลก
เราอาศัยอยู่ในระบบพลวัตที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งในระดับพลังงานไม่ว่าจะเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบก็คือ ความใช่ด้วยกันทั้งคู่ และไม่ใช่ด้วยกันทั้งคู่ เนื่องจากบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่พลังงานขั้วบวกและขั้วลบเท่านั้น แต่ยังมีพลังงานอื่นๆอีกมากมายที่มีส่วนร่วมด้วยช่วยกันในการขับเคลื่อนโลกและสรรพสิ่ง ดังนั้นการยึดติดอยู่กับความมีอยู่/เป็นอยู่ระหว่างขั้วบวกขั้วลบจึงไม่สามารถทำให้โลกและสรรพสิ่งเกิดมี/เป็นความสมดุลย์/ความสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างแท้จริง
#change