กันยายน 2562

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
 
 
All Blog
ทำความเข้าใจชีวิตมนุษย์ (โลกและจักรวาล) ในระดับควอนตัม
ควอนตัมมีสองระดับคือ ระดับของสิ่งมีชีวิตกับระดับของสิ่งไม่มีชีวิตแต่มีชีวิต
ควอนตัมในระดับของสิ่งไม่มีชีวิตแต่มีชีวิตได้แก่ อิฐหินดินทรายเหล็กก๊าซแสงอากาศน้ำแร่ธาตุและอื่นๆอีกมากมาย
ควอนตัมในระดับของสิ่งมีชีวิตได้แก่ มนุษย์สัตว์พืชแบคทีเรียเป็นต้น
ควอนตัมในทางฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์หมายถึง ความน่าจะเป็นระหว่างสองสิ่งที่อยู่ในสิ่งเดียวกัน
ควอนตัมในทางคณิตศาสตร์หมายถึง ความน่าจะเป็นระหว่างเลขคณิตมูลฐานบวกลบคูณหาร
จะเห็นได้ว่าความน่าจะเป็นในทางคณิตศาสตร์จะมีความน่าจะเป็นที่มากขึ้นและลึกขึ้นกว่าความน่าจะเป็นในทางฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ดังนั้นถ้าหากฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์คือ ทางเข้าสู่การทำงานของระบบควอนตัม คณิตศาสตร์ก็คือ ทางออกของระบบควอนตัม

ควอนตัมหมายถึง ความเป็นคู่ที่ใช่และไม่ใช่ความเป็นคู่ที่อยู่ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันสิ่งเดียวกันที่ใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันและเวลาเดียวกันใช่และไม่ใช่เวลาเดียวกันในเวลาเดียวกันในทางวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์เรียกว่ามิติ/มิติคู่ขนาน/โลกคู่ขนาน+ 1 มิติของช่องว่างและเวลาซึ่งภายในความใช่และไม่ใช่ที่เป็นสมการหลักในการทำงานแล้วยังมีสมการย่อยที่เป็นผุ้ช่วยที่ช่วยสนับสนุนการทำงานให้เกิดความชัดเจนของสถานะและสภาวะต่างๆมากขึ้นไปอีกสี่สมการคือใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ไม่ใช่คือใช่และใช่คือไม่ใช่ สมการทั้งหมดสามารถนำไปใช้ได้กับทุกสิ่งทุกอย่างตั่งแต่ระดับที่เล็กมากๆที่เกิดขึ้นรอบตัวเราไปจนถึงระดับจักรวาล

ระบบควอนตัมคือ ระบบที่มีการทำงานเป็นคู่และไม่เป็นคู่อยู่ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันและมีการทำงานในทิศทางเดียวกันและไม่ได้ทำงานในทิศทางเดียวกัน(ทิศทางตรงกันข้ามกัน) ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน ซึ่งความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้การทำงานเป็นคู่และไม่เป็นคู่และการทำงานในทิศทางเดียวกันและไม่ได้ทำงานในทิศทางเดียวกัน(ทิศทางตรงกันข้ามกัน) ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันจะมีความหมายแยกออกเป็นสองสถานะและสองสภาวะในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันคือ สถานะและสภาวะของความเป็นคู่กับสถานะและสภาวะของความไม่เป็นคู่ และภายในของทั้งสองสถานะและสองสภาวะก็ยังมีอีกสองสถานะและสองสภาวะที่ซ่อนอยู่ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน ซึ่งนักฟิสิกส์ได้ทำการทดลองทางความคิดให้เราได้เห็นถึงการสปินขึ้นลงของสถานะควอนตัมและการทดลองทางความคิดที่เกี่ยวกับแมวที่อยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตายของชโรดิงเจอร์ แต่การทดลองทั้งสองตัวอย่างเป็นเพียงข้อพิสูจน์ให้เราเห็นถึงสถานะและสภาวะของควอนตัมเพียงด้านเดียวคือ ด้านของความคิดเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่นักฟิสิกส์ได้ทำการทดลองจึงเป็นเพียงการทดลองที่แสดงให้เห็นถึงสถานะและสภาวะที่อยู่ภายในความคิด/ภายในมิติเดียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงควอนตัมยังมีมิติคู่ขนาดที่เป็นความใช่และไม่ใช่ของความคิดที่อยู่ภายในมิติเดียวกันอีกคือ ความรู้สึกซึ่งมิติทางด้านความรู้สึกนั้นจะเป็นมิติที่มีความละเอียดและมีความลึกที่มีค่าเป็นอนันต์ในทุกด้านมากกว่ามิติทางด้านความคิดเพราะความคิดจะมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตเท่านั้นซึ่งต่างจากความรู้สึกที่จะมีอยู่ในสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตแต่มีชีวิต/ทุกสิ่งทุกอย่างความคิดอาจทำให้เรามองเห็นภาพสามมิติของความกว้างยาวสูง(ลึก) + 1 มิติของช่องว่างและเวลาที่ทำให้ภาพเหล่านั้นเกิดมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นแต่ความชัดเจนที่มากยิ่งขึ้นก็ไม่อาจทำให้เราเกิดความชัดเจนที่มากยิ่งขึ้นได้ถ้าปราศจากความชัดเจนที่เกิดจากความรู้สึกเข้ามาสนับสนุนความชัดเจนทางความคิดให้มากยิ่งขึ้นอีกความคิดเป็นสิ่งที่มีขอบเขตและไม่มีขอบเขตในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันความรู้สึกก็เช่นกันการจะทำให้ทั้งความคิดและความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไร้ขอบเขตเราจะต้องนำความคิดที่เรารับเข้ามาใหม่ของเราเข้าไปขยายความรู้สึก และในขณะเดียวกันและหรือในทางกลับกันเราจะต้องนำเอาความรู้สึกที่เรารับเข้ามาใหม่ของเราเข้าไปขยายความคิดของเราเองด้วย ในทางฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์เรียการทำงานนี้ว่าหลักการเติมเต็ม(complementarity principle)

มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่กับความคิดที่ว่า พลังงานบวก=ความดี พลังงานลบ=ความไม่ดี เราพยายามแบ่งแยกความดีและความไม่ดีออกจากกันและพยายามใช้ความดีเอาชนะความไม่ดี แต่เราไม่เคยประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงเลยนั่นก็เป็นเพราะในระดับควอนตัมพลังงานบวกและพลังงานลบหรือความดีและความไม่ดีคือ ความใช่และไม่ใช่ที่อยู่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน สิ่งเดียวกันใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน และเวลาเดียวกันใช่และไม่ใช่เวลาเดียวกันในเวลาเดียวกัน ในระดับควอนตัมพลังงานบวกและพลังงานลบหรือความดีและความไม่ดีคือ สิ่งที่ช่วยเหลือสนับสนุนและผลักดันกันและกันเพื่อให้เกิดการทำงาน/ทำให้เกิดการเคลื่อนที่จากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง/ทำให้เกิดการหมุนเวียนของพลังงานที่ไม่มีวันสิ้นสุด ในระดับควอนตัมยังมีสิ่งที่คอยให้การสนับสนุนและช่วยเหลือการทำงานของพลังงานบวกและพลังงานลบหรือความดีและความไม่ดีอยู่อีกด้านหนึ่งก็คือ แรงโน้มถ่วงและอื่นๆอีกมากมาย ชีวิตที่ผ่านมาเราคิดว่าเราคือ ผู้ประสบภัยจากพลังงานลบ/ความไม่ดี แต่ในระดับควอนตัมมันคือ ความใช่และไม่ใช่ที่อยู่ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันคือ ใช่พลังงานลบ/ความไม่ดีและไม่ใช่พลังงานลบ/ความไม่ดี ใช่แรงโน้มถ่วงและไม่ใช่แรงโน้มถ่วง แต่เป็นความใช่และไม่ใช่ระหว่างพลังงานลบและแรงโน้มถ่วงมนุษย์ทุกคนคือ ผู้ประสบภัยจากแรงโน้มถ่วงของโลก ดังนั้นแรงโน้มถ่วงจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนจำเป็นต้องพยายามเอาชนะ ซึ่งการเอาชนะแรงโน้มถ่วงในระดับควอนตัมไม่ใช่การเอาชนะแรงโน้มถ่วงโดยทางตรงซึ่งเป็นไปไม่ได้แต่เป็นการเอาชนะแรงโน้มถ่วงโดยทางอ้อมที่ง่ายและเป็นไปได้คือ การเอาชนะตัวเองและปล่อยให้ผลจากการเอาชนะตัวเองของเราไปเปลี่ยนการทำงานของแรงโน้มถ่วง หรือในทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์เรียกว่า"ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก"หรือ"บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์" (butterfly effect) ซึ่งเป็นระบบไม่เชิงเส้น(nonlinear system) ประเภทหนึ่งที่มีความไวต่อสภาวะเริ่มต้นการเอาชนะตัวเองหมายถึง การใช้ชีวิตกลับด้านจากที่เราเคยใช้อยู่คือ จากการใช้ชีวิตวิ่งตามชีวิตเป็นการปล่อยให้ชีวิตวิ่งตามเรา

การตายของแพนด้าช่วงช่วง การกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณไม่ครบของนายกรัฐมนตรี การเกิดน้ำท่วมเป็นต้น ซึ่งตัวอย่างทั้งหมดคือ สิ่งที่โลกกำลังพยายามส่งสัญญาณบอกกับเราเป็นระยะๆถึงสถานะและสภาวะที่กำลังเกิดขึ้นกับโลก และในขณะเดียวกันและหรือในทางกลับกันก็เป็นการชี้แนะทิศทางที่เราทุกคนควรมุ่งไปสู่ซึ่งก็คือ การให้การช่วยเหลือสนับสนุนให้โลกเข้าสู่การสลับขั้วแม่เหล็กโดยส่งผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตให้น้อยที่สุดและส่งผลดีต่อสิ่งมีชีวิตให้มากที่สุด ซึ่งในระดับควอนตัมการสลับขั้วแม่เหล็กสามารถเกิดขึ้นได้สองทางคือ เกิดจากธรรมชาติและไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ(เกิดจากฝีมือมนุษย์) เราไม่สามารถกำหนดความเสียหายได้ถ้าหากเราปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ทำให้เกิดแต่ในทางกลับกันเราสามารถกำหนดความเสียหายได้ถ้าเราทุกคนจะช่วยกันเป็นคนทำให้โลกเกิดการสลับขั้วแม่เหล็กด้วยการเอาชนะตัวเองของเราทุกคน ซึ่งการเอาชนะตัวเองของเราไม่ได้เป็นเพียงการเอาชนะเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดความรู้สึกและการกระทำในปัจจุบันของเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลเป็นการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเราเองอีกต่างหาก การที่เราเห็นเด็กบางคนมีความเป็นอัจฉริยะมากกว่าคนอื่นไม่ใช่เป็นความบังเอิญแต่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางความคิดความรู้สึกและการกระทำเพียงเล้กๆน้อยทั่วไปของเรานั่นเองที่ส่งผลของเกิด"ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก"หรือ"บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์" (butterfly effect)

***ในระดับควอนตัมเราคือทุกสิ่งของตัวเราเองแต่เราไม่ใช่สิ่งใดเลยของตัวเราเองเราคือผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นกับเราด้วยตัวเราจากพลังงานบวกและพลังงานลบที่เป็นแหล่งกำเนิดของความคิดความรู้สึกและการกระทำและมีแรงโน้มถ่วงที่เป็นผู้ช่วยที่คอยสนับสนุนการทำงานของความคิดความรู้สึกและการกระทำ
***ในระดับควอนตัมแรงโน้มถ่วงคือสิ่งที่ควบคุมการทำงานทั้งระบบของมนุษย์โลกและจักรวาล



Create Date : 22 กันยายน 2562
Last Update : 22 กันยายน 2562 12:53:23 น.
Counter : 529 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3784113
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



จุกมุ่งหมายคือ การรู้แจ้งเห็นจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

There is no way to happiness, happiness is the way.

การปิดทองหลังพระ ถ้าเราไม่หยุดปิด วันหนึ่งทองก็จะล้นมาด้านหน้าพระเอง

คำพูดที่ปราศจากการกระทำนั้นได้ตายไปแล้ว