ธันวาคม 2562

2
3
4
6
7
9
11
13
15
16
18
19
21
22
23
24
25
27
28
29
31
 
 
All Blog
แนวทางการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองในระดับควอนตัม (ฉบับปรับปรุงใหม่)
ยกตัวอย่างเช่น สถานะและสภาวะของผู้เขียนจะมีความใช่และไม่ใช่อยู่ในตัวเอง ความหมายคือ ใช่ผู้เขียนและไม่ใช่ผู้เขียนในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—->สิ่งเดียวกันใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—->ในเวลาเดียวกันใช่และไม่ใช่ในเวลาเดียวกันในเวลาเดียวกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือ ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนอยู่นี้ผู้เขียนก็กำลังเขียนและพาตัวเองเข้าไปรับรู้ ค้นหาและสังเกตการทำงานระหว่างความคิด-ความรู้สึก และหรือความรู้สึก-ความคิด ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันสามส่วนคือ สมองส่วนหน้า และสมองส่วนท้าย (ส่วนใน) และสมองส่วนกลาง (ส่วนนอก) ซึ่งสองส่วนในจะทำงานพร้อมกันในทันที และอีกหนึ่งส่วนนอกจะทำงานไม่พร้อมกัน คือ รอการส่งต่อพลังงาน/ข้อมูล/สสารใหม่จากสองส่วนใน + พลังงาน/ข้อมูล/สสารเก่าที่มีอยู่ในสมองส่วนกลาง (ส่วนนอก) จะเห็นได้ว่าพลังงาน/ข้อมูล/สสารจะมีการทำงานร่วมกันสองส่วนระหว่างภายในและภายนอกเสมอ แต่เป็นการทำงานสองส่วนระหว่างภายในและภายนอกที่มีความแตกต่างกันออกไปในที่นี้จะขอแยกออกเป็นภายในและภายนอก และส่วนในและส่วนนอก เพื่อลดความสับสน ซึ่งจะมีกระบวนการทำงานเป็นคู่พร้อมกันในทันที และไม่พร้อมกันในทันที และทำงานโดยอัตโนมัติและไม่ทำงานโดยอัตโนมัติดังต่อไปนี้คือ

-ส่วนที่ทำงานพร้อมกันคือ สมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้าย (ส่วนใน) ทั้งสองส่วนจะมีการแยกส่วนกันทำงานอย่างเป็นระบบในส่วนของตัวเองคือ ในส่วนของความคิด-ความรู้สึก (สมองส่วนหน้า) และความรู้สึก-ความคิด (สมองส่วนท้าย) ทั้งสองส่วนจะมีพลังงาน/ข้อมูล/สสารเก่าที่มีอยู่ภายในตัวเอง+ พลังงาน/ข้อมูล/สสารใหม่ที่เรานำเข้าไปทำให้พลังงานทั้งหมดภายในมีค่าเท่ากับ 0/10 และในมีพลังงานหมุนเวียนภายในแต่ละส่วนของตัวเองมีค่าเท่ากับ 0/1 ซึ่งจะเท่ากับว่าภายในของเรามีพลังงานงานหมุนเวียนแยกออกเป็นสองส่วนคือ 0/1 และ 0/1 ซึ่งกระบวนการวิเคราะห์/สังเคราะห์พลังงาน/ข้อมูล/สสารจะแยกออกเป็นสองทิศทาง (ใช่และไม่ใช่) คือ ไปในทิศทางตรงกันข้ามกันระหว่างสมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้าย และไปในทิศทางเดียวกันในตัวเอง ซึ่งกระบวนการวิเคราะห์/สังเคราะห์พลังงาน/ข้อมูล/สสาร สำหรับกระบวนการที่เกิดขึ้นแล้วมีการให้พลังงานกับสิ่งแวดล้อม เราเรียกว่า กระบวนการแบบคายความร้อน (exothermic process) ในทางตรงกันข้ามถ้ากระบวนการที่เกิดขึ้นแล้วมีการรับพลังงานจากสิ่งแวดล้อม เราเรียกว่า กระบวนการแบบดูดความร้อน (endothermic process) และเมื่อได้ข้อสรุปจากกระบวนการทำงานทั้งหมดพลังงาน/ข้อมูล/สสารส่วนหนึ่งของทั้งสองส่วนจะถูกส่งต่อ/เชื่อมต่อมายังสมองส่วนกลาง ซึ่งจะทำให้พลังงาน/ข้อมูล/สสารที่เหลือของทั้งสองส่วนกลับเข้าสู่สถานะเดิมคือ มีค่าเท่ากับ 0/10 และทำให้พลังงาน/ข้อมูล/สสารในส่วนของสมองส่วนกลางมีเพิ่มมากขึ้นคือมีเท่ากับ 0/1 จากส่วนที่มีอยู่เดิมคือ 0/10 ทั้งหมดจะทำงานอยู่ภายใต้กฏการเพิ่มและลดพลังงาน หรืออีกนัยหนึ่งคือจะมีพลังงานส่วนหนึ่งหมดไปและพลังงานส่วนหนึ่งไม่หมดไป (ยังคงอยู่) หรือถุกใช้งานไปและไม่ได้ถูกใช้งานไป หรือจะมีพลังงาน/ข้อมูล/สสารส่วนหนึ่งเคลื่อนที่ออกจาก และจะมีพลังงาน/ข้อมูล/สสารส่วนหนึ่งไม่ได้เคลื่อนที่ออกจาก (คงอยู่) เพื่อทำงานร่วมกับพลังงาน/ข้อมูล/สสารที่จะเคลื่อนที่เข้ามาใหม่ต่อไปก่อให้เกิดเป็นวงจรหรือวัฏจักรหรือค่าอนันต์ที่มีวันสิ้นสุดและไม่มีวันสิ้นสุดภายในและภายนอกตัวเองและภายในและภายนอกกันและกัน

-ส่วนที่ทำงานไม่พร้อมกันคือ สมองส่วนกลาง (ส่วนนอก) ซึ่งจะเป็นส่วนที่ได้รับการส่งต่อ-เชื่อมต่อพลังงาน/ข้อมูล/สสารใหม่จากส่วนในสองส่วนคือ สมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้าย (ส่วนใน) + พลังงาน/ข้อมูล/สสารเก่าที่มีอยู่ภายในสมองส่วนกลาง (ส่วนนอก) ซึ่งจะทำให้สมองส่วนกลางมีสถานะเก่าและใหม่ และมีสภาวะกึ่งเก่ากึ่งใหม่ หรือ สถานะเป็นและตาย หรือ สภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย หรือ สถานะอดีตและอนาคต หรือสภาวะกึ่งอดีตกึ่งอนาคต และเมื่อเรานำพาตัวเราเองเข้าไปทำการรับรู้และหรือสังเกตถึงการมีอยู่/เป็นอยู่และ/ม่มีอยู่/ไม่เป็นอยู่ระหว่างสถานะและสภาวะที่อยู่ภายในสมองส่วนกลางจะทำให้พลังงาน/ข้อมูล/สสารส่วนหนึ่งยุบหายไปทันที ซึ่งพลังงาน/ข้อมูล/สสารในส่วนที่ยุบหายไปจะถูกส่งต่อ/เชื่อมต่อไปสู่ภายนอกโดยอัตโนมัติ และจากภายนอกก็จะเข้าสู่ภายในของคนอื่น/สิ่งอื่นโดยการนำเข้าไปสู่ภายในของคนอื่น/สิ่งอื่นเอง ซึ่งการนำเข้าพลังงาน/ข้อมูล/สสารใหม่ของคนอื่น/สิ่งอื่นก็จะมีกระบวนการแยกออกเป็นสองส่วนคือ นำเข้าไปสู่สมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้าย ซึ่งเป็นกระบวนการเช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับเรา แต่จะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในทางตรงกันข้ามกันหรือกลับด้านกันระหว่างพลังงาน/ข้อมูล/สสารที่แต่ละคนนำเข้าไป ซึ่งจะไปขึ้นอยู่กับและหรือไปเชื่อมต่อกับพลังงาน/ข้อมูล/สสารเดิมที่แต่ละคนมีอยู่ และทำให้พลังงาน/ข้อมูล/สสารแยกออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนของพลังงานทั้งหมดที่มีค่าเท่ากับ 0/10 และหรือส่วนของพลังงานหมุนเวียนที่จะมีค่าเท่ากับ 0/1 ซึ่งพลังงานทั้งหมดที่มีค่าเท่ากับ 10 จะแยกออกเป็นสองส่วนคือ 5/5 และแยกออกเป็นสองส่วนคือ 2/3 และ 3/2 หรือนัยอีกนัยหนึ่งเปอร์เซ็นต์/ปริมาณ/จำนวนของเซลล์เส้นประสาทที่มีอยู่ไม่เท่ากันระหว่างความคิด-ความรู้สึก และหรือความรู้สึก-ความคิด ซึ่งเปอร์เซ็นต์/ปริมาณ/จำนวนของเซลล์เส้นประสาทที่มีอยู่ไม่เท่ากันระหว่างทั้งสองส่วนนี้คือ ส่วนที่จะทำให้ทั้งสองส่วนมีกระบวนการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่เนื่องจากทั้งสองส่วนนี้อยู่ภายในตัวเราจึงทำให้ความชัดเจนกลายเป็นความไม่ชัดเจน หรือในทางฟิสิกสืและคณิตศาสตร์เรียกว่าระบบไม่เชิงเส้น (nonlinear system) ที่มีความไวต่อภาวะเริ่มต้น และนำไปสู่ภาวะที่นิยมพูดกันอย่างกว้างขวางที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีกทำให้เกิดพายุ" (จาก "butterfly effect") ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่ละเล็กทีละน้อยในชีวิตประจำวันที่มีกระบวนการเข้ารหัสและปลดล็อกการเข้ารหัสภายใน RNA และนำไปสู่การมีเพิ่มขึ้นของเซลล์เส้นประสาทภายในสมองส่วนหน้า ซึ่งกระบวนการทั้งสองจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงยีนส์ และ DNA ที่จะเป็นการเคลื่อนที่ออกจากโลกเก่าเข้าสู่โลกใหม่โดยอัตโนมัติ คำว่า โลกเก่าและโลกใหม่ จะแยกออกเป็นสองส่วนคือ โลกเก่าภายในจะมีโลกเก่าและโลกใหม่ และโลกใหม่ภายในก็จะมีโลกใหม่และโลกเก่า หรืออดีตและอนาคต จะแยกออกเป็นสองส่วนคือ อดีตภายในจะมีอดีตและอนาคต และอนาคตภายในจะมีอนาคตและอดีต ทุกสรรพสิ่งจะมีตัวเองและมีกันและกันเสมอ แต่จะมีในสัดส่วน/ปริมาณ/จำนวนมากน้อยแตกต่างกันไป ซึ่งหน้าที่ของเราก็คือ เราจะต้องเรียนรู้และพัฒนาระบบแยกแยะ/แยกส่วนของตัวเราเอง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถในการรับรู้ ต้นหา แยกแยะและสังเกตความไม่ชัดเจนออกจากความชัดเจน และสร้างความชัดเจนให้เกิดมีขึ้นกับตัวของเราเอง

มีคนถามในบทความก่อนหน้าว่า โลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร? เท่าที่ความสามารถในการสัมผัสและรับรู้ได้ในขณะนี้จะแยกออกเป็นสองส่วนคือ รูปธรรมและนามธรรม ทั่งทุกภูมิภาคในเมืองไทยและทั่วโลก ณ.ขณะนี้เริ่มมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิธีปฏิบัติกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตโลกจะเข้าสู่ภาวะของความสมดุลย์และความสมบูรณ์มากขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนจะลดลงเรื่อยๆ การทำกิจการใหญ่ๆจะลดลง แต่การทำกิจการเล็กๆจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ผู้คนจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเนื่องจากการมีความรู้ความเข้าใจในระบบการทำงานของชีวิตและของโลกมากขึ้น นอกจากจะมีความรู้ความเข้าใจในระบบการทำงานของชีวิตและของโลกแล้ว ทุกคนทุกประเทสทั่วโลกจะหันมาใช้ทฤษฎีควอนตัมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งจะเป็นการเคลื่อนที่ออกจากระบบแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) และเดินเข้าสู่ระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic) โดยอัตโนมัติ.

In the near future, Quantum Theory will be a new way of learning and developing knowledges and abilities for all humans. Thanks for all readers and commentators. You may not know how much it’s means and how much it’s helping lifting me up from the depths I was in and been to and I wishes this article could be more than just an ordinary article for you. Thanks a millions.

#change



Create Date : 14 ธันวาคม 2562
Last Update : 14 ธันวาคม 2562 13:50:51 น.
Counter : 572 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 3784113
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



จุกมุ่งหมายคือ การรู้แจ้งเห็นจริงในฐานะมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง

There is no way to happiness, happiness is the way.

การปิดทองหลังพระ ถ้าเราไม่หยุดปิด วันหนึ่งทองก็จะล้นมาด้านหน้าพระเอง

คำพูดที่ปราศจากการกระทำนั้นได้ตายไปแล้ว