Limehouse Blues ก็ติดตามขึ้นอันดับในปี 1931 เช่นกัน แล้วในปีถัดมา ดุ๊กก็ได้สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงอีกชิ้นกับบรันสวิก และเป็นเพลงที่ต้องบอกว่า เป็นอมตะ ไปแล้ว It Dont Mean A Thing (If It Aint Got That Swing) ด้วยเสียงร้องของ ไอวี แอนเดอร์สัน ผลงานชิ้นเกิดออกมาก่อนที่ยุคของดนตรีสวิงจะถือกำเนิดขึ้นมาถึง 3 ปีทีเดียว ราวกับว่าชื่อของยุคแห่งดนตรีนี้มาจากชื่อเพลงของเขานั่นเลยทีเดียว (ซึ่งก็น่าจะใช่อย่างนั้น) ผลงานถัดมาที่สร้างชื่อให้ดุ๊กอย่างต่อเนื่องก็คือ Sophisticated Lady ซึ่งก็กลายเป็นท็อป 5 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1933 เพลงหน้าบีอย่าง Stormy Weather ก็เข้าอันดับอย่างไม่แพ้กัน
Murder At The Vanities เป็นผลงานการประพันธ์เพื่อประกอบภาพยนตร์ในช่วงปี 1934 การตีความบทเพลง Cocktails For Two จากเพลงฮิตอันดับหนึ่งใน Vicotor In May แถมแผ่นตัด Moonglow/Solitude ที่ออกกับค่ายบรันสวิก กับติดอันดับท็อป 5 เช่นกัน แล้วยังไปร่วมแสดงในภาพยนตร์ Belle Of The Nineties ที่ เม เวสต์ แสดงนำ กับทำอัลบัมเพลงประกอบภาพยนตร์ Many Happy Returns หลังจากนั้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ดุ๊กก็พาพรรคพวกมาไต่อันดับกันอีกครั้งด้วยเพลง Saddest Tale พวกเขามีเพลงติดอันดับอีก 2 เพลงในปี 1935 นั่นคือ Merry-Go-Round และ Accent On Youth ถึงแม้ว่าเขาจะมีความทะเยอทะยานประสานักดนตรีมีชื่อเสียงก็ตาม แต่อีโก้ก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกผลิตผลงานท็อปฮิตไปได้ แต่ตรงกันข้ามงานท็อปฮิตคือส่วนหนึ่งในการผลิตผลงานออกมาด้วยซ้ำ Cotton ออกมาในช่วงใบไม้ร่วงปี 1935 เช่นกัน ตามด้วย Love Is Like A Cigarette และ Oh Babe! Maybe Someday ในปี 1936 พวกเขากลับมาทำอัลบัมเพลงประกอบภาพยนตร์อีกครั้ง โดยทำให้กับพี่น้องมาร์กซ์ ในภาพยนตร์เรื่อง A Day At The Races และ Hit Parade Of 1937 ขณะเดียวกับก็ยังคงมีเพลงฮิตติดชาร์ตอย่าง Scattin At The Kit-Kat และเพลงสวิงอมตะอย่าง Caravan ซึ่ง ฮวน ติซอล นักเป่าวาล์วทรอมโบน มาร่วมเขียนเพลงนี้ด้วย ดุ๊กยังคงประพันธ์งานเพลงที่เน้นสารัตถะทางดนตรีอย่าง Diminuendo In Blue และ Crescendo In Blue ในฤดูใบไม้ผลิปี 1938 เพลง If You Were In My Place (What Would You Do?) ซึ่งได้เสียงร้องของไอวี ก็เข้าถึงอันดับ 1 ใน 10 ดุ๊กไม่หยุดแค่นั้น แต่เขากระหน่ำต่อด้วย I Let A Song Go Out Of My Heart และ Lambeth Walk เพลงจากโชว์ของอังกฤษที่เขานำมาตีความใหม่
ในช่วงนั้นเอง ดุ๊กอยู่ในลอสแองเจลิส ซึ่ง Jump For Joy ละครเวทีที่เขาประพันธ์เพลงกำลังเข้าโรงอยู่ แถมยังแสดงอยู่นานถึง 101 รอบ แต่น่าเสียดายที่ละครเรื่องนี้ไม่เคยได้สัมผัสบรอดเวย์เลย เพลงดังๆ อย่าง I Got It Bad (And It Aint Good) ก็มาจากละครเรื่องนี้ด้วย จากการที่อเมริกาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 1941 และถือกำเนิดของ American Federation Of Musicians (ที่ทำหน้าหน้าที่ในการแบนเพลง) ในปี 1942 ทำให้วงของดุ๊กแทบไม่มีความคืบหน้าในการทำงานเอาเสียเลย การถูกจำกัดขอบเขตการทำงานจากสาเหตุที่ว่านี้ ทำให้ดุ๊กมีเวลามากพอที่จะประพันธ์ผลงานชิ้นยาวออกมาได้ และผลงานชิ้นแรก Black, Brown and Beige เขาเปิดตัวอย่างสมเกียรติที่คาร์เนกีฮอล เมื่อมกราคม 1943 จากนั้นเขาจังมาทำเพลงประกอบภาพยนตร์อีกใน Cabin In The Sky และ Reveille With Beverly
ขณะเดียวกันต้นสังกัดก็พยายามหางานที่จะออกมาขาย โดยเน้นไปในด้านการแปลงบทประพันธ์เก่าๆ ออกมาใหม่ อย่าง บ็อบ รัสเซล นำ Never No Lament เพลงของดุ๊กที่เขียนเมื่อปี 1940 ใส่เนื้อร้องเข้าไป ก็กลายมาเป็นเพลง Dont Get Around Much Anymore ได้ ดิ อิงก์สป็อต มาร้องอะแค็ปเปลลา เท่านี้ก็ดังระเบิดเถิดเทิง ติดอันดับหยึ่งของชาร์ตเพลง R&B บ็อบ รัสเซลไม่รอช้า สร้างปาฏิหาริย์ใหม่กับเพลงของดุ๊กอีกครั้งใน Concerto For Cootie (เพลงที่ดุ๊กเขียนเพื่อให้คูตีได้โชว์ฝีมือโดยเฉพาะ) กลายมาเป็นเพลง Do Nothin Till You Hear From Me มันขึ้นอันดับท็อปเท็นในป็อปชาร์ต และอันดับหนึ่งในชาร์ตอาร์แอนด์บี ช่วงต้นปี 1944 เพลงอมตะของดุ๊กแพร่หลายไปทั่วชาร์ต อาร์แอนด์บีหลายๆ ชาร์ต ในช่วงปี 1943-1944 ด้วยเพลงอย่าง A Slip OF The Lip (Can Sink A Ship), Sentimental Lady และ Main Stem การปิดตัวของกองเซ็นเซอร์เพลงในปี 1944 ทำให้ดุ๊กสามารถขยับขยายกลับมาอัดแผ่นได้เหมือนเดิม เขานี้เขาได้นักแซ็กจอห์นนี นักเขียนเพลงฉมัง ดอน จอร์จ และ แฮรี เจมส์ มาร่วมเขียนเพลง Im Beginning To See The Light ประชดประชันกันดีเหลือเกิน
ในช่วงครึ่งแรกของยุค 50 ช่างเป็นช่วงวิกฤติของดุ๊กเสียเหลือเกิน เมื่อนักดนตรีต่างพากันเข้าๆ ออกๆ เป็นว่าเล่น (บางคนก็กลับเข้ามาใหม่ภายหลัง) แต่เขาก็กลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผยได้อีกครั้งเมื่อ พอล กอนซาลเวส โชว์เดี่ยวแซ็กโซโฟนได้อย่างจับจิตและยาวนานในเพลง Diminuendo And Crescendo In Blue ในงานนิวพอร์ต แจ๊ซ เฟสติวัล 1956 และ จอห์นนีก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกันในงานนี้ ดุ๊กยังได้ลงปกนิตยสารไทม์ และเซ็นสัญญาเข้าสังกัดโคลัมเบีย ซึ่งจัดจำหน่ายอัลบัม Ellington At Newport นับเป็นอัลบัมที่ขายดีอันดับหนึ่งของเขาทีเดียว เขาทุ่มเทกำลังสมองให้กับบทประพันธ์ชิ้นยาวอย่างต่อเนื่อง การกลับมาของเขาบทเวทีคอนเสิร์ตทำให้มีโอกาสมากขึ้นในการออกเดินสายแสดงต่างถิ่น และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1958 เขาตกลงใจออกทัวร์ทั่วยุโรปเป็นครั้งแรก และการเป็นนักเดินสายที่มีตารางทัวร์ยุ่งที่สุดคนหนึ่ง
ดุ๊กกลับมาประพันธ์เพลงในหนังเรื่อง Anatomy Of A Murder และเพลงจากหนังเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมีถึง 3 สาขาด้วยกันในปี 1959 ปีถัดมาก็เข้าชิงอีกจากหนังเรื่อง Paris Blues ปี 1963 งานละครเวที My People เรื่องราวประวัติศาสตร์ของขบวนคนขี่ม้าชาวอเมริกันอัฟริกัน ก็โด่งดังในชิคาโก ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของงานครบร้อยปี Negro Progress Exposition
ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มบันทึกผลงานการแสดงสด เขาผละจากโคลัมเบียมาร่วมชายคากับ แฟรงค์ สินาตรา ที่ค่ายรีไพรส์ (ที่ถูกค่ายวอร์เนอร์ซื้อไปแล้ว) ทำเพลงที่อิงตลาดกระแสหลักออกมา ท่ามกลางความตกตะลึงของแฟนเพลงเก่าๆ เขายังคงพยายามทำงานเพื่อรักษาความตั้งใจทั้งสองทางเอาไว้อย่างเหนียวแน่น อย่างไรก็ตาม ดุ๊กก็ยังคงเขียนเพลงสำหรับประกอบหนัง เขามาทำเพลงบรอดเวย์เรื่อง Pousse Cat ซึ่งแสดงรอบปฐมฤกษ์เมื่อปี 1966 แต่แสดงได้ไม่กี่วันก็ปิดตัวลง หลังจากนั้น 3 เดือนก็กลับมาอีกพร้อมหนังของแฟรงก์ สินาตรา เรื่อง Assault On A Queen ซึ่งฉายตามโรงหนังทั่วประเทศ (เพลงประกอบหนังเรื่องสุดท้ายของเขาคือ Change Of Mind ในปี 1969)
ในช่วงยุค 60 ดุ๊กเขียนเพลงเกี่ยวกับศาสนาเอาไว้หลายเพลง รวมทั้งเขียนเพลง The Far East Suite ด้วย ทั้งยังร่วมงานกับนักดนตรีหลากหลายรูปแบบจนกลายเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์แจ๊ซไปโดยปริยาย การก้าวข้ามเส้นแบ่งทางดนตรีของเขานั้นเห็นได้จากการที่เขาเล่นร่วมทั้งวงอย่างลุยส์ อาร์มสตรองและจอห์น โคลเทรน หรืออการร่วมเล่นวงสามชิ้นกับชาร์ลส มิงกัสและแม็ก โรช แถมด้วยการแจมบิ๊กแบนด์สองวงกับ เคาน์ต เบซี แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาเหมือนกันเมื่อจอห์นนีมาเสียชีวิตเอาในช่วงปี 1970 ทำให้วงของเขาเริ่มเขวและเสื่อมความนิยมลง
ผลงานอมตะของดุ๊กมีหลายชิ้นไม่ว่าจะเป็น Rockin In Rhythm, Satin Doll, New Orleans, A Drum Is A Women, Take The A Train, Happy-Go-Lucky Local, The Mooche และ Crescendo In Blue ความยิ่งใหญ่ของเขาได้รับการยืนยันจาก Stephen James อีกระลอกด้วยคำพูดที่ว่า เมื่อคุณอยู่ในที่ที่เขาอยู่ คุณจะรับรู้ได้ทันที ถึงแม้จะไม่รู้จักเขา แต่เขาจะดึงดูดคุณ นั่นคือพลังพิเศษที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือในตัวของเขา
"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs