"แจ๊ส....ฉัน"
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2548
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
30 สิงหาคม 2548
 
All Blogs
 
Miles Davis - The Prince of Darkness ตอนที่ 6

ก่อนจะเป็น Bitches Brew



แล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาเยือน เมื่อ ไมล์ส คิดริเริ่มที่จะทำงานหินขึ้น เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง จึงได้เกิดอัลบัม In A Silent Way (1969) ขึ้นมา หลังจากที่ในปี 1968 มีอัลบัม Filles De Kilimanjaro และ Miles In The Sky เป็นการปูทางเริ่มต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ของวง 5 ชิ้นวงนี้ของ ไมล์ส Circle In The Round และ Directions อัลบัมรวมผลงานของเขาที่ออกมาในยุค 70 อันเป็นช่วงพักผ่อนนั้น ก็ได้รวมเอาเพลงที่บันทึกเสียงในช่วงนี้เข้าไป คุณจะได้ฟังเสียงกีตาร์สะกดอารมณ์จาก Joe Beck ในเพลง Circle In The Round ซึ่งบันทึกในช่วงปี 1967 (หลังจากนั้นอีกเดือนครึ่ง George Benson ก็เข้ามาบรรเลงกีตาร์เพลง Paraphenalia ในอัลบัม Miles In The Sky) ประกอบกับอีก 2 หน่อคือ แฮนค็อก และ วิลเลียมส์ ซึ่งกระหน่ำฟังค์และอาร์แอนด์บีในเพลง Stuff เพลงเปิดของอัลบัมนี้ และมีความยาวถึง 16 นาทีทีเดียว!



ในเดือนมิถุนายน 1968 Filles De Kilimanjaro ก็ออกมาเป็นอัลบัม โดยมี Chick Corea และ Dave Holland มาเล่นแทนที่ แฮนค็อก และ คาร์เทอร์ 2 เพลง (กรุณาตั้งอกตั้งใจฟัง Mademoiselle Mabry เพลงสุดท้ายของอัลบัม ที่เปรียบเหมือนประตูที่พาเอาธารแห่งดนตรีไหลหลากออกมาอย่างไม่บันยะบันยัง ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1969 ที่บันทึกอัลบัม In A Silent Way John McLaughlin ได้สร้างตำนานมหากพย์แจ๊ซร็อคและฝากฝีมือกีตาร์ของเขาไว้ด้วยพร้อมๆ กัน ยังไม่พอแค่นั้น ไมล์ส ยังได้สร้าง 3 เสือแห่งเปียโนไฟฟ้าประกอบไปด้วย แฮนค็อก, คอเรีย และ Josef Zawinul อีก ทั้ง 4 คนนี้ก็ได้สร้างตำนานในวงการแจ๊ซร็อคต่อยอดออกไปอีกในยุค 70 ด้วยการสรรค์สร้างวงใหม่ๆ อย่าง The Mahavishnu Orchestra, Headhunters, Return To Forever และ Weather Report ตามลำดับ) และด้วยการทำงานกับ ไมล์ส คนนี้ พวกเขาก็สามารถที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของคนทั้งโลกมาหาตัวเองได้ไม่ยากเลย

ยุคพีคกับงานแอ็บแสตร็ก Bitches Brew และอื่นๆ



ไม่ว่า ไมล์ส จะบรรเลงอัลบัมใด เจ๋งแค่ไหนมาก่อนก็ตาม แต่เมื่อ Bitches Brew มา…. หลบไปซะ แล้วอัลบัมนี้ก็เป็นอัลบัมเดียวที่ ไมล์ส สามารถพามันปีนป่ายสู่อันดับ Billboard Top 40 ได้ในปี 1970 สถานีดนตรีร็อคก็เล่นเพลงจาก Bitches Brew ได้ไหลลื่นยังกับว่ามันเป็นเพลงร็อคยังไงยังงั้น ครั้งแรกที่ได้ฟังนั้นเป็นเพลง Miles Runs The Voodoo Down จากสถานีวิทยุเพลงใต้ดินท้องถิ่น และดีเจเล่นเพลงนี้ต่อจากเพลง Machine Gun ของ Jimi Hendrix!! ไมล์ส คงชอบใจมากเลยหากรู้เรื่องการจับคู่เพลงของดีเจคนนี้!!

Bitches Brew เริ่มต้นด้วย Pharoah’s Dance จากการสนับสนุนของ ซาวีนัล ชวนให้รำลึกถึง In A Silent Way เสริมด้วยเสียงเบสคลาริเน็ตของ Bennie Maupin แล้ว ไมล์ส ก็เริ่มร่ายมนตร์มายาด้วยทรัมเป็ตของเขา ด้วยแนวทำนองที่จะทำให้คุณตกตะลึงพรึงเพริดจนลืมสิ่งรอบข้าง แล้วยังมีลูกวงคนอื่นๆ มาร่วมสร้างความอะเมซซิงด้วยกัน และวงวงนี้เองกระมังที่แทบจะกล่าวได้ว่า เป็นที่รวบรวมนักดนตรีสุดยอดฝีมือมากที่สุดเอาไว้ด้วยกันเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา ในปี 1998 มีอัลบัมรวมเซสชัน The Complete Bitches Brew Sessions ออกมา ซึ่งได้เก็บรวมรวมเอาแทร็คเล็กแทร็คน้อยที่บันทึกในช่วงนั้นเข้าไว้ด้วยกัน

เพลงที่สองมีความยาว 27 นาที แสดงให้เห็นถึงทักษะการใช้เสียงสะท้อนในการเป่าทรัมเป็ตของ ไมล์ส ได้อย่างดี รวมทั้งแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนที่ตามยุคตามสมัย และไม่ล้าในเรื่องเทคโนโลยี เมื่อเพลงเริ่มบรรเลงไปราว 4 นาที โทนเพลงเริ่มเปลี่ยนไปเป็นฟังกี้ เจือจังหวะบลูส์!! เปิดโอกาสให้ ไมล์ส ได้แสดงการเป่าแตรคู่ชีพด้วยเป็นช่วงยาว ที่น่าสนใจคือมีบางคนบอกว่า “นี่แหละ ไมล์ส แบบเดิมๆ” แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่า ถ้าหากมีใครสักคนเอาเสียงอิเล็คทรอนิกส์ในอัลบัมนี้ออกไป เขาคนนั้นก็จะได้ท่อนฮุคท่อนฮิตในเพลงของตัวเองอีกเพลง อย่าง My Funny Valentine เป็นต้น ทั้งหมดที่อยากจะบอกคือไม่น่าพลาดอัลบัมนี้ด้วยประการทั้งปวง หากคุณรักที่จะฟัง ไมล์ส



เมษายน ปี 1997 สังกัดโคลัมเบียปล่อยอัลบัมนี้ออกขายในอเมริกา แผ่นบันทึกการแสดงสดของวงดนตรี 6 ชิ้นของ ไมล์ส ใช้ชื่ออัลบัมว่า Black Beauty – Miles Davis At Fillmore West ในอัลบัมนี้มีการสอดแทรกเวอร์ชันออร์เคสตราในเพลง Bitches Brew ด้วย Steve Grossman มาแทนที่ ชอร์เทอร์ ส่วน คอเรีย และ ฮอลแลนด์ ยังคงอยู่เป็นลูกวง โดยมี Jack DeJohnette (กลอง) และ Airto Moreira (เพอร์คัสชันนานาชนิด) มาช่วยเติมเต็มให้กับวงในภาคริธึ่ม และมันก็ถูกเติมเต็มอีกครั้ง ด้วยการเข้ามาร่วมวงของ Keith Jarrett ในตำแหน่งออร์แกน จาร์เร็ตต์เคยสะกดคนฟังมาแล้วจากการเป็นสมาชิกวงของ Charles Lloyd Quartet 2-3 ปีก่อนหน้านี้ และเขาก็สามารถเล่นเข้ากับแนวทางวงของ ไมล์ส ได้เป็นอย่างดี ไมล์ส เล่นอย่างดุเดือดในงานชุดนี้ แต่ก็ถูกเกลาอีกครั้งก่อนที่จะบันทึกออกมาให้ฟังกัน โดยฝีมือของ Teo Macero แต่จริงๆ แล้วอยากจะฟังเวอร์ชันแบบดิบๆ บนเวทีคอนเสิร์ตมากกว่า



ถัดมา A Tribute To Jack Johnson เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ไม่เคยมีใครได้ชมมาก่อน แต่คงไม่มีใครสนแล้วหละ เพราะเพลงมันน่าสนกว่าเยอะ!! อัลบัมนี้บันทึกกัน 2 เซสชันในช่วงปี 1970 และเป็นงานที่เพลงร็อคที่ ไมล์ส ต้องการทำมาตั้งนานแล้วตั้งแต่เริ่มเป็นนักดนตรีอาชีพ แต่ไม่สามารถทำได้ จนกระทั่งเขาลดขนาดวงจนเหลือขนาดเล็กเท่าวงร็อควงหนึ่ง แม็คลอฟลินทำหน้าที่ของเขาได้ดีมาก จนแทบจะพูดได้ว่าเขาเป็นฮีโร่ของอัลบัมก็ว่าได้ ส่วน Billy Cobham มือกลองก็หวดเต็มที่ผ่านปลายไม้ Michael Henderson ก็กระแทกเบสฟังค์ได้เจ๋งไม่หยอก แฮนค็อกเล่นออร์แกน คนนี้คงไม่ต้องพูดถึงฝีมือเขากันแล้ว กรอสแมนคนนี้น่าจับตามองในฝีมือการเป่าแซ็ก ขณะเป็นลูกวงให้กับ ไมล์ส

8 วันหลังจากบันทึกเสียงเพลง Right Off ในอัลบัม A Tribute To Jack Johnson แม็คลอฟลินก็มาทัวร์คอนเสิร์ตกับวงของ ไมล์ส ที่ Cellar Door ในวอชิงตัน ซึ่งก็ได้ก่อกำเนิดเป็นอัลบัม Live Evil ที่มีเพลงจาก Bitches Brew ที่บันทึกในช่วงหลังๆ มาเล่นด้วย นับเป็นอัลบัมแสดงสดที่ทรงคุณค่าอีกอัลบัมหนึ่งของ ไมล์ส




Create Date : 30 สิงหาคม 2548
Last Update : 25 กันยายน 2548 17:47:57 น. 1 comments
Counter : 1087 Pageviews.

 
ชอบ Miles In The Sky ครับ มันเก๋าๆดี


โดย: winston วันที่: 22 กันยายน 2548 เวลา:0:35:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nunaggie
Location :
City of Angels, Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




คุยเฉพาะเรื่องเพลง :D

"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs

Follow my twitter @nunaggie :)

"มีเรื่องราวอีกมากมายให้ชีวิตต้องเดินทางไปค้นหา เราคงไม่ค้นพบทุกอย่างได้ เพียงแค่ชั่วชีวิตเดียว"
Creative Commons License
© Supada Luangsirimongkol 2015.
qrcode
Friends' blogs
[Add nunaggie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.