หากจะไม่พูดถึงอัลบัมชุดใหม่ล่าสุดของนอราห์ โจนส์เสียแล้ว คงจะเป็นเรื่อง ตกยุค อยู่พอสมควร แต่เนื่องจากว่าเราเองเคยเขียนถึงและฟังงานอัลบัมแรก Come Away With Me ค่อนข้างเยอะ และชื่นชมในผลงานของเธอเป็นอย่างมาก ก็เลยต้องติดตามผลงานชุดต่อมาของเธอด้วยความสมัครใจ และความดีความชอบจากรางวัลแกรมมีแปดรางวัล รวมถึงยอดขายสิบแปดล้านก๊อปปีทั่วโลก ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้องเบนความสนใจมาหาสาวผิวขาวอวบคนนี้อย่างใจจดใจจ่อ
และแล้ว วันนั้นก็มาถึง เมื่ออัลบัม Feels Like Home เดินทางขึ้นสู่ชั้นวางซีดีของร้านค้าทั่วประเทศ เราจึงได้สมใจหลังจากรอคอยมานานนับปี แต่ก็ยังดีที่มีงาน Limited Edition มาคั่นเวลาแก้คิดถึง ซึ่งเธอนำเพลงของฮอเรซ ซิลเวอร์ อย่าง Peace มาเล่น รวมถึงเพลง Ruler Of My Heart ที่เล่นกับเดอร์ตี โดเซน บราส แบนด์ (หากใครยังไม่มีงานชุดนี้ก็ต้องบอกว่าเสียดายแทน เพราะตอนนี้ก็หาซื้อไม่ได้เสียแล้ว) ตามด้วยแผ่นดีวีดีคอนเสิร์ต Live In New Orleans ที่ทำให้เข้าถึงศิลปินสาวขี้อายคนนี้มากยิ่งขึ้น และคิดว่าคอดีวีดีหลายๆ คนในที่นี้คงจะรักเธอไม่น้อยกว่าเรา ด้วยกิริยาท่าทางที่ค่อนข้างจะเคอะเขินไม่น้อยจากภาพในคอนเสิร์ตนั้น ไม่เหมือนกับไดอานา ครอล นักเปียโนสาวใหญ่ที่ชอบมีคนนำมาเปรียบกับนอราห์ ซึ่งเคี่ยวกรำกับงานคอนเสิร์ตแบบนี้อย่างโชกโชน
นอราห์เริ่มต้นเข้ามาในวงการเพลงตั้งแต่ปี 2001 ที่เธอเซ็นต์สัญญาเข้ามา หลังจากนั้นก็ใช้เวลาไปในการทำงานร่วมกับชาร์ลี ฮันเตอร์ ในอัลบัม Song From Analog Underground ซึ่งในตอนนี้ก็ได้กลายมาเพลงค่ายต้นสังกัดหยิบมารวมอยู่ในอัลบัมรวมฮิตชุดนั้นชุดนี้เกลื่อนหมด ไม่ว่าจะเป็นเพลง More Than This หรือ Day Is Done หาฟังกันได้ในงานรวมเพลงแจ๊สหลายชุดช่วงนี้ บิล เอแวนส์ และ บิลลี ฮอลิเดย์ ดูเหมือนว่าจะเป็นศิลปินแม่แบบของนอราห์ แต่จะว่าไปงานเพลงของเธอก็ไม่ได้ จดจ่อ อยู่กับแนวทางของดนตรีแจ๊สสักเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าเธอจะได้รางวัล Down Beat Student Music Awards ในสาขา Best Jazz Vocalist และ Best Original Composition ในปี 1996 แถมยังตอกย้ำในรางวัลแรกอีกครั้งในปีถัดมา
อัลบัม Come Away With Me ซึ่งเป็นงาน Debut ของเธอในปี 2001 นั้น ได้นายเจสซี แฮร์ริสมามีส่วนร่วมอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านการประพันธ์เพลง หรือการร่วมเล่นกีตาร์ด้วย เป็นอันทราบกันอยู่แล้วว่าเพลง Dont Know Why ที่ได้รับรางวัลแกรมมีสาขา Song Of The Year นั้นก็เป็นฝีมือการสะบัดปากกาของนายเจสซีเช่นกัน แต่อัลบัมที่สองนายเจสซีแทบจะไม่มีส่วนร่วมใดๆ เลย นอกจากเสียงกีตาร์ที่ปรากฎในเพลง Those Sweet Words และ Carnival Town เพียงสองเพลง ดังนั้น หลายๆ คนอาจจะคิดว่าต้องมีความเปลี่ยนแปลงในอัลบัมชุดนี้อย่างมากแน่นอน เราจะลองมาดูกันว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน แต่ที่น่าจะเดากันได้ไม่ยากคือแนวทางของดนตรีที่ไม่น่าจะเปลี่ยนไปมากนัก
ความกระจ่างชัดที่เกิดขึ้นในอัลบัมนี้คือ ความโน้มเอียงเข้าสู่แนวทางของคันทรีและบลูส์มากขึ้นกว่าอัลบัมที่แล้ว โดยที่มีสัดส่วนของแจ๊สในน้ำเสียงจากไลน์เปียโนฝีมือเธอเอง อิทธิพลคันทรีนั้นผู้เขียนวิเคราะห์เอาว่าน่าจะมาจากลี อเล็กซานเดอร์ ด้วยเพลงที่เขาเขียนทั้งหมดในอัลบัมล้วนแต่ลูกทุ่งทั้งสิ้น โดยนอราห์เอง เธอก็ก้าวเข้ามาร้องเพลงที่มีความเป็นบลูส์ชัดเจนอย่าง What Am I To You? โดยได้โทนี เกอร์ มาเล่นกีตาร์สไลด์ให้ เป็นมือปืนรับจ้างที่ไม่เคยมีผลงานเป็นของตัวเอง แต่เคยเล่นให้กับวงของวู้ดดี เฮอร์แมนด้วย แต่ปกติแล้วเกอร์จะเล่นเบสมากกว่า ฟังจากสำเนียงบลูส์ที่เขาสำแดงในเพลงนี้แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ได้เป็นปืนรับจ้างของศิลปินดังๆ หลายคน ประกอบกับมีแขกรับเชิญจากวง เดอะ แบนด์ นั่นคือ เลวอน เฮล์มและการ์ธ ฮัดสัน มาเล่นกลองและแฮมมอนด์ ออร์แกนให้ตามลำดับ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ค่อนข้างจะมีสีสัน ลูกเล่น และความหนักแน่นเจือร็อคมากกว่าเพลงอื่นๆ Sunrise เพลงเปิดอัลบัมที่นอราห์แต่งร่วมกับแฟนหนุ่ม จึงไม่น่าแปลกที่คุณจะได้กลิ่นความโรแมนติกอบอวลไปหมด ทั้งในเนื้อร้องและดนตรี ลีเดินเบสได้เรียบลื่นในเพลงนี้ ถึงแม้จะเป็นถึงซิงเกิลแรกในอัลบัมใหม่ แต่ผู้เขียนกลับชอบเพลงอย่าง Those Sweet Words มากกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าเพลงหลังมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า เรามักจะได้ยินเพลงสไตล์นี้จากนอราห์มากกว่าที่จะได้ยิน Sunrise ซึ่งมีความจงใจจะให้เป็นซิงเกิลฮิต เพียงแต่ว่า Those Sweet Words ทำให้ผู้เขียนเกิดคิดถึง Come Away With Me ขึ้นมาซะอย่างนั้น ไลน์เปียโนของนอราห์นั้น ยังไงก็คงต้องยืนยันคำเดิมที่เคยคิดไว้ว่า เล่นน้อย มีคุณค่ามากกว่า ดีกว่าโซโลหูดับตับไหม้ แต่หาความไพเราะไม่มี ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อได้ฟังเพลง Dont Know Why เพลงนี้ได้เพื่อนเก่านายเจสซีมาเล่นอะคูสติกกีตาร์ให้ด้วย
คงจะมีแต่เพลง In The Morning เท่านั้นกระมังที่สามารถจะตอบสนองแฟนๆ ได้หากอยากจะฟังฝีมือโซโลของเธอให้มากหน่อย เพลงนี้ก็เป็นเพลงบลูส์อีกเพลงที่น่าจะส่งวัญญาณให้เรารู้ว่า เธอเองก็เป็นคนรักบลูส์เช่นกัน
นอกจากเพลงที่แต่งกันเองแล้ว นอราห์ยังหยิบเอาเพลงของศิลปินเก่ามาเล่นใหม่ด้วย เพลงที่ว่าก็คือ Be Here To Love Me ของทาวน์ แสน แซนด์ท ที่ทำออกมาติดสำเนียงบลูส์เยอะทีเดียว ได้การ์ธมาบรรเลงแอคคอร์เดียนด้วย และอีกเพลง The Long Way Home ของทอม เวตส์ ซึ่งกระเดียดไปทางโฟล์ค คันทรีใสๆ ที่ฟังแล้วคุณสามารถยิ้มออกมาได้ อีกเพลงหนึ่งที่คงจะไม่สามารถละเลยที่จะพูดถึงไปได้ นั่นก็คือ Creepin In ฮองกี ทองก์มันส์ๆ ที่ได้ดอลลี พาร์ตันมาร้องด้วย ฝีมือการแต่งคันทรีจ๋าๆ แบบนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ลี อเล็กซานเดอร์
ดูเหมือนว่าจะเป็นความชอบส่วนตัวของตัวนอราห์เองกระมัง จึงได้มีการปิดท้ายอัลบัมทั้งสองอัลบัมด้วยเพลงแจ๊สชั้นครู อัลบัมแรกปิดท้ายด้วยเพลง The Nearness Of You บทเพลงของโฮกีคาร์ไมเคิลและเน็ด วอชิงตัน ส่วนชุดนี้เธอปิดด้วย Dont Miss You At All จากเพลงดั้งเดิม Melancholia ของดุ๊ก เอลลิงตัน โดยเธอนำมาเรียบเรียงเป็นการเดี่ยวเปียโนและร้องเองคนเดียว แถมด้วยการใส่เนื้อร้องหยิกแกมหยอกเข้าไปด้วย นี่เป็นเพลงเดียวที่แฟนเพลงหลายๆ คนไม่ต้องถกเถียงกันว่ามันเป็นแจ๊สหรืออะไร?
คิดว่าอัลบัมนี้คงจะสร้างความประทับใจต่อเนื่องจากอัลบัม Come Away With Me ให้กับแฟนเพลงเหนียวแน่นของเธอไม่มากก็น้อย หากเพียงแต่ว่าถ้าต้องการความเปลี่ยนแปลง หรือรสชาติแปลกใหม่ นอราห์ยังไม่มีให้ใน Feels Like Home แต่ผู้เขียนเชื่อว่าเธอจะยังคงรักษามาตรฐานในอัลบัมนี้ และความแปลกใหม่น่าจะตามมาในอัลบัมชุดที่สามของเธอ
Norah Jones / Feels Like Home 1. Sunrise (Alexander/Jones) 2. What Am I To You (Jones) 3. Those Sweet Words (Alexander/Julian) 4. Carnival Town (Jones/Alexander) 5. In The Morning (Levy) 6. Be Here To Love Me (Van Zandt) 7. Creepin In (Alexander) 8. Toes (Alexander/Jones) 9. Humble Me (Breit) 10. Above Ground (Borger/Oda) 11. The Long Way Home (Brennan/Waits) 12. The Prettiest Thing (Jones/Alexander/Julian) 13. Dont Miss You At All (Ellington/Jones)
Musicians : The Handsome Band Adam Levy Guitars Kevin Breit Acoustic & Electric Guitars Lee Alexander - Bass Andrew Borger Drums Daru Oda Backup Vocal, Flutes
"I still find each day too short for all the thoughts I want to think, all the walks I want to take, all the books I want to read, and all the friends I want to see." John Burroughs