กฎหมายใหม่ ผลกระทบต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ในระยะหลังจากที่ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 16 พ.ศ. 2540 แล้วได้มีการตื่นตัวในด้านสิทธิเสรีภาพกันอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากพื้นฐานกฎหมายดังกล่าว หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย เช่น มาตรา 26 การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา 27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครอง และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลและองค์กรอื่นของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมายและการตีความกฎหมายทั้งปวง มาตรา 28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาล หรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ มาตรา 29 การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้ กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป และไม่มุ่งหมายใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ทั้งต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายนั้นด้วย บทบัญญัติวรรคหนึ่งและวรรคสองให้นำมาใช้บังคับกับกฎหรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายด้วย โดยอนุโลม มาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้ มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม มาตรา 31 บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้ แต่การลงโทษประหารชีวิตตามที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ถือว่าเป็นการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมตามความในวรรคนี้ การจับ คุมขัง ตรวจค้นตัวบุคคล หรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย มาตรา 32 บุคคลจะไม่ต้องรับโทษทางอาญา เว้นแต่จะได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้ มาตรา 33 ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิดมิได้ และแม้ว่าจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 18 พ.ศ. 2550 ในเวลาต่อมาก็ตาม แต่แนวทางในเรื่องสิทธิเสรีภาพดังกล่าวก็ยังคงเป็นในลักษณะเดิมอยู่ ดังปรากฏในบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เช่น มาตรา 28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถ ยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ บุคคลย่อมสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในหมวดนี้ได้โดยตรง หากการใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องใดมีกฎหมายบัญญัติรายละเอียดแห่งการใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้แล้ว ให้การใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการส่งเสริม สนับสนุน และช่วยเหลือจากรัฐ ในการใช้สิทธิตามความในหมวดนี้ มาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้ มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม มาตรา 32 บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม จะกระทำมิได้ แต่การลงโทษประหารชีวิตตามที่กฎหมายบัญญัติ ไม่ถือว่าเป็นการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมตามความในวรรคนี้ การจับและการควบคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีที่มีการกระทำซึ่งกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหาย พนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย มีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับหรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น รวมทั้งจะกำหนดวิธีการตามสมควรหรือการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยก็ได้ ผลจากรัฐธรรมนูญและการตื่นตัวในเรื่อง "สิทธิเสรีภาพ" ประกอบกับ ความก้าวหน้าในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และการศึกษาที่มีผู้ให้ความรู้มากขึ้น จึงได้มีการออกกฎหมายตามมาหลายฉบับที่ถือได้ว่ามีผลกระทบต่อการประกอบวิชาชีพเวชกรรม และการประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขอื่น ๆ ตามมา กฎหมายที่สำคัญ กฎหมายที่สำคัญที่อาจเกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขในระดับต่าง ๆ ในขณะนี้จึงอาจจำแนกได้อย่างง่าย ๆ ดังนี้ กฎหมายพื้นฐาน 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์3 เป็นการฟ้องร้องในเรื่องค่าสินไหมทดแทนกรณีการกระทำอันเป็นละเมิดเป็นสำคัญ ซึ่งปรากฏอยู่ในมาตรา 420 นั่นเอง 2. ประมวลกฎหมายอาญา4 คือการกระทำทางการแพทย์หรือการประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขอันอาจเป็นความผิดในทางอาญา โดยเฉพาะในเรื่องความประมาทอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อกายและจิตใจ รวมถึงความประมาทอันทำให้เกิดอันตรายบาดเจ็บสาหัส ไปจนถึงประมาทเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อชีวิต (ตาย) นั่นเอง กฎหมายวิชาชีพโดยตรง 1. พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 2. กฎหมายวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขอื่น ๆ เช่น พระราชบัญญัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. 2528 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติวิชาชีพทันตกรรม พ.ศ. 2537 พระราชบัญญัติวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ พ.ศ. 2547 เป็นต้น กฎหมายเหล่านี้เป็นกฎหมายที่มีกรอบในการควบคุมการประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขแต่ละประเภทอยู่แล้ว เนื่องจากการที่สังคมยินยอมให้การประกอบการดังที่กำหนดเป็น "การประกอบวิชาชีพ" ซึ่งจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการดำเนินการ จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมเป็นกรณีพิเศษ และที่สำคัญคือต้องมี "องค์กรวิชาชีพ" ในการควบคุมดูแล กฎหมายทางด้านสาธารณสุข 1. พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 หรืออาจเรียกว่า "กฎหมาย 30 บาท" นั่นเอง แม้ว่าในการประกาศหรือประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนและผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขได้รับทราบว่า กฎหมายนี้เป็นเพียงกฎหมายที่มีผลต่อ "หน่วยบริการ" หรือสถานบริการทางด้านสาธารณสุขเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วยังคงกระทบต่อผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขด้วย เมื่อพิจารณาถึงมาตรา 57, 58 และ 59 แห่งกฎหมายนี้นั้นเอง 2. พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 เป็นกฎหมายแม่แบบของกฎหมายสาธารณสุขที่ถือว่าเป็น "ธรรมนูญแห่งสาธารณสุขก็ว่าได้" แม้ว่าจะประกาศใช้หลังจากพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ก็ตาม กฎหมายฉบับนี้มีกรอบที่อาจเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะในมาตรา 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 และ 12 อีกทั้งยังมีกฎหมายย่อยที่ต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์กับการใช้กฎหมายนี้ ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าจะต้องกระทบต่อผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขอย่างมากมาย 3. พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายที่อาจถือได้ว่ามีประโยชน์ในการตัดสินใจให้กับผู้ประกอบวิชาชีพในระดับหนึ่งโดยเฉพาะ "ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม" ในประการที่สามารถที่จะตัดสินใจได้ว่าจะดำเนินการอย่างใดกับผู้ป่วยที่มีสภาพแห่งการป่วยรุนแรงที่อาจถึงแก่ชีวิต แต่ยังไม่มีการแสดงความยินยอมให้ดำเนินการ กฎหมายที่เกี่ยวกับผู้บริโภค 1. พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 2. พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 3. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายที่น่าจะมีผลกระทบอย่างมากต่อผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข เนื่องจากมีการกำหนดกรอบในการรับผิดชอบที่ค่อนข้างกว้าง ที่สำคัญก็คือ มีการกำหนดระยะเวลาแห่งการดำเนินการไว้ยาวมาก อีกทั้งในเรื่องพยานหลักฐานในการพิสูจน์ โดยเฉพาะหน้าที่แห่งการพิสูจน์ในการดำเนินการทางการแพทย์นั้นกลับต้องตกกับผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขเป็นสำคัญ หาได้ใช้กฎเกณฑ์พื้นฐานที่ว่า "ผู้ใดกล่าวอ้างผู้นั้นต้องนำสืบ" แม้ว่ากฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคจะประกาศใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 แล้วก็ตาม แต่พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ก็เพิ่งจะมีผลบังคับใช้นั่นเอง ร่างกฎหมายใหม่ คือ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ซึ่งต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการทางด้านสาธารณสุข พ.ศ. ..... เป็นกฎหมายที่อาจถือว่ามีความสำคัญอีกฉบับหนึ่งถ้ามีการประกาศใช้ ความเห็นในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข จะเห็นได้ว่าการที่มีกฎหมายใหม่ขึ้นมานั้น แทนที่จะเป็นกฎหมายที่รวบรวมการดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในกรณีที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย ในขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพดำเนินการให้แก่ผู้ป่วยนั้นเพียงฉบับเดียวหรือในทางเดียวกลับยิ่งมีกฎหมายมากขึ้น ยิ่งทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพต้องรับผิดชอบต่อกฎหมายใหม่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงเท่ากับมิได้เป็นการแก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพแต่อย่างใด ในกรณีดังกล่าวข้างต้นย่อมหมายความว่าผู้ประกอบ วิชาชีพทางด้านสาธารณสุขยังต้องรับผิดตั้งแต่กฎหมายพื้นฐานมาจนถึงกฎหมาย ล่าสุดนั่นเอง
Create Date : 02 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2553 1:27:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1498 Pageviews. |
|
|