นิยามของ การตาย สำคัญไฉน
คนทั่วไปรู้ว่า การตายหมายถึงการยุติของการมีชีวิตอยู่ แต่การให้คำจำกัดความให้ลึกซึ้งและชัดเจนยิ่งขึ้นมีความจำเป็นเนื่องจากมีปัญหาในทางปฏิบัติทั้งทางด้านการแพทย์และทางกฎหมาย ตัวอย่างที่เป็นปัญหา เช่น การนำอวัยวะออกจากร่างกาย(เพื่อนำไปปลูกถ่ายให้ผู้อื่น)ของผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุทางสมองอย่างรุนแรงไม่มีหวังว่าจะรอดชีวิต จะเป็นความผิดทางอาญาหากผู้นั้นยังไม่ตาย ในทางกฎหมาย การตายมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสิทธิและหน้าที่ของทั้งผู้ตายรวมถึงบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องเช่น ทายาท เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ดังนั้นการให้คำจำกัดความของการตายจึงต้องมีความชัดเจนเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งทางวิชาชีพทางการแพทย์และทางกฎหมายได้ยึดถือเป็นหลักในทิศทางเดียวกัน หลักของต่างประเทศ แต่เดิมในตำราของต่างประเทศมักให้นิยามของการตายว่า irreversible cessation of heart and lung function โดยผู้เขียนขอแปลเป็นภาษาไทยว่า การยุติการทำงานของหัวใจและปอดอย่างถาวรไม่สามารถคืนสภาพได้ แต่ก็ยังมีปัญหาเนื่องจากต่อมามีการเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างมากทำให้สามารถมียาหรือเครื่องมือสมัยใหม่เช่นยากระตุ้นหัวใจ เครื่องช่วยหายใจที่สามารถช่วยให้ผู้ที่มีการบาดเจ็บของสมองอย่างรุนแรงและถาวรยังมีการทำงานของหัวใจและปอดได้อีกนาน เมื่อประมาณ ค.ศ.1979 ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดประชุมนักวิชาการเพื่อให้คำนิยามของการตายและต่อมานิยามดังกล่าวที่ได้จากที่ประชุมนี้ได้ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมายที่ว่าด้วยความตาย( Death Act )ของประเทศสหรัฐอเมริกา นิยามของการตายในกฎหมายฉบับนี้คือ 1) irreversible cessation of circulatory and respiratory function. or 2) irreversible cessation of the entire brain. ผู้เขียนขอแปลเป็นภาษาไทยว่า บุคคลถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อ 1) มีการหยุดทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบการหายใจอย่างไม่สามารถฟื้นคืน สภาพได้ หรือ 2) มีการหยุดทำงานสมองทุกส่วนอย่างไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นขอยกตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศดังนี้ นายJohn ถูกลอบฆ่าโดยมือปืนยิงที่ศีรษะ แพทย์ตรวจร่างการพบว่ามีภาวะ brain death แล้วแต่หัวใจยังเต้นอยู่ และหายใจโดยใช้เครื่องช่วยหายใจ ญาติของผู้ป่วยได้บริจาคหัวใจของผู้ป่วย แพทย์จึงผ่าตัดนำหัวใจของ John ออกมา มือปืนตกเป็นจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา จำเลยให้การปฏิเสธโดยอ้างว่า ศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดเอาหัวใจ ของ John ออกมาต่างหากที่เป็นผู้ฆ่า คดีนี้ศาลตัดสินว่าศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดขณะที่ผู้ป่วยถึงแก่ความตายแล้ว การตายของนาย John เป็นผลจากการกระทำของจำเลย เห็นได้ว่าคดีนี้ศาลยอมรับหลักการที่ว่าบุคคลตายเมื่อสมองตายแล้ว หลักของประเทศไทย แต่เดิมก็มีลักษณะคล้ายกับของต่างประเทศคือใช้เกณฑ์เรื่องการที่หัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจเป็นหลัก แต่เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2531 ได้มีการจัดประชุมแพทย์และนักกฎหมายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในที่ประชุมมีมติสำคัญข้อหนึ่งว่า เมื่อบุคคลได้รับการวินิจฉัยว่าอยู่ในภาวะสมองตายให้ถือว่าผู้นั้นถึงแก่ความตาย และต่อมาแพทยสภาได้ออกประกาศแพทยสภาว่าด้วยเกณฑ์การวินิจฉัยสมองตาย โดยสรุป ในประเทศไทยถือว่าบุคคลตายเมื่อ 1) มีการหยุดทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตและระบบการหายใจอย่างไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้ หรือ 2) มีภาวะสมองตาย(ตามเกณฑ์วินิจฉัยของแพทยสภา) กรณีน่าคิด -ถ้าผู้ป่วยสูญเสียการทำงานของสมองอย่างรุนแรงแต่ไม่ถึงขั้นสมองตายเช่นอยู่ในภาวะ persistent vegetative stateแต่หัวใจยังคงเต้นเพราะได้ยากระตุ้นและใช้เครื่องช่วยหายใจ กรณีอย่างนี้ยังไม่ควรถือว่าผู้ป่วยถึงแก่ความตายเพราะสมองยังไม่ตายและหัวใจยังไม่หยุดเต้น -กรณีผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าสมองตายตามเกณฑ์ของแพทยสภาแล้ว แพทย์ทำการถอดเครื่องช่วยหายใจและหยุดการให้ยากระตุ้นหัวใจ แพทย์จะมีความผิดฐานฆ่าคนตายหรือไม่? กรณีนี้แพทย์ไม่มีความผิดเพราะถือว่าผู้ป่วยได้ตายไปแล้วก่อนที่แพทย์จะทำการยุติการรักษา -กรณีผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจไปแล้วทำ CPR ได้ทันท่วงทีผู้ป่วยกลับมามีชีพจร แต่ยังไม่มีภาวะสมองตายแม้จะมีการหายใจโดยใช้เครื่องช่วยหายใจ กรณีอย่างนี้ยังไม่ถือว่าผู้ป่วยได้ตายไปแล้วเพราะการที่หัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
Create Date : 24 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 0:40:46 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1707 Pageviews. |
|
|