ปรับแนวคิดพิชิตเศรษฐกิจ ปี 2554
หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย จัดสัมมนาปรับแนวคิด พิชิตเศรษฐกิจ ปี 54 มุ่งพัฒนาธุรกิจ เอส เอ็ม อี ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ


หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาค เหนือ จังหวัดเชียงใหม่ จัดสัมมนา ปรับแนวคิด พิชิตเศรษฐกิจ ปี 54 มุ่งให้ความรู้แก่ผู้ ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลเตรียม ความพร้อมและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2554

จังหวัดเชียงใหม่นับว่าเป็นจังหวัดที่มีมูลค่าของรายได้รวมส่วนใหญ่จาก ธุรกิจประเภท เอส เอ็ม อี การสัมมนาครั้งนี้นอกจากจากจะสร้างความได้เปรียบทางการ แข่งขัน ยังจะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ การบริหารจัดการ เอส เอ็ม อี แบบยั่งยืน ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาปรับปรุงธุรกิจ เอส เอ็ม อีให้ดียิ่งขึ้น ก้าวไปสู่ธุรกิจขนาดใหญ่ต่อไปอย่างมั่นคงให้สอดคล้องกับการขยายตัวของ เศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่

-----------------------------------------------------------


ข่าวโดย : ชีวิน ช่างภาพ: สุวัฒน์
หน่วยงาน : สทท.11 เชียงใหม่

Source: //region3.prd.go.th/ct/news/viewnews.php?ID=110117155718

กสิกรฯ ผนึกหอการค้าติวเอสเอ็มอี

กสิกรไทย จับมือหอการค้าเชียงใหม่และกรุงเทพธุรกิจ จัดสัมมนา "ปรับแนวคิด พิชิตเศรษฐกิจ ปี 2554" มุ่งให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง-ย่อม เผยภาพรวมเอสเอ็มอีปี 2553 ขยายตัวในทิศทางที่ดี แต่หวั่นปีนี้เจอปัจจัยเงินบาทแข็ง น้ำมันขึ้นราคามีผลกระทบ ด้านหอการค้าฯ เชียงใหม่ ตั้งเป้ารวมกลุ่มเอสเอ็มอีเป็นคลัสเตอร์หวังสร้างความเข้มแข็ง

นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ และหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จะจัดสัมมนา "ปรับแนวคิด พิชิตเศรษฐกิจ ปี 2554" ในวันที่ 14 ม.ค. นี้ ตั้งแต่เวลา 13.00-17.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยให้ความสำคัญกับจังหวัดเชียงใหม่ เพราะเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญในภูมิภาค จึงร่วมกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้องจัดสัมมนาต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สำหรับการสัมมนาครั้งนี้เนื้อหาเน้นการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ในภูมิภาค

สำหรับภาพรวมของเอสเอ็มอีในปี 2553 ที่ผ่านมา พบว่าธุรกิจยังขยายตัวได้ดีสอดคล้องกับเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ดี ในปี 2554

ปัจจัยที่มีผลกระทบและต้องจับตามองเป็นพิเศษ คือ ค่าเงินบาทที่ผันผวนและมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น คาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะอยู่ที่ 28.50 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ ผลพวงจากเงินที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวและเติบโต โดยเฉพาะประเทศไทย รวมทั้งราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น

นอกจากนี้ ต้องจับตาดูปัจจัยเสริมจากการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ จากแรงขับด้านการลงทุนทั้งของภาครัฐจากโครงการต่างๆ และการลงทุนของภาคเอกชนที่มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งธุรกิจเอสเอ็มอีส่วนใหญ่เกี่ยวโยงกับการอุปโภค-บริโภคในประเทศถึง 38% เมื่อเทียบกับจีดีพี ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจเอสเอ็มอีในภาคเหนือ มี 4 ธุรกิจหลัก ที่มีความโดดเด่น คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เกษตร ก่อสร้าง และการค้า เมื่อวิเคราะห์แต่ละตัว โดยเฉพาะภาคก่อสร้างมีแนวโน้มไปได้ดี เพราะผลพวงจากการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลตามโครงการไทยเข้มแข็ง และการสนับสนุนงบประมาณให้หลายพื้นที่ในภาคเหนือที่ประสบปัญหาน้ำท่วม เพื่อซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับภาคการค้าทั้งค้าปลีก-ค้าส่ง และภาคเกษตร ก็มีทิศทางขยายตัวดีเช่นกัน จากปัจจัยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย รวมทั้งการปรับขึ้นของราคาสินค้าเกษตรหลายประเภทที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ส่วนภาคธุรกิจท่องเที่ยว ภาคเหนือของประเทศไทยยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจ ดังนั้น ในเชิงของความคุ้มค่าการท่องเที่ยวของภาคเหนือ ยังมีโอกาสขยายตัวและไปได้ดี

นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้า จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ เพื่อให้ความรู้แก่เอสเอ็มอีในภูมิภาคในการนำไปใช้เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า รวมทั้งการก้าวสู่การเปิดตลาดในภูมิภาคเป็นประชาคมอาเซียนในอนาคต ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องแสวงหาตลาดใหม่ และตั้งรับกับการแข่งขันของคู่แข่งที่จะเข้ามา

นอกจากนี้ หอการค้ายังมีเป้าหมายดึงเอสเอ็มอีรวมกลุ่มเป็นคลัสเตอร์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและอำนาจต่อรอง โดยเฉพาะเอสเอ็มอีในภาคเหนือที่มีสัดส่วนมากถึง 1 แสนราย เมื่อเทียบกับเอสเอ็มอีทั่วประเทศที่มีประมาณ 3 ล้านราย ถือเป็นจำนวนที่มากที่สุด ส่วนทิศทางธุรกิจเอสเอ็มอีในปี 2554 แม้ปัจจัยการเมืองภายในประเทศจะเริ่มนิ่ง ขณะที่เศรษฐกิจยังมีเกณฑ์ขยายตัวดี แต่ยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบ คือ เงินบาทที่แข็งค่า สำหรับปัจจัยภายในก็มีส่วนสำคัญทั้งปัญหาเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ


Source://www.ncc.or.th/index.php/component/content/article/46-economyin/451-asdad