|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
PRU POP LIFE เรื่องของ พรู เด็กชายพรู และ ผมกับเธอ
โดย merveillesxx
บทความนี้แบ่งเป็น 3 ตอน ได้แก่
PART 1 เรื่องของ พรู (ว่าด้วยความประทับใจที่มีต่อคอนเสิร์ต PRU POP LIFE)
PART 2 เรื่องของ เด็กชายพรู (ว่าด้วยสัญลักษณ์ในคอนเสิร์ตนี้)
PART 3 เรื่องของ ผม เธอ และพรู (บทพรรณนานำเสนอในรูปแบบเรื่องสั้น)
PART 1 เรื่องของ พรู
ถ้าหากใครได้ผ่านสายตากับ รายงานคอนเสิร์ต ของผมมา (เช่น คอนเสิร์ต B.Day หรือ Moderndog) คงจำได้ว่ามันมักจะเป็นบทบรรยายอย่างละเอียดเก็บทุกเม็ด ที่มีความยาวมากและต้องใช้ความอดทนสูงกว่าจะอ่านจบ แต่ในครั้งนี้ผมไม่ได้บันทึกอะไรไว้เลยขณะชมคอนเสิร์ต ดังนั้นผมขอสรุปความประทับใจเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
ว่าด้วย แขกรับเชิญ
001. บอยด์ โกสิยพงษ์ วันนี้ไม่ได้มาร้องเพลง แต่เขามา แจกทอง (แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงใส่ชุดสีน้ำเงินตัวโปรดเหมือนเดิม) สิ่งที่น่าเจ็บใจก็คือ ตำแหน่งเก้าอี้ของผู้โชคดีที่ได้ทองนั้น ไม่มีคนนั่ง! (สงสัยเขาคงลืมมาดู) และอยู่ห่างจากผมไปไม่ถึง 5 เมตร!
002. อรอรีย์ ปรากฏตัวอย่างไม่ตั้งตัวในชุดดำ เธอมาร้องเพลง โปรด คู่กับพี่น้อย และเมื่อร้องจบเธอก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย แต่นั่นก็ทำให้ผมแทบจะร้องไห้ เพราะถึงจะเป็นเพียงภาพระยะไกล แต่แค่ได้เห็นเธอตัวเป็นๆ ได้ยินเสียงเธอสดๆ ผมก็ซึ้งใจเป็นที่สุด
เธอคือนักร้องหญิงที่ผมชอบที่สุดในชีวิตครับ (เพลงของเธอที่ผมชอบมากคือ ระหว่างเรา ฟังกี่ทีกี่ครั้งก็ร้องไห้)
003. ถึงแม้จะไม่เห็นเขาเกือบ 1 ปีเต็มๆ (ตั้งแต่ตอน B.Day) แต่ธีร์ ไชยเดช ยังเสียงหล่อไม่เปลี่ยน ส่วนฝีมือกีต้าร์ก็เซียนหายห่วง เพลง ยังรอคอยเธอเสมอ ในวันนี้จึงเป็นเวอร์ชั่นที่ไพเราะที่สุดอีกอันหนึ่ง
004. สงสัยชาตินี้ผมต้องโดนทีมนักแสดงจากหนังเรื่อง เพื่อนสนิท หลอกหลอนไปอีกนาน เพราะคราวที่แล้วไปดูคอนเสิร์ตพี่นภก็เจอ น้องเอ๋ (พยาบาลสาวนุ้ย) มาคราวนี้ น้องนุ่น (ดากานดา) ก็มาแจมเพลง คิดลึก คู่กับพี่คณิณ
สงสัยคราวหน้าไปดู Backstreet Boys แขกรับเชิญคงเป็น
เอ่อ
พี่แตน!
005. จะกี่ครั้งกี่คราว คุณป้ากมลา ก็ยังขโมยซีนได้เด็ดขาดบาดใจ ใครจะนึกล่ะว่า เพลง Live & Learn เวอร์ชันร็อคๆ แบบวงพรู มันจะมันส์ขนาดนี้ เชื่อมั้ยว่าคนดูลุกกันทั้งงาน (นี่ยังไม่นับที่สมาชิกวงทั้ง 4 เอาวิกผมทรงกระบังแหงนของคุณป้ามาใส่ก่อนเล่นเพลงนี้ด้วยนะ)
006. หลายคนแซวว่าวันนี้พี่น้อยขี้แงมากมาย แต่ก็ซึ้งมากตอนที่พี่น้อยบอกว่า วันนี้คุณพ่อของเขามาด้วย ว่าแล้วพี่น้อยก็เลยชวนคุณพ่อขึ้นไปบนเวทีซะเลย
สุขสันต์วันพ่อนะพี่น้อย
ว่าด้วย ช็อตประทับใจ
007. จนถึง ณ วันนี้ วิชญ์ พิมพ์กาญจนพงศ์ กับ จิโร่ เอ็นโด คงเป็นคู่แท็กทีมด้านกราฟฟิก และไลท์ติ้งที่มือขึ้นที่สุดในเมืองไทยไปแล้ว คอนเสิร์ตนี้ยังสร้างสรรค์สุดโต่งเหมือนเคย เพราะเขาเอากระดาษมามุงเป็นหลังคา!
008. วันนี้พี่น้อยร้องหลุดบ่อยมาก (ส่วนใหญ่เพราะซึ้งน้ำตาแตก-ฮา) แต่นี่แหละบรรยากาศของการเล่นสด จริงมั้ย?
009. คอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตช่างคิดเสียจริงๆ สังเกตมั้ยว่า ช่วงแรกพี่น้อยใส่ผ้าคลุมสีดำ แล้วมีเลขศูนย์สีขาวตรงกลาง พอช่วงท้ายก็กลับเป็นผ้าคลุมสีขาวเลขศูนย์สีดำ แล้วตอนจบเพลง 0 จอสกรีนก็ขึ้นรูปเลขศูนย์ขึ้นอีกด้วย (ส่วนจะแปลว่าอะไรบ้าง ไปถามพี่น้อยกันเองดีกว่า)
010. ท่านกกระเรียน และบัลเล่ต์เหินเวหาของพี่น้อยยังดูเพลินเหมือนเคย แต่เสียวจริงๆ ว่าจะขาหักอีกเป็นรอบที่สาม
011. และเพราะการเต้นท่ามากไปนั่นเอง พี่น้อยทำให้ไมค์เจ๊งไปเลยตัวนึง พร้อมกับอุทานว่า โอ ชิท ออกไมค์ (ฮา)
012. ในที่สุดเราทุกคนก็รู้กันว่า ยอดเถา (มือเบสที่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างหลังประจำคนนั้นนั่นแหละ) แกพูดได้
013. พี่คณิณหล่อมาก
014. ตอนเพลง คนเผือก ที่ใช้เทคนิคไลท์ติ้ง ไฟแวบๆ ทั้งเพลง ทำให้พี่น้อยเดินแล้วเหมือนภาพ stop motion ตรงนี้เท่ขาดใจ ขอกราบตีนคนคิด
015. อ้อ ตอนเพลง คนเผือก พี่น้อยหายไปหลังเวทีแป๊บนึง เพื่อ
เอาแป้งชโลมตัว
016. คอสตูม ถุงพลาสติก ตอนเพลง จุดเดิม
ชุดแบบนี้มีแต่พี่น้อยเท่านั้นที่ใส่ขึ้น (และกล้าใส่)
017. ตอนเล่นเพลง จุดเดิม ขนลุกมาก เป็น 8 นาทีที่สุดยอดมาก นี่คือเพลงมหากาพย์ที่ทรงพลังที่สุดในคอนเสิร์ตวันนี้ และในปีนี้ด้วย
018. ช่วงที่ 2 ของคอนเสิร์ตเป็นช่วงที่เครียดที่สุด (หรืออาจจะน่าเบื่อมากๆ สำหรับใครหลายๆ คน เพราะผมเห็นคนเดินออกเยอะมาก) ต้องสารภาพเลยว่าผมไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ผมชอบมาก มันเป็นสัญลักษณ์ที่ซึ้งมากครับ (อ่านละเอียดใน PART 2)
019. ประทับใจมากตอนเพลง 50 ชั้น ที่พี่น้อยเดินผ่าคนดู ปีนเก้าอี้มาจากข้างหลัง แล้วดั้นด้นไปถึงเวทีได้ในที่สุด ได้อยู่ใกล้พี่น้อยในระยะ 0.01 เซนติเมตรเลย
020. แต่จริงๆ แล้วตอนที่พี่น้อยเดินมาอยากจะถามว่า ไอ้ชุดแดงทั้งตัวนี่ พี่คิดได้ไงอ่ะ (แต่อย่าลืมว่าแกเคยใส่ ชุดประดาน้ำ มาแล้วในงาน Pru-Dog)
021. ขอปรบมือให้กับ น้องบอส ผู้กล้าหาญที่ปีนเวทีขึ้นไปเต้นกับพี่น้อยตอนเพลง Romeo & Juliet ได้มันส์สุดๆ
022. ผมเพิ่งค้นพบวันนี้ว่าเพลง ทุกสิ่ง เป็นเพลงที่เพราะมาก (อ่านรายละเอียด PART 3)
023. ชอบใจมากที่ปิดคอนเสิร์ตด้วยเพลง พรู ที่คือการปิดฉาก conceptual concert ได้อย่างงดงาม
024. อังกอร์เพลง ขอสักวัน แบบไม่ได้เตรียมตัวกันมาก่อน (สุกี้บอก เฮ้ย ไม่ได้เล่นเพลงนี้มาปีนึงแล้ว) แม้พี่น้อยจะจำเนื้อไม่ได้ จนต้องดำน้ำ แต่คนดูก็ช่วยร้องกันทั้งงาน
025. จบ
PART 2 เรื่องของ เด็กชายพรู
เป็นที่รู้กันว่าอัลบั้มชุดที่สองของ Pru ที่ชื่อว่า ZERO นั้นมีลักษณะของ concept album และมันก็ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลยทางด้านยอดขาย
ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของวง Pru ก่อนจะไปดูคอนเสิร์ตแล้วฮามาก นักข่าวถามว่า ทำไมถึงจัดคอนเสิร์ตนี้ขึ้นมา ทางวงก็ตอบว่า เพราะเพลงในชุด ZERO เราไม่สามารถนำไปเล่นที่ไหน เราก็ต้องจัดคอนเสิร์ตขึ้นมาแบบนี้แหละ
ก็ลองคิดภาพแล้วกันว่าทาง Pru ไปเล่นที่ลานเบียร์สักแห่งแล้วดันเฮี้ยนหยิบเอาเพลง จุดเดิม ที่ยาว 8 นาที ขึ้นมาเล่น จะเกิดอะไรขึ้น (แน่ๆ ว่าต้องมีขวดเบียร์ลอยขึ้นไปบนเวทีอย่างน้อย 2-3 ขวด)
อย่างไรก็ตาม ผมชอบมากที่ Pru แบ่งคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็น 3 ส่วน คือ
1. ช่วงแรก ซึ่งเปรียบเหมือนช่วง วัยเด็ก (ทุกคนในวงใส่เสื้อสีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ การเกิด) เพลงในช่วงนี้จะฟังไม่ยากมาก และสังเกตมั้ยว่าเพลงเปิดงานคือ
รักคุณ ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของชุดสอง และถัดมาคือเพลง แค่ ซึ่งเป็นเพลงเปิดตัวของชุดแรก
2. ช่วงที่สอง เป็นช่วง วัยรุ่น ที่เป็นวัยที่บ้าบิ่นที่สุด ดังนั้นช่วงนี้ Pru จึง ซัดแหลก ด้วยเพลงจากชุด ZERO เกือบทั้งหมด
3. ช่วงที่สาม เป็นช่วง วัยแก่ ดังนั้นจึงเป็นเหมือนช่วงของ รวมเพลงฮิต (คลาสสิก = อะไรที่ดูแก่ๆ หน่อย แค่มันจะอยู่ยืนยาว) เพราะจะเล่นแต่เพลงที่คนร้องตามได้
ดังนั้นถือได้ว่านี่เป็นการนำเสนอที่ชาญฉลาด เพราะจุดประสงค์หลักของคอนเสิร์ตนี้คือการนำเสนองานเพลงจากชุด ZERO แต่พวกเขาก็ไม่ยัดเยียดคนดูจนเกินไป แต่พวกเลือกที่จะ ประนีประนอม เพราะเพลงในช่วงที่สามจะทำคนดูออกจากงานไปด้วยความรู้สึกที่ดี (และมีอารมณ์จะซื้อซิงเกิ้ลใหม่ที่ขายอยู่หน้างาน รวมถึงอัลบั้มชุดที่สามด้วย)
สิ่งที่ผมจะพูดถึงเป็นพิเศษก็คือ โชว์ของช่วงที่สอง ซึ่งตอนแรกผมเข้าใจว่า Pru จะทำใช้เวลาในช่วงนี้ อธิบาย ถึงเพลงในอัลบั้ม ZERO
แต่เปล่าเลยครับ กลายเป็นว่าพวกเขากลับสร้าง concept ใหม่ต่อยอดมาจากอัลบั้มทั้งสองชุดต่างหาก! (และจริงๆ แล้วบทอธิบายถึงอัลบั้ม ZERO ก็มีแนวทางไว้แล้วในหนังสือ หาเธอให้เจอ ที่แจกฟรีหน้างานคอนเสิร์ต)
คงเพราะว่าเพลงในชุด ZERO นั้นอาจจะตีความในหลากหลายแนวทางมาก คอนเสิร์ตวันนี้พวกเขาจึงใช้ สื่อ (medium) เพื่อให้พวกเราเข้าถึงเรื่องราวได้ง่ายขึ้น นั่นก็คือ หนังสั้น ที่ขึ้นมาตลอดในโชว์ช่วงที่สองนั่นเอง
ผมจำไม่ได้แน่ชัดแล้วว่าหนังสั้นนี้เริ่มขึ้นมาในช่วงเพลงไหน แต่ที่ผมจำได้แม่นๆ ก็คือ ช่วงเพลง คนเผือก ที่เป็นภาพเด็กผู้ชายใส่หน้ากากแปลกๆ ที่ถูกเด็กคนอื่นจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา แล้วจากเขาก็ถูกเด็กเหล่านั้นทรมานด้วยเข็มฉีดยา (!)
เพลงและภาพในช่วงนี้สอดคล้องกันอย่างมาก เพราะเพลง คนเผือก นั้นพูดถึง ความแปลกแยก (Alienation) เพราะแค่ประโยคแรกของเพลงก็บอกแล้วว่า ผมมันคนแปลกกกกกกกกกกก
.กกกกกก ส่วนตัวหนังสั้นนั้นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความแปลกแยกก็คงหนีไม่พ้น หน้ากากแก๊สพิษ ที่เด็กชายคนนั้นสวมใส่อยู่
ถัดมา Pru เล่นเพลง Passage : ชีวิตที่ไม่เคยเปลี่ยน และต่อด้วย Whales ภาพที่ขึ้นมาในช่วงนี้จะเป็นเด็กผู้ชายคนเดิมเวียนว่ายอยู่ในทะเลลึก และจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ผมคิดว่านี่คือ การเดินทาง จากโลกอันโหดร้าย (ภาพในเพลง คนเผือก ใช้โทนสีแดงตลอด) ไปสู่โลกที่สงบสุข เพราะภาพที่ปรากฏถัดมาคือ ชายหาดริมทะเล
เมื่อภาพคลื่นทะเลสาดซัดปรากฏขึ้น Pru ก็เริ่มบรรเลงเพลง World War IV จุดเดิม เพลงที่อาจจะว่าถึง สงครามของมนุษย์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด หรือวงจรความสัมพันธ์อันซ้ำซากของมนุษย์ (= สงครามในใจ) สำหรับผมเพลงนีเป็นเพลงที่เศร้าและหดหู่มาก และภาพบนจอขณะนั้นก็เป็นเด็กผู้ชายคลานไปมาบนหาดทราย (ซึ่งดูทุรนทุราย) พร้อมกับผู้หญิงลึกลับคนหนึ่งที่หันหลังให้เรา
แต่น่าแปลกที่เมื่อจบเพลงนี้ ภาพที่ปรากฏบนจอกลับตรงข้ามกันกับความรู้สึกของบทเพลง
หน้ากากที่เด็กน้อยคนนั้นใส่ไว้ บัดนี้ได้หายไปแล้ว ผู้หญิงที่ผมของเธอถูกลมพัดไสวไปมาตลอดเพลงกำลังหันหน้ามาให้เราเห็น เด็กชายและเธอคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหากัน และที่สำคัญเด็กคนนั้นกำลัง ยิ้ม
และทั้งสองคนก็จูงมือเดินไปด้วยกัน
คำถามก็คือ เด็กผู้ชาย คนนี้คือใคร ?
สำหรับผม ผมคิดว่าเขาคือ เด็กชายพรู ครับ
ยังจำได้เด็กชายพรูกันได้มั้ยครับ เขาก็คือแรงบันดาลใจอันเป็นที่มาของชื่อวง Pru นั่นเอง โดยพี่น้อยเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาไปเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่งขายพวงมาลัยอยู่กลางสี่แยก และประทับใจในตัวเด็กคนนี้มากจนตั้งชื่อให้เขาว่า พรู (มาจาก Prewitt ซึ่งเป็นชื่อพระเอกหนังเรื่อง From Here To Eternity) และเด็กผู้ชายบนปกอัลบั้มชุดแรกของ Pru ก็คือตัวแทนของเด็กชายพรู
นอกจากนั้นแล้วเด็กชายพรูยังเป็นตัวละครหนึ่งในบทเพลงของวงด้วย ซึ่งคือเพลง พรู ที่มีเนื้อร้องว่า
ฉันรู้ว่าพรูจะสดใสสักวันหนึ่ง ฉันรู้ว่าพรูจะหัวเราะสักครั้งหนึ่ง ฉันรู้ใครๆ จะยอมรับ ฉันรู้ว่าคนจะส่งยิ้มให้ไม่ต้องกลัวแค่ ร้องไห้ร้องระบายกับตัวฉัน ร้องไห้ และไม่ต้องอายเพราะมันก็แค่นั้น สุดท้ายยังมีฉันอยู่กับพรู
แต่ถ้าจำกันได้ตอนที่ Pru ออกอัลบั้มชุดแรกมา มีเสียงวิจารณ์หนาหูถึง ความฟูมฟาย เกินเหตุในบทเพลงของวง รวมถึงประเด็นที่ว่า Pru พยายามบอกว่าพวกนำเสนอเพลงที่บอกเล่าถึงสังคม แต่ก็มีเสียงโต้กลับมาทันใดว่า Pru พยายามเล่าถึงชีวิตแสนเศร้าของเด็กที่ว่าชื่อ พรู แต่มันก็เท่านั้น เพราะทางวงก็ไม่ได้คิดจะช่วยเด็กคนนี้อย่างจริงจัง ปล่อยให้เขาเป็นเพียงตัวละครในจินตนาการ
ตอนที่ผมอ่านเจอข้อค่อนขอดที่ว่าผมก็งงปนขำเหมือนกัน ในแง่ความสับสนระหว่างคำว่า ศิลปิน กับ นักสังคมสงเคราะห์
อย่างไรก็ตามเหมือนกับวง Pru จะได้ยินถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น มาถึงในคอนเสิร์ตนี้เขาก็เลยมอบ ของขวัญ ชิ้นหนึ่งให้กับเด็กชายพรู
สิ่งนั้นก็คือ โลกอันสงบสุข (ทะเล) ที่ปราศจากเภทภัย (พรูไม่ต้องใส่หน้ากากกันพิษอีกต่อไปแล้ว) รวมถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่จูงมือพรูไปตามทางข้างหน้า ซึ่งผมคิดว่าเธอก็คือ แม่ ของเด็กชายพรู
ดังนั้น ลองนึกให้ดีแล้วภาพที่ว่ามาก็บรรจบกับประโยคสุดท้ายของเพลง World War IV จุดเดิม ที่ร้องซ้ำๆ ว่า คืนชีวิตฉันมาเถอะ คืนชีวิตฉันมาเถอะ คืนชีวิตฉันมาเถอะ เพราะ ณ ตอนนั้นพี่น้อยผู้ซึ่งทำให้เรื่องของพรูโลดแล่นขึ้นมาในบทเพลง ก็กำลังเปลี่ยนสถานะตัวเองเป็น ผู้เรียกร้องชีวิต ให้กับเด็กน้อย
เช่นนั้นแล้วของขวัญที่ Pru มอบให้เด็กชายพรู ก็คือ การมอบชีวิตใหม่ ให้แก่เขา และเพลง พรู ที่เล่นปิดท้ายคอนเสิร์ตนี้ก็คือ การปิดม่านจบที่สวยงามและสมบูรณ์แบบ
และทุกสิ่งที่ Pru นำเสนอมาก็ยังไปพ้องกับทั้งประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของอัลบั้มชุด ZERO นั่นก็คือการ หาเธอให้เจอ
พวกเรายังจะต้องตามหาใครคนนั้นต่อไป แต่สำหรับเด็กชายชายพรูเขาตามหา เธอคนนั้น เจอแล้ว
PART 3 เรื่องของ ผม เธอ และพรู
ถ้าถึงตอนที่เล่นเพลง ทุกสิ่ง แล้ว ต่อช่วยโทรมาหาเราด้วยนะ
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เธอพูดกับผม ก่อนที่เธอจะวางสายไป แล้วมอบอิสรภาพให้ผมปลดปล่อยตัวเองอย่างเต็มที่กับการแสดงที่อยู่ตรงหน้า
ก่อนคอนเสิร์ตจะเริ่มขึ้น ผมลองหลับตานึกถึงบรรยากาศคอนเสิร์ตครั้งก่อนๆ ที่ตัวเองเคยเข้าไปมีส่วนร่วม ภาพที่ผมเห็นประจำจนชินตาก็คือ เมื่อถึงช่วงที่เป็นเพลงรักหวานซึ้งทีไร จะต้องมีพวกที่ชูโทรศัพท์ขึ้นมาให้คนที่ปลายสายฟังเพลงนั้นพร้อมไปกับเขา
ความรู้สึกเดียวที่ผุดขึ้นมา เมื่อผมเห็นภาพเหล่านั้นคือ หมั่นไส้ ส่วนคำนิยามหนึ่งเดียวที่มีก็คือ งี่เง่า
แน่นอน ผมไม่คิดจะทำตามความต้องการของเธอหรอก มันไร้สาระจนเกินไปที่ผมจะเสียเงินเหยียบพัน แล้วแทนที่จะได้ดูคอนเสิร์ตอย่างเต็มอิ่ม แต่กลับต้องมาพะว้าพะวงเตือนตัวเองให้โทรหาคนๆ หนึ่งเมื่อศิลปินเล่นเพลงตามที่เขาบอกไว้ แล้วไหนจะต้องมากังวลอีกว่าเขาจะรับโทรศัพท์มั้ย เขาจะได้ยินเสียงชัดหรือเปล่า ไหนต้องจะอับอายสายตาคนรอบข้างอีกด้วย แล้วสุดท้ายก็คือ มันเปลืองค่ามือถือโดยใช่เหตุ
ดังนั้น ผมก็เลยตัดสินใจที่จะลืมสิ่งเธอพูดไว้ แล้วก็ตั้งความสนใจไว้กับสิ่งที่เกิดตรงหน้าดีกว่า . . . . หลายบทเพลงของพรูผ่านไปแล้ว ความสุขและความเศร้าได้โบกพัดผ่านตัวผมไป เหมือนกับผมได้หลุดไปสู่โลกอื่นร่วมสองชั่วโมง
แต่ทันใดนั้นเองเมื่อโน้ตตัวแรกของเพลงใหม่เริ่มบรรเลงขึ้น เหมือนกับตัวผมถูกลากให้กลับมาสู่โลกเดิมอย่างรวดเร็วและรุนแรง หลังจากใช้สติไตร่ตรองอยู่ไม่เต็มวินาทีนัก ผมก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือเพลง ทุกสิ่ง
มันเหมือนการตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณ เหมือนกับตอนที่เรากระโดดหลบรถที่วิ่งมาจากข้างหลังได้ทั้งที่เราไม่มีตาหลัง เหมือนกับตอนที่เราหลับตาทันทีที่มีวัตถุบางอย่างลอยเข้ามาตรงหน้า
ฉับพลันนั้นเองผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดโทรหาเธอ
ฮัลโหล ได้ยินต่อมั้ย ฮัลโหล ฮัลโหล ผมกรอกเสียงตัวเองใส่ลงไป
เปล่าประโยชน์ ผมไม่ได้ยินเสียงของฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย เสียงอื้ออึงในคอนเสิร์ตกลบทุกสรรพเสียง ไม่มีเสียงใดจะเล็ดลอดเข้าสู่โสตประสาทของผมได้อีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อมองที่หน้าจอเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามรับสายแล้ว ผมก็ชูมือขึ้นให้โทรศัพท์ของผมประชันหน้ากับบทเพลงตรงหน้าอย่างเต็มที่
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาที่ปวารณาตัวเองเป็นแฟนของวงพรู ผมชอบเพลงของพวกเขาในอัลบั้มชุดแรกเกือบทุกเพลง ไม่ว่าจะเป็น แค่, นางฟ้า, Romeo & Juliet หรือแม้แต่เพลงกวนๆ อย่าง เลือกแบบไหน แต่น่าแปลกเหลือเกินที่ผมกลับรู้เฉยๆ กับเพลง ทุกสิ่ง มันอาจจะเป็นโรคจิตประจำตัวของผมก็ได้ที่เมื่อเพลงไหนเป็นที่นิยมกว้างขวาง ผมก็จะทำเป็นลืมมันไปเสีย
แต่ในขณะที่ผมกำลังยกแขนชูโทรศัพท์แบบเก้ๆ กังๆ พร้อมกับฟังเพลง ทุกสิ่ง อย่างตั้งใจหลังจากที่ไม่ได้ทำมาร่วม 3 ปีแล้ว
ผมค้นพบว่าเพลงนี้มันเพราะมาก
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนมากมายถึงรักเพลงนี้เหลือเกิน
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเลื่อนโทรศัพท์มาใกล้ตัวเอง แล้วร้องคลอไปกับเพลงให้คนที่ปลายสายฟัง
ก็เพราะทุกอย่าง ที่เธอ เคยได้ทำ นั้นเปลี่ยนใจ ที่เคยบอบช้ำ ความอ่อยโยน ทุกทุกถ้อยคำ คอยเติมและทำให้ความหวังของฉัน กลับมา
ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองระลึกชาติได้ เมื่อรู้ตัวว่าผมร้องเพลงนี้ได้ทุกประโยคและทุกถ้อยคำ
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพลงเพลงนี้มีความยาวสักเท่าไร 3 นาที 4 นาที หรือ 5 นาที แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเวลาที่ยาวนาน เพราะคำหนึ่งคำในเพลงนี้คือ ช่วงจังหวะที่สมอง หัวใจและริมฝีปากของผมทำงานบรรจบกันครบหนึ่งรอบ
มันอาจจะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ของใครบางคน แต่สำหรับผมมันมีค่าและน่าจดจำ . . . . และในที่สุดตัวโน้ตตัวสุดท้ายก็ถูกบรรเลงขึ้น
ความอื้ออึงเมื่อชั่วครู่กำลังกระจายตัวออก สิ่งที่กำลังเข้ามาแทนที่คือความเงียบงันชั่วขณะ
ผมรู้ว่าความเงียบนี้จะคงอยู่ไม่นานนัก ในไม่ช้าบทเพลงต่อไปจะเริ่มขึ้น และทันใดนั้นเองผมก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไป
ท่ามกลางฮอลล์คอนเสิร์ตขนาดสามพันคน ผมพูดประโยคที่เก็บเอาไว้ในใจมาเนิ่นนานให้เธอฟัง
ผมพูดออกไป แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเธอจะได้ยินชัดเจนหรือเปล่า
แต่หลังจากจบคอนเสิร์ตผมจะโทรไปบอกเธออีกครั้ง
ก่อนเข้านอนผมก็จะบอกเธออีกครั้ง
และเมื่อตื่นขึ้นมาผมก็จะบอกเธออีกครั้ง
อีกครั้ง
และอีกครั้ง
.
Create Date : 06 ธันวาคม 2548 |
|
28 comments |
Last Update : 6 ธันวาคม 2548 2:38:49 น. |
Counter : 4965 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: p_tham 6 ธันวาคม 2548 4:02:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 6 ธันวาคม 2548 7:55:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: I will see U in the next life. IP: 161.200.255.161 6 ธันวาคม 2548 10:15:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: it cu IP: 161.200.255.161 6 ธันวาคม 2548 11:31:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: Tanny IP: 203.149.22.66 6 ธันวาคม 2548 12:14:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: IP: 203.151.140.119 7 ธันวาคม 2548 21:14:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: โสมรัศมี 7 ธันวาคม 2548 21:25:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 8 ธันวาคม 2548 1:41:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: it CU IP: 161.200.255.161 9 ธันวาคม 2548 8:43:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 10 ธันวาคม 2548 13:03:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: exe IP: 203.170.228.229 20 ธันวาคม 2548 10:01:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: 12 IP: 58.10.251.232 25 ธันวาคม 2548 21:48:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: RUBIS IP: 58.9.36.37 12 มีนาคม 2549 2:29:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: platalay IP: 125.24.5.121 18 มิถุนายน 2550 10:39:25 น. |
|
|
|
|
|
|
|
1. หนังเรื่อง From Here to Eternity (1953, Fred Zinnemann) ดูข้อมูลที่ //www.imdb.com/title/tt0045793/
2. อรอรีย์ = นักร้องสาวที่มีน้ำเสียงแข็งกร้าวทรงพลัง พร้อมกับเสียงแบบเศร้าสุดหลอน สิ่งที่เด่นในบทเพลงของเธอคือกีต้าร์ และเธอได้ฉายา "ควีนออฟกรันจ์" หนึ่งเดียวของประเทศไทย
เธอเคยอัลบั้มมาสองชุดในสังกัด Bakery Music คือ Natural High (1995) และ Peel (1998)
ย้ำอีกที เธอคือนักร้องที่ผมรักที่สุดในชีวิตจ้ะ