|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
HAMBURGER FAIR #1 งานดีๆ ของหนังสือบันเทิงนิสัยดี
โดย merveillesxx
เจ้าของหัวหนังสือชื่อน่ากินอย่างนิตยสาร HAMBURGER นั้นฝ่าฟันอยู่บนแผงหนังสือเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว ถ้าจำไม่พลาดคุณโหน่ง-วงทนงศ์เคยให้นิยามไว้ว่า HAMBURGER เป็นเสมือน น้องสาว ของนิตยสาร a day ในขณะที่ พี่ชาย เป็นหนังสือเล่มหนาและอัดแน่นด้วยเนื้อหา (และปัจจุบันคือโฆษณา--ฮา) น้องสาวคนนี้ก็เลือกที่จะเป็นหนังสือบันเทิงครบเครื่องทั้งวงการละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ดนตรี
สิ่งที่ผมชอบในตัวของ HAMBURGER ก็คือเธอ (อ้าว..ก็เป็นน้องสาวก็ต้องเรียกแบบนี้สินะ) เป็นหนังสือบันเทิง นิสัยดี ครับ กล่าวขยายความสักหน่อยก็คือ หนังสือเล่มนี้จะไม่มีไอ้ข่าวประเภทดาราจับมือกันตามห้าง หรือรูปดารานมหก ร่องหน้าอกคนดัง ขอบกางเกงในไฮโซโดยเด็ดขาด ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าควรสละเงิน 49 บาทเดือนละสองครั้งให้หนังสือเล่มนี้ ส่วนรายอื่นๆที่ชอบถ่ายรูปจำพวกที่ว่าไปนั้นใช้วิธียืนอ่านฟรีในร้านเซเว่น-อีเลฟเวนจะคุ้มกว่านะผมว่า (ไม่ได้พูดสักคำเลยนะว่าไม่ชอบอ่าน ไม่ใช่คนดีขนาดนั้นครับ)
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชมในหนังสือเล่มนี้ก็คือ การที่เธอพยายามรักษาตำแหน่งของตัวเองอยู่ในกึ่งกลางระหว่างสิ่งที่เป็น กระแสหลัก (Mainstream) และ นอกกระแส (Non-mainstream หรือจะเรียกว่า อินดี้ ก็ได้ครับ) กล่าวคือในขณะที่มีคอลัมน์วิจารณ์เพลงของของค่ายยักษ์ใหญ่ของ อา ก. และ เฮีย ฮ. หนังสือเล่มนี้ก็มีการเขียนถึงเพลงจากค่ายลับแลที่ลองหันไปถามเพื่อนรอบๆ คุณสักสิบคนก็รับรองว่าไม่มีใครรู้จัก
น่าเสียดายเหมือนกันที่ผมเพิ่งกล่าวคำอำลากับ HAMBURGER เมื่อไม่นานมานี้
ไม่ใช่เพราะหนังสือมันคุณภาพถดถอยลงขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าช่วงหลังๆมานี้ ผมซื้อมาแล้วแทบจะไม่ได้อ่านเลย วางตั้งไว้จนกองสูงพะเนินแล้ว ก็เลยคิดว่าหยุดเสียดีกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินข่าวว่าจะมีงาน HAMBURGER FAIR #1 ที่เขาบอกไว้ว่ามันคืองานที่ คนบันเทิงออกร้าน ฉายหนังกลางแปลง แสดงคอนเสิร์ต ผมก็สนใจใคร่รู้ถึงส่วนปลีกย่อยของมัน อย่างว่าผมรู้จักหญิงสาวคนนี้มาตั้งเกือบ 3 ปี เมื่อมีโอกาสพบปะตัวจริงของเธอแบบนี้มันก็น่าสนใจ และคุณวิภว์ บูรพาเดชะ (บรรณาธิการบริหารคนปัจจุบัน ซึ่งถูกแซวในงานทั้งสองวันว่าหน้าเหมือนหมอของ รพ.ตำรวจมากกว่า บก.หนังสือ) เขาก็เชื้อเชิญไว้ว่า หากคุณรู้สึกชอบ HAMBURGER ในรูปแบบที่ใช้ อ่าน ได้แล้วล่ะก็ ลองไปรู้จักกับ HAMBURGER ในรูปแบบที่ใช้ เดินเล่น ได้ดูบ้างนะครับ
โอเค
ได้เวลาแล้ว ออกไป เดินเล่น กับผมในงาน HAMBURGER FAIR #1 กันนะครับ
วันแรก: เสาร์ 9 เมษายน 2548 ผมไปถึงลานหน้า Central World ประมาณเกือบๆ 6 โมงเย็น ...แน่นอนก็เพื่อไปดู Girly Berry น่ะสิ!! แต่ว่าไปถึงก็ยังไม่เห็นวี่แว่วสี่สาว ก็เลยเดินเล่นรอบๆงานไปก่อน
คาดว่าลานหน้า central world จะเป็นที่จัด EVENT แห่งใหม่ที่สูสี SCB park plaza (เดี๋ยวเค้าจะจัดเป็นงานเล่นสงการนต์ของเด็กแนวด้วยนะ...เหอๆๆ ถ้าไม่แนวก็เข้าไม่ได้สินะ) แต่ได้เปรียบคือเดินทางสะดวกกว่ามากมาย และบรรยากาศดีมากๆ (ตอนกลางคืนตรงนี้สวยมาก ทั้งแสงไฟสีขาวนวล ผิวน้ำสะท้อนประกาย และตึก office of central world ที่ดูขลังดี) แต่เสียว่ามันเล็กนิดเดียว งาน Ham Fair วันนี้ผมเดินรอบๆ 5 นาทีก็เบื่อแล้ว -__-'' (แต่ไอ้ใหญ่เวอร์ๆอย่าง Fat Festival นี่ก็เหนื่อยไปหน่อย เดินไป 5 ชั่วโมงแล้วยังหลงทางอยู่เลย) วันนี้อากาศดี ไม่ร้อน แต่ลมแรงมากๆๆ หวั่นใจว่าจอโปรเจคเตอร์ฉายหนังที่ล้มโครมลงมา ทีมงานก็ขึงเชือกกันใหญ่
บูธรอบๆงานก็มีทั้งบูธเล่มเกม เช่น ตักไข่ ฟังเพลง อะไรก็ว่าไป, ไอติมฟรีจาก Baskin (เย้! อ้อ แต่ต้องมีคูปองที่แถมจาก Hamburger เล่มล่าสุดนะ) ค่ายเทปเพลงต่างๆทั้ง Smallroom, Here, Grammy , RS, ร้านน้องท่าพระจันทร์ ... moderndog นี่ก็มีบูธเป็นของตัวเองเลย กอลลั่ม..เอ๊ย! พี่ป๊อดก็นั่งเฝ้าอยู่เลย แต่ไม่ตื่นเต้นแล้ว เพราะพี่ป๊อดหาตัวง่ายเหลือเกิน (ฮา) อ้อ เค้าจะมีคอนเสิร์ตใหญ่วันที่ 22 พ.ค. แล้วนะ ... ก้อย-โย่ง มีขายเสื้ออวดความหวานอมเปรี้ยวบาดสายตาคนเดินงาน (อ่านบทสัมภาษณ์ทั้งคู่ใน in magazine เล่มใหม่ ปก แป้ง-อรจิรา) ส่วนบูธที่คนเยอะที่สุดน่าจะเป็นบูธ FOOD & DRINK ขายแฮมเบอร์เกอร์โดยเหล่าดาราสาวๆ
ส่วนตัวคิดว่าบูธในวันนี้ยังดูกร่อยๆ CD พิเศษที่ว่าจะมางานนี้งานแรก หรือว่าหายากๆยังไม่ค่อยเห็นเท่าไร คิดว่าคงมาพรุ่งนี้มั้งครับ วันนี้เลยยังไม่เสียตังค์แม้แต่บาทเดียว
ทางด้านการแสดงตอนไปถึงก็มีดนตรีเปิดหมวก เล่นเพลงอคูสติกทั้งจาก โมโนโทน สักคนจำชื่อไม่ได้, Scrubb เมื่อยหรือบอลไม่รู้ ไม่เคยแยกหน้าสองคนนี้ออก, Dr. Love and Miss Valentine และปิดท้ายด้วยพีซ วง Peacemaker ที่เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆไปพอประมาณ
ย้ายมาที่เวทีใหญ่ ศิลปินที่จะมา 'เปิดซิง' เวทีก็คือ สี่สาวพราวเสน่ห์ Girly Berry นั่นเอง ระหว่างรอแต่งตัวแต่งหน้า ก็มีพิธีกรขึ้นมาขำๆบนเวทีคือ คุณคนสัน และคุณสังข์ (108 มงกุฏ) ก็ฮาบ้างแป้กบ้างตามเรื่องไป
เวลาเลทปาเข้าไป 19.00 ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง สังเกตได้ว่าแถวหน้ามีแต่...เอ่อ ผู้ชาย! สี่สาวมาในชุดที่เห็นจนชินตานั่นแหละ แต่ว่าเพิ่งเคยอยู่ใกล้มากๆขนาดนี้ เพราะงานนี้เวทีมันเตี้ยมาก ใกล้ชิดและอบอุ่นจนร้อนหลอมละลาย แถมใจก็เลยตุ๊มๆจ่อมๆไปตามเพลง (ฮา) วินาทีนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่อยากมีกล้องดิจิตอล หรือกล้องเหวอะไรก็ที่ซูมได้ 1.8 ล้านเท่าเป็นของตัวเอง ...สี่สาวมาร้อง 3 เพลง (ตุ๊มต่อม, เพลงอะไรสักอย่างของน้องพลับ เอ๊ย! พดด้วง และเรื่องคืนนั้น) แล้วก็ไปขายแฮมเบอร์เกอร์ต่อ...อ้อ ทั้งสี่บอกว่าคอลัมน์ในชอบที่สุดใน Ham คือ ดูดวง (ฮา) **ดูรูป Girly Berry จากงานนี้ที่ //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3405782/A3405782.html
จากนั้นเป็นรายการฉายหนังสั้นที่น่าจะเข้าขั้นคลาสสิกไปแล้วของบรรดาผู้กำกับดัง แฟนฉัน, ชัตเตอร์, ขุนกระบี่ อันประกอบด้วยเรื่อง Color Blind, หลวงตา, ร้านนายวัฒนา, วันพักเรื่องรักวุ่น (ขออภัยหากชื่อพลาดไป), ขุนกระบี่ม ขุนกระบี่ภาค 4 (อันหลังที่เรียกเสียงฮากระหึ่ม) คนดูเยอะพอประมาณ ส่วนกับตัวหนังผมเฉยๆ ไม่มีเรื่องไหนโดนเป็นพิเศษ สงสัยในสมองยังมีภาพโชว์ก่อนหน้านี้ติดหัวอยู่ (ฮา) อ้อ เห็นมีฝรั่งมานั่งดูด้วยนะ
ต่อไปเป็นโชว์จากวงเฉพาะกิจ 'Starfish' เป็นการรวมตัวของ โย่ง อาร์มแชร์, กอล์ฟ ซูเปอร์เบเกอร์, เจ เพนกวิน วิลล่า มาแบบอคูสติกสบายๆ แฟนๆมารอดูเยอะจนน่าตกใจ ร้องไป 4 เพลง อบเชย, minute of love, มาร้องไห้กันเถอะ และเพลงพิเศษเป็นเพลงวง The Cardigans รู้สึกจะชื่อ Carnival มั้ง
คราวซวยของสามคนนี้มาถึง เพราะพิธีกรที่ขึ้นมาไล่ลงเวทีคือ (ไอ้)น้าเน็ค! ขอบอกว่าฮามากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คาดว่ามีคนดูขำตายไป 8 ศพ ...จากนั้นก็มีเล่นเกมชิงมือถือจาก Motorola ซึ่งผู้เข้าแข่งขันก็ถูกน้าเน็คกัดจนแหว่งไปตามๆกัน
ถัดมาฉายหนังเรื่องแรกของ ผกก. โหมโรง -- อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ เรื่อง 'ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด' (หนังได้รางวัลหนังและผู้กำกับยอดเยี่ยมจากชมรมวิจารณ์บันเทิง) นำแสดงโดย ดู๋-สัญญา คุณากร (พระเอกไม่ค่อยหล่อ แต่เล่นหนังดีอยู่เรื่อยๆ) หนังว่าด้วยผู้ชายที่ทำตัวบ้าสุดขั้วโลกเพราะรู้ว่าตัวเองจะตายในวันรุ่งขึ้น ตัวหนังเฉยๆ มีฮาเป็นพักๆ พล็อตเฉยๆ หักมุมดีแต่ถ่ายทอดไม่โดน ผมอาจจะไม่ค่อยชอบเพราะมันมีกลิ่นเชยๆแบบหนังไทยสมัยก่อนอยู่เยอะ ส่วนฉากที่ชอบที่สุดคือฉากที่สัญญา คุณากรและอังคณา ทิมดี เดินออกมาจากผับ Paradise ทั้งเท่และฮา ประหนึ่งหนังผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ... แหม ทำไปได้ นี่คนกำกับโหมโรงนะเนี่ย
รายการสุดท้าย เป็นโชว์จากวงอักษรย่อ พ. นั่นก็คือ Paradox นั่นเอง เอ่อ..คาดว่าผมดูโชว์วงนี้เป็นรอบที่ 15 แล้วเป็นอย่างต่ำ แต่วันนี้พิเศษเพราะมาในแบบอคูสติก (น้าเน็คบอกว่ามันเป็นคำหรูของ 'ประหยัด' -- ฮา) ปกติวงนี้จะมาแบบหนวกหูครับ (ฮา) ... ระหว่างรอเซ็ตเครื่องน้าเน็คก็มาปล่อยมุกฆ่าเวลา เช่น 'เร็วๆหน่อย ดึกแล้ว อีสองแต่งหน้านานใช่มั้ยเนี่ย' ฮากระจาย
และแล้วพาราด็อกซ์ก็มาปิดเวที เด็ดเหมือนเดิมคือ คอสตูมของ 'สอง' มือเบสประหลาดโลกวันนี้มาในชุดลายเสือ แถมไมค์ของแกก็ฮามามีริ้วๆสีๆติดพร้อมไฟแวบๆ น้าเน็คบอกว่าเชิญปิดทองขอหวยได้ (ฮา) แต่ฮาไปกว่านั้นคือ แม้จะเป็นอคูสติกโชว์ทางวงก็เรียกใช้บริการของ 'ว้ากเกอร์' ทั้งสองคนด้วย (ไอ้ที่อ้วนๆ ใส่เสื้อหนัง ใส่หน้ากากชอบขึ้นมาแหกปากๆ) แต่วันนี้มาทำหน้าที่คอรัสจ้า
เริ่มเพลงแรกด้วย 'บอลลูน' เล่นอคูสติกแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ บรรยากาศเป็นใจด้วย ลมเย็นมาก (และแรงมาก จนหัวยุ่ง -_-') ต่อด้วยเพลง 'LOVE' และ 'ดาว' น่าเสียดายพอถึงตรงนี้ผมก็ต้องรีบกลับซะก่อนเพราะ มันปาเข้าไป 23.40 แล้ว เดี๋ยวรถไฟฟ้าจะหมดเที่ยวเสียก่อน ระหว่างเดินไปขึ้นรถตรงสถานีชิดลมก็ได้ยินเสียงเพลงดาวคลอไปเรื่อยๆ รู้สึกดีเหลือเกิน แม้จะต้องเดินอยู่คนเดียวก็ตาม...
พรุ่งนี้ก็ว่าจะไปอีกครับ แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อเน้อ...
วันที่สอง: อาทิตย์ 10 เมษายน 2548 วันนี้มาถึงงานประมาณเวลา 18.00 ครับ ตามกำหนดการแล้วจะต้องเป็นวง Doobadoo เล่นบนเวที แต่เมื่อไปถึงก็ยังเห็นวง Morning Surfer เล่นอยู่ที่เวทีเปิดหมวก ผมจึงไปเดินเล่นรอบๆงานก่อน ซึ่งก็เหมือนเดิมคือแค่ 5 นาทีก็ครบรอบงานแล้วล่ะ มองผ่านๆแล้วก็ยังไม่มีซีดีเพลงอะไรที่น่าสนใจจนน่าควักกระเป๋าตังค์ขึ้นมานัก เพราะฉะนั้นงานทั้งสองวันผมจึงไม่เสียตังค์แม้แต่แดงเดียว! (ซึ่งน่าจะอัศจรรย์ใจมาก สำหรับผมสำส่อนช็อปปิ้งอย่างผม) แต่มีสิ่งหนึ่งที่สังเกตเพิ่มเติมมาจากรอบเมื่อวานคือ พริตตี้บูธ Benmore น่ารักมากกก
กกกกก
ผ่านที่บูธ FOOD & DRINK เหลือบไปเห็นเต๋า-สโรชา และอิม-อชิตะ (น้องเนตรจาก ชัตเตอร์ ไงครับ) ขายแฮมเบอร์เกอร์ (ที่ใช้กินนะครับ) กันอย่างขยันขันแข็ง คนมุงดูเยอะกันพอสมควรเลย แต่ไม่เห็นคนซื้อของกินเท่าไรแฮะ ส่วนใหญ่ถ่ายรูปกับขอลายเซ็นมากกว่า (ฮา) อิมตัวจริงดูดีมาก ผิวขาวเนียนและดูเฟรนด์ลี่ดี แหม..แบบนี้น่าลองขอให้เขาขี่คอเรา (แต่กลัวจะถูกเตะก้านคอแทน) ย้อนกลับมาที่เวทีเปิดหมวกตอนนี้วง Morning Surfer ลงไปแล้ว ผมก็เจอเพื่อนที่มหาลัยพอดี ประมาณว่าเธออยากถ่ายรูปคู่กับวงนี้ ผมก็เลยช่วยเป็นตากล้องจำเป็นให้ สังเกตดูแล้วหนุ่มวงนี้หน้าตาโอเคทีเดียว แต่ที่สำคัญคือมีแฟนกันแล้วทุกคนและแต่ละคนก็สวยมากๆด้วย
พอหันไปทางซุ้มเล่นเกมคนก็เยอะมากๆๆ จนเดินผ่านไม่ได้ เลยไปนั่งรอแถวริมสระน้ำดีกว่า ตอนแรกรู้สึกว่าวันนี้ร้อนกว่าเมื่อวาน แต่พออยู่ในงานลมก็ยังแรงเหมือนเดิม หัวนี่ยุ่งไปหมด กลิ่นแชมพูจากสาวๆลอยอบอวลทั้งงาน (เอ๊ะ อันหลังนี่ดูจิตๆ)
ศิลปินเปิดเวทีใหญ่วันนี้ตกลงว่าวง Doobadoo ไม่มา กลายเป็นวง Acappella7 แทน (คนละค่ายกันเลย) พิธีกรวันนี้ก็คือ คุณคมสันและคุณทศพล (108 มงกุฏ) พอบอกว่าวันนี้น้าเน็กไม่มารู้สึกว่าศิลปินจะรู้สึกโล่งอกกันเป็นแถว (ก็เมื่อวานเล่นกัดไปหลายคนจนเลือดซิบๆ) ว่าแล้ว 5 หนุ่มวง Acappella7 ก็ขึ้นเวที (ทำไมชอบคิดว่าวงนี้มีเจ็ดคนทุกที -_-) ดูวงนี้เล่นสดทีไรก็สนุก เพราะมันตื่นเต้นมากกับการไม่ต้องใช้เครื่องดนตรีอะไรเลย สิ่งที่ใช้มีเพียง ปาก ที่ใช้ทำสรรพเสียงต่างๆออกมา จริงๆแล้วแนวดนตรีแบบนี้ในบ้านเราน่าสนใจมาก แต่ข้อเสียคือฟังมากๆมันก็เบื่อและเลี่ยน คงเพราะแบบนี้ ชุดสองของวงเลยดับสนิท
ทางวงเล่นไป 4 เพลงแล้วก็ลาไป
สองพิธีกรกลับมาอีกครั้ง มาบอกให้ใจสั่นว่าตอนนี้ที่บูธ FOOD & DRINK มีน้องโฟกัสกับวีเจวุ้นเส้นประจำการอยู่ (อ๊ากกกกก!
อยากกินแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมากะทันหัน) แต่ด้วยความที่อยากดูหนังผมก็เลยไม่ได้ไปดุ้มๆมองๆที่บูธนั้น (ฮือ เสียดาย) จากนั้นก็เป็นการแนะนำเข้าสู่การฉายหนัง กุมภาพันธ์ ฉบับ Re-Director Cut ก่อนฉายมีหยอดมุกฮาด้วยว่าจริงๆตอนแรกจะเป็นหนังเรื่อง นายอโศกกับนางสาวเพลินจิต (ก็หนังของคุณทศพลนั่นแหละ) คมสันแซวว่าหนังเรื่องนี้ทำรายได้ชนิด ถล่มทลาย (จริงๆน่าจะเป็น ถล่มจนเจ้าของหนังตาย มากกว่านะ) พูดขอบคุณสปอนเซอร์แบบพอเป็นพิธีก็เข้าสู่การฉายหนังกลางแปลง
ตอนแรกนั้นผมหาที่นั่งเก้าอี้ไม่ได้ครับ เลยต้องไปนั่งพื้นเอา เขยิบไปมาดันไปเจอที่ข้างลำโพงซะได้ หูแทบแตก ตอนหลังพอหนังฉายไปประมาณ 15 นาทีก็จับพลัดจับผลูไปนั่งเก้าอี้แถวหน้าเฉยเลย (น่าเจ็บใจ ทำไมไม่ใช่ตอนดู Girly Berry นะ) ดูหนังกลางแปลงแบบนี้ก็ได้บรรยากาศดีไปอีกแบบ ลมก็เย็น ใครเป็นแฟนก็คงโรแมนติกดี แต่จะเสียก็ที่มีเสียงรบกวนรอบข้าง (บูธข้างๆเปิดเพลงดัง, คนคุยกัน, เสียงรถราบนถนน ฯลฯ) แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายการชมภาพยนตร์มากนัก
ผมเคยดูกุมภาพันธ์แล้วในโรงที่ลิโด้ครับ ผมมีความผูกพันกับหนังเรื่องนี้พอสมควร นั่นคือมันเป็นหนังเรื่องแรกที่ผมดูหลังจากตระหนักรู้แล้วว่าอยู่ในภาวะความรักใกล้ล่มสลาย (คือยังไม่เลิกกัน แต่ต้องทำใจแล้ว) ตอนดูจบก็ร้องไห้ครับ แต่สิ่งที่คิดได้ก็คือความรักไม่ใช่สิ่งที่จะต้องสมหวังเสมอไป แม้แต่ในหนังโรแมนติกก็ตาม ผมจึงรู้สึกขอบคุณ คุณยุทธเลิศมากๆที่เลือกจบหนังในแบบนั้น เพราะถ้าจบชนิดที่แฮปปี้ เอนดิ้ง ผมคงไม่ชอบหนังมากขนาดนี้
ตอนที่รู้สึกประทับใจจนเหวอก็คือ ฉากที่พระเอกนางเอกกอดกันบนสะพาน (ที่เป็นภาพขาวดำและถูกใช้โปรโมตอยู่บ่อยๆ) พอได้มาดูจอใหญ่ๆแบบนี้กลางแจ้ง แล้วรู้สึกว่ามันขลังมาก จัดเข้าแฟ้ม ฉากคลาสสิก ของหนังไทยไปได้เลย อ้อ พอถึงฉากนี้มีคนผิวปากวี้ดวิ้วด้วยแหละ
อีกสาเหตุหนึ่งที่ผมมาดูกุมภาพันธ์ในวันนี้ก็เพราะอยากได้ยินเพลง ลมหายใจ (เวอร์ชั่นคุณธีร์ ไชยเดช) ในหนังอีกครั้ง เพราะในฉบับดีวีดีมันดันกลายเป็นเพลงของปีเตอร์ คอร์ปไปซะได้! ซึ่งก็ได้ฟังสมใจอยากครับ
แม้ว่าตอนฉายหนังจะมีข้อขัดข้องบ้าง คือหนังกระตุกจนต้องหยุดฉายไปแป๊บนึง แต่การได้มาดูหนังอีกครั้งก็ทำให้สัมผัสหนังในส่วนที่ลึกซึ้งขึ้น ทั้งเพลงประกอบ (ทำโดยทีมหัวลำโพงริดดิม - สุดยอดมาก) หรือการใช้สัญลักษณ์จากภาพวาดของนางเอกที่ว่าด้วย ผู้ชาย ผู้หญิง และนก มุมมองที่ผมได้เพิ่มมาเหล่านี้ ทำให้ผมรักหนังมากขึ้นอีกเป็นกอง และถึงแม้จะรู้ตอนจบของหนังอยู่แล้ว ผมก็ยังร้องไห้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ครับ
ส่วนข้อสงสัยที่ว่า มัน Re-Director Cut อย่างไร
ผมเหมือนโดนหลอกครับ! เพราะว่าเท่าที่รู้เนี่ยมันเพิ่มมาแค่นิดเดียวประมาณ 1 นาทีตรงฉากจบอ่ะครับ พี่ยุทธเลิศ (ซึ่งแกก็มางานด้วย) ทำแบบนี้ได้ไงเนี่ย! โธ่ อุตส่าห์ถ่อมาจากบ้านเลยนะ อืม..แต่มันก็ดีกว่าตัดใหม่แล้วชาคริตฟื้นขึ้นมาตอบจบแหละนะ อันนั้นรับไม่ไหว ส่วนตัวหนังก่อนก็มาถึงฉากจบนั้น ก็ไม่แน่ใจว่ามีการตัดต่อใหม่อย่างไร เพราะจำฉบับดั้งเดิมก็ไม่ได้แล้ว
ฉากที่เพิ่มมาก็คือ หลังจากคุณพระเอกล้มลงหลังจากได้สวมกอดกับคนรักแล้ว ภาพจะตัดมาที่ทะเลครับ แล้วนางเอกก็จะโปรยเถ้ากระดูกของเขาลงทะเล ส่วนเพื่อนสาวของเธออีกสองคนก็โปรยกลีบกุหลาบ ซึ่งผมว่าภาพนี้มันตลกมาก เหมือนมิวสิกวิดีโอมากกว่า ไม่ได้ช่วยอะไรกับตัวหนังเลย และฉากสุดท้ายจะเป็นภาพขาวดำย้อนไปตอนที่นางเอกตื่นเช้าขึ้นมา แล้วพระเอกจะวางนมแก้วกับไอ้ขนมปังรูปตัวอักษรไว้ แล้วเขาก็วางตัวอักษรเรียงไว้ข้างหน้านางเอกว่า JEERADEJ (ชื่อพระเอกในหนัง) ว่าแล้วคุณเธอก็คว้าขนมกินเข้าไปเต็มปากกรุบๆๆ แล้วก็พูดน่ารักว่า IRADA กิน JEERADEJ แล้ว อืม อันนี้ดูแล้วเศร้านะ
ว่าแล้วเอนด์เครดิตก็ขึ้นบนจอพร้อมเพลงลมหายใจที่ผมรัก และความคิดในหัวที่ว่ากุมภาพันธ์ยังคงเป็นหนังของยุทธเลิศที่ผมชอบมากที่สุด
โรแมนติกมามากพอแล้ว ตอนนี้มาร็อคๆกันบ้าง ว่าแล้วผู้คนก็แห่กันมาแบบมืดฟ้ามัวดิน สังเกตว่าค่อนข้างมีอายุแล้วด้วย (ฮา) ก็เพราะวงที่จะเล่นต่อไปคือตำนานมือขวา ไมโคร น่ะสิ วันนี้ผมได้นั่งหน้าสุด เลยได้เห็นพี่(ลุง)หนุ่ยใกล้มากชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในฃีวิต เอ่อ..พี่เขาก็มีอายุแล้วน่ะ หน้ามีริ้วรอยแล้ว แต่ก็ยังดูดีนะ วันนี้ทางวงมาแบบสบายในรูปอคูสติกร็อก เปิดเพลงแรกด้วย พายุ ตามด้วย คนไม่มีสิทธิ์ และจิ๊กโก๋อกหักอย่าง อยากจะบอกใครสักคน โดยพี่หนุ่ยบอกว่าเล่นเพลงเพราะเดี๋ยวจะมีฉายหนังเรื่อง ดีแตก ซึ่งมีเพลงนี้ประกอบด้วย อ้อ..และพี่เขาก็เล่นเป็นพระเอกด้วย (ฮา)
วงไมโครกำลังจะลงเวที พิธีกรขึ้นมาแทนแต่แทบจะกลับลงไปไม่ทันเพราะคนดูไม่ยอมจะเอาอีกเพลง ว่าแล้วทางวงก็เลยสนองด้วย ใจโทรมๆ จบเพลงก็ลงไปแบบจริงๆ
หนังที่จะฉายต่อก็คือ ดีแตก 2005 ฉบับตัดต่อใหม่ โดยอังเคิล-อดิเรก วัฏลีลา ตัวหนังฉายตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก (พูดจริงๆคือหนังยาวที่ฉายในงานนี้เจ๊งทุกเรื่องครับ--ฮา) หนังเล่าถึง วิท (อำพล ลำพูน) ที่กลับมาบ้านที่พัทยาเพราะเอนท์ไม่ติด ไม่อยากเรียนหนังสือเพราะชอบเล่นดนตรี ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ วุฒิ (พงษ์พัฒน์ วขิระบรรจง) พี่ชายของวิทเป็นอย่างมาก ทำให้การกระทำทุกอย่างของน้องชายจึงดูผิดไปหมดในสายตาเขา ด้วยทั้งปัจจัยภายในและภายนอกความรุนแรงก็ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนปะทุรุนแรงที่สุดในตอนท้ายเรื่อง
อย่างแรกที่รู้สึกเลยก็คือ พี่หนุ่ยตอนนั้นหน้าใสมาก (ฮา) ก็อย่างว่าหนังมันตั้ง 18 ปีแล้ว ส่วนตัวหนังผมเฉยๆครับ เพราะว่าเรื่องราวมันก็พล็อตคุ้นเคยที่หนังไทยสมัยก่อนชอบทำกัน ด้วยวัยและยุคสมัยของผมจึงรู้สึกว่าหนังมันเชยอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามหนังก็ยังให้ข้อคิดดีๆได้อยู่เหมือนกัน
น่าเสียดายที่งานวันนี้เลทเกินพิกัดไปหน่อย ล่วงเข้ามาถึง 23.40 แล้วหนังก็ยังไม่จบ (แต่คาดว่าใกล้จบแล้วครับ) ผมต้องอาศัยเกาะรถไฟฟ้ากลับบ้าน จึงต้องทำใจจากลางาน HAMBURGER FAIR #1 ไปเสีย โดยพลาดชมตอนจบของหนังดีแตกไป (ใครทราบช่วยมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ) และโชว์ปิดท้ายด้วยคอนเสิร์ตจากพี่ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์
โดยรวมแล้วงาน HAMBURGER FAIR #1 มีลักษณะที่เป็นกันเองและเป็นมิตรต่อผู้เข้างาน ซึ่งก็เหมาะกับการ เดินเล่น ตามที่ทีมงานตั้งใจไว้ แต่ผมยังมีความรู้สึกว่างานยังขาดรสชาติไปนิดนึง กล่าวคือ ยังไม่มีความน่าดึงดูดใจที่เพียงพอ เช่นว่า ซีดีที่มาขายในงานก็สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ไอ้ที่โฆษณาไว้ก็ไม่เห็นจะมาจริง แต่ส่วนอื่นๆใส่เครื่องปรุงได้ค่อนข้างพอดีแล้วครับ
คาดว่าปีหน้าก็จะมีงาน HAMBURGER FAIR #2 แน่นอน แล้วพบกันใหม่อีกครั้ง
หวังว่าแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นนี้คงรสชาติจัดจ้านขึ้น
และน้องสาวคนนี้คงเปรี้ยวขึ้นนะจ๊ะ พี่ชายคนนี้จะรอ
Create Date : 11 เมษายน 2548 |
Last Update : 11 เมษายน 2548 20:42:11 น. |
|
22 comments
|
Counter : 2262 Pageviews. |
|
|
|
โดย: it ซียู วันที่: 11 เมษายน 2548 เวลา:20:56:13 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 11 เมษายน 2548 เวลา:20:59:23 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 11 เมษายน 2548 เวลา:22:16:39 น. |
|
|
|
โดย: เหวียนสีเทียนจุ้น IP: 202.12.97.118 วันที่: 11 เมษายน 2548 เวลา:22:33:44 น. |
|
|
|
โดย: Romeo7th (Romeo7th ) วันที่: 11 เมษายน 2548 เวลา:23:16:05 น. |
|
|
|
โดย: ลูกบ้าเที่ยวสุดท้าย(รุ่นลืมออน) IP: 61.90.250.17 วันที่: 11 เมษายน 2548 เวลา:23:55:04 น. |
|
|
|
โดย: ลูกบ้าเที่ยวสุดท้าย (รุ่นบ้าบอ) IP: 61.90.250.17 วันที่: 12 เมษายน 2548 เวลา:1:25:33 น. |
|
|
|
โดย: it ซียู วันที่: 12 เมษายน 2548 เวลา:7:08:43 น. |
|
|
|
โดย: EncodeO วันที่: 12 เมษายน 2548 เวลา:10:22:12 น. |
|
|
|
โดย: +KikKle+ วันที่: 12 เมษายน 2548 เวลา:14:26:14 น. |
|
|
|
โดย: พิม IP: 58.9.4.47 วันที่: 7 ธันวาคม 2548 เวลา:17:16:24 น. |
|
|
|
โดย: ศิษย์หวานเย็น IP: 203.156.92.74 วันที่: 6 กรกฎาคม 2550 เวลา:12:09:36 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แต่ลืม นึกว่าเป็นอาทิตย์หน้า
มารู้ตัวอีกที อ้าวจัดไปแล้ว
แป่ว!!!!????