DREAM THEATER Live in Bangkok โรงละครแห่งความฝัน
โดย merveillesxx
มันน่าตลกดีเหมือนกันที่ 3 วันถัดจากเพิ่งไปดูคอนเสิร์ต Backstrret Boys มาหยกๆ ผมก็ต้องกลับไปที่อิมแพ็คอารีน่าอีกครั้งแล้ว แต่คราวนี้ไม่ใช่คอนเสิร์ตวงบอยแบนด์ แต่เป็น Dream Theater หนึ่งในวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกดนตรี
บรรยากาศหน้างานก็แตกต่างจากงานที่แล้วสิ้นเชิง วันก่อนนั้นมีแต่สาวๆ เดินเฉิดฉายเต็มไปหมด ส่วนวันนี้มีแต่ผู้ชาย ผู้ชาย และผู้ชายในเสื้อสีดำทะมึน จนอิมแพ็ควันนั้นถูกฉาบไปด้วยสีดำสนิท เห็นแล้วก็ปลื้มใจที่มีคนสนใจฟัง Dream Theater เยอะขนาดนี้ ถึงแม้มันจะไม่ใช่เพลงที่ ใช้ฟังเพื่อความบันเทิง ตามสติ๊กเกอร์แปะหลังกล่องซีดีนักก็ตาม
หลังจากนั่งทนฟังเสียงประกาศหน้างานที่พูดซ้ำไปซ้ำมาอย่างไร้สติจนรำคาญเต็มแก่ ผมก็หนีเข้าไปอยู่ในฮอลล์ นั่งเฝ้ามองผู้คนทยอยกันเข้ามา เลยเวลาทุ่มครึ่งไปเล็กน้อยไฟในฮอลล์ก็ดับลง อินโทรเพลงเริ่มบรรเลงขึ้น แล้วเพลงแรกของงาน The Root of All Evils ก็ดังขึ้นพร้อมเสียงเฮสนั่นของคนดู ต่อด้วยเพลงมันส์สุดๆ อย่าง Panic Attack แค่สองเพลงผ่านไป นอกจากจะเหนื่อยแทนคนเล่นแล้ว ผมก็ตะลึงงันอ้าปากค้างพร้อมพูดออกมาว่า มันเล่นได้ยังไงวะ
น่าเสียดายเหลือเกินที่ระบบเสียงของงานนี้ไม่สู้ดีเท่าไรนัก แม้จะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเป็นระยะก็ตาม บางท่อนที่ไม่ได้แผลงอิทธิฤทธิ์กันมากนักก็พอฟังได้ แต่ถ้าช่วงไหนซัดกันหนักๆ แล้วล่ะก็ เละ สนิททันที ฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าอะไรเป็นอะไร นี่จึงเป็นข้อยืนยันอีกครั้งว่าบ้านเรายังขาดสถานที่สำหรับการเล่นคอนเสิร์ตโดยเฉพาะ (แต่ในสภาวะบ้านเมืองเช่นนี้ใครเล่าจะมาสนใจ?) นอกจากนั้นการที่บรรดาคุณรปภ.หน้าดุทั้งหลายส่องไฟฉายจ่อหน้าคนดูไม่ให้ลุกขึ้นมาเต้น ก็แสดงถึงการขาดความเข้าใจในวัฒนธรรมการดูคอนเสิร์ตในบ้านเราเป็นอย่างดี
ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ระบบเสียงจะย่ำแย่สักเพียงใด แต่สมาชิกทั้งห้าของ Dream Theater ก็ยังสำเดงเดชกันอย่างเต็มที่ ทั้งการไต่เบสอันเหนือชั้นของ John Myung, ฝีมือระรัวคีย์บอร์ดอันพริ้วไหวของ Jordan Ruddess, การดีดกีต้าร์ที่ไม่อยากจะเชื่อว่ามีมนุษย์หน้าไหนจะทำได้ของ John Petrucci, ลีลาตีกลองโคตรเซียนของ Mike Portnoy รวมถึงเสียงร้องที่ดีกว่าในซีดีเสียอีกของ James LaBrie สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเรียกได้เต็มปากเลยว่าห้าคนนี้คือ ยอดมนุษย์ อย่างแท้จริง เพราะพวกเขาได้ตอบคำถามที่ผมเคยสงสัยมาตลอดว่า ไอ้เพลงแบบนี้มันจะเล่นสดได้ยังไงวะ แล้ว
ว่ากันตามตรง ตลอด 3 ชั่วโมงของ Dream Theater เป็นสิ่งที่เรียกว่า มหัศจรรย์ แต่ที่ผมคิดว่าเป็นสุดยอดของสุดยอดก็คือ โชว์ปิดท้ายช่วงที่ 2 ที่เป็นการเล่นเพลง Octavarium ที่มีความยาวร่วม 20 นาที ฟังจบแล้วแทบจะวิ่งลงกราบเท้าทั้งห้าคนเลย (และยังมีข้อสังเกตว่า Dream Theater ยังคงความเป็นพวก คิดมาก อีกตามเคยเพราะท่อนสุดท้ายของเพลงนี้จะร้องว่า This story ends where it began)
ส่วนช่วงอังกอร์ก็ถือว่าเป็น จุดพีค ของงาน เพราะทางวงก็เซอร์ไพรส์คนดูสุดๆ ด้วยการเล่นเพลง The Spirit Carries On เรียกเสียงร้องจากคนดูได้ชนิดถล่มทลาย
If I die tomorrow Id be all right Because I believe That after were gone The spirit carries on
ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเพลงนี้ คนดูในฮอลล์ยังพร้อมใจกันจุดไฟแช็กโบกกันไปมา ดูแล้วขนลุก เหมือนกับดวงวิญญาณนับหมื่นมาร่วมกันร้องเพลงเพลงนี้
และเพลงปิดท้ายของงานก็ต้องเป็นเพลง ไม่เล่นไม่ได้ อย่าง Pull Me Under และยังโชว์พาวเล่นต่อด้วยเพลง Metropolis Pt.1 แถมมีแอบน่ารักเอาเค้กวันเกิดมาเซอร์ไพรส์มือเบสหน้านิ่งอย่าง John Myung (ได้เห็นแกเขินก็วันนี้แหละ) แล้วจากนั้นก็มาเล่นเพลง Metropolis Pt.1 กันต่อจนจบ
ตรงนี้บรรยายได้คำเดียวว่า สุดยอด มาก และผมก็พูดได้เลยว่า Dream Theater เป็นคอนเสิร์ตที่ดีที่สุดที่ผมเคยดูมาในชีวิตนี้
ลองย้อนนึกดูแล้วขณะที่ผมดู Dream Theater นั้น ผมมีความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกแห่งหนึ่ง เหมือนตัวเองอยู่ในโลกกึ่งจริงกึ่งฝัน ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่ผู้คนขนานนามพวกเขาเป็น โรงละครแห่งความฝัน และเป็น วงดนตรีในฝัน ของหลายๆ คน
ผมเองก็เชื่อแบบนั้นเช่นกัน เพราะ ณ วันนี้ผมได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองแล้วว่า Dream Theater เป็นวงที่สามารถนำพา ความฝัน มาสู่ โลกแห่งความเป็นจริง ได้
(รูปจาก manager.co.th)
ขอกราบเท้าทั้งห้า "ยอดมนุษย์" แห่ง DREAM THEATER ไว้ ณ ตรงนี้อีกครั้ง...
SET LIST (*จากห้อง Rock & Roll, PANTIP.COM)
Intro tape In The name Of God The Root Of All Evil Panic Attack A Fortune In Line Under A Glass Moon Lie Peruvien Skies Strange Deja Vu Through My Words Fatal Tragedy Solitaly Shell About to Crash (Reprise) Losing Time / Grand Finale
-- Intermission --
As I Am Endless Sacrifice I Walk Beside You Sacrificed Sons Octavarium
-- Encore --
Jordan Intro Through Her eyes / Petrucci Solo The Spirit Carries On Pull Me Under / Metropolis Pt.1
Create Date : 29 มกราคม 2549 |
|
25 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2549 19:39:12 น. |
Counter : 2089 Pageviews. |
|
|
|
ช่วงนี้ไม่ได้ดูหนังโรงเลยครับ ไม่มีอารมณ์เพราะเรื่องประสาทๆ ทั้งหลายที่เคยเล่าไปในคราวก่อน
ส่วนเรื่อง "ผู้หญิงคนนั้น" มันใกล้จบแล้วครับ เพราะผมจะจบมันด้วยตัวเอง
----------------------------
หนังแผ่นที่ได้ดูช่วงนี้
1. A Scene at the Sea (1991, Takeshi Kitano, B+)
ถือเป็นหนังของคิตาโน่ที่รู้สึกชอบน้อยที่สุด รู้สึกว่าเพลงประกอบในหนังมันชี้นำจนเกินไป
หนังของคิตาโน่ที่ชอบมากที่สุดคือ Hana-bi (1997, A+) ซึ่งได้รางวัลสิงโตทองคำจากเวนิซ
2. Dear Wendy (2005, Thomas Vinterberg, A-)
รู้สึกว่าวินเทอร์เบิร์กคุมจังหวะและอารมณ์ของหนังไม่ได้ดีนัก ในหนังทั้งสองเรื่องหลัง (It's All About Love (2002, A-) และ Dear Wendy) รู้สึกชอบ The Celebration (1998, A+) มากกว่างานหลังๆ ของเขาเยอะเลย
(The Celebration หรือ FESTEN เปแนหนังเรื่องแรกของวินเทอร์เบิร์ก และเป็นหนังด็อกม่าเรื่องแรกของโลก)
เรื่องสำคัญคือ เรื่องนี้ เจมี่ เบลล์ หล่อมาก
3. คอนเสิร์ต Kylie Minogue - Showgirl (2005, A)
คอนเสิร์ตของไคลี่ไม่ค่อยสนุกเท่าไรเพราะเธอไม่ค่อยเต้น แต่โปรดักชั่นของคอนเสิร์ตนี้สู้กับของ Ayumi Hamasaki ได้อย่างสบายๆ
-------------------------------
เพลงที่ได้ฟังช่วงนี้
1. Bo TK - Beginning (2006, B)
ถือเป็นอัลบั้มน่าผิดหวังชุดแรกของปีนี้ ผิดพลาดทั้งหน้าปก อิมเมจ มิวสิกวิดีโอเปิดตัว (ซึ่งดูยังไงก็ตลกมากกว่าเซ็กซี่)
เพลงในอัลบั้มชุดนี้เหมือนกับคุณสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ (Mr.Z, โปรดิวเซอร์ของอัลบั้ม) เอาทำนองเก่าเก็บจากยุคโดโจรุ่งเรือง (สมัยปี 1999-2000) มารีไซเคิลใหม่
อย่างไรก็ตามชอบเพลงเปิดตัว "จะให้ทำเช่นไร" ในระดับ A+
2. พราย ปฐมพร - The Days of Pry Anthology (2006)
ยังให้เกรดไม่ได้ ขอใช้เวลาฟังมากกว่านี้ แต่สำหรับแฟนๆ ของผู้ชายคาดหน้า และสาวกเก่าก่อนก็ไม่ควรพลาดอัลบั้มนี้ (ปกสวยมาก)