ต้นกระบากใหญ่ ใหญ่จนใจจะขาดดดดดดดดดดดด
ต้องบอกก่อนว่า ทริปการไปชมต้นกระบากใหญ่นี้ สืบเนื่องมาจากการที่เราเคยมาอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราชแล้วเมื่อปลายปีที่แล้ว ตั้งใจจะมาชมต้นกระบากใหญ่ แต่ว่าฝนตกเลยไม่กล้าเสี่ยงลงไป คราวนี้ฟ้าเปิด แต่เย็นพอสมควรแล้วล่ะ พวกเราตัดสินใจลงไปชมกันตอนสี่โมงครึ่ง (แนะนำว่าถ้าใครอยากมาทรมานต้องมาสักสามสี่โมงดีกว่าให้เวลากับตัวเองเยอะๆ) คนข้างบนซึ่งขายของอยู่ ก็เตือนว่าเย็นแล้ว ระวังจะค่ำซะก่อน เพราะหน้าหนาวมืดเร็ว แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้เวลาเดินขึ้นลงประมาณสี่สิบนาที 400 เมตรเอง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
พวกเราก็กระตือรือร้นเดินลงไปอย่างกระฉับกระเฉง คงเป็นชุดสุดท้ายแล้วล่ะที่เดินลงไป ระหว่างนั้นก็มีชุดก่อนหน้าเดินสวนหน้า สภาพแต่ละคนดูไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ผู้หญิงบางคนหิ้วรองเท้าส้นสูงแล้วเดินตรีนเปล่า ฮ่าๆ ใครให้ใส่รองเท้าส้นสูงมาเดินป่าล่ะคะคุณนาย เจ็บและเมื่อยตายพอดี (แน่ะ ไปหัวเราะเค้าอีก) อีกชุด เดินบ่นกระปอดกระแปดตามมา มีหนุ่มคนนึง เดินลิ้นห้อย พร้อมกับท้าทายเรา "ลงไปเลยพี่ สุดยอด" เออ อะไรของมันวะ เลยถามว่าอีกไกลมั้ย เค้าบอกว่า "ครึ่งทางแล้วพี่" อีกคู่ บ่นว่า ตอนเราลงมา ทำไมไม่เหนื่อยอย่างนี้นะ เราก็ได้แต่ยิ้มให้กำลังใจ
อันนี้ยังไม่ใช่ค่ะ แค่ต้นไม้ในป่า (ซึ่งเป็นป่าที่มีความหลากหลายของพันธุ์ไม้มากๆค่)
อันนี้ก็ยังไม่ใช่นะ หลอกอีกแล้ว อิอิ
สภาพป่าที่และทางที่เดิน (ถ่ายไม่ชัด) เพราะรีบจัด กลัวทำเวลาไม่ทัน
คนในพื้นที่ บอกว่าตอนลงไม่เท่าไหร่ แต่ขาขึ้นนี่สิ เหนื่อยแน่ๆ แต่เราไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา บอกว่าเฮ้ยไม่หรอก สี่ร้อยเมตรเอง แป๊บเดียว แล้วทางก็ดี ไม่น่าจะยาก จนกระทั่งชุดก่อนเดินสวนขึ้นมาหมดแล้ว แสดงว่าเราเป็นชุดสุดท้ายจริงๆ เจอลำธารเล็กๆ หน่อยนึง
อีกไม่กี่ก้าว เราก็พบกับต้นกระบากใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เฮ้ย ทำไมถึงไวจังอ่ะ (แหม ยังปากดี) มันใหญ่จริงๆนะ มองไปสุดลูกตาเลย แล้วโคนต้นน่ากลัวมาก เราคงแพ้ของใหญ่ เราจินตนาการว่ามันเหมือนกับตีนของไดโนเสาร์ (ทำยังกะเคยเห็นไดโนเสาร์นะเรา) เรียกว่ากระบากยักษ์ดีกว่า
ดูในรูปอาจจะไม่ใหญ่นะ แต่มันใหญ่จริงๆ 10 คนโอบเห็นจะได้ (เผอิญไปไม่ถึงเลยไม่รู้จะวัดมายังไง)
ไม่รู้จะถ่ายรูปตัวเองกับต้นนี้ยังไงให้สวย เพราะมันใหญ่เกินไป จัดองค์ประกอบไง ก็แย่อยู่ดี เลยไม่อยากเน้นคนเท่าไหร่ มองดูเวลา 5 โมงเย็นแล้ว กลับดีกว่า ไม่งั้นจะมืด เลยไม่ทันหายเหนื่อยหรือได้ชื่นชมความใหญ่นานนัก ตัดสินใจเดินขึ้นทันที เรียกว่ายืนอยู่ตรงนั้นไม่เกินสิบนาทีแน่ๆ
ไม่ทันถึงห้าสิบเมตร จากต้นกระบากใหญ่ ปรากฏว่าข้าพเจ้าหัวใจแทบจะหลุดออกมานอกหน้าอกค่ะ เพราะมันเต้นแรงมากๆ เหนื่อย!!!! ชิบหาย ขอโทษที่ต้องใช้คำหยาบ เพราะไม่เคยเหนื่อยใจจะขาดขนาดนี้เลย เท่าที่คิดนะ เราว่านี่แหละเหนื่อยสุดๆแล้ว เหมือนเรากำลังต้านแรงโน้มถ่วงของโลก เผชิญกับความกดอากาศต่ำ แข่งกับเวลา และสู้กับความชันของแผ่นดิน โอยยยยยยยยยยยยยยยยยพระเจ้า กูจะตายแล้ว เค้ามีป้ายให้กำลังใจเรื่อยๆ แต่อ่านแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันคือกำลังใจแม้แต่น้อย มองหาแต่ที่พัก
เหมือนจะตายจริงๆนะ หน้ามืดตาลายด้วย จะหงายหลังให้ได้ มิน่าล่ะ ทำไมคนที่เดินสวนกับเราเมื่อครู่ จึงมีอาการคล้ายๆกัน ไม่ใช่เพราะเราแก่แน่ๆ เพราะทุกคนอาการเดียวกันหมด ไม่ต้องไปแล้วล่ะ ภูกระดึงกระโดงไรเนี่ย แค่สี่ร้อยเมตรก็รู้สึกว่าทำไมมันไกลจังวะ เราว่าเราอึดแล้วนะ แต่จะตายให้ได้ ไม่มีปัญหาเรื่องขาล้านัก แต่หัวใจนี่สิ เต้นเร็วและแรงสุดๆ แวะพักที เราพะงาบๆเลยค่ะ
ปิดท้ายทริปนี้ ที่จุดชมวิวซึ่งเคยถ่ายมาหนนึงแล้ว แต่วันนี้มาถ่ายในวันที่เกือบสิ้นใจ มือสั่น ใจสั่น ทำไมมันดูไม่สดชื่นเหมือนวันก่อนเลยนะ อ้อ นั่นพระจันทร์ขึ้นพอดีเลย
คิดว่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่กระบากใหญ่ซะแล้ว เราพูดกับเพื่อนว่า จะไม่แนะนำให้ใครมา แต่ถ้าอยากมา (วัดความแรงของหัวใจ) ก็ไม่ห้าม และถ้าใครชวนมาซ้ำ ข้าพเจ้าขอบายครับ พอถึงปากทางออกเท่านั้นแหละ โอ้ววววววววว เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ยังไงยังงั้น!!!!
Create Date : 11 พฤศจิกายน 2549 |
|
7 comments |
Last Update : 28 มีนาคม 2550 16:41:17 น. |
Counter : 3836 Pageviews. |
|
|