พระมหากรุณาธิคุณในความทรงจำ (๑)
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
ความสุขความสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคงเป็นปรกติสุข ความเจริญมั่นคงทั้งนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงได้ก็ด้วยทุกคนทุกคนทุกฝ่ายในชาติมุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิดและด้วยความสุจริตจริงใจโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2552 ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล อดีตเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(เลขาธิการ กปร.) คนแรก ปัจจุบันท่านเป็นกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ท่านได้ถวายงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ ปี 2525 จึงมีภาพแห่งความทรงจำและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้เห็นด้วยตาสัมผัสพระมหากรุณาธิคุณด้วยตัวเองที่ทรงทุ่มเทพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ด้วยทรงตั้งพระราชปณิธานบำบัดทุกข์ให้หมดหรือบรรเทาเบาบางไปจากประชาชนของพระองค์ นำประโยชน์สุขเข้ามาแทนที่ นับแต่เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติถึงวันนี้ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักเพื่อราษฎรที่สุดในโลก พระมหากรุณาธิคุณที่ประจักษ์เป็นรูปธรรมถึงพระราชกรณียกิจที่ทรงทำเพื่อราษฎรคือโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่พระราชทานไว้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยวันนี้เกินกว่า 4,500 โครงการ เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาได้ถ่ายทอดพระมหากรุณาธิคุณสู่คนไทยในหลายสถานที่ หลายโอกาสเน้นย้ำให้ประชาชนได้เกิดความภาคภูมิใจและร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่เกิดมาเป็นคนไทยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร และได้ร่วมกันตั้งจิตมั่นที่จะเดินตามรอยพระยุคลบาทเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล จึงขออนุญาต ดร.สุเมธ ตันติเวชกุลนำความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเผยแพร่แก่ประชาชนคนไทย เพื่อเชิญชวนเน้นย้ำร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณครับ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้วยพระราชหฤทัยมุ่งมั่นเพื่อทรงบำบัดทุกข์ยากและเพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์ เฉพาะอย่างยิ่งผู้ยากไร้ด้อยโอกาสในชนบทที่ห่างไกล ซึ่งนับเป็นพระราชภาระอันยิ่งใหญ่ เนื่องด้วยทรงระลึกเสมอ ว่า ทุกข์ของประชาชน คือ ทุกข์ของพระองค์ จึงทรงคิดค้นหาแนวทางการพัฒนาด้วยพระวิริยอุตสาหะเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกหมู่เหล่า ทั่วราชอาณาจักร อันเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงทอดทิ้งประชาชน คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(กปร.)มีบทบาทหน้าที่ในการสนองพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้านางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ โดยมีมีสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(สำนักงานกปร.)เป็นสำนักงานวิชาการและประสานงาน ซึ่งได้ก่อตั้งมาครบ 35 ปี ในปี2559 นี้ สำนักงานกปร.ในฐานะเป็นหน่วยงานกลางในการประสานแผนงานและความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามแนวพระราชดำริ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไว้กว่า 4,500 โครงการ ที่ได้พระราชทานแก่ประชาชนกระจ่ายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทั้งโครงการพัฒนาด้านการเกษตร การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพการพัฒนาแหล่งน้ำ การสื่อสารคมนาคม การแก้ไขปัญหาจราจรและสวัสดิการสังคม รวมทั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง 6 ศูนย์ที่มีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นตามภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการศึกษา วิจัย แสวงหาแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ภูมิสังคมและการประกอบอาชีพของราษฎร พร้อมกับนำผลสำเร็จขยายผลการพัฒนาไปสู่พื้นที่ของเกษตรกร โดยมีจุดมุ่งหมายให้ราษฎรมีความเป็นอยู่อย่างพอมีพอกิน และพอเพียงควบคู่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน การปฏิบัติภารกิจสนองพระราชดำริใดๆคงไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้หากปราศจากความร่วมมือเสียสละและอุตสาหะในการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในหน่วยราชการและองค์กรต่างๆทุกภาคส่วน ความร่วมมือร่วมใจดังกล่าวทำให้บังเกิดผลเป็นความสุขความเจริญแก่ประเทศชาติและประชาชนที่อยู่ใต้ร่มพระบารมีโดยแท้ ในโอกาสที่ พ.ศ.2559 เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติมาถึง 70 ปี ขออนุญาตนำความรู้ของอดีตเลขาธิการกปร.ที่ได้สนองงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ทำงานถวายต่างพระเนตรพระกรรณ เพื่อนำพระมหากรุณาธิคุณอันเกิดจากพระราชหฤทัยห่วงใยสู่พสกนิกรไทยทั้งประเทศ ตลอดจนยังนำพระเมตตาแผ่ไปยังประชาชนในประเทศอื่นๆเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเพื่อนบ้าน ท่านแรก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ซึ่งท่านผู้อ่านคงได้สัมผัสคำบอกเล่าความรู้สึกที่ได้มีโอกาสทำงานถวายสนองพระมหากรุณาธิคุณมาแล้วพอสมควร ท่านไปบรรยายมาแล้วหลายต่อหลายปีในหลายโอกาส หลายสถานที่และคำบรรยายของท่านมีการนำไปรวมไว้ในหนังสือวางแผงมาแล้วหลายๆต่อหลายครั้ง และใครก็ตามที่อ่านแล้วอ่านอีก ก็จะได้สัมผัสซึมซับพระมหากรุณาธิคุณผ่านคำบอกเล่านั้น ได้ซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สุดจะหาคำพูดใดๆมาถ่ายทอดความรู้สึกที่เชื่อว่าทุกคนมีเหมือนกันคือสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ทรงทำเพื่อคนไทยทุกคนให้อยู่ดีกินดีมีสุขอย่างยั่งยืนในการดำเนินชีวิต คนอายุรุ่นราวคราว 40 ปีขึ้นอาจจะบอกว่าฟังและอ่านบ่อยแล้ว แต่อยากเชิญชวนให้อ่านอีก คนรุ่นอายุต่ำกว่า 40 ปีลงมาหรือที่เรียกว่าคนรุ่นหนุ่มสาวจนถึงเยาวชนยิ่งอยากให้อ่าน ผมก็หวังที่เอาความรู้สึกผ่านคำบอกเล่าของ ดร.สุเมธ และอดีตเลขาการ กปร.ท่านอื่นๆที่ถ้ามีโอกาสจะได้นำเอาความรู้สึกนึกคิดของท่านมาถ่ายทอดในโอกาสต่อไป ผมได้เข้าถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการพัฒนาตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตั้งแต่ปี 2524 ขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองวางแผนเตรียมด้านเศรษฐกิจ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และได้ถวายงานเรื่อยมาจนกระทั่งตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(สำนักงาน กปร.) เมื่อปี 2536 และได้ลาออกจากราชการเมื่อปี 2542″ ทุกครั้งที่มีการตั้งหัวข้อให้ท่านพูดถึงการได้เข้ามารับใช้เบื้องพระยุคลบาทนำเอาพระมหากรุณาธิคุณไปถึงประชาชน ดร.สุเมธจะเล่าให้ฟังต่อเนื่องแบบเลียงลำดับ ว่า ขณะยังรับราชการอยู่นั้นปี 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์นายกกิตติมศักดิ์และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานกรรมการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดร.สุเมธเป็นเลขาธิการมูลนิธิ เพราะฉะนั้นเมื่อลาออกจากราชการแล้วจึงยังคงทำงานมูลนิธิชัยพัฒนาเรื่อยมาจนปัจจุบัน ทุกครั้งที่ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน หรือใครก็ตามที่มีโอกาสได้ไปขอให้ดร.สุเมธได้พูดได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ทำงานถวาย ทุกครั้งทุกคราต้องถามว่าได้รับความประทับใจอะไรบ้างในการถวายงาน ผมคงตอบในฐานะส่วนตัว ว่า ผมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อตัวผม และตอบในฐานะเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่งผมซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยทั้งชาติ ดร.สุเมธบอกว่าตั้งแต่ได้ถวายงานและตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกสารทิศแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระประมุข แต่ได้สังเกตเห็นความยากลำบากที่ทรงกรำงาน ทรงเหน็ดเหนื่อย พระองค์ทรงลุยบุกป่าฝ่าดง ถ้าตรงจุดใดในทั่วราชอาณาจักรไทยมีปัญหา พระองค์ทรงพร้อมที่จะเสด็จฯไปทรงแก้ไขด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้ไม่ว่าพระองค์จะทรงย่างพระบาทไปในพื้นที่ใดบนผืนแผ่นดินไทย ทุกแห่งคือผืนแผ่นดินของพระองค์ และพระองค์คือพระเจ้าแผ่นดินของประชาชน และประชาชนทุกหมู่เหล่าไม่ว่าพื้นที่ใดบนแผ่นดินนี้ คือ พสกนิกรของพระองค์
. ที่มา : สยามรัฐ คอลัมน์พระมหากรุณาธิคุณ โดยคุณเสกสรร สิทธาคม สำนักข่าวเจ้าพระยา
Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2559 |
|
0 comments |
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2559 17:19:57 น. |
Counter : 1496 Pageviews. |
|
|
|